ตอนที่ 11 แค่คนรู้จัก
เช้าวันต่อมา
รถเบนซ์ c-class สีขาวแล่นเข้ามาในรั้วมหาลัยตามกฎหมายกำหนดก่อนจะจอดสนิทที่ลานจอดรถตึกคณะวิศวกรรมที่ค่อนข้างโล่ง
ครืด ครืด ครืด
ขณะที่มือบางเก็บหนังสือและไอแพดใส่กระเป๋าผ้าแบรนด์ดัง แต่ยังไม่ทันไรโทรศัพท์ในมือก็สั่นสะท้านเมื่อมีสายเรียกเข้า
“เออว่าไงพราว”
“อยู่ไหน”
“กำลังจอดรถ”
“อยู่โรงอาหารนะกับตังเม”
“โอเคๆ เดี๋ยวตามไป”
เท้าเรียวบนรองเท้าผ้าใบสีขาวก้าวเดินตรงไปยังโรงอาหารพร้อมกับชะเง้อคอมองหา จนเจอสองสาวที่นั่งกินข้าวอยู่โต๊ะริมกระจก
“กว่าจะมาได้”
“เออ รถติด ตื่นสายด้วยนิดหน่อย”
พราวฟ้าที่กำลังเคี้ยวข้าวชะเง้อคอมองตามเพื่อนสนิทอย่างรมย์รวินท์ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “แล้วแกมองหาอะไร”
“เปล่า”
“พักหลังๆนี่พิรุธเยอะนะแก หรือว่าแกไปแอบปิ๊งหนุ่มที่ไหนมา”
“พูดไปเรื่อยอ่าตังเม”
“เอ้า ก็ท่าทีแกแปลกๆ”
“แค่สงสัยว่าพี่ธันย์บอดี้การ์ดส่วนตัวพ่วงตำแหน่งคู่หมั้นพราวไม่มาเฝ้าเหรอ”
“มีเรียนบ่าย มาส่งแล้วก็กลับไปนอนแล้ว”
“อ๋อๆ”
“แล้วแกกินข้าวมายัง” ตังเมเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มมาให้
“กินแล้ว” ฉันพยายามตอบเสียงให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้สองเพื่อนสนิทรู้ว่าเธอกำลังประหม่า
“หืม” ทั้งสองครางรับในลำคอด้วยความแปลกใจ
“แกไม่กินข้าวเช้านี่”
“กะ ก็ เอ่อ เมื่อคืนไม่ได้กินเลยหิว”
“มีพิรุธ”
“เปล่า กินๆไปเหอะเดี๋ยวสาย ขึ้นเรียนไม่ทัน” รมย์รวินท์เอ่ยบอกเพื่อนสนิท พลางทำทีเป็นไถ่โทรศัพท์เข้าแอพโซเซียลต่างๆ แต่ในใจกลับล่องลอยไปถึงใครบางคนที่พึ่งเจอกันเมื่อเช้า
“พี่เกมส์ มาได้ไงคะเนี่ย” เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความตกใจเมื่อเปิดประตูมาเจอร่างสูงในชุดออกกำลังกายมีเหงื่อซึมจนทำให้เสื้อแนบไปกับร่างกายแข็งแรงที่กำลังยืนกดโทรศัพท์อยู่หน้าประตูห้อง
“พี่กำลังจะโทรหาพอดีเลย อ่ะนี่พี่ซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาให้ก่อนเราไปเรียน”
“ขอบคุณนะคะ แต่ความจริงพี่ไม่ต้องลำบากก็ได้” เธอเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วงก่อนจะยื่นมือไปรับถุงน้ำเต้าหู้มาถือไว้
“พี่กลัวเราไม่กินข้าวเช้ามากกว่า แล้วมีเรียนกี่โมง”
“แปดโมงครึ่งค่ะ”
“พึ่งเจ็ดโมงเช้าอยู่เลย เข้าไปกินให้เรียบร้อยก่อน”
“ก็ได้ค่ะ แล้วมาได้ไงคะเนี่ย”
“พี่มาวิ่งออกกำลังสวนสาธารณะแถวๆนี้ เลยแวะมาหาเราก่อน”
“งั้นกินด้วยกันไหมคะ”
“ไม่อ่ะ เรากินเลย” รมย์รวินท์พยักหน้ารับก่อนจะเดินไปรินน้ำเต้าหู้ใส่แก้วแล้วมานั่งดื่มที่โต๊ะอาหารโดยมีเขานั่งมองแบบไม่ละสายตา
“พี่จะมองหนูทำไมเนี่ย”
“อยากมอง”
เมื่อรู้สึกว่าแก้มใสเริ่มเห่อร้อนจึงยกแก้วน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่มเพื่อหลบสายตา แต่พอลดแก้วลงก็ถูกนิ้วหัวแม่มือยกปาดคราบน้ำเต้าหู้ที่เธอกินเลอะมุมปากให้อย่างอ่อนโยนจนหัวใจเต้นแรง
“ฮัลโหลๆๆ” ตังเมโบกมือไปมาเมื่อจู่ๆเพื่อนสนิทอย่างรมย์รวินท์นั่งยิ้มแป้นตาลอยอยู่คนเดียว แล้วดวงตาคู่สวยยังเป็นประกายรูปหัวใจสีชมพูอย่างกับคนมีความรัก
“กอบัวววว”
“อะๆ อะไร”
“เหม่ออะไร พวกฉันกินข้าวเสร็จแล้ว ไปขึ้นเรียนค่ะ”
“โอเคๆ”
พักเที่ยง
ขณะกำลังเดินลงมาที่โรงอาหารสภาพทุกคนไม่ต่างจากซอมบี้เมื่อถูกอาจารย์ป้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดประจำคณะวิศวกรรมอัดข้อมูลความรู้จนสมองน้อยๆแทบรับไม่ไหว
“หาของหวานเยียวยาด่วน ไม่งั้นบ่ายไม่มีแรงเรียนแน่ๆ” รมย์รวินท์เปรยขึ้นเสียงอ่อนแรง
“จริง ขอกินไอศรีมแทนข้าวก่อนแล้วกัน” ตังเมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะมองหาร้านไอศรีมเจ้าประจำ
“แต่ไม่มีโต๊ะนั่งเลยอ่ะดิ คนเต็มโรงอาหารเลย” พราวฟ้าเอ่ยบอกขณะชะเง้อคอมองหาโต๊ะนั่งที่ว่างๆ
“ไปโรงอาหารกลางของมหาลัยไหม” ตังเมเสนอขึ้นเพราะตรงกับพักเที่ยงพอดีจึงเนืองแน่นไปด้วยเหล่านักศึกษา
“ขนาดที่นี่คนยังล้น ที่นั่นคงไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะเพื่อน” ฉันเอ่ยบอกก่อนจะชะเง้อคอมองหาที่นั่ง แต่แรงสะกิดที่ไหล่ทำให้เธอหันไปมอง
“อ้าวพี่ชิน สวัสดีค่ะ” ฉันเอ่ยทักพร้อมกับยกมือไหว้รุ่นพี่ร่วมคณะ
“สวัสดีค่ะ”
“ครับ นี่หาโต๊ะนั่งกันอยู่เหรอ”
“ใช่ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับรัวๆ
“งั้นไปนั่งกับพวกพี่ไหม”
“เอ่อ” ฉันหันมามองเพื่อนสนิททั้งสองที่ยืนลังเลเล็กน้อย “เอาไงพวกแก”
“ถ้าหนูพราวไปไอ้ธันย์คงกินข้าวอร่อยมากขึ้นแน่ๆ” ชวกรเอ่ยเย้าพร้อมกับชี้ไปที่โต๊ะยาวตัวใหญ่ที่มีเหล่าเพื่อนสนิทของเขานั่งอยู่และด้วยหน้าตาและชื่อเสียงเลื่องลือกระฉ่อนไปทั่วมหาลัยทำให้ทั้งโต๊ะนั้นตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในโรงอาหาร
“ฉันไม่มีปัญหา แต่พวกแกสองคนจะอึดอัดไหม” พราวฟ้ากระซิบถามเสียงเบา
“เออ ไปก็ได้ดีกว่าไม่มีที่นั่ง” ตังเมเอ่ยก่อนจะพากันเดินตรงไปยังโต๊ะที่หมาย
“สวัสดีค่ะพี่ๆ” ทั้งสามยกมือไหว้รุ่นพี่ตามทำเนียบปฏิบัติก่อนจะวางกระเป๋าลง
“สวัสดีจ้า ไม่ต้องเกรงนะ ตามสบาย” มุกตาภาเอ่ยบอกเสียงหวานพลางยิ้มให้อย่างเป็นกันเองเพราะเคยรู้จักสามสาวมาก่อนหน้านี้แล้ว
“ค่ะ” พวกเธอพยักหน้ารับก่อนจะรีบเดินออกมาซื้อข้าวด้วยอาการเกร็งๆ ใช้เวลาไม่นานพวกเธอก็ถือจานข้าวกลับมานั่งตามเดิม
“เรียนหนักไหม” อรปรียาเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางเกร็งๆของคนมาใหม่ อ๋อ ยกเว้นพราวฟ้าไว้หนึ่งคนรายนั้นถูกธนัทดึงเข้าไปอยู่ในโลกสีชมพูที่มันสร้างขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ก็หนักอยู่ค่ะพี่ชะเอม” ตังเมเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ ก่อนจะลอบมองใบหน้าของกอบัวที่ซีดลงเล็กน้อย แถมแววตายังจดจ้องไปที่รุ่นพี่อย่าง
กรภัคด้วยอาการนิ่งๆ“กอบัว ข้าวร้านประจำแกไม่อร่อยหรือไง ถึงเขี่ยไปเขี่ยมาแบบนี้” ตังเมกระแทกไหล่เล็กเบาๆจนอีกฝ่ายหันมอง
“เปล่า ก็ยังอร่อยเหมือนเดิม” รมย์รวินท์กระพริบตาปริบๆปรับสีหน้าให้ปกติเมื่อเผลอมองใบหน้าหล่อคมของเขาที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์ วางท่านิ่งเฉยอย่างคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทักสักคำยังไม่มี ทั้งที่พึ่งแยกกันเมื่อตอนเช้าเอง จนบางทีเธอก็คิดว่าเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ความฝัน
‘แล้วแกจะมีสิทธิ์อะไรไปน้อยใจเขากันนะ กอบัว’
เมื่อคิดได้แบบนั้นเธอก็เลิกสนใจเขาแล้วหันมาคุยกับมุกตาภาและอรปรียา จนไม่ทันได้สังเกตเห็นดวงตาคมที่มองมา
ติ๊ง!
รมย์รวินท์ก้มมองแจ้งเตือนในโทรศัพท์ทันที ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเจ้าของข้อความด้วยความไม่เข้าใจ แต่เขากลับไม่ยอมสบตาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘ตอนเย็นรอกลับพร้อมพี่ด้วย’
‘แต่หนูเอารถมาไง’
‘ทิ้งไว้ที่นี่แหละ’
‘เอาแต่ใจ’ เธอพิมพ์ตอบก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์หมีโมโหตอบกลับไป
“ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์อยู่นั้น แอบคุยกันป่ะเนี่ยสองคนนี้” ธนัทไม่พูดเปล่าแต่ยังชี้ไปที่เพื่อนสนิทอย่างกรภัคและรุ่นน้องร่วมคณะอย่างรมย์รวินท์
“คุยห่าอะไรล่ะไอ้ธันย์ กูไม่ได้รู้จักน้องเขาเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย” กรภัคที่กำลังพิมพ์ข้อความหยุดชะงักแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ เมื่อคำพูดของธนัทที่หลุดออกมาจากโลกสีชมพูชั่วคราวเอ่ยขึ้น ทำให้ทุกสายตาจ้องมองสลับไปมา
“ใช่ค่ะ กอบัวไม่ได้คุยกับพี่เกมส์ซักหน่อย” แม้จะเจ็บในใจจี๊ดๆแต่เธอรีบออกตัวปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“แหม่ ไอ้ธันย์มึงพูดออกมา ทำอย่างกับไม่รู้นิสัยไอ้ปลาไหลตัวพ่ออย่างมัน” ชวกรเปรยขึ้นเสียงขำเพราะรู้ดีว่ากรภัคมันมีสาวๆในสต็อกเยอะแยะมากมาย ไม่ใครก็ใครสักคนหนึ่งที่มันกำลังแอบคุยอยู่
“เออ ว่ะ กูลืม”
เมื่อทุกอย่างคลี่คลายเธอก็หันมาคุยต่ออย่างออกรสโดยไม่สนใจข้อความนับสิบข้อความที่เด้งเข้ามารัวๆ
คิดว่าทำเมินเฉยเป็นคนเดียวหรือไง!!
ตอนที่ 43 คู่หมั้นสามเดือนต่อมา@บ้านเพชรปกรณ์บ้านทรงไทยประยุกต์สองชั้นหลังใหญ่ผสานไปกับสไตล์โมเดิร์น อย่างลงตัว ผนังข้างนอกตกแต่งด้วยโทนสีขาวสลับกับโทนสีน้ำตาล ให้บรรยากาศที่อบอุ่น บริเวณหน้าบ้านปลูกดอกไม้ประดับที่ออกดอกชูช่ออวดความสวยบานสะพรั่งราวกับต้อนรับแขกผู้มาเยือนในวันสำคัญของลูกสาวเพียงคนเดียวของเจ้าของสวนทุเรียนที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดพิธีหมั้นถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายมีเพียงแขก ญาติและเพื่อนสนิทเท่านั้นแต่งานก็ถูกจัดขึ้นอย่างสมเกรียติ สมหน้าสมตาทั้งสองฝ่าย เมื่อเศรษฐีนีเจ้าของตลาดวัฒนาขนเงิน ขนทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ แหวนเพชรสิบกระรัตและที่ดินมาหมั้นว่าที่สะใภ้ในอนาคตให้กับลูกชายเพียงคนเดียว“ว่าที่คู่หมั้นมาแล้วค่ะ” ตังเมและพราวฟ้าเอ่ยบอกขณะพา รมย์รวินท์อยู่ในชุดเดรสคอวีขาวผ้าชีฟองอัดพลีส ยาวคลุมข้อเท้าเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านกรภัคยกยิ้มให้อย่างอ่อนโยนขณะเดินไปจูงมือคู่หมั้นเดินเข้ามาในห้องรับแขก“วันนี้หนูสวยมาก พี่คิดว่านางฟ้าที่ไหนลงมาเดินเล่น”รมย์รวินท์หลุดหัวเราะออกมาเมื่อเจอคำพูดหวานเลียน ยืนยิ้มหน้าแดงด้วยความเขินอายเมื่อเขาจูบที่แก้มแล้วผละออกอย่างรวมเร็วเพราะกลั
ตอนที่ 42 งอนอยู่นะ“พี่เมฆา พี่เมฆา”“...”“เมฆา”“ครับ คุณเกมส์” เมฆาที่เดินกลับมาถึงโต๊ะทำงานได้ยินเสียงผู้บริหารหนุ่มโวยวายเสียงดังจึงรีบเข้ามาในห้องทำงาน"ไปไหนมา"“ผมปวดหนัก ผมขอโทษนะครับ”เมฆาเอ่ยบอกอย่างสำนึกผิดเมื่อปล่อยเจ้านายสัมภาษณ์งานเลขาคนใหม่เพียงลำพัง“คราวหน้าผมไม่เอาแล้วนะเลขาผู้หญิงอ่า เอาผู้ชายเท่านั้น ผู้ชายเท่านั้นนะพี่”“ครับผม แล้วเธอ...ทำอะไรคุณหรือเปล่าครับ”“ผมเกือบโดนสวบแล้วไหมล่ะ”“อาบน้ำก่อนไหมครับ กลิ่นน้ำหอมเธอแรงมาก ถ้าไปรับคุณกอบัวในสภาพนี้ คุณเกมส์จะโดนโกรธเอาได้นะครับ”“ก็คงโดนอยู่แล้ว เพราะผมต้องเล่าให้เธอฟังทุกเรื่อง”“อนาคตไม่มีโอกาสเป็นพ่อบ้านใจกล้านะครับคุณเกมส์”“ยังไง?”“กลัวเมีย”“เขาเรียกให้เกียรติครับ และที่สำคัญผมไม่พูดโกหก”“ครับๆ” เมฆายกยิ้มให้เจ้านายก่อนจะเดินออกมา อยากจะแซวคนกลัวเมียให้นานกว่านี้ แต่เขายังไม่พร้อมหางานใหม่หลังจากร
ตอนที่ 41 เอาแต่ใจ2 ปีต่อมา@มหาลัยรถอาวดี้คันหรูจอดสนิทข้างตึกคณะวิศวกรรมก่อนจะดึงร่างบางมาสวมกอดแล้วหอมแก้มนุ่มอย่างเช่นทุกวัน“ตั้งใจเรียนนะ เดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับ”“โอเคค่ะ”“พี่เกมส์ก็ตั้งใจทำงานนะคะ” รมย์รวินท์โน้มตัวไปหอมที่แก้มเขากลับคืนแล้วก้าวลงจากรถแต่ถูกเขาดึงไว้อีกครั้ง“คะ พี่เกมส์”“ฝึกงานเมื่อไหร่”“อีกสองเดือนค่ะ”“พี่ว่าหนู...”“ค่อยคุยกันเรื่องนี้ได้ไหมคะพี่เกมส์” รมย์รวินท์เอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อเขาถามเรื่องฝึกงานอีกครั้ง คุยกันทีไรจบด้วยการเถียงกันและงอนกันทุกครั้งไป“โอเคครับ หวังว่าตอนเย็นพี่มารับหนูจะมีคำตอบให้พี่นะ”“รับทราบค่ะ”ฟู่ว!รมย์รวินท์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วเดินไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ในโรงอาหาร“เป็นอะไรกอบัว”“เครียด เรื่องฝึกงาน”“มีปัญหาหรอ เรื่องเกรดหรือติดกิจกรรมล่ะ ไปปรึกษาอาจารย์ไหม เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”
ตอนที่ 40 คบกันนะหลังจากเรื่องราวทุกอย่างเคลียร์จบเรียบร้อย ผมจึงพาเธอกลับมาที่คอนโดเพื่อเปลี่ยนชุด ก่อนจะพามาที่ร้านอาหารบนตึกสูงใจกลางเมืองรมย์รวินท์ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีชมพูพิ้งค์โกลด์สั้นเหนือเข่าเดินเคียงข้างเขาในชุดสูทสีดำไม่ทางการ พอมองไปที่มือนุ่มก็ถูกเขากุมไว้ตลอดเวลาจนเธอต้องสลับมองหน้าเขาด้วยแววตาเป็นประกาย“มองแบบนี้พี่เขินนะ”“ก็พี่หล่อนี่คะ”“ไปเอาความปากหวานมาจากไหนหนอ”“พี่มุกกับพี่ชะเอมเคยบอกไว้ค่ะ ว่าพี่ชอบคนอ้อนๆ”“ไปเชื่อพวกมันสองคน โดยต้มจนเปื่อยแล้วมั้ง”“อ้าวไม่ชอบหรอคะ” รมย์รวินท์เอียงคอถามอย่างน่ารักจนกรภัคหลุดหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเหวอของคนตัวเล็กกว่าแล้วโอบเอวดึงเธอมากอดแนบชิด“ชอบ แต่คนที่อ้อนพี่ ต้องเป็นเราเท่านั้นนะ ถ้าเป็นคนอื่นพี่ไม่ชอบ”“ไม่คุยด้วยแล้ว” รมย์รวินท์หันหน้าหนีซ่อนรอยยิ้ม แต่ลืมไปว่าเป็นกระจกซึ่งเห็นเงาที่สะท้อนออกมาเห็นเขายืนกลั้นขำจนหน้าแดง“อยากยิ้มก็ยิ้ม ไม่ต้องแอบหรอก พอโดนเอาคืนบ้าง ไปไม่เป็นเลยนะเรา”
ตอนที่ 39 คืนเกิดเหตุตึกคณะบริหารจีจี้เดินเล่นโทรศัพท์ลงมาจากตึกในช่วงห้าโมงเย็น ก่อนจะเดินไปนั่งรอคนขับรถที่บ้านมารับ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจอร่างสูงใบหน้าหล่อที่ทำท่าถมึงทึง คนที่เธอพยายามพาตัวเองไปอยู่ใกล้ๆและตามจีบมานานนับเดือน แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธออยากวิ่งหนีไปให้ไกลๆ ถ้ามีวิชาหายตัวได้ก็คงจะดี“หยุดเลยนะจีจี้”“พี่เกมส์” จีจี้พูดเสียงสลดใบหน้าสวยซีดเผือด “จีจี้ขอโทษ”“รู้ไหมว่าสิ่งที่จีจี้ทำมันทำให้พี่วุ่นวายมากแค่ไหน”“แต่หมอบอกว่าพี่ไม่ถึงตายนะคะ แพ้แต่ไม่รุนแรง แล้วจีจี้ก็ไม่ได้ตั้งใจ จีจี้ขอโทษ”“ใครว่าพี่ไม่ตาย”“นี่จีจี้คุยกับวิญญาณพี่หรอคะ ฮือ จีจี้ขอโทษนะคะขนาดตายไปแล้วยังเป็นผีมาหลอกมาหลอนจีจี้อีก” จีจี้ตีโพยตีพายยกมือปิดหน้าปิดตาร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัว แถวนี้ยิ่งไม่มีคนอยู่ด้วย“พี่ยังไม่ตาย แต่ที่บอกตายเพราะพี่ทรมานใจที่จีจี้ก่อเรื่องจนทำให้พี่กับกอบัวผิดใจกันต่างหาก”“อึกฮือ”“จีจี้ตั้งสติก่อน เลิกร
ตอนที่ 38 หวานต่อไม่รอแล้วนะไม่นานรถอาวดี้คันหรูจอดสนิทที่หน้าร้านอาหารริมชายหาด ภายในตกแต่งสไตล์โมเดิร์นกรุกระจกล้อมรอบ และยังมีโซนด้านนอกริมหาดที่ตกแต่งด้วยไฟสีเหลืองนวล และเสียงเพลงจากนักร้องยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรวมช่างโรแมนติก“นั่งตรงไหนดี หืม” กรภัคโอบไหล่คนตัวเล็กแล้วโน้มมาถามด้วยน้ำเสียงเอ็นดู“ตรงโซนริมหาดดีกว่าค่ะ บรรยากาศกำลังดีเลย” สายลมพัดเอื่อยๆพัดกลิ่นอายทะเลขึ้นมาจนทำให้ร่างบางที่หน้าบึ้งตึงยิ้มกว้างออกมา นี่สินะกลิ่นอายทะเลบ้านเกิดที่ไม่ได้สัมผัสมานานหลังจากที่ย้ายไปเรียนในเมืองหลวง“ชอบไหม” ผมเอ่ยถามเสียงนุ่มพร้อมกับเกลี่ยปอยผมที่ปลิวไปตามแรงลมขึ้นทัดหูให้อย่างอ่อนโยน“ชอบมากค่ะ”“เห็นเรายิ้มได้พี่ก็ดีใจแล้ว”“ไม่ได้หลอกว่าอะไรหนูอยู่ใช่ไหมคะ”“เปล๊า ใครจะกล้า แล้วเราอยากกินอะไร สั่งเลยนะ วันนี้ป๋าเลี้ยงไม่อั้น” กรภัคเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเอ็นดูแววตายามมองคนตรงหน้าก็เปี่ยมไปด้วยรัก“จะเอาให้ขนหน้าแข้งป๋าร่วงเลย”“คงยากหน่อยนะ เพราะพี่รวยมาก”“จ้