เดียร์ที่เห็นสภาพเขาแล้วก็รีบลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปพยุงร่างของภูริเอาไว้ อยากจะทิ้งให้เขานอนอยู่ตรงนี้ก็สงสาร
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“พี่ภูพี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้” เสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาคลอเต็มสองตา
“สันดานพี่ก็เป็นแบบนี้แหละ รับได้ไหมล่ะรับไม่ได้ก็เรื่องของเดียร์”
ภูริเหลือบมองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเธอ ก่อนยกยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มที่ไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย แต่กลับเต็มไปด้วยความเฉยชาและเหนื่อยหน่าย
“พี่ภูแล้วเดียร์กับลูกล่ะ”
“พี่ก็ต้องมีเพื่อนมีสังคมบ้างสิจะให้วันๆ เอาแต่อยู่กับเดียร์กับลูกมันก็ไม่ใช่ พี่ก็อยากมีชีวิตส่วนตัวเหมือนกัน”
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของเธอร่างกายสั่นสะท้านราวกับไม่มีแรงประคองเขาอีกต่อไป เธอเบือนหน้าหนีเพราะกลัวว่าถ้าเธอมองนานกว่านี้ น้ำตาที่รอจะพรั่งพรูออกมาจะกลายเป็นเสียงสะอื้นโหยหวน
“ฮึก หรือพี่หมดรักเดียร์แล้ว” เธอถามเสียงแผ่วราวกับจะหลุดออกมาเพียงลมหายใจ
ภูริเงียบไปครู่หนึ่งหันหน้าไปทางอื่น ไม่ได้ตอบอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบและความเจ็บปวดโอบรัดหัวใจของหญิงสาวจนแทบขาดใจ
“ไม่เกี่ยวว่ารักหรือไม่รักหรอก เดียร์ดูตัวเองสิมัวแต่ดูแลคนอื่นจนลืมดูแลตัวเอง แต่งตัวเชยแบบนี้ใครจะกล้าพาไปเจอคนอื่น”
ตอนนั้นหญิงสาวน่ารักตามวัย แต่พอมีลูกเธอทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้หมดลูก จนลืมดูแลตัวเอง
“เดียร์พาไปส่งที่ห้อง”
“ไม่ต้อง! ไม่อยากให้ลูกเห็นสภาพนี้”
หญิงสาวเดินตามหลังเขามาอีกห้อง ภูริทิ้งตัวลงนอนแบบนั้น เดียร์เช็ดน้ำตาพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงเรียนหนัก และเหนื่อยบางทีอาจจะละเลยเธอกับลูกไปบ้าง
“เดียร์ก็ยอมพี่อยู่ดี เพราะรักคำเดียว”
เดียร์ไม่พูดอะไรอีก เธอเพียงกล้ำกลืนก้อนสะอื้นเอาไว้ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วชุบน้ำมาเบาๆ มือสั่นแต่ก็พยายามบิดน้ำออกจนหมาด จากนั้นค่อยๆ เช็ดตามใบหน้าและลำคอของเขาอย่างแผ่วเบา
“อืมม”
“เดียร์เช็ดตัวให้จะได้นอนสบายตัว” เธอพึมพำเสียงเบา ไม่รู้ว่าพูดกับเขาหรือพูดปลอบใจตัวเอง
แต่ในจังหวะที่เธอกำลังจะเช็ดแขนให้ ภูริกลับเอื้อมมือออกมาคว้าข้อมือเล็กๆ ของเธอแน่น จนผ้าหล่นลงกับพื้น เสี้ยววินาทีนั้นร่างบางถูกดึงเข้าไปซุกในอ้อมอกอย่างไม่ทันตั้งตัว
“พะ…พี่ภูริ” เดียร์ตกใจเสียงสั่นพร่าด้วยความไม่ทันตั้งรับ
“ทำเหมือนไม่เคยไปได้”
เขาก้มลงประทับริมฝีปากร้อนแรงลงบนกลีบปากของเธอ จูบหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าที่โชยออกมา เดียร์พยายามผลักไสแต่แรงของเขามากเกินไป ความใกล้ชิดที่เคยโหยหากลับกลายเป็นพันธนาการที่ทำให้เธอเจ็บปวด
เช้าวันใหม่ภูริสะดุ้งเล็กน้อยเพราะรู้สึกหนักแน่นที่อก เขารีบลืมตาขึ้นก็พบว่าคนที่ทับอยู่ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจ้าลูกชายตัวน้อยที่กำลังนอนแผ่หน้าลงบนอกของเขา มือป้อมๆ เกาะเสื้อไว้แน่นราวกับกลัวพ่อจะหายไปไหน
ใบหน้าคมที่เมื่อคืนยังเต็มไปด้วยความเมามายพลันอ่อนโยนลงทันตา ภูริยกยิ้มบางๆ เอื้อมมือขึ้นลูบหัวลูกเบาๆ เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นอีกคนหนึ่ง
“ว่าไงครับคนเก่งของปะป๊า ตื่นเช้าเชียววันนี้นะ”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นหัวเราะคิกๆ ตอบกลับเป็นภาษาของเด็กมือเล็กๆ ตีลงบนหน้าอกพ่ออย่างชอบใจ ภูริหัวเราะตามหยอกล้อลูกด้วยการขยับตัวเบาๆ ทำเสียงเหมือนกำลังเล่นม้า เด็กน้อยยิ่งหัวเราะลั่นเสียงใส
“เดียร์ทำข้าวต้มไว้ให้พี่จะได้หายแฮงค์” เธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อุ้มลูกชายขึ้นมาเพื่อให้เขาไปอาบน้ำแต่งตัว
“ลูกล่ะ”
“หลับไปแล้วค่ะ”
“วันนี้ลูกต้องฉีดวัคซีนหนิ” เขาเพิ่งนึกขึ้นได้กำลังจะลุกขึ้น แต่หญิงสาวก็ห้ามเสียก่อน
“ตอนนี้บ่ายโมงแล้วค่ะ เดียร์พาลูกไปมาแล้ว”
“พี่ขอโทษที่ตื่นไม่ทัน”
“พี่มีคนใหม่แล้วใช่ไหม” เธอสูดลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงแผ่วทว่าเต็มไปด้วยความจริงใจ
“เหลวไหลพี่ไปเรียนไม่ได้ไปหาเมียใหม่” ภูริชะงักมองเธอด้วยแววตาตกใจเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัวช้าๆ
“ถ้ามีเมื่อไหร่ก็ปล่อยเดียร์ไปเถอะนะ พี่จะได้ไม่ต้องลำบากใจ” เธอเม้มปากน้ำตารื้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอหลบสายตาเขาแล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นๆ
“ทำไมพูดแบบนี้ เดียร์พี่ไม่เคยคิดจะมีใครใหม่เลย ไม่เคยเลยสักครั้ง” ภูริวางลูกชายลงเบาๆ หันกลับมามองเธอเต็มตา สายตานั้นจริงจังมากกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเห็น
เสียงทุ้มของเขาสั่นเครือปนดื้อดึง ราวกับอยากให้เธอเชื่อสุดหัวใจ แต่ความเจ็บปวดและรอยร้าวในใจของเดียร์กลับยังไม่หายไปง่ายๆ
“หากการเป็นกำลังใจให้กันมันยากเราก็แยกย้ายกันไปดีกว่า” เธอนอนคิดทบทวนมาทั้งคืนว่าจะพูดเรื่องนี้ดีไหม แต่สุดท้ายก็ต้องพูดมันออกมา
“...”
“พี่ไปคิดดีกว่าว่าที่เราอยู่ด้วยกันตอนนี้เรารักกัน หรือแค่อยู่เพราะความเคยชิน”
“แต่พี่ยังอยากมีเดียร์กับลูกอยู่ในชีวิต”
“การกระทำของพี่มันบอกหมดทุกอย่างแล้ว” เธอลุกออกไป แต่เดินไม่กี่ก้าวกลับถูกเขาสวมกอดจากทางด้านหลังแน่น
“เดียร์เป็นอะไรทำไมถึงพูดแบบนี้” เขาถามเสียงสั่นหลายปีมานี้ชีวิตเขามีแต่เดียร์ หญิงสาวคอยทำทุกอย่างให้โดยที่เขาไม่ต้องร้องขอ
“...”
“โกรธเหรอที่พี่ไปกินเหล้าบ่อยๆ หรือโกรธที่พี่พูดไม่คิด” เขายังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด
“พี่ละเลยเดียร์ไม่ว่า แต่พี่ละเลยลูกได้ยังไง”
“เดียร์โกรธที่พี่ไม่ได้พาลูกไปหาหมอใช่ไหม” เขาถามย้ำอีกรอบ
“พี่ภูให้ความสำคัญกับทุกคนยกเว้นเดียร์กับลูก พี่มองไม่ออกเลยเหรอว่าเพื่อนสาวของพี่เขาคิดยังไง”
“แล้ววนกลับมาเรื่องนี้ทำไมพี่เคยบอกแล้วว่าไม่เคยคิดอะไรกับพริม” พวกเขาเคยทะเลาะกันเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว
“หน้าโซเชียลของพี่มีแต่ผู้หญิงคนนี้แท็กมาคิดว่าเป็นเมียตัวจริงเสียอีก แม้รูปลูกพี่ก็กลัวคนอื่นจะรู้” น้อยใจถึงขั้นสุดเพราะในพื้นที่ของเขาไม่มีแม้รูปลูกชาย
“เดียร์จะให้ความสำคัญทำไมชีวิตจริงสำคัญกว่าไหม” เธอเอ่ยเสียงเรียบ แววตายังแฝงความน้อยใจไม่หาย
“พี่ขอโทษเดียร์ อย่าโกรธพี่เลยนะ” ภูริชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยเสียงเบา แต่หญิงสาวยังคงยืนกอดอก ไม่ตอบรับคำขอโทษ เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงง้ออ้อน
“งั้นพี่พาออกไปกินข้าวข้างนอกดีไหม ไปเปลี่ยนบรรยากาศกัน”
“ลูกยังไม่สบาย จะให้ออกไปยังไง” เดียร์เงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาฉายความกังวล
“พี่สั่งอาหารมากินที่ห้องก็ได้ อะไรก็ได้ที่เดียร์อยากกินนะ หายโกรธพี่เถอะ” ภูรินิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มบางๆ
“ตบหัวแล้วลูบหลัง”
“เมื่อคืนพี่ลูบไปทั้งตัวแล้วนะ”
“พี่ภู!”
“ดีกันนะ นะครับคนดี” เขาชูนิ้วก้อยขึ้นมาส่งยิ้มหวานๆ ให้หญิงสาว พออีกฝ่ายไม่เล่นด้วยเขาจึงจับมือเธอขึ้น และเกี่ยวก้อยเอง
“แบบนี้เรียกขี้โกง”
“ยิ้มแบบนี้หายงอนแล้วใช่ไหม คนนี้พี่จะช่วยเดียร์ดูน้องภูผาเอง”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจที่แน่นตึงค่อยๆ คลายลง หญิงสาวมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้มจางๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
เดียร์มองหน้าภูริด้วยแววตาจริงจัง แม้รอยยิ้มเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย แต่เสียงที่เอ่ยออกมากลับหนักแน่น
“อย่าทำตัวแบบนี้อีกนะ ครั้งหน้าเดียร์จะไม่ทนแล้ว จะพาลูกกลับไปอยู่บ้าน”
คำพูดนั้นทำให้ภูริสะอึกหัวใจร่วงวูบลงไปทันที เขารีบคว้ามือของเธอมากุมไว้แน่น
“เดียร์อย่าพูดแบบนั้นเลยนะ พี่สัญญาพี่จะไม่ทำให้เดียร์เสียใจอีก จะไม่ปล่อยให้เดียร์ต้องน้อยใจหรือร้องไห้ พี่จะพยายามให้มากกว่านี้”
หญิงสาวหลุบตาลง เธอถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ตอบรับคำสัญญานั้นทันที เพียงหันไปมองลูกชายที่ยังหลับสนิทบนเตียงราวกับหาคำตอบจากดวงหน้าน้อยๆ นั้น ภูริเห็นดังนั้นยิ่งกอดมือเธอแน่นขึ้นพลางกระซิบย้ำ
“พี่สัญญา”
ภูริยืนตรงหน้าเดียร์มองดวงตาเขาที่เย็นชาและว่างเปล่า น้ำเสียงเรียบแต่ชัดเจนตอกย้ำราวกับมีดกรีดลงกลางใจ“เดียร์พี่หมดรักแล้ว พี่คิดว่าควรให้เราทั้งสองคนเลิกกันเถอะ” เขาตัดสินใจพูดออกมาไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่เขาเหนื่อยเกินไป ยิ่งใกล้กันยิ่งทะเลาะกันมากขึ้นคำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจเดียร์ตัวแข็งค้าง รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงตรงหน้า“เดียร์ไม่ยอม เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย พี่อย่าทิ้งเดียร์นะเราแก้ปัญหาด้วยกันได้” เธอร้องเสียงสั่น พุ่งเข้าไปยึดแขนเขาแน่น“พี่บอกแล้วไง ว่าความรักของพี่มันเปลี่ยนไปแล้วเดียร์ไม่เข้าใจหรอก ถ้าเราอยู่ต่อไปทั้งคู่ก็จะเจ็บมากกว่านี้” เขาถอนหายใจหนักๆ มองเธอด้วยสายตาที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน“ไม่เอาอย่าทิ้งเดียร์ เดียร์ยังรักพี่! พี่ต้องรักเดียร์เหมือนเดิมสิ ฮือ~” น้ำตาไหลพราก เธอพยายามเกาะแขนเขาแน่นขึ้นร้องไห้สะอื้น“พี่ยอมกราบก็ได้แค่เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป เพราะหัวใจดวงนี้ไม่มีเดียร์อยู่ในนั้นอีกแล้ว”หญิงสาวชะงักเธออยากจะก้าวเข้าไปกอดเขา แต่ทุกคำพูดเหมือนตรึงขาเธอไว้กับพื้น น้ำตาคลอเบ้าน้ำเสียงสั่นเครือ“พี่ยอมกราบเดียร์เพื่อให้เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป แต่พี่ยัง
“ไหนว่าพี่ภูมาทำรายงานแล้วนี่อะไร!” เดียร์ตะโกนออกไปทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง หันมามองหญิงสาว “มาได้ยังไง” เขาถามด้วยความตกใจที่เดียร์มาที่นี่ถูก “พี่ทำแบบนี้กับเดียร์ได้ยังไง” เธอถามเสียงสั่นทั้งเสียใจและโกรธเขามาก จนแวบหนึ่งความรู้สึกของเธอบอกให้พอตั้งแต่ตอนนี้ “เดียร์ใจเย็นก่อนสิ” เพื่อนที่อยู่ในห้องต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมากว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครแล้วทำไมภูริถึงได้มีท่าทีที่แปลกไป แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ทำเพียงแค่ใส่ใจกันแบบเงียบๆ “จะให้ใจเย็นได้ยังไง!” รอบนี้เดียร์โกรธจนเริ่มไม่มีสติ ความอดทนทั้งหมดขาดสะบั้นลงทันที “ตั้งสติหน่อยออกมาคุยกันด้านนอก” พี่กลัวใครรู้เหรอว่าพี่มีเมียมีลูกแล้ว หรือกลัวใครจะเสียใจ” “ภูพริมว่ากลับไปคุยกันดีๆ ดีกว่า” พีรญาลุกขึ้นมาห้ามทั้งสอง ไม่อยากให้คนอื่นมองภูริไม่ดี เพี๊ยะ!เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังลั่นจนคนรอบข้างหันมอง พีรญาเซไปเล็กน้อยมือกุมแก้ม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ“เดียร์ทำบ้าอะไรของเธอ” เพื่อนต่างพากันอึ้งที่พีรญาโดนตบ“นี่พี่ไปทำอะไรให้” พีรญาถามเสียงสั่น แววตาเต็มไปด้วยค
หลายวันมานี่ภูริกับเดียร์ไม่ค่อยทะเลาะกัน ช่วงนี้ชายหนุ่มอยู่แต่บ้านช่วยเธอเลี้ยงลูก จนทำให้เธอเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในตัวเขามากขึ้น “เดียร์” “พี่ภูจะเอาอะไรคะ” “คือเย็นนี้พี่ต้องไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน” “จะกินเหล้ากันอีกหรือเปล่า” ทุกครั้งที่เขากลับมามักจะมีกลิ่นเหล้าติดมาตลอด แรกๆ ทะเลาะกันบ้านแทบแตก แต่ตอนนี้เธอเหนื่อยจะพูดเลยปล่อยเขา “อาจจะมีบ้างแต่ไม่ได้ออกไปผับ” เขาบอกตามความจริง ช่วงนี้เขาติดเพื่อนและชอบออกเที่ยวผับตามประสาวัยของเขา “ค่ะ อย่ากลับดึกนะ” เธออนุญาตเพราะรู้ดีว่าห้ามเขาไม่ได้อยู่แล้ว “ขอบคุณนะที่เข้าใจ” “ทำรายงานที่บ้านใครคะ?” เธอหันมาถามเขา เพื่อนของชายหนุ่มเธอไม่เคยเจอหน้า แต่พอจะรู้จักชื่อบ้าง “ก็มีไอ้สิงห์ไอ้เต” “ดูแลตัวเองตัวนะ” เธอยอมรับว่าไม่ค่อยไว้ใจภูริ เพราะการกระทำที่ผ่านมาของเขา ถ้ามัวแต่ระแวงกันอยู่แบบนี้ชีวิตของเธอคงไม่มีความสุข“ขอบคุณนะเดียร์พี่สัญญา จะรีบทำให้เสร็จแล้วรีบกลับไม่ดึกแน่นอน” ใบหน้าของภูริก็ผ่อนคลายราวกับยกภูเขาออกจากอก เขารีบยกมือขึ้นประคองแก้มเธอเบาๆ
เดียร์ที่เห็นสภาพเขาแล้วก็รีบลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปพยุงร่างของภูริเอาไว้ อยากจะทิ้งให้เขานอนอยู่ตรงนี้ก็สงสาร“ไม่ต้องมายุ่ง”“พี่ภูพี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้” เสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาคลอเต็มสองตา“สันดานพี่ก็เป็นแบบนี้แหละ รับได้ไหมล่ะรับไม่ได้ก็เรื่องของเดียร์”ภูริเหลือบมองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเธอ ก่อนยกยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มที่ไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย แต่กลับเต็มไปด้วยความเฉยชาและเหนื่อยหน่าย“พี่ภูแล้วเดียร์กับลูกล่ะ”“พี่ก็ต้องมีเพื่อนมีสังคมบ้างสิจะให้วันๆ เอาแต่อยู่กับเดียร์กับลูกมันก็ไม่ใช่ พี่ก็อยากมีชีวิตส่วนตัวเหมือนกัน”คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของเธอร่างกายสั่นสะท้านราวกับไม่มีแรงประคองเขาอีกต่อไป เธอเบือนหน้าหนีเพราะกลัวว่าถ้าเธอมองนานกว่านี้ น้ำตาที่รอจะพรั่งพรูออกมาจะกลายเป็นเสียงสะอื้นโหยหวน“ฮึก หรือพี่หมดรักเดียร์แล้ว” เธอถามเสียงแผ่วราวกับจะหลุดออกมาเพียงลมหายใจภูริเงียบไปครู่หนึ่งหันหน้าไปทางอื่น ไม่ได้ตอบอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบและความเจ็บปวดโอบรัดหัวใจของหญิงสาวจนแทบขาดใจ“ไม่เกี่ยวว่ารักหรือไม่รักหรอก เดียร์ดูตัวเองสิมัวแต่ดูแลคนอื่นจ
เกือบสว่างภูริโซซัดโซเซกลับเข้ามาในคอนโด กลิ่นเหล้ายังคละคลุ้งติดตามเสื้อผ้า เขาวางกระเป๋าแล้วหันไปมองบนเตียงในห้องนอนเล็กๆ เห็นลูกชายตัวน้อยนอนดิ้นไปมามือเล็กๆ ฟาดอากาศ ก่อนที่ดวงตากลมใสจะลืมขึ้น“อือ…”น้องภูผาส่งเสียงครางเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้เขา ยิ้มเล็กๆ ที่ทำให้หัวใจภูริสะดุดไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่ไร้เดียงสานั้นเหมือนจะปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าและความผิดทั้งหมดที่เขาแบกไว้เขาเหลือบมองไปทางเดียร์ที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวบอกชัดว่าเธอเหนื่อยมากเพียงใด ภูริอุ้มลูกชายออกมาที่ห้องโถงวางตัวเล็กไว้บนตัก มือใหญ่ลูบแก้มกลมใสเบาๆ“ไงครับคนเก่ง ตื่นมาหาปะป๊าเหรอ หืมมม”น้องภูผาหัวเราะคิกคัก มือเล็กคว้าจมูกของเขาอย่างซุกซน เสียงหัวเราะเล็กๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของยามเช้าภูริยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาก้มลงหอมแก้มลูกซ้ายทีขวาที“ปะป๊าขอโทษนะครับ ที่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยต่อไปปะป๊าจะพยายามนะ” เสียงกระซิบเบาๆ ราวกับคำสัญญาที่เขายังไม่รู้เลยว่าจะรักษาได้หรือไม่เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของน้องภูผาดังพอจะปลุกเดียร์ให้สะลึมสะลือตื่น เธอค่อยๆ ลุกขึ้น เดินออกมาที่ห้องโถง ภาพที่เห็นคือภูร
น้องภูผาลืมตาตื่นดวงตากลมโตสดใสไร้ไข้ ริมฝีปากเล็กๆ ยกยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันน้อยๆ พลางส่งเสียงอย่างร่าเริง มือเล็กๆ ตบผ้าห่มไปมาอย่างตื่นเต้น “อือๆ บ๊ะๆ”“ไข้ลดแล้วยิ้มใหญ่เลยนะลูกของแม่ เก่งที่สุดเลย” เธอโล่งใจ เธอก้มลงกอดลูกน้อยแนบอกแล้วหัวเราะเบาๆน้องภูผาหัวเราะคิก เสียงใสแจ๋วสะท้อนก้องไปทั่วห้องราวกับดนตรีที่กล่อมใจให้แม่หายเหนื่อย ความร่าเริงของเขาทำให้หญิงสาวลืมความเหนื่อยที่ต้องอดหลับอดนอนมาหลายวันในพริบตาตอนนี้ลูกชายวัยแปดเดือนของเธอไม่ใช่เด็กตัวน้อยที่เอาแต่นอนอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เริ่มส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้วตอบโต้ และใช้รอยยิ้มเป็นภาษาที่เติมเต็มหัวใจแม่ได้อย่างสมบูรณ์ เดียร์กดจมูกหอมแก้มกลมๆ ของลูกฟอดใหญ่“ลูกตื่นแล้วเหรอ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นเขาเพิ่งกลับมาถึงตอนเช้าหลังจากที่เมื่อคืนทะเลาะกันอย่างหนัก“มองไม่เห็นเหรอ” เธอไม่ยอมมองหน้าเขา โกรธที่เขาทิ้งเธอกับลูกไว้ตามลำพัง แถมยังพูดจาไม่น่ารัก“เดียร์พี่ขอโทษเมื่อคืนพี่เมาไปหน่อยเลยพูดอะไรออกไปแบบนั้น” เขายอมลดทิฐิลง ภูริจับต้นแขนเธอไว้แน่น แต่เสียงลูกชายร้องไห้ดังขัดจังหวะเสียก่อน“ปล่อย เดียร์จะไปดูลูก” น้ำเ