คบกันมาตั้งแต่เด็ก จนวันหนึ่งพลาดพลั้งและกลายเป็นคุณแม่วัยใส ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูลูก ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตตามวัย มีสังคม มีทางของตัวเอง ทำหน้าที่ตัวเองไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเราหมดรักกันตั้งแต่ตอนไหน? เขาและเธอเคยรักกันด้วยหัวใจบริสุทธิ์ พลาดพลั้งจนมีลูกด้วยกัน แต่เธอกลับยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูลูก... ส่วนเขาเลือกเดินเข้าหาสังคมใหม่ๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยที่เปลี่ยนเขาไปจนหมด เมื่อรักไม่เหมือนเดิม เขาเอ่ยคำเลิกราวกับไม่เคยรักกันมาก่อน ทิ้งเธอและลูกชายไว้เบื้องหลังโดยไม่หันกลับมาเหลียวแล “พี่ยอมกราบก็ได้แค่เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป เพราะหัวใจดวงนี้ไม่มีเดียร์อยู่ในนั้นอีกแล้ว” “พี่ยอมกราบเดียร์ เพื่อให้เดียร์ยอมปล่อยพี่ไปพี่ไม่คิดถึงวันที่เข้ามาจีบเดียร์เลยเหรอ” “พี่หมดรักเดียร์แล้ว”
View Moreเอวารินทร์นอนนิ่งอยู่บนเตียงผ้าห่มผืนเก่าห่มอยู่เหนือไหล่บาง ร่างสูงของภูริยังคงอยู่ข้างเธอแขนแกร่งกอดเอวเธอไว้หลวมๆ ราวกับไม่อยากให้เธอหายไปไหน
หัวใจของเดียร์เต้นแผ่วในอกความอุ่นจากร่างกายเขายังอยู่ แต่ความเป็นจริงกลับเย็นชาเกินกว่าจะลืมได้ เธอเป็นแค่ลูกคนใช้ในบ้านของเขา
และเขาจิณณ์ภูริคือคุณชายคนโตและคนเดียวของคฤหาสน์หลังนั้น
“พี่ภูริ” เธอเอ่ยเรียกเสียงเบาขณะที่มือเล็กแตะเบาๆ ที่แขนเขา
“อืม” เขาครางในลำคอ ไม่ยอมลืมตามือยังรั้งเอวเธอไว้แน่นขึ้นอีกนิด
“ใกล้จะตีสี่แล้ว”
ภูริลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความง่วงงัน แต่ลึกๆ แล้วมีแววไม่พอใจฉายชัด เขาขยับตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง มองหน้าเธอที่หลบสายตาเขาด้วยความสับสน
“เดียร์เราต้องแอบแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?” เขาถามเสียงต่ำ
เธอไม่ตอบทันทีดวงตาคู่นั้นวูบไหว เธออยากพูดว่าก็จนกว่าคนในบ้านของเขาจะยอมรับเธอ จนกว่าเธอจะไม่ใช่ ลูกคนใช้ที่ถูกมองว่าไม่คู่ควร แต่คำพูดพวกนั้นกลับติดอยู่ที่ลำคอ
“จนกว่าจะถึงวันที่มันไม่ควรเป็นความลับอีกต่อไป” เธอพูดเพียงเท่านั้น
“2 ปีแล้วเดียร์เราคบกันมา 2 ปีแล้วพี่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนว่าตัวเองเป็นชู้”
ภูริสบตาเธอเนิ่นนานเขาอยากจะพูด อยากจะดึงเธอมากอดไว้แน่นๆ แล้วบอกว่าเขาไม่สนใครทั้งนั้น แต่อย่างที่เธอว่ามันยังไม่ถึงวันนั้น
สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อตัวนอกขึ้นมาใส่
“ไว้คืนนี้พี่จะแอบกลับมาอีก”
“เดียร์มีอ่านหนังสือ” เธอส่ายหน้าแต่ก็อดยิ้มบางๆ ไม่ได้ ดวงตาของเขาเวลามองเธอไม่เคยหลอกลวง
“เดี๋ยวมาช่วยติว”
“เดียร์อย่าลืมนะ ไม่ว่าใครจะมองเดียร์เป็นแบบไหนสำหรับพี่เธอคือคนที่มีค่าที่สุด” เขาก้าวไปที่ประตูก่อนจะหันกลับมามองอีกครั้ง
ประตูปิดลงเบาๆ เหลือเพียงเดียร์ที่นอนนิ่งอยู่ในห้อง ความอบอุ่นจากเขายังไม่ทันจางหาย แต่ความเป็นจริงก็รีบมาเยือนอย่างรวดเร็ว
ที่ต้องหลบซ่อนๆ เพราะหญิงสาวเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี ส่วนเขาอายุสิบเก้า เราท้องสองคนแอบคนกันมาตั้งแต่ช่วงอายุสิบห้า ซึ่งเธอยังเด็กและไม่คู่ควรกับเขา
ภูริเป็นคนน่ารักเขามักเข้าหาเธอและคอยสอนการบ้านทุกครั้ง จนทั้งสองพัฒนาความสัมพันธ์เป็นคนรักกันแรกๆ ก็อยู่ห่างกันได้แต่หลังๆ ภูริเริ่มตามติดชีวิตของเธอมากขึ้น
หลังจากภูริกลับไปเดียร์ก็พยายามข่มตาหลับอีกครั้ง แต่เปล่าประโยชน์สมองของเธอเต็มไปด้วยความคิดยุ่งเหยิง ตั้งแต่สายตาของเขายามพูดคำว่าคนที่มีค่าที่สุดไปจนถึงความรู้สึกหนักอึ้งในอกที่เธอไม่อาจอธิบาย
ไม่นานความรู้สึกคลื่นไส้ก็จู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวเธอรีบลุกพรวดจากเตียง วิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทันเสียงอาเจียนดังสะท้อนอยู่ในห้องเล็กๆ พร้อมกับหยดน้ำตาที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะปล่อย
เธอก้มหน้าลงพิงกับขอบอ่าง ลมหายใจหอบถี่ฝ่ามือสั่นเทา กำแน่นแนบหน้าท้องตัวเองอย่างอัตโนมัติ ก่อนจะฝืนหัวเราะให้กับเงาของตัวเองในกระจก
"สงสัยเครียดเรื่องสอบเกินไป" เธอพึมพำเสียงแผ่ว เหมือนพยายามบอกตัวเองให้เชื่อเช่นนั้น
เธอเป็นนักเรียนทุนต้องทำคะแนนดีถึงจะรักษาสถานภาพนั้นไว้ได้ และใช่มันก็มีเหตุให้เครียดพอสมควร แต่อาการแบบนี้มันเกิดขึ้นมาเกือบทุกเช้าในช่วงหลัง
ภูรินั่งมองใบหน้าแสนหวานที่ทำให้เขาหลงใหลจนหาทางไม่เจอ เดียร์ผู้มีดวงตากลมโตใบหน้าน่ารักราวกับตุ๊กตา ทรวดทรงอกเอวไม่ต้องพูดถึงเพราะเขาสัมผัสมาหมดแล้ว
“อุ้ย พี่ภูเดียร์กำลังดูดฝุ่นอยู่” เธอหดลำคอหนีสัมผัสของเขา ตอนนี้มือของเขาเริ่มลูบไล้ต้นขาของเธอ
“ตอนเช้าไม่มีธุระต้องไปไหน เบบี๋~” น้ำเสียงเขาแหบพร่าพยายามบอกความต้องการของตัวเอง เขาหลอกให้หญิงสาวขึ้นมาทำความสะอาดห้องนอนของเขา
“อ๊ะ เดี๋ยวมีคนมาเห็น”
“เจ้ดีนี่ไม่อยู่ป๊าไม่อยู่คุณปู่ก็ไม่อยู่” เขารู้ว่าคนตัวเล็กกำลังหาข้ออ้างเพื่อหวังเอาตัวรอด
“แต่เมื่อคืนก็...ก็” เธอไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ
“ก็อะไรพูดให้จบสิ” เขาดันตัวเดียร์มานั่งบนตักแกร่งของเขา ปลายคางวางไว้ตรงบ่าของหญิงสาวพอดี
“เราเพิ่งจะนอนด้วยกันมาเองนะ”
“เมื่อคืนส่วนเมื่อคืนสิครับ ตอนเช้าก็ต้องนับรอบใหม่”
“แต่เดียร์ต้องลงไปช่วยแม่” เธอหาข้ออ้างเพราะไม่อยากให้เขาทำอะไรแบบนั้น กลัวว่าจะมีคนว่ากินบนเรือนขี้บนหลังคา
“ครึ่งชั่วโมง” เขาล้วงมือเข้าไปในเสื้อของเธอ ปลดตะขอบราเชียร์อย่างชำนาญ มือหนากอบกุมทรวงอกที่ใหญ่เกินตัวของเดียร์
“อ๊ะ อื้อ” เธอบิดตัวไปมาเมื่อเขาสะกิดหยอกล้อกับยอดถันเบาๆ ร่างกายเธอเกร็งไปทั้งตัวลมหายใจเริ่มติดขัด
“ถอดชุดถ้าช้าจะไม่ใช่แค่ครึ่งชั่วโมง”
“ใจร้าย”
เดียร์รีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกถึงแม้จะเปลือยกายต่อหน้าเขาหลายครั้งแล้ว แต่ยังเขินอายกับสายตาที่หื่นกระหายของเขา
“อ๊ะ อื้อ เดียร์เจ็บ”
“ซี๊ดดด...อ๊าาา...โทษทีต้องทำเวลาเดี๋ยววันหลังจะเลียให้ถึงเท้าเลย” เขากดเอ็นร้อนเข้าหาร่องเยิ้ม ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความคับแน่นที่บีบรัดตัวตนของเขา ปากหนาดูดเลียยอดยันและประทับตีตราแสดงความเป็นเจ้าของ
เดียร์กอดเขาไว้แน่นยามที่เขาถาโถมเข้ามา เนื้อแนบเนื้อแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น ทำให้ภูริมีความสุขปากหนาครางกระเส่าพร้อมกับพร่ำเพ้อบอกรักเดียร์
“พี่รักเดียร์นะ”
“อื้ออ...” เธอไม่มีโอกาสพูดบอกรักเขาเพราะลิ้นหนาแทรกเข้ามาหยอกล้อในโพรงปาก เขากระแทกท่อนเอ็นเข้าออกตามแรงอารมณ์
ก่อนจะปลดปล่อยน้ำกามฉีดพ่นเข้าไปในร่องสวาท เขาไม่ยอมดึงออก ในท้องน้อยของเธอเหมือนผีเสื้อโบยบินเมื่อหายเหนื่อยจึงหันไปต่อว่าเขา เหมือนทุกครั้งที่เขาทำ
“อื้อ พี่ภูไม่ใส่ถุง”
“เดี๋ยวซื้อยาคุมให้ มันฟินเอาออกไม่ทัน” เขาไม่คิดจะดึงออกต่างหาก
“เดียร์ไปล้างก่อนจะลงไปด้านล่างแล้ว” ครั้งนี้เขาไม่รั้งเดียร์จึงรีบเข้าไปล้างตัวและรีบลงมาช่วยแม่ทำงาน ในช่วงวันหยุดเธอไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน แต่จะมีบางวันที่แอบออกไปเที่ยวกับภูริสองต่อสอง
“เดียร์เอาผลไม้ยกไปให้นายน้อยหน่อย”
“แล้วทำไมไม่ยกขึ้นไปเอง”
“เป็นเด็กเป็นเล็กใช้อะไรให้มันขยันหน่อย” ดาทองมองใบหน้าลูกสาว ช่วงนี้รู้สึกขี้เกียจใช้อะไรไม่เคยได้
“ไปก็ได้จ้ะ” ที่ไม่อยากขึ้นไปเพราะกลัวว่าจะถูกเขาจับกินอีกต่างหาก อยู่กันสองต่อสองทีไรเป็นเธอที่ต้องเสียเปรียบเชา
“เดียร์หน้าอกไปโดนอะไรมาแดงเชียว” น้ำอ้อยทักทายสาวรุ่นน้อง
“เอ่อ โดนมดกัดจ้ะเดียร์ไปก่อน” เธอรีบยกผลไม้ขึ้นไปให้เขาที่ชั้นบน ไม่ได้แต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะลงมาหน้าอกของเธอไม่มีที่ว่างให้เขาทำรอยแล้ว
ภูรินั่งเล่นเกมด้วยใบหน้าเคร่งเครียดชีวิตแบบคนรวยแบบเขาไม่ต้องทำอะไร แค่นั่งๆ นอนก็มีกินมีใช้ไปถึงชาติหน้าด้วยความที่เป็นลูกคนเล็กคนในบ้านจึงเอาใจเขา
“ไปผับป่ะมีสาวๆ ไปด้วยเยอะเลย”
“กูไม่ว่าง”
“ไอ้ภูมึงทำตัวเหมือนมีเมียเลย ไหนบอกโสดว่ะ”
“ก็โสด” แต่มีเมียพวงท้ายมาด้วย เพื่อนในมหาลัยไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาคบกับเดียร์ แต่เขาก็ไม่คิดจะมีคนใหม่เพราะในหัวใจก็มีแค่เดียร์คนเดียวและเป็นแบบนี้มาตลอดสองปี
“จะพาไปตีหรี่เสียหน่อยแม่ง”
“พักบ้างมึงไปทุกคืนเลย”
“พริมโคตรแจ่มเลยทำไมมึงไม่รักเขาว่ะ” เตชินบ่นเพราะภูริมีแต่สาวๆ วิ่งเข้าหาแต่อีกฝ่ายไม่สนใจใคร
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“แค่นี้ก่อน” ภูริรีบว่างสายกลัวว่าจะมีคนเข้ามาได้ยินในสิ่งที่พูดเขาพูด พอเดินไปเปิดประตูเห็นเดียร์ยืนนิ่งในมือมีผลไม้
“แม่ให้เอามาให้” เธอรีบยัดใส่มือเขาและหันหลังเดินออกไป เพราะได้ยินในสิ่งที่เขาคุยกับเพื่อนในมหาลัยคงจะมีสาวสวยที่เข้าหาเขา กลัวเหลือเกินว่าเขาจะเจอคนที่ถูกใจและทิ้งเธอไป
“เพื่อนแค่พูดเล่นพริมแค่เพื่อนในกลุ่ม” เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด
“เดียร์เข้าใจค่ะ” สังคมของเขาคงจะมีแต่คนรวยและสาวสวยเข้าหาเพราะภูริเป็นคนหน้าตาดี แถมชาติตระกูลฐานะทางสังคมถือว่าดีมาก
“อย่างอนสิบ่ายนี้เดี๋ยวพาออกไปเดินห้างเย็นค่อยกลับ”
ด้วยความที่ภูริและเดียร์แอบคบหากันเป็นความลับ ทำให้ไม่มีใครในครอบครัวรับรู้ถึงความสัมพันธ์นี้เลย
ภูริมักจะพาเดียร์ออกไปเที่ยวด้วยกันอยู่เสมอ และเพราะความรักที่เธอมีให้เขามากเหลือเกิน เดียร์จึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะต้องยืนยาวเธอเชื่อเช่นนั้นมาตลอด
ตลอดสองปีที่ผ่านมาภูริยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีท่าทีว่าเขาจะรักเธอน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งคู่เก็บความสัมพันธ์นี้ไว้อย่างแนบเนียน ไม่มีใครเคยจับพิรุธหรือสังเกตเห็นว่าระหว่างเจ้านายกับลูกน้องคู่นี้ มีบางอย่างพิเศษซ่อนอยู่
แม้แต่ดีนี่พี่สาวของภูริ ที่สนิทกับเดียร์มากและชอบใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ก็ยังไม่เคยเฉลียวใจเลยสักครั้ง
ภูริยืนตรงหน้าเดียร์มองดวงตาเขาที่เย็นชาและว่างเปล่า น้ำเสียงเรียบแต่ชัดเจนตอกย้ำราวกับมีดกรีดลงกลางใจ“เดียร์พี่หมดรักแล้ว พี่คิดว่าควรให้เราทั้งสองคนเลิกกันเถอะ” เขาตัดสินใจพูดออกมาไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่เขาเหนื่อยเกินไป ยิ่งใกล้กันยิ่งทะเลาะกันมากขึ้นคำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจเดียร์ตัวแข็งค้าง รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงตรงหน้า“เดียร์ไม่ยอม เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย พี่อย่าทิ้งเดียร์นะเราแก้ปัญหาด้วยกันได้” เธอร้องเสียงสั่น พุ่งเข้าไปยึดแขนเขาแน่น“พี่บอกแล้วไง ว่าความรักของพี่มันเปลี่ยนไปแล้วเดียร์ไม่เข้าใจหรอก ถ้าเราอยู่ต่อไปทั้งคู่ก็จะเจ็บมากกว่านี้” เขาถอนหายใจหนักๆ มองเธอด้วยสายตาที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน“ไม่เอาอย่าทิ้งเดียร์ เดียร์ยังรักพี่! พี่ต้องรักเดียร์เหมือนเดิมสิ ฮือ~” น้ำตาไหลพราก เธอพยายามเกาะแขนเขาแน่นขึ้นร้องไห้สะอื้น“พี่ยอมกราบก็ได้แค่เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป เพราะหัวใจดวงนี้ไม่มีเดียร์อยู่ในนั้นอีกแล้ว”หญิงสาวชะงักเธออยากจะก้าวเข้าไปกอดเขา แต่ทุกคำพูดเหมือนตรึงขาเธอไว้กับพื้น น้ำตาคลอเบ้าน้ำเสียงสั่นเครือ“พี่ยอมกราบเดียร์เพื่อให้เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป แต่พี่ยัง
“ไหนว่าพี่ภูมาทำรายงานแล้วนี่อะไร!” เดียร์ตะโกนออกไปทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง หันมามองหญิงสาว “มาได้ยังไง” เขาถามด้วยความตกใจที่เดียร์มาที่นี่ถูก “พี่ทำแบบนี้กับเดียร์ได้ยังไง” เธอถามเสียงสั่นทั้งเสียใจและโกรธเขามาก จนแวบหนึ่งความรู้สึกของเธอบอกให้พอตั้งแต่ตอนนี้ “เดียร์ใจเย็นก่อนสิ” เพื่อนที่อยู่ในห้องต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมากว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครแล้วทำไมภูริถึงได้มีท่าทีที่แปลกไป แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ทำเพียงแค่ใส่ใจกันแบบเงียบๆ “จะให้ใจเย็นได้ยังไง!” รอบนี้เดียร์โกรธจนเริ่มไม่มีสติ ความอดทนทั้งหมดขาดสะบั้นลงทันที “ตั้งสติหน่อยออกมาคุยกันด้านนอก” พี่กลัวใครรู้เหรอว่าพี่มีเมียมีลูกแล้ว หรือกลัวใครจะเสียใจ” “ภูพริมว่ากลับไปคุยกันดีๆ ดีกว่า” พีรญาลุกขึ้นมาห้ามทั้งสอง ไม่อยากให้คนอื่นมองภูริไม่ดี เพี๊ยะ!เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังลั่นจนคนรอบข้างหันมอง พีรญาเซไปเล็กน้อยมือกุมแก้ม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ“เดียร์ทำบ้าอะไรของเธอ” เพื่อนต่างพากันอึ้งที่พีรญาโดนตบ“นี่พี่ไปทำอะไรให้” พีรญาถามเสียงสั่น แววตาเต็มไปด้วยค
หลายวันมานี่ภูริกับเดียร์ไม่ค่อยทะเลาะกัน ช่วงนี้ชายหนุ่มอยู่แต่บ้านช่วยเธอเลี้ยงลูก จนทำให้เธอเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในตัวเขามากขึ้น “เดียร์” “พี่ภูจะเอาอะไรคะ” “คือเย็นนี้พี่ต้องไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน” “จะกินเหล้ากันอีกหรือเปล่า” ทุกครั้งที่เขากลับมามักจะมีกลิ่นเหล้าติดมาตลอด แรกๆ ทะเลาะกันบ้านแทบแตก แต่ตอนนี้เธอเหนื่อยจะพูดเลยปล่อยเขา “อาจจะมีบ้างแต่ไม่ได้ออกไปผับ” เขาบอกตามความจริง ช่วงนี้เขาติดเพื่อนและชอบออกเที่ยวผับตามประสาวัยของเขา “ค่ะ อย่ากลับดึกนะ” เธออนุญาตเพราะรู้ดีว่าห้ามเขาไม่ได้อยู่แล้ว “ขอบคุณนะที่เข้าใจ” “ทำรายงานที่บ้านใครคะ?” เธอหันมาถามเขา เพื่อนของชายหนุ่มเธอไม่เคยเจอหน้า แต่พอจะรู้จักชื่อบ้าง “ก็มีไอ้สิงห์ไอ้เต” “ดูแลตัวเองตัวนะ” เธอยอมรับว่าไม่ค่อยไว้ใจภูริ เพราะการกระทำที่ผ่านมาของเขา ถ้ามัวแต่ระแวงกันอยู่แบบนี้ชีวิตของเธอคงไม่มีความสุข“ขอบคุณนะเดียร์พี่สัญญา จะรีบทำให้เสร็จแล้วรีบกลับไม่ดึกแน่นอน” ใบหน้าของภูริก็ผ่อนคลายราวกับยกภูเขาออกจากอก เขารีบยกมือขึ้นประคองแก้มเธอเบาๆ
เดียร์ที่เห็นสภาพเขาแล้วก็รีบลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปพยุงร่างของภูริเอาไว้ อยากจะทิ้งให้เขานอนอยู่ตรงนี้ก็สงสาร“ไม่ต้องมายุ่ง”“พี่ภูพี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้” เสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาคลอเต็มสองตา“สันดานพี่ก็เป็นแบบนี้แหละ รับได้ไหมล่ะรับไม่ได้ก็เรื่องของเดียร์”ภูริเหลือบมองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเธอ ก่อนยกยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มที่ไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย แต่กลับเต็มไปด้วยความเฉยชาและเหนื่อยหน่าย“พี่ภูแล้วเดียร์กับลูกล่ะ”“พี่ก็ต้องมีเพื่อนมีสังคมบ้างสิจะให้วันๆ เอาแต่อยู่กับเดียร์กับลูกมันก็ไม่ใช่ พี่ก็อยากมีชีวิตส่วนตัวเหมือนกัน”คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของเธอร่างกายสั่นสะท้านราวกับไม่มีแรงประคองเขาอีกต่อไป เธอเบือนหน้าหนีเพราะกลัวว่าถ้าเธอมองนานกว่านี้ น้ำตาที่รอจะพรั่งพรูออกมาจะกลายเป็นเสียงสะอื้นโหยหวน“ฮึก หรือพี่หมดรักเดียร์แล้ว” เธอถามเสียงแผ่วราวกับจะหลุดออกมาเพียงลมหายใจภูริเงียบไปครู่หนึ่งหันหน้าไปทางอื่น ไม่ได้ตอบอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบและความเจ็บปวดโอบรัดหัวใจของหญิงสาวจนแทบขาดใจ“ไม่เกี่ยวว่ารักหรือไม่รักหรอก เดียร์ดูตัวเองสิมัวแต่ดูแลคนอื่นจ
เกือบสว่างภูริโซซัดโซเซกลับเข้ามาในคอนโด กลิ่นเหล้ายังคละคลุ้งติดตามเสื้อผ้า เขาวางกระเป๋าแล้วหันไปมองบนเตียงในห้องนอนเล็กๆ เห็นลูกชายตัวน้อยนอนดิ้นไปมามือเล็กๆ ฟาดอากาศ ก่อนที่ดวงตากลมใสจะลืมขึ้น“อือ…”น้องภูผาส่งเสียงครางเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้เขา ยิ้มเล็กๆ ที่ทำให้หัวใจภูริสะดุดไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่ไร้เดียงสานั้นเหมือนจะปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าและความผิดทั้งหมดที่เขาแบกไว้เขาเหลือบมองไปทางเดียร์ที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวบอกชัดว่าเธอเหนื่อยมากเพียงใด ภูริอุ้มลูกชายออกมาที่ห้องโถงวางตัวเล็กไว้บนตัก มือใหญ่ลูบแก้มกลมใสเบาๆ“ไงครับคนเก่ง ตื่นมาหาปะป๊าเหรอ หืมมม”น้องภูผาหัวเราะคิกคัก มือเล็กคว้าจมูกของเขาอย่างซุกซน เสียงหัวเราะเล็กๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของยามเช้าภูริยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาก้มลงหอมแก้มลูกซ้ายทีขวาที“ปะป๊าขอโทษนะครับ ที่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยต่อไปปะป๊าจะพยายามนะ” เสียงกระซิบเบาๆ ราวกับคำสัญญาที่เขายังไม่รู้เลยว่าจะรักษาได้หรือไม่เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของน้องภูผาดังพอจะปลุกเดียร์ให้สะลึมสะลือตื่น เธอค่อยๆ ลุกขึ้น เดินออกมาที่ห้องโถง ภาพที่เห็นคือภูร
น้องภูผาลืมตาตื่นดวงตากลมโตสดใสไร้ไข้ ริมฝีปากเล็กๆ ยกยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันน้อยๆ พลางส่งเสียงอย่างร่าเริง มือเล็กๆ ตบผ้าห่มไปมาอย่างตื่นเต้น “อือๆ บ๊ะๆ”“ไข้ลดแล้วยิ้มใหญ่เลยนะลูกของแม่ เก่งที่สุดเลย” เธอโล่งใจ เธอก้มลงกอดลูกน้อยแนบอกแล้วหัวเราะเบาๆน้องภูผาหัวเราะคิก เสียงใสแจ๋วสะท้อนก้องไปทั่วห้องราวกับดนตรีที่กล่อมใจให้แม่หายเหนื่อย ความร่าเริงของเขาทำให้หญิงสาวลืมความเหนื่อยที่ต้องอดหลับอดนอนมาหลายวันในพริบตาตอนนี้ลูกชายวัยแปดเดือนของเธอไม่ใช่เด็กตัวน้อยที่เอาแต่นอนอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เริ่มส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้วตอบโต้ และใช้รอยยิ้มเป็นภาษาที่เติมเต็มหัวใจแม่ได้อย่างสมบูรณ์ เดียร์กดจมูกหอมแก้มกลมๆ ของลูกฟอดใหญ่“ลูกตื่นแล้วเหรอ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นเขาเพิ่งกลับมาถึงตอนเช้าหลังจากที่เมื่อคืนทะเลาะกันอย่างหนัก“มองไม่เห็นเหรอ” เธอไม่ยอมมองหน้าเขา โกรธที่เขาทิ้งเธอกับลูกไว้ตามลำพัง แถมยังพูดจาไม่น่ารัก“เดียร์พี่ขอโทษเมื่อคืนพี่เมาไปหน่อยเลยพูดอะไรออกไปแบบนั้น” เขายอมลดทิฐิลง ภูริจับต้นแขนเธอไว้แน่น แต่เสียงลูกชายร้องไห้ดังขัดจังหวะเสียก่อน“ปล่อย เดียร์จะไปดูลูก” น้ำเ
Comments