มิรันดารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเพราะถูกปลุกด้วยสัญญาณผิดปกติบางอย่างในร่างกาย
“อุ๊บ! อุแหวะ...”
หญิงสาวโก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ลำคอขมปร่าไปหมด อาการคลื่นเหียนวิงเวียนเล่นงานเธอจนแทบคลานอย่างหมดสภาพ
นี่เธอเป็นอะไรอีกล่ะ หรือโรคกระเพาะจะถามหาเข้าให้แล้ว อะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้ใครก็ได้ช่วยปิดสวิตช์อ้วกเธอก่อนได้ไหม ก่อนที่ตับไตไส้พุงเธอจะไหลออกมากองที่ชักโครกนี่
เสียงโทรศัพท์ดังแว่วมาจากที่ใดที่หนึ่งในห้อง ทำให้หญิงสาวที่กอดชักโครกอย่างอ่อนแรงชะงักกึก
หรือจะเป็นเขา ดิฐกรอาจจะคิดได้แล้วจึงโทรหาเธอใช่ไหม เขาจะโทรมาง้อเธอใช่ไหม
หญิงสาวเผลอยิ้มก่อนรวบรวมเรี่ยวแรงอันน้อยนิดตะเกียกตะกายไปตามหาโทรศัพท์ด้วยความหวัง แต่เมื่อเห็นเบอร์ที่โชว์หน้าจอ ความหวังที่มีก็พังทลาย
ไม่ใช่เขา แต่เป็น...
“ฮัลโหลมี่ สายป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มาทำงานอีก เป็นอะไรหรือเปล่า”
เสียงหัวหน้างานจอมเฮี้ยบทำให้มิรันดาหันไปมองนาฬิกาที่บอกว่าเธอตื่นสายมากกว่าปกติ
“ขอโทษค่ะหัวหน้า พอดีมี่ไม่ค่อยสบาย”
“แล้วทำไมไม่โทรบอกพี่ก่อน ว่าแต่เป็นอะไรล่ะ”
“มี่ก็ไม่แน่ใจค่ะ ตั้งแต่เช้าก็อาเจียนไม่หยุดเลย แถมยังหวิวๆ หน้ามืดเหมือนจะเป็นลมด้วย”
“อาการแบบนี้ท้องหรือเปล่าเนี่ย”
คำถามนั้นทำให้หญิงสาวฉุกใจ พลางเหลือบไปมองทางถังขยะที่เธอทิ้งแท่งตรวจครรภ์ปลอมไว้
“มี่...ทำไมเงียบไป”
“คะหัวหน้า”
“พี่ถามว่างานที่พี่สั่งไปเมื่อวานซืนทำเสร็จหรือยัง พี่บอกแล้วใช่ไหมว่างานด่วนต้องรีบใช้ แล้วนี่เธอก็มาลาอีก แล้วงานพี่จะทำยังไง...”
มิรันดารีบรวบรวมสติอันน้อยนิดก่อนตอบ
“เสร็จแล้วค่ะ มี่ส่งเมล์ให้หัวหน้าไปตั้งแต่เมื่อวาน”
“อ๋อๆ นี่ไง พี่เจอแล้ว” ปลายสายอ้อมแอ้มบอก แต่ไม่มีคำว่าขอโทษที่ตั้งใจโทรวีนเธอสักนิด
“แล้วนี่เราน่ะจะมาทำงานไหมวันนี้”
“มี่คงไปไม่ไหวจริงๆ ค่ะหัวหน้า งั้นมี่ขอลาไปหาหมอวันหนึ่งนะคะ แล้วพรุ่งนี้มี่จะเข้าไปยื่นใบลาอีกทีค่ะ”
“อืมๆ งั้นก็ได้ รีบๆ หายแล้วกัน จะได้รีบกลับมาทำงาน งานเยอะจะตายขาดไปคน พี่ก็ต้องหัวหมุนอีก อ้อ อย่าลืมขอใบรับรองแพทย์มาแนบใบลามาด้วยล่ะ”
มิรันดารับคำเบาๆ ก่อนที่ปลายสายจะกดตัดการติดต่อ หญิงสาวจึงถอนหายใจหนักๆ ด้วยความกังวล
ท้องงั้นเหรอ เธอคงไม่ฟลุกขนาดนั้นหรอกมั้ง...
เด็กเลี้ยงแกะมักตายเพราะการโกหกฉันใด ตอนนี้มิรันดาก็กำลังเผชิญกับชะตากรรมเดียวกันฉันนั้น
“ยินดีด้วยค่ะ คุณตั้งครรภ์ได้สิบสัปดาห์แล้วค่ะ”
คำนั้นทำเอาคนฟังตัวชาวาบ สมองงุนงงไปหมด
ชิบหายแล้ว สิบสัปดาห์นี่มันกี่เดือนกันนะ
“สองเดือนครึ่ง...นี่ฉันท้องตั้งสองเดือนครึ่งแล้วเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ คุณแม่บางรายอาจจะไม่รู้ตัวได้ เพราะไม่มีอาการแพ้ท้อง หรือหน้าท้องไม่ออกค่ะ มักเป็นในคุณแม่ตั้งครรภ์ครั้งแรก หรือท้องสาว”
มิรันดาถึงกับอึ้งเมื่อรู้ตัวว่าตนกำลังจะเป็นแม่คน พลันสมองก็ดันคิดถึงคนที่ทำให้เธอท้องขึ้นมา เขาจะดีใจไหมนะที่รู้ว่ากำลังจะมีลูกกับเธอจริงๆ
‘พี่ยังไม่พร้อมจะแต่งงานหรือมีลูกตอนนี้ มี่เข้าใจพี่หน่อยได้ไหม’
คำพูดนั้นทำให้คนกำลังจะเป็นแม่ถึงกับใจฝ่อ ขนาดเธอลองใจเขาด้วยแท่งตรวจครรภ์ปลอม เขายังพูดแบบนั้น ก็แปลว่าถึงเธอจะมีลูกขึ้นมาจริงๆ เขาก็คงไม่ดีใจหรือกลับมารักเธอได้ดังเดิมอีกครั้งหรอก ในเมื่อเขาไม่อยากมีเธอหรือมีลูกคนนี้มาผูกมัดนี่นา
ความคิดนั้นทำให้หญิงสาวเจ็บแปลบแสบไปทั้งทรวง
ช่างประไร ไม่อยากมี ก็ไม่ต้องมี
ลูกเธอ...เธอเลี้ยงเองก็ได้
“คุณจะฝากครรภ์ที่นี่เลยไหมคะ”
“ค่ะ ฝากเลยค่ะ ฉันต้องทำยังไงบ้างคะ”
หลังจากเดินออกจากคลินิก มิรันดาก็ได้ยาบำรุงครรภ์ติดมือกลับมาพร้อมกับคู่มือคุณแม่ตั้งครรภ์อีกเล่มที่ลงวันนัดตรวจครั้งต่อไปช่วงต้นเดือนหน้า
“หาว่าไงนะ แกท้องจริงๆ เหรอ” นิลุบลอุทานลั่นด้วยความตกใจ
“อืม...สองเดือนครึ่งแล้ว” คนท้องตอบเนือยๆ พลางโบกยาดมไปมาเมื่ออาการแพ้ท้องมาเยือนอีกหน
“งั้นก็ดีสิ ท้องจริงๆ แบบนี้พี่ดิวของแกจะไปไหนเสีย”
มิรันดาแค่นยิ้มขื่นๆ
“ไม่รู้สิ ตั้งแต่เมื่อคืนที่ฉันให้ที่ตรวจครรภ์นั่นเป็นของขวัญวันเกิด เขาก็หายหัวไปทั้งคืนจนถึงตอนนี้ยังไม่โทรมาเลย ข้อความสักอันก็ไม่มี”
“เวร! หรือว่าเขาไม่อยากมีลูกวะ”
“เขาไม่อยากมีทั้งฉันทั้งลูกเลยต่างหาก เขาบอกว่าขออยู่ห่างกันสักพัก”
“กรรมของเวร” นิลุบลอุทาน “แล้วนี่แกจะทำยังไง แล้วไอ้คำว่าอยู่ห่างกันสักพักนี่มันหมายความว่าไง หรือเขาขอเลิก”
ถามไปแล้วคนถามก็อยากตีปากตัวเอง เมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนที่หม่นหมองลงทันตา
“ไม่รู้สิ ก็คงงั้นมั้ง แต่ฉันบอกขอเลิกไปแล้ว”
“ไม่ได้สิแก แล้วเขาจะปล่อยให้แกเลี้ยงลูกคนเดียวงี้ พี่ดิวไม่ทำหรอกมั้ง แกลองโทรคุยกับเขาดูอีกทีไหม”
“ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะฉันโทรหาเขาจนมือจะหงิกแล้ว แต่เขาไม่รับ ติดต่อไม่ได้เลย”
“แล้วแกจะเอาไง จะเลิกกันทั้งที่มีลูกด้วยกันแบบนี้เหรอ”
“ยิ้มปลื้มเมีย”“หา...”“เมียพี่น่ารักที่สุดเลย” เขาโอบเอวเธอเข้ามาใกล้พร้อมกับกดจูบที่หน้าผากมนเบาๆ“ขอบคุณแทนน้องมิวด้วยนะครับ”ใบหน้าสวยแดงระเรื่อขึ้นทันใด“ขอบคุณเรื่องอะไรคะ น้องมิวก็ลูกแคทเหมือนกันนี่นา”นี่ก็อีก หลังจากที่เขาจดทะเบียนสมรสกับเธอ แคทรียาก็กลายเป็นแม่แคทของหนูน้อยของขวัญไปอีกคน แถมยังเข้ากับมิรันดาเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียด้วย ซึ่งทำให้เขาสบายใจไปได้อีกเปราะไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดปัญหาเรื่องแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงตามมาในภายหลังภาพความหวานชื่นระหว่างสองสามีภรรยาทำให้ใครต่อใครที่เห็นแอบชื่นชมในความเหมาะสม ยกเว้นก็เพียงแต่...เจนิสาชะงักไปนิดๆ เมื่อมองเห็นภาพสวีตของทั้งสองที่เดินเคียงคู่กันผ่านไป โดยไม่ทันเห็นเธอที่นั่งหัวโด่ตรงนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจตัวเอง ดิฐกรในวันนี้ทั้งภูมิฐานและดูมีฐานะดีเธอมันตาต่ำสิ้นดี!หากในวันนั้นเธอไม่คิดสั้นทิ้งดิฐกรมา วันนี้คนที่เดินควงแขนเขาก็คงเป็นเจนิสาคนนี้ เธอคงสุขสบายมีสามีรวย ไม่ต้องอยู่อย่างลำบากน่าสมเพชต้องคอยรองมือรองเท้าให้ไอ้ผู้ชายสารเลวอย่างวรพลนั่นหญิงสาวกุมใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยแมสก์และแว่นสีดำไว้ เพราะไม่อยากให้ใครเห็นร่องรอยฟกช้ำท
หลังจากได้พยาบาลดีคอยดูแลอาการบาดเจ็บของดิฐกรก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลในที่สุด สิ่งแรกที่เขาทำก็คือขอร้องให้คุณเมธาและคุณดารณีไปเจรจาสู่ขอแคทรียาถึงบ้าน“แน่ใจแล้วหรือว่าอยากจะแต่งงานกับลูกสาวอาจริงๆ” คุณราเมศร์ถามด้วยน้ำเสียงเข้มจนคนรอบข้างแอบลุ้นปนหวาดผวาแทนคนถูกถาม“แน่ใจครับ”“ไม่ใช่แค่อยากรับผิดชอบ”“ไม่ใช่ครับ”“ไม่ได้รักแบบน้องสาว”“ผมรักแคทแบบคนรักครับ ไม่ใช่น้องสาว” แคทรียาหันไปสบตากับคนพูดด้วยหัวใจที่พองโตคับอกคุณเมธาหันไปสบตากับภรรยาที่ยิ้มจนแก้มปริ เมื่อได้ยินลูกชายตัวดีสารภาพรักสาวแบบเต็มปากเต็มคำ เห็นทีว่างานนี้เธอจะได้ลูกสะใภ้สมใจแม่สุดๆ“แล้วลูกล่ะยัยแคท อยากแต่งหรือเปล่า” คุณราเมศร์หันมาทางลูกสาว“แต่งค่ะ” หญิงสาวตอบโพล่งโดยไม่ต้องคิด ทำเอาคนเป็นพ่อเป็นแม่ได้แต่ค้อน“ไม่คิดอีกสักหน่อยเหรอ ถึงยังไงเราก็เป็นฝ่ายหญิงนะ” คุณราเมศร์อ่อนอกอ่อนใจกับความมั่นของลูกสาวคนเล็ก“ก็แคทคิดมาแล้ว ในเมื่อเราสองคนรักกัน แล้วยังต้องรออะไรล่ะคะ อีกอย่างถ้าแคทคิดมาก เดี๋ยวท้องโตกว่านี้ ก็แต่งชุดเจ้าสาวไม่สวยกันพอดี”“ท้องโต!” คุณราเมศร์อุทานลั่น ในขณ
“อย่าหนีพี่ไปอีกเลยนะ”ดิฐกรมองสบตาเธอนิ่ง มวลความรู้สึกมากมายอัดแน่นในอกของเขาจนแทบจะล้นทะลักออกมา เกรงว่าหากเขาไม่พูดตอนนี้ จะไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก“พี่ไม่ใช่คนดี เป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง แล้วก็เป็นคนโง่งี่เง่ามากๆ ด้วย”แคทรียาเลิกคิ้วมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่“ครั้งหนึ่งพี่เคยทำพลาดเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวและกลัวการผูกมัด กลัวที่จะต้องแต่งงาน กลัวเสียอิสรภาพบ้าๆ บอๆ จนกระทั่งเสียคนที่พี่รักให้คนอื่นไปคนหนึ่งแล้ว แต่คราวนี้พี่จะไม่ยอมเสียคนที่พี่รักไปอีก...”ราวกับเวลาหยุดหมุนในชั่ววินาทีนั้น คำว่า ‘คนที่พี่รัก’ ของเขากระแทกใจเธออย่างจัง นั่นเขาหมายถึงใครกันคงไม่ใช่เธอหรอกมั้ง“พี่รักแคท เราแต่งงานกันนะ”สาวมั่นถึงกับตะลึงงัน เมื่อเจอคำบอกรักแบบสายฟ้าแลบ“แล้วพี่มี่ล่ะ พี่ดิวลืมพี่มี่ได้แล้วเหรอ”“หึงเหรอ” คนเจ็บแกล้งตีหน้านิ่งถาม“หึงอะไร อย่ามาหลงตัวเองนะ”“งั้นพี่หลงเมียแทนได้ไหม”แคทรียาอ้าปากค้าง“ไม่ต้องหึงแล้วตัวแสบ ระหว่างพี่กับมี่ เราเหลือแค่สถานะพ่อแม่ของน้องมิวเท่านั้น”เมื่อได้ฟังคำยืนยันจากปากเขา ซึ่งเป็นคำเดียวกับที่เคยได้ยินจากปากมิรัน
“ไม่! อย่าไปนะ อย่าทิ้งพี่...” ชายหนุ่มรีบรั้งเธอไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี กลัวว่าหากปล่อยให้เธอไป เขาจะไม่ได้พบเธออีก เขาไม่อยากเป็นเหมือนผู้ชายคนนั้นที่ต้องสูญเสียคนที่ตัวเองรักไปต่อหน้า อีกทั้งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมันทำให้เขารู้แล้วว่าชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอนโชคดีแค่ไหนที่เขาไม่ได้เสียชีวิตไป โชคดีแค่ไหนที่เขายังมีโอกาสฟื้นขึ้นมาพบเธออีกครั้ง ทุกวินาทีต่อจากนี้ล้วนมีค่า และเขาไม่อยากจะเสียเวลาไปกับความกลัวอย่างงี่เง่าของตัวเองอีก แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแคทรียามองสบสายตาเขานิ่ง ก่อนหน้านี้ที่เธอตัดสินใจหายตัวไปก็คิดว่าจะตัดใจและตัดเขาออกไปได้ เธออยากจะทำใจแข็งให้มากกว่านี้ อยากจะโกรธ อยากจะงอน อยากจะเล่นตัวให้มากกว่านี้ อยากจะหนีไปให้เขาร้อนรนตามหาให้นานกว่านี้ แต่ทุกอย่างต้องพังครืน เมื่อได้รู้ข่าวจากมิรันดาว่าเขาเกิดอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาล เธอก็ลืมความขุ่นเคืองก่อนหน้าไปเสียสิ้น ยิ่งเมื่อได้เห็นสภาพของเขาที่เป็นตายเท่ากัน หัวใจก็เจ็บปวดแทบแหลกสลาย“พี่...” เสียงเขาเบาหวิวทำให้เธอต้องขยับเอียงหูเข้าไปใกล้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะบอกอะไร“พี่ขอโทษ...” หญิงสาวชะงักเมื่อได้ยินคำเดียวกับใ
“จริงสิคะ มี่เลยรีบโทรมาบอกพี่ดิวก่อนนี่ไง พี่ดิวก็กลับไปพักผ่อนได้แล้วนะคะ กลับไปคิดดูให้ดีว่าจะทำยังไงต่อ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ”ดิฐกรอยากจะโห่ร้องดังๆ กับข่าวดีที่เพิ่งได้ยิน แคทรียากำลังจะกลับมา และในตอนนี้เขาก็มีคำตอบกับตัวเองแล้วเขารักเธอ! และจะไม่ยอมเสียเธอกับลูกไปเหมือนผู้ชายคนเมื่อกี้เด็ดขาดชายหนุ่มยิ้มทั้งน้ำตา เขาคิดถึงเธอเหลือเกินดิฐกรรีบขึ้นรถและขับกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากตอนขามาลิบลับ ตอนนี้เขามีความสุขล้นปรี่ มีความหวังเต็มเปี่ยม โลกที่มืดมนกลับสว่างไสวขึ้นเพียงคิดว่าจะได้พบแคทรียา ผู้หญิงที่เขารู้ตัวแล้วว่ารัก และไม่อยากเสียเธอไปไม่ว่าอย่างไรปรี๊น!!!ชายหนุ่มคิดเพลินจนเผลอขับรถฝ่าไฟแดงโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งมีเสียงแตรดังลั่นมาจากที่ไกลๆ เขาจึงได้สติรีบหันไปมอง ก็เห็นแสงไฟสว่างจ้ากำลังพุ่งตรงเข้ามา ดิฐกรตกใจสุดขีดจึงรีบหักพวงมาลัยหลบเข้าข้างทางและชนเข้ากับต้นไม้จนรถแน่นิ่งไป พร้อมกับสติสัมปชัญญะของเขาที่ดับวูบไปในนาทีนั้นพร้อมกับสิ่งที่ติดค้างในหัวใจอยากเจอเธออีกสักครั้งหรือเขาจะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้ว...“พี่ดิว...พี่ดิว...” ดิฐกรได้ยินเสียงหวานคุ้นหูของใ
‘ชีวิตคนเรามันสั้นนะคะ ถ้าพี่ดิวมัวแต่คิดมาก กลัวนั่นกลัวนี่แล้วเมื่อไหร่จะได้มีความสุขกับเขาเสียที หรือต้องรอให้สูญเสียก่อนอีกครั้ง พี่ถึงจะคิดได้ว่าอะไรที่มีค่ากับชีวิต...’เท้าของเขาค่อยๆ ก้าวฝ่าทุกคนไปจนถึงร่างอันไร้วิญญาณที่นอนนิ่งคลุมผ้าขาวตรงหน้า“เข้าไม่ได้นะครับ คุณเป็นอะไรกับผู้เสียชีวิตครับ”คำว่าผู้เสียชีวิตทำให้เขารู้สึกเข่าอ่อนขึ้นมาทันใด ก่อนที่น้ำใสๆ จะรื้นขึ้นมากลบนัยน์ตาจนทุกอย่างรอบกายพร่าเลือน หัวใจถูกบีบรัดอย่างแรงกับภาพที่เห็นตรงหน้าเขามันโง่! โง่ที่สุดในที่สุดความโง่งี่เง่านั่นก็พาให้เขาต้องพบกับจุดจบที่ต้องสูญเสียอีกครั้ง ครั้งแรกเป็นการจากเป็นที่ว่าเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสแล้ว แต่ครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่า เพราะเขาจะไม่ได้พบเธออีกต่อไปแล้ว เพียงคิดน้ำตาก็รื้นขึ้นมากลบนัยน์ตาจนพร่าไปหมด‘แล้วถ้าแคทบอกว่าต้องการความรักจากพี่ ต้องการให้พี่แต่งงานกับแคท ต้องการให้พี่เป็นทั้งสามีและพ่อของลูกแคท พี่ดิวทำได้ไหมล่ะ’คำถามนั่นย้อนกลับเข้ามาเล่นงานเขาในวันที่ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว“ผม...ผมเป็นสามีของเธอครับ” ริมฝีปากแห้งผากบอกออกไปด้วยหัวใจที่แหลกสลาย น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินอาบ