แต่ในเวลานี้ไม่ต่างกับร้อนรนอยู่ในนรก เพราะเขากำลังกลายเป็นคนมีเจ้าของ และหล่อนก็กำลังเปลี่ยนสถานะจากเมียเก็บเป็น ‘เมียน้อย’ เมื่อหัวใจไม่ยอม แต่ร่างกายถูกบังคับ หล่อนก็ต้องรับทั้งความรุนแรง คำดูถูก และต้องซ่อนน้ำตาเอาไว้ใต้รอยยิ้ม
“บัวว่าไหม?”
“ว่า... ว่าอะไรเหรอ”
“งื้อ... ไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม เหม่ออีกแล้ว”
“ขอโทษจ้ะ พอดีมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยนะ”
“ฉันบอกแล้วว่าอย่าไปถามบัว ถามฉันนี่ ฉันตอบเอง”
“ไม่เอา แกชอบคิดต่าง”
“เอ๊ะ! ยัยนี่ จะเอาแต่คนคิดเหมือนเหรอ”
“ก็ใช่สิยะ ไม่งั้นคุยไม่แซ่บ”
และที่เพื่อนถามก็คือ
“ฉันว่ายายลูกแก้วท้องแล้วแน่เลย ถึงได้รีบแต่งแบบนี้ บัวว่าไหม”
ม่านบุษยายิ้มอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ในใจยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดลงมาตรงๆ เสียอีก
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องไปถามบัว ฉันตอบให้เอง ท้องไม่ท้องไม่รู้ รู้แต่ว่ายายลูกแก้วได้ของแซ่บไปครอง”
“แล้วถ้าไม่แซ่บ”
“ว้ายแก! เชื่อสายตาฉันเถอะ แบบนี้แซ่บมาก... ทั้งคืนไม่มีพัก”
“ว้ายยยยย...”
เสียงเพื่อนที่ป้องปากหัวเราะวี้ดว้ายแทบจะไม่ได้เข้าไปในสมองของม่านบุษยาเลย เพราะในหัวสิ่งที่วิ่งวนอยู่ก็คือ ‘ท้อง’ กับ ‘ไม่ท้อง’ แน่นอนว่า ‘ไม่ท้อง’ คือหล่อน เพราะนั่นเป็นหนึ่งในสัญญา
‘สัญญาข้อ 5 ห้ามตั้งครรภ์โดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะต้องยุติการตั้งครรภ์และสัญญาจะต้องสิ้นสุด’
แต่กับผู้หญิงคนที่เขากำลังจะแต่งงานด้วย เขาอนุญาตให้มีได้
หัวใจสั่นไหวเหลือเกิน หล่อนก็ไม่ได้อยากตั้งท้อง เพราะรู้ดีว่าการฝ่าฝืนสัญญาจะเป็นอย่างไร
2-3 ปีแรกที่อยู่กับเขา ก็เพราะต้องการเงินส่งเสียเลี้ยงดูแม่กับน้องให้มากที่สุด แต่หลังจากนั้น มันเป็นเรื่องของหัวใจล้วนๆ เพราะรักเขา
รักผู้ชายตัวสูงๆ ที่เรียกหล่อนเข้าไปยื่นข้อเสนอ รักตั้งแต่แรกพบ ก็ใครกันจะไม่รัก พชรหล่อบาดใจขนาดนั้น เด็กที่เพิ่งเป็นสาวอย่างหล่อน แค่คนหล่อแบบนั้นมาคุยด้วย ก็สั่นจนไปไม่เป็นแล้ว
ดังนั้นที่รับเงื่อนไข ส่วนสำคัญคือเพื่อแม่กับน้อง แต่ส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ‘รัก’ หรือในเวลานั้นอาจจะเรียกว่า ‘หลงเสน่ห์’ ‘หลงรูป’ ก็ได้
เพราะแบบนี้ หล่อนเลยไม่กล้าทำอะไรที่ฝ่าฝืนสัญญาเลยสักอย่าง เพราะกลัวว่าเขาจะให้หล่อนไปให้พ้น ทว่าตอนนี้เป็นเขาที่ละเมิดสัญญา รั้งไม่ให้หล่อนไป
ม่านบุษยาอยากจะสะอื้นและเปล่งเสียงร้องไห้โฮ ให้เขาได้รู้ว่าใจหล่อนมันบอบช้ำแค่ไหน
หล่อนรักเขาก็จริง แต่หล่อนไม่อยากเป็นเมียน้อยใคร
“มีข่าวซุบซิบว่าคุณเพชรเลี้ยงเด็กนักศึกษาไว้นะ”
ม่านบุษยาตกใจมองหน้าเพื่อน ดวงตากลมโตเบิกกว้างเพราะไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมีใครรู้
“แกรู้ได้ไง ดูหน้าบัวสิ บัวก็ไม่รู้ใช่ไหม”
เพื่อนหันมองหน้า แต่ไม่ได้รอคำตอบ
“เห็นไหมบัวยังไม่รู้เลย แกรู้ได้ไง”
“ก็ญาติฉันน่ะทำงานที่คอนโดฯ คุณเพชร บอกว่าคุณเพชรเลี้ยงนักศึกษาไว้หลายปีแล้วนะแก ตั้งแต่ยายนั่นเรียนมหาลัย จนตอนนี้เรียนจบแล้ว ก็ยังอยู่ด้วยกัน”
“อ้าว! แล้วยายนั่นไม่วีนเหรอ ที่คุณเพชรจะแต่งงานกับยายลูกแก้วน่ะ”
“จะกล้าวีนอะไรล่ะ คุณเพชรรวยซะขนาดนี้ นางจะกล้าเสียอู่ข้าวอู่น้ำไปเหรอ อยู่มาตั้งหลายปี คงโกยได้เยอะล่ะ”
“อย่างว่าล่ะเนอะแก ของตายก็เป็นของตายวันยังค่ำล่ะ จะกล้ามาดิ้นรนเรียกร้องอะไร ว่าไหมบัว”
ม่านบุษยาไม่ได้ยินสิ่งที่เพื่อนถามหรอก เพราะในหัวมีแต่คำว่า ‘ของตาย’ สิ่งของที่แปลว่า ‘ไม่มีชีวิต’ แล้วใช่ไหม จะจับ จูง หิ้ว หรือยกไปวางตรงไหนก็ได้
พูดไม่ได้เพราะ... ตายแล้ว
เรียกร้องบอกใครก็ไม่ได้เพราะ... ตายแล้ว
‘ตายแล้ว’ แปลว่า ‘ไม่มีตัวตน’
หยาดน้ำเหมือนจะพวยพุ่งสู่ขอบตาจนอายร้อนผ่าวเริ่มเอ่อล้น และในจังหวะนั้น คนในฝั่งตรงกันข้ามก็มองมา เขาเห็นหล่อนแล้ว
แต่เขากลับทำเหมือนไม่เห็น ไม่รู้จัก และไม่เคยมีความเกี่ยวพันกันเลย
ม่านบุษยายิ้มขื่นที่สุดในชีวิต หันมาตอบคำถามเพื่อนยิ้มๆ
เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะคิกคักของวิกัญญากับเจ้าของร้านยังดังมาเข้าหูอยู่ตลอดเวลา พวกเขาคุยกันเรื่องแหวนเพชรเม็ดเป้งที่วิกัญญาสวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้าย“พี่เพชรไม่อยากให้ทำงานในวงการค่ะ อยากให้ลูกแก้วเป็นแม่บ้าน คอยดูแลพี่เพชรอย่างเดียว แต่ลูกแก้วเซย์โนค่ะ ลูกแก้วไม่ถนัดหรอก อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะคะพี่กุ้ง ลูกแก้วว่าคนเราควรทำงานที่ตัวเองถนัดนะคะ ถ้าลูกแก้วไปแย่งงานแม่บ้านทำ แล้วคุณแม่บ้านจะทำยังไงล่ะคะ สู้ลูกแก้วใช้คนทำงานให้เหมาะสมดีกว่า คุณแม่บ้านก็จะได้มีอาชีพด้วย พี่เพชรก็เลยแย้งไม่ได้ค่ะ ต้องตามใจลูกแก้วเหมือนเคย”“เนี่ย! กุ้งอิจฉาคุณลูกแก้วอีกแล้ว คุณเพชรนี่ช่างเป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ เลยนะคะ ทั้งหล่อ รวย อบอุ่น และก็ตามใจคุณลูกแก้วดี๊ดี! คุณลูกแก้วเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่งร้อยชุดเลยนะคะ” “ลูกแก้วรู้ตัวค่ะว่าโชคดี แต่ชมให้พี่เพชรฟังไม่ได้นะคะ เดี๋ยวจะเหลิงค่ะ เพราะเกเรไว้เยอะเหมือนกัน” “อุ๊ย! คุณเพชรมีเกเรด้วยเหรอคะ” น้ำเสียงใส่จริตของพี่กุ้ง ฟังรู้ว่า ‘เกเร’ นั้นคือเรื่องผู้หญิง นั่นทำให้ม่านบุษยาหูผึ่ง ไม่อยากฟังเรื่องแสลงใจ แต่ก็จำต้องฟังเพรา
ม่านบุษยายิ้มน้อยๆ และเดินตามเจ้าของร้านที่คุ้นเคยกันมาหลายปี ก็ร้านนี้เป็นร้านประจำของหล่อน สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงของพชรจะต้องมีก็คือ ความสวย‘เธอต้องดูแลตัวเองให้ดี สวยทุกเวลา ฉันชอบของสวยงาม เสื้อผ้าหน้าผม ต้องทำให้ฉันอยากกลับมานอนที่นี่ทุกคืน’คำสั่งที่พชรพูดกับหล่อนตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดฯ ของเขา และเขาก็เลือกสปาร้านนี้ให้กับหล่อน เลือกยี่ห้อของเครื่องสำอาง เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ให้ด้วย เหมือนจะรู้ว่าหากให้หล่อนไปเลือกเองอาจจะไม่ถูกใจเขาและแม้จะผ่านมา 6 ปีแล้ว หล่อนก็ไม่เคยละเลยที่จะดูแลตัวเอง เพราะความสวยนี้ก็เพื่อพชรม่านบุษยานั่งเงียบ ๆ ปล่อยให้พนักงานทำเล็บอย่างใจลอย ในหัวคิดหาหนทางที่จะไปจากพชรแบบสะดวกที่สุด หนทางที่จะทำให้เขายอมให้หล่อนไปแต่โดยดี เพราะถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว แต่หล่อนก็ไม่อยากให้เขาเกลียด อยากให้เขาเข้าใจ และยอมรับกับทางที่หล่อนเลือกแต่ความเงียบก็ไม่อยู่นาน เมื่อมีเสียงเปิดประตูร้าน พร้อมเสียงหวานที่คุ้นหูดังขึ้น“สวัสดีค่ะ ดิฉันโทร.มาจองเรื่องคอร์สเจ้าสาวนะคะ”ม่านบุษยาหันมองหญิงสาวที่ก้าวเข้ามา ผู้หญิงผิวขาวจัด รูปร่างเพรียวในชุดเดรสหรู
ในคลิปปรากฏภาพหญิงสาวรูปร่างแบบบาง ผมตรงยาวสลวย ใบหน้าที่แม้จะเห็นจากระยะไกลก็ยังดูรู้ว่าสวยมาก เธอคนนั้นใส่ชุดเดรสยาวกรอมเท้า สะพายกระเป๋าใบจิ๋ว และสวมรองเท้าส้นเตี้ย การแต่งตัวที่น้อยแต่มาก เพราะมองปราดเดียวหล่อนยังรู้ว่านั่นแบรนด์เนมทั้งชุด และแมทกันอย่างลงตัวโดยเฉพาะกระเป๋าที่ผู้หญิงคนนั้นใช้ สี แบบ และขนาด ถึงจะเห็นไม่ชัด ก็พอจะเดาไว้ว่าเป็นรุ่นลิมิเต็ดที่หล่อนอยากได้ แต่กระเป๋ายังมาไม่ถึงร้านที่ไทย แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้มี“ชื่อม่านบุษยา อายุยี่สิบสี่ เรียนจบมาสองปีแล้ว แต่อยู่ที่คอนโดฯ นี้มาหกปี”เสียงของบิดาดังขึ้นพร้อมกับเลื่อนแฟ้มข้อมูลของม่านบุษยามาตรงหน้า วิกัญญาปรายตามองกระดาษสีขาวในแฟ้มนิดหน่อยก่อนจะหันไปสนใจคลิปวิดีโอต่อ“แสดงว่าพี่เพชรเลี้ยงนังนี่ไว้ที่คอนโดฯ ตั้งแต่อายุสิบแปดเหรอคะ”น้ำเสียงถามเหมือนจะเยาะ แต่เยาะใครล่ะ วิกัญญาหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่อ“หกปี ตั้งหกปี... นี่คุณพ่อไม่รู้เลยเหรอคะ ว่าพี่เพชรทำแบบนี้ใต้จมูกลูกแก้วอะ”“แต่หกปีก่อน พ่อกับฝั่งคุณเพชรยังไม่ได้คุยเรื่องแต่งงานกันนะ”“ก็นั่นแหละค่ะ แต่คุณพ่อก็น่าจะตรวจสอบบ้าง”วรุตซึ่งเป็นข้าราชการเกษ
ม่านบุษยาล้างจานกับน้ำสะอาดก่อนจะคว่ำไว้ด้านข้างซิงค์ ล้างมือ เช็ดมือให้สะอาดก่อนจะหันมาสบตากับแม่ ที่กำลังรอคำตอบทุกขณะจิต หล่อนจูงมือแม่มานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นก่อนจะเริ่มต้นพูด“แม่จ๊ะ”“บัว แม่รู้ว่าที่แม่กับน้องอยู่ดีกินดีทุกวันนี้ เพราะบัวเสียสละอะไรไปบ้าง แต่แม่กับน้องไม่ได้ต้องการอะไรอีกแล้วนะ แค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีมากที่สุดแล้ว แค่แม่ยังมีบัว ยังมีลิน แม่ก็ไม่ขออะไรแล้วนะ บัวไม่ต้องเสียสละอะไรให้แม่กับน้องอีกแล้ว”ม่านบุษยายิ้มน้อยๆ เมื่อแม่ชิงพูดก่อนที่หล่อนจะอธิบาย ซึ่งไม่ต่างจากที่หล่อนคิด แค่มีแม่มีน้อง แค่นี้ก็พอแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่แม่เข้าใจผิด“บัวก็ไม่ได้ต้องการอะไรแล้วจ้ะแม่ แค่มีแม่ มีลิน แค่นี้ก็พอแล้วเหมือนกัน แต่ทั้งหมดที่บัวทำ บัวไม่ได้เสียสละอะไรเลยนะแม่ ที่บัวทำไปทั้งหมด เพราะ... เพราะบัวรักคุณเพชร บัวไม่ได้ฝืนใจ ไม่ได้ไม่เต็มใจ”“แปลว่าบัว...”“ไม่ใช่จ้ะแม่ ไม่ใช่อย่างที่แม่คิด บัวกำลังจะเดินออกมา แม่ไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ บัวจะออกมาจากคุณเพชร ก่อนที่คุณเพชรจะแต่งงาน”น้ำเสียงที่บอกแม่ราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องผ่านไปอีกว
ม่านบุษยาขับรถไปยังบ้านหลังเล็กย่านชานเมืองบ้านที่พชรซื้อให้แม่กับน้องหล่อนได้อาศัยอยู่ ที่หล่อนเลือกบ้านหลังนี้ เพราะต้องการพื้นที่ใช้สอยให้แม่กับน้องอยู่อย่างสะดวก ต้องการทำเลที่ใกล้โรงพยาบาล แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ไม่แออัดเหมือนในเมืองแม้พชรจะเสนอบ้านในโครงการอื่นที่ให้ความสะดวกสบายกว่า หลังใหญ่กว่า อยู่ในเมือง หล่อนจะได้ไปมาหาสู่แม่กับน้องได้ตลอด แต่หล่อนก็ปฏิเสธไป ด้วยเหตุผลที่ว่าแม่กับน้องอยู่กันแค่สองคน ถ้าหลังใหญ่เกินกำลัง แม่ก็จะทำความสะอาดไม่ไหวและน้องเองก็อาจจะไม่สะดวกเท่าที่ควรด้วย อีกอย่างแม่กับหล่อนเห็นตรงกันว่าจะไม่จ้างแม่บ้าน เพราะถึงแม้พชรจะดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แต่แม่กับหล่อนก็เกรงใจ และแม้หล่อนจะเกรงใจเขามาก แต่เป็นเขาเองที่บอกว่า ‘ฉันรวยมาก เธอไม่รู้เหรอ ฉันซื้อบ้านให้เธอหลังใหญ่กว่านี้ได้สบาย แม่บ้าน แม่ครัว คนรับใช้ เธอก็จ้างได้เต็มที่ แม่กับน้องเธอจะได้สบายไง’ ที่เขาพูดมาทั้งหมดมันถูกต้อง แม่กับน้องจะได้สบาย แต่แม่กลับสอนหล่อนว่า คนที่พึ่งพาตัวเองมาตลอดชีวิต หากต้องเปลี่ยนตัวเองให้สบายเกินไป อาจจะกลายเป็นอึดอัดได้และเมื่
งานแต่งใกล้เข้ามาทุกทีจนตารางงานของพชรถูกกลบด้วยรายละเอียดของพิธีแต่งงานที่เขาแทบไม่ได้สนใจ ก็แค่ทำไปตามหน้าที่เท่านั้น คนที่มีความสุขสุดคงเป็นวิกัญญา หล่อนพาเขาไปบรีฟงานครั้งสุดท้ายกับทีมออแกไนเซอร์ แต่พชรกลับเบื่อหน่ายและหงุดหงิดขั้นสุดก็ตอนที่วิกัญญาถามเขาทุกเรื่อง“พี่เพชรคิดว่าเราเปลี่ยนของชำร่วยเป็นสบู่ทำมือดีไหมคะ แบบเน้นบำรุงผิว”“อะไรก็ได้จ้ะ เอาตามที่ลูกแก้วชอบเลย”เขาตอบอย่างเสียไม่ได้ พยายามใจเย็นที่สุด เพราะเรื่องของชำร่วย จำได้ว่าวิกัญญาถามเขาเป็นครั้งที่ 4 หรือ 5 ได้แล้ว และก็เปลี่ยนมาหลายอย่าง นี่จะถึงวันงานก็จะเปลี่ยนอีก ยังไม่รวมธีมสีของงานแต่ง จากสีชมพู เป็นสีฟ้า เป็นสีส้ม และก็กลับมาเป็นสีเทาอมฟ้า และเขาแน่ใจว่าหล่อนจะถามอีกรอบว่าเปลี่ยนจากสีเทาอมฟ้าเป็นสีอื่นดีไหม“ไม่เอาอะไรก็ได้สิคะ นี่งานของเรานะ”“ก็ลูกแก้วเป็นเจ้าสาว ลูกแก้วก็เลือกตามที่ลูกแก้วชอบได้เลย พี่ยังไงก็ได้ ตามใจลูกแก้วทุกอย่าง”“แต่พี่เพชรเป็นเจ้าบ่าวนะคะ ลูกแก้วก็อยากให้พี่เพชรชอบด้วยอะ”“พี่ชอบทุกอย่างตามลูกแก้วนั่นล่ะ”“แน่ใจนะคะ ไม่ใช่ว่าลูกแก้วเลือกแล้วจะมาบอกว่าไม่ชอบทีหลังไม่ได้นะ”“แน่นอนจ้