ซูหวินซีออกมาเดินเล่นที่สวนหน้าเรือน นางทอดมองดอกไม้นานาพันธุ์ตรงหน้า ที่หลี่เจินบอกว่าท่านแม่ทัพจัดเอาไว้ให้นาง
แต่ความรู้สึกของนางมันมีบางอย่างบอกว่า การแต่งงานครั้งนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงเป็นแน่ เพราะความสัมพันธ์ของเขาและนางมันเหมือนมีเส้นบาง ๆ กั้นตรงกลาง แล้วเรื่องสมรสพระราชทานนั่นอีก ถึงแม้ว่านางยังไม่อยากจะเชื่อเรื่องการสูญเสียความทรงจำของตนเอง จะเป็นไปได้จริงหรือ ว่าดอกไม้ดอกเดียวจะทำให้คนเราสูญเสียความทรงจำได้ " ฮูหยิน ท่านหมอกู้มาแล้วเจ้าค่ะ " " อืม " นางเกินไปสาวใช้เข้าไปในห้องโถงใหญ่ ท่านหมอกู้คงจะเป็นหมอประจำตัวท่านแม่ทัพที่หลี่เจินเล่าถึง พอมาถึงห้องโถงนางก็เห็นว่ามีบุรุษวัยกลางคนนั่งคุยอยู่ กับท่านแม่ทัพ " ท่านหมอกู้แวะมาตรวจอาการของเจ้า " " ออ เจ้าค่ะ " นางรับคำและมานั่งข้าง ๆ ไป๋มู่จินอย่างเก้ง ๆ กัง ๆ แล้วยื่นมือไปให้ท่านหมอตรวจดูอาการ ผ้าผืนบางถูกนำมาวางไว้บนข้อมือเรียวอย่างแผ่วเบา " สภาพร่างกายไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีเพียงแคเมื่อมีแม่ทัพอินหยวนเป็นผู้นำทาง การเดินทางของขบวนทูตของแคว้นเหลียวจึงได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย แต่ในระหว่างทางที่ต้องเดินขบวนผ่านใจกลางเมือง ชาวบ้านมากมายก็จ้องมองมายังขบวนของพวกเขาด้วยความสายตาแปลก ๆ ไป๋มู่จินมองไปรอบ พร้อมกับสบตากับเสี่ยวฮัว ที่หันมาสบตากับเขาพอดี ทุกคนคงจะรู้สึกเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเท่านั้น แม้แต่คนที่อยู่ภายในรถม้าเองยังรู้สึกได้ เมื่อเดินทางมาถึงหน้าประตูวัง ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ความคับข้องใจที่มีมาตลอดทางนี้ พวกเขาได้แต่เก็บงำมันไว้ในใจเท่านั้น ทุกคนในขบวนถูกพามาที่เรือนรับรองที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดี ภายในห้องที่มิดชิดของเรือนรับรอง ไป๋มู่จิน องค์ชายสาม และลู่เกาหย่งนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง " พี่มู่จิน ท่านว่าพวกเขาจะให้ข้าพบพี่หญิงใหญ่หรือไม่ " องค์ชายสามเอ่ยขึ้น เพราะเขาขอพบพี่สาวของตนทันทีที่มาถึง แต่กงกงของที่นี่กลับบอกว่าให้รอก่อน ตอนนี้เขาร้อนใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นห่วงพี่สาว " พวกเขาน่าจะรู
คนของหน่วยพยัคฆ์ที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว จึงหลบการซุ่มโจมตีนี้ได้และโต้กลับในทันที ทุกคนต่างก็มีอาวุธลับเฉพาะตัว พวกเขายิงอาวุธลับของตนย้อนกลับไปในทิศทางที่ถูกโจมตี ทำให้มีคนชุดดำหลายสิบคนตกลงมาจากหลังคาของเหลาอาหารที่อยู่ไม่ไกลนัก และปรากฏกลุ่มคนชุดดำอีกหลายสิบคนเข้ามาล้อมขบวนรถของพวกเขาเอาไว้ " ฆ่า " สิ้นเสียงของหัวหน้า กลุ่มคนชุดดำก็พูดตรงเข้าปะทะกับคนของหน่วยพยัคฆ์ในทันที ไป๋มู่จิน มองคนเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา ก่อนที่จะตวัดดาบเข้าฟาดฟันกับศัตรูตรงหน้าอย่างไม่ยั้งมือ คนชุดดำพวกนี้ต่างก็เป็นผู้มีฝีมือ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังด้อยกว่าคนของเขาอยู่ดี เพราะเพียงไม่นานคนของหน่วยพยัคฆ์ก็ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ชายชุดดำจึงถูกจะมารวมกันตรงกลางลานกว้าง " ใครส่งพวกเจ้ามา " ไป๋มู่จินเอ่ยถามคนพวกนั้นเสียงเรียบ เขามองสบตากับชายผู้หนึ่งที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่ด้วยความแค้นเคลือง คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงด้วยความสงสัย เพราะเหตุใดคนผู้นี้ถึงได้
สายตาคมทอดมองใบหน้าหวานที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนอกกว้างของตน ความสัมพันธ์ของพวกเขากำลังพัฒนาไปในทางที่ดี ความรักกำลังเบ่งบาน แถมพวกเขากำลังจะมีพยานรักด้วยกันอีก ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากับมีเรื่องต้องเดินทางไกล ' มันใช่เวลาที่ไหน แถมเพื่อนร่วมเดินทาง ก็ยังชอบทำหน้าตากวนประสาทเขาอยู่เรื่อยอีก หากไม่ติดว่าเป็นพี่ภรรยาแล้วก็นะ ' และหากไม่ใช่เรื่องสำคัญล่ะก็ เขาไม่มีทางที่จะรับปากฝ่าบาทเป็นแน่ อีกทั้งเขาต้องไปดูให้เห็นกับตา ว่าสหายของเขา นางยังปลอดภัยดีหรือไม่ " นอนไม่หลับหรือเจ้าค่ะ " เสียงหวานที่เอ่ยขึ้นข้างกายดึงสติของเขาให้กลับมา มือเรียวสวยสัมผัสใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา เขาจึงเอื้อมมือมาจับมือของนางมากุมไว้ " พรุ่งนี้เช้าจะต้องเดินทางแล้ว " " จะเดินทางก็ยิ่งต้องพักนะ " เขาพ่นลมหายใจออกมาเมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้น และกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น แต่ก็มิวายหอมแก้มนวลไปฟอดใหญ่ และตักตวงกลิ่นหอมจากคนในอ้อมแขน หลายเดือนมานี้เขากับนางตัวติดกันตล
ไป๋มู่จินนั่งลงตรงข้ามกับซานเป่าโจที่มาในนามของราชทูต พร้อมกับองค์ชายสาม เขามองสบตาองค์ชายสามเหมือนต้องการคำอธิบาย " นี่คือราชทูตคนใหม่ของแคว้นเหลียง ลู่ซีหยาง บุตรชายบุญธรรมของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย ลู่เกาหยง " เขากุมมือภรรยาของตนให้แน่นขึ้น น่าดูเหมือนว่านางจะหน้าซีด เมื่อได้ยินชื่อของใครบางคน แต่ที่มากกว่านั้นคงจะเป็นเพราะ นางเพิ่งจะรู้ว่าสหายตรงหน้า ความจริงแล้วเขาเป็นใครมากกว่า " มา เรามาทานอาหารกันดีกว่า " เมื่อองค์ชายสามเอ่ยเช่นนั้นทุกคนในห้องจึงลงมือทานอาหารอย่างเงียบ ๆ องค์ชายสามหันไปมองสบตากับศิษย์พี่ของเขา เพราะเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องดูเงียบผิดปกติ แต่ศิษย์พี่ของเขาก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่จ้องมองราชทูตคนใหม่ ที่แอบมองฮูหยินน้อยอยู่เป็นระยะ ๆ แต่นางก็เอาแต่นิ่งเงียบและไม่พูดกับใครเลยแล้วจะครึ่งคำ ซานเป่าโจรู้ดีว่าสักวันวันนี้ต้องมาถึง แล้วเขาก็ทำใจเอาไว้แล้วว่า ยังจะต้องโกรธและเกลียดเขามากเป็นแน่ แต่ก็นึกไม่ถึงว่า เมื่อถึงเวลาจริง ๆ แล้ว เขากลับอ
บุรุษร่างสูงสวมชุดคลุมสีดำ เดินตรงไปด้านหน้าอย่างมั่นคง สายตาคมกวาดมองหาใครบางคนที่บอกว่าจะมารอเขา ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มบางๆออกมาเมื่อมองเห็นสตรีชุดสีขาวที่ยืนอยู่กลางสะพาน นางเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนที่นางจะยกมือขึ้นมาประสานกันที่หน้าอกเหมือนกำลังขอพรกับหมู่ดาวที่ส่องแสงสกาวระยิบระยับเต็มท้องนภา ตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยเข้าไปในงานกันหมดแล้ว คงจะเหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่ยังยืนรอคนรักของตนอยู่ และมีบางคนที่เดินกลับไปอย่างหมดหวังเพราะคนที่รอคงไม่มาแล้ว เท้ายาวก้าวเดินตรงไปหาคนตัวเล็กที่ยังยืนหลับตาอยู่ตรงราวสะพาน จูหลงหันมายิ้มให้เขาก่อนที่จะเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง บนสะพานแห่งนี้จึงเหลือแค่เขากับนางเพียงสองคน เขาเดินตรงเข้าไปสวมกอดนางจากทางด้านหลัง และใช้มือของตนกุมมือเล็ก ๆ ของนางเอาไว้ คนในอ้อมแขน นางลืมตาขึ้นมาและเอียงหน้ามามองหน้าเขา และมองสบตากับเขา " อธิฐานต่อสิ " นางส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ก่อนที่จะหันกลับไปแล้วหลับตาลงเหมือนเดิม เขากระชับอ้อมแขนให้แ
ซูหวินซีนั่งมองกล่องไม้ใบเล็กที่สลักลวดลายสวยงามวางทับซองจดหมายฉบับหนึ่งอยู่ มือเรียวหยิบซองจดหมายมาเปิดอ่าน ข้อความข้างในทำให้นางยิ้มกว้างและส่ายหน้าไปมาเมื่อนึกถึงคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นสามีของนางนั่นเอง เขาหายตัวไปตั้งแต่เช้า ทิ้งไว้เพียงกล่องไม้กับซองจดหมาย แต่เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ก็ยิ่งทำให้ใบหน้าหวานแดงขึ้นไปอีก พูดอะไรผิดนิดผิดหน่อยก็ไม่ได้ เขาคนนั้น เป็นต้องคอยย้ำตลอดเลย แค่บอกว่าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนยังผิดเลย และยังมีหน้ามาบอกอีกว่าเขาไม่ใช่เพื่อนนางแต่เป็น..... คนอะไรเอาแต่ใจชะมัดเลย " อ่านอะไรอยู่อะ " " อะ จูหลงเจ้า.....เสียมารยาท " นางรีบเก็บจดหมายไว้ในแขนเสื้อทันทีเมื่ออยู่ ๆ จูหลงก็โผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ถึงแม้ว่านางจะมองไม่ทัน แต่ก็ยังทำหน้าล้อเลียนอยู่ไม่ไกล " ใต้เท้าเสี่ยว " ซูหวินซีหันไปโบกมือเรียกเสี่ยวฮัวที่กำลังเดินผ่านมาพอดี แต่จูหลงนั่งหันหลังอยู่จึงมองไม่เห็นเขา " หุห