เหตุการณ์เมื่อคืนยังคงทำให้อารมณ์ของคนทั้งสองขุ่นมัวอยู่โดยเฉพาะศรัณย์ที่ตวัดสายตาดุดันจ้องหน้าหญิงสาวอยู่บ่อยครั้งระหว่างนั่งทานข้าวอยู่บนโต๊ะอาหารจนแป้งว่าที่คู่หมั้นสาวสังเกตเห็น
"พี่ศรัณย์มีอะไรกับน้องดาริการึเปล่าคะ เห็นมองอยู่หลายครั้งแล้ว" เธอมองหน้าทั้งสองสลับกันด้วยความสงสัยจึงทำให้ศรัณย์รีบดึงสายตากลับมามองหน้าว่าที่คู่หมั้นสาว
"ไม่มีอะไรครับ" เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แววตาอ่อนโยน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ต่างจากก่อนหน้านี้สิ้นเชิง
"แป้งก็นึกว่ามีอะไรซะอีก" แป้งระบายยิ้มอ่อน ๆ แล้วจึงก้มหน้าทานข้าวต่อไม่คิดสงสัยอะไรอีก สวนทางกับดาริกาที่แอบหัวใจเต้นแรงด้วยกลัวว่าหญิงสาวจะสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชายหนุ่ม
เมื่อหญิงสาวไม่มีท่าทีสงสัยอะไรอีกก็ทำให้โล่งใจขึ้นมาหน่อย เธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อีกคนตวัดสายตามองเธออีกครั้งทำให้สองสายตาสบประสานกัน
เธอมองสบตาเขาเพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้นก็เบี่ยงหน้าไปทางอื่นไม่อยากจะมองหน้าคนใจร้ายให้เจ็บใจกระทั่งเสียงของหญิงสาวดังขึ้นจึงหันกลับมามองอีกครั้ง
"พี่ศรัณย์ไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะหากแป้งจะพาเพื่อนมาอยู่ด้วยสักพัก"
"ตามสบายเลยครับ บ้านพี่ก็เหมือนบ้านน้องแป้ง ยังไงน้องแป้งก็ต้องเป็นคุณผู้หญิงของที่นี่อยู่แล้ว"
คำพูดที่ชายหนุ่มตอบว่าที่คู่หมั้นสาวอาจจะฟังดูหวานเลี่ยนสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับดาริกามันคือมีดคม ๆ ที่กรีดลงบนหัวใจของเธอให้รู้สึกเจ็บปวด
ขอบตาร้อนผ่าวคล้ายน้ำตากำลังจะเออออกมาจนต้องรีบเสมองไปทางอื่นกลัวคนที่กำลังจ้องมาเห็นเข้า เธอรู้ว่าเขาจงใจพูดประโยคนั้นให้เธอเจ็บ
"ขอบคุณค่ะ"
"ครับ น้องแป้งจะทำอะไรในบ้านหลังนี้สามารถทำได้เต็มที่เลยครับ"
"พี่ศรัณย์น่ารักที่สุดเลย"
"ถ้าพี่น่ารักก็รักพี่ให้มาก ๆ นะครับ"
"หือ..." แป้งทำหน้าทะเล้นใส่ว่าที่คู่หมั้นหนุ่มนึกเลี่ยนในคำพูดคำจาของเขาทำเอาอีกคนถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
ทั้งสองดูจะมีความสุขมาก ๆ ขณะที่ส่วนเกินอย่างดาริกาทำได้แค่เก็บซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้ฝืนยืนมองคนทั้งสองแสดงความรักต่อกัน
คำพูดเหล่านี้น้ำเสียงแบบนี้เสียงหัวเราะแบบนี้เธอเคยได้รับมันมาก่อนทำไมเขาถึงได้เปลี่ยนใจไปจากกันเร็วขนาดนี้ บางครั้งเธอก็เหมือนเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย
เธอฝืนยืนทนจนคนทั้งสองพากันเดินออกไปจากห้องอาหารจึงรีบเก็บจานไปล้าง แล้ววิ่งกลับห้องไปร้องไห้ระบายความเจ็บช้ำในอก เธอจะขอร้องไห้ให้กับคนใจร้ายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
ต่อจากนี้ไปจะไม่ขอร้องไห้และอ่อนแอกับเรื่องของผู้ชายใจร้ายอีก ในเมื่อเขาไม่นึกถึงจิตใจไม่แคร์ความรู้สึกเธอแล้วเธอก็จะไม่สนใจเขาแล้วเหมือนกัน
เธอสูดลมหายใจเข้าปอดยาว ๆ เรียกแรงฮึดสู้ให้ตัวเองพลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจนแห้ง แววตาเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวฉับพลัน จิตใจแน่วแน่ว่าจะไม่อ่อนแออีกต่อไป
จากนั้นก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปมหาวิทยาลัยเพราะเธอมีเรียนตอนบ่าย
-มหาวิทยาลัย-
"เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นดา เราโทรไปแต่เป็นผู้ชายรับสาย"
"แล้วคนที่รับสายคือใครใช่พี่ศรัณย์ไหม"
ทันทีที่มาถึงมหาวิทยาลัยเพื่อนสาวทั้งสองก็ยิงคำถามใส่รัว ๆ จนดาริกาต้องยกมือขึ้นห้าม "ทีละคำถาม เราตอบไม่ทัน"
แยมกับมิ้นท์จึงยอมหยุด รอให้เพื่อนสาวนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยจึงถามไถ่อีกครั้ง
"ตกลงเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น" แยมเอ่ยพลางมองหน้าเพื่อนสาวด้วยความสงสัยไม่ต่างจากมิ้นท์เลย
คนถูกถามถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนตอบ "เราทะเลาะกับไอ้ผู้ชายใจร้าย เขาห้ามไม่ให้เราออกไปเที่ยว คนที่รับสายก็เขานั่นแหละ"
"พี่ศรัณย์ของแกนี่มันยังไงกันแน่ ไหนบอกว่าเกลียดแกแต่ทำไมถึงยังมาวุ่นวายอีก" มิ้นท์ขมวดคิ้วมุ่นคำว่าผู้ชายใจร้ายจากปากเพื่อนสาวไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือศรัณย์เพราะเพื่อนสาวมักมาระบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังตลอด
"เกลียดแต่ปากล่ะมั้ง" แยมเอ่ยลอย ๆ เธออดคิดไม่ได้ว่าที่ชายหนุ่มสั่งห้ามไม่ให้เพื่อนสาวทำนู่นทำนี่เพราะหวงหรือเปล่าแต่ปากแข็งไม่ยอมพูดตรง ๆ
"ไม่ใช่หรอก เขาคงเกลียดเรามากเกลียดจนเข้ากระดูกดำเลยแหละไม่ใช่แค่ปาก ไม่อย่างนั้นจะใจร้ายใส่กันได้ขนาดนี้เลยเหรอ"
ดาริกาแย้งขึ้นทันควันเธอกล้านั่งยันนอนยันว่าชายหนุ่มไม่ได้เกลียดเธอแค่ปากเพราะการกระทำของเขาสามารถยืนยันได้ดี
"ใช่แยม ถ้าไอ้บ้านั่นไม่เกลียดดาจริงจะพาว่าที่คู่หมั้นเข้ามาอยู่ในบ้านได้ยังไงเขาต้องแคร์ความรู้สึกดาบ้างสิ แต่นี่อะไร" มิ้นท์พยักหน้าเห็นด้วย พอคิด ๆ ก็นึกโมโหชายหนุ่มแทนเพื่อนสาวจริง ๆ
"แล้วแกก็ต้องทนอยู่ร่วมบ้านกับเขาเนี่ยนะ ไหวเหรอ" แยมเอ่ย
"จะให้เราทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อแม่เราก็อยู่ที่นั่น" ดาริกาตอบอย่างปลง ๆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่คิดเรื่องที่จะย้ายออกจากบ้านพิทักษ์ธรานนท์ แต่ติดตรงที่แม่นี่แหละสาเหตุสำคัญ
"เราล่ะเหนื่อยใจแทนจริง ๆ" มิ้นท์กับแยมได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่มองหน้าเพื่อนด้วยความสงสาร
บรรยากาศรอบ ๆ เริ่มอึมครึมดาริกาจึงรีบชวนเพื่อนคุยเรื่องอื่น "เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ เรียนเสร็จไปเที่ยวห้างกันไหม"
"ไปสิ" แยมเอ่ย
"เดี๋ยว! ลืมแล้วเหรอว่าเรามีรายงานยังทำไม่เสร็จต้องส่งอาจารย์พรุ่งนี้แล้ว" มิ้นท์ทักท้วง
"ใช่ ลืมไปเลย" ดาริกาถึงกับยิ้มแหย่ ๆ เธอลืมไปเสียสนิทเลยว่ายังมีงานที่ต้องทำ
"เปลี่ยนจากเที่ยวห้างไปทำรายงานที่ห้องมิ้นท์แล้วกัน" แยมเอ่ย
หลังจากเรียนเสร็จทั้งสามก็พากันไปทำรายงานกลุ่มยังหอพักของมิ้นท์
ครืดดด~
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ดาริกาละสายตาจากหน้าจอโน๊ตบุ๊คไปมอง สองคิ้วสวยขมวดมุ่นเล็กน้อยเมื่อเห็นเบอร์ป้าสีนวลเพราะนับครั้งได้ที่ท่านโทรมาหา ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย
"ว่าไงคะป้านวล"
(ป้าแค่เป็นห่วงเห็นว่ามืดแล้วแต่หนูดายังไม่กลับมา ตอนนี้หนูดาอยู่ไหนจ๊ะ)
สิ้นเสียงปลายสายเธอก็มองเวลาบนนาฬิกาข้อมือปรากฏว่าเกือบจะหนึ่งทุ่มแล้วมัวแต่ทำรายงานจนลืมดูเวลาไปเลย
"อ๋อ..หนูทำรายงานอยู่ห้องเพื่อนค่ะ" เปล่งเสียงตอบปลายสายไป
(แล้วจะกลับตอนไหนจ๊ะ)
"หนูก็ยังไม่รู้ค่ะ ต้องรีบทำรายงานให้เสร็จ"
(เพื่อนนี่ผู้หญิงหรือผู้ชายจ๊ะ แล้วห้องเพื่อนอยู่แถวไหน)
คำถามละเอียดยิบจากปลายสายทำดาริกาขมวดคิ้วมุ่น เมื่อก่อนเธอก็กลับบ้านมืด ๆ อยู่บ่อยครั้งไม่เห็นป้าสีนวลจะโทรถามไถ่แบบนี้เลย วันนี้กลับมาแปลก
"เพื่อนผะ.." ทำท่าจะตอบ แต่สายกลับถูกตัดเสียก่อนพอยกจากหูมาดูปรากฏว่าโทรศัพท์เธอแบตหมดนั่นเอง
เธอคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรป้าสีนวลคงโทรถามไถ่เป็นพิธีจึงไม่ได้ใส่ใจชาตแบตโทรศัพท์ทิ้งไว้โดยไม่ได้เปิดเครื่อง แล้วทำรายงานต่อ
หนึ่งปีต่อมา"แม่กับพ่อรออุ้มหลานคนที่สองอยู่นะเมื่อไรจะมาสักทีฮึ หรือแอบคุมกำเนิดกันลูกถึงยังไม่มา" "แค่ก ๆ"คำถามจากแม่ยายทำเอาศรัณย์ที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มหลังจากทานข้าวเสร็จถึงกับสำลักจนคนเป็นภรรยาอย่างดาริกาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ต้องยื่นมือไปลูบหลังให้ "เป็นอะไรรึเปล่าคะ"เขาส่ายหน้าให้ภรรยาสาวแทนคำตอบเหมือนกับว่าไม่เป็นอะไรทั้งที่ลึก ๆ แอบกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดว่าเขาอาจจะมีปัญหาอะไรบางอย่างเพราะผ่านมาหนึ่งปีแล้ว แต่ภรรยาสาวยังไม่ท้องสักทีทั้งที่เขาก็ทำการบ้านแทบจะทุกวันเพื่อนบางคนเริ่มแซวว่าเขาไร้น้ำยาเพราะเคยโอ้อวดเอาไว้ในงานแต่งว่าเพื่อน ๆ รออุ้มหลานได้เลย ทว่าผ่านมาหนึ่งปียังไร้แวว คำแซวเล่นจากเพื่อนกับแรงกดดันจากพ่อตาแม่ยายทำเขากลัดกลุ้มไม่น้อยจนถึงขั้นต้องแอบนัดตรวจร่างกายเงียบ ๆ เมื่อไม่กี่วันก่อน และได้ผลตรวจมาแล้วแต่เขายังไม่กล้าเปิด"ไม่ได้คุมอะไรเลยครับ แต่น้องคงยังไม่อยากมาเกิดเลยยังไม่ท้อง" เขาแอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเปล่งเสียงตอบพ่อตาแม่ยายไปครั้นหายจากอาการสำลัก"ใช่ค่ะ" ดาริกาเอ่ยสมทบ เธอรู้จักกับคนเป็นสามีมาเนิ่นนานมีหรือจะอ่านใจ และเดาความคิดไม่ออกว่าเขากำล
งานแต่งจบลงในช่วงค่ำแขกเหรื่อเริ่มทยอยกันกลับจนหมดรวมถึงครอบครัวของทั้งสองฝ่าย และบุตรสาวที่ถูกคุณยายพากลับไปด้วยเพราะรู้ว่าคืนนี้บ่าวสาวต้องเข้าหอกันภายในงานจึงเหลือเพียงเพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่ายที่ยังอยู่ฉลองกันต่อจนเวลาล่วงเลยถึงสามทุ่ม"เข้าหอได้แล้วไอ้รัณย์ เผื่อได้น้องให้น้องริสาสักคน" "ใช่ ๆ น้องริสาจะได้ไม่เหงา"เสียงพ้องเพื่อนของศรัณย์เอ่ยขึ้นทำดาริกาหน้าแดงระเรื่อ หันมองสามีป้ายแดงที่นั่งโอบเอวเธออยู่ด้วยความเขินอายศรัณย์มองสบดวงตากลมอย่างกรุ่มกริ่ม ก่อนจะหันไปยืดอกตอบเพื่อน ๆ "พวกมึงรอเลี้ยงหลานคนที่สองได้เลย""ฮิ้ววว..."สิ้นคำพูดของเขาทุกคนก็พากันโห่ร้องออกมา บ้างก็พูดแซวขำ ๆ ยิ่งทำให้ดาริกาเขอะเขินจนตัวแทบลอยใช้มือตีแขนคุณสามีขี้อวดไปหนึ่งที"คนบ้า.."แทนที่ศรัณย์จะเจ็บกลับกลั้วหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืนบอกกล่าวกับเพื่อน ๆ "เชิญตามสบายนะ กูกับเมียขอตัวก่อน"เอ่ยจบก็ช้อนร่างบอบบางขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาว"ว้าย!"คนถูกอุ้มหลุดอุทานออกมา สองมือรีบตวัดคล้องลำคอแกร่งด้วยความตกใจ ขณะที่อีกคนมองหน้าแตกตื่นของเธอแล้วหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูพลางก้าวเท้าเดินออก
หลังจากขอแต่งงานเสร็จหนึ่งอาทิตย์ต่อมางานแต่งของทั้งสองก็จัดขึ้นทันทีเสียงดนตรีคลาสสิกแผ่วเบาดังคลอไปกับเสียงคลื่นทะเลที่กระทบฝั่ง บนสนามหญ้าสีเขียวริมชายหาดสีขาวนวลถูกเนรมิตให้กลายเป็นงานแต่งงานในฝันของดาริกาผืนผ้าขาวพริ้วไหวตามแรงลม ผูกเป็นซุ้มโค้งเรียบง่ายแต่สง่างามประดับด้วยดอกไม้โทนสีพีช ครีม และชมพูอ่อน บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกไม้นานาชนิดเคล้าด้วยกลิ่นอายจากทะเล แขกจำนวนไม่น้อยเริ่มทยอยกันมานั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบท่ามกลางท้องฟ้าอันสดใสและแสงแดดนวลยามเย็นเสียงดนตรีคลาสสิกเงียบลงมีเสียงเปียโนบรรเลงเพลงรักสุดโรแมนติกขึ้นมาแทนเมื่อเจ้าสาวปรากฏกายขึ้นดาริกาในชุดเจ้าสาวลูกไม้สีขาวเปิดไหล่แขนยาวสไตล์ลักชูรี่เรียบหรูพอดีตัวโชว์ให้เห็นสวนโค้งเว้ากระโปรงยาวลากพื้นทรงผมมวยแบบแสกกลางปัดหน้าม้าไปด้านข้างเล็กน้อยแล้วเติมความหวานด้วยการใส่เทียร่า และเวลาสีขาวยาวลากพื้นใบหน้าแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางจากช่างแต่งหน้าฝีมือดีสวยจนทุกสายตาจับจ้องเดินจูงลูกสาวตัวน้อยในชุดเจ้าหญิงกระโปรงฟูฟ่องไปตามทางเดินที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเวลสีขาวบริสุทธิ์ปลิวไหวตามสายลม ด
วันต่อมาเขาก็ไปหาพ่อแม่ของหญิงสาวตามที่ได้พูดไว้ทันที มาถึงบ้านเกียรติกมลก็เห็นหญิงสาวยืนรออยู่หน้าบ้านแล้ว จากที่ใบหน้าเคร่งขรึมด้วยความกังวลพอเห็นหน้าเธอพอทำให้เขายิ้มออกมาได้บ้างรีบเปิดประตูลงจากรถเดินไปหาเธอ "คิดถึงจังเลยครับ""เพิ่งแยกกันเมื่อวานเอง มาคิดถึงอะไรกันคะ" ดาริกาแอบเบาะปากกับความเวอร์วังของชายหนุ่ม ทว่าในใจเธอก็คิดถึงเขาไม่ต่างกันเพราะจู่ ๆ ก็ต้องแยกกันทั้งที่ก่อนหน้านี้อยู่ด้วยกันแทบทุกเวลา"พี่พูดจริงนะครับ" เขาทำหน้าอ้อน แต่สายตากวาดมองไปทั่วเหมือนหาอะไรเธอจึงถามไถ่ "มองหาอะไรคะ""ลูกไปไหนครับ""ออกไปเที่ยวกับพี่กิจค่ะ""อ๋อ""เข้าบ้านกันเถอะค่ะ" เธอรีบชวนเขาเข้าบ้านเพราะพ่อกับแม่รออยู่ เมื่อเขาพยักหน้าจึงเดินนำเข้าไปในบ้านศรัณย์อดประหม่าไม่ได้เมื่อเผชิญหน้ากับว่าที่พ่อตาแม่ยายที่นั่งหน้าเคร่งขรึมอยู่บนโซฟาในห้องโถง หญิงสาวเหมือนจะรู้จึงแอบจับมือเขาแล้วบีบเบา ๆ เชิงให้กำลังใจ ก่อนจะคลายออก แล้วแนะนำเขากับพ่อแม่"พ่อคะ แม่คะนี่คุณศรัณย์ค่ะ""สวัสดีครับ" สิ้นเสียงแนะนำเขาก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยท่าทางนอบน้อม"จ้ะ" แม่ของเธอยิ้มใหญ่เขา ต่างจากคนเป็นพ่อที่จ้องร
วันต่อมา-บ้านพิทักษ์ธรานนท์-ศรัณย์กลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์เหงาหงอยเพราะต้องแยกจากลูกเมีย หากไม่คิดว่ามันดูน่าเกลียดเกินไปเขาอยากจะไปคุยกับพ่อแม่ของดาริกาตั้งแต่กลับมาถึงกรุงเทพแล้วเขาอยากจะแต่งงานกับเธอวันนี้เดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำเพราะไม่อยากจะแยกกับทั้งสองแม้นาทีเดียว"ลูกหายไปไหนมาตั้งสองเดือนศรัณย์ รู้ไหมพ่อเป็นห่วงมาก" ทันทีที่เขาโผล่หน้าเข้าบ้านผู้เป็นพ่อก็พุ่งเข้ามาถามไถ่ สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเขาเหมือนจะคลายความโกรธจากท่านได้บ้างแล้ว แต่พอหันไปเห็นหน้าเกสรที่นั่งบนโซฟาในห้องโถงก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา"ไปง้อลูกกับเมียมา" เปล่งน้ำเสียงห้วนกระด้างตอบท่าน"ลูกเมีย?" เกรียงศักดิ์คิ้วขมวดจนแทบจะชนกัน งงเป็นไก่ตาแตกกับคำตอบ บุตรชายไปมีลูกมีเมียตอนไหนกันก็เห็นจะเป็นจะตายกับการสูญเสียดาริกาอยู่ทุกวัน"พ่อคงยังไม่รู้ว่าน้องดายังไม่ตาย และยังกลับมาพร้อมลูกของผมด้วย" ศรัณย์จึงบอกให้ท่านหายสงสัย"ห๊ะ!"เกรียงศักดิ์หายสงสัย แต่กลายเป็นตกใจ และงุนงงแทน ไม่ต่างจากเกสรที่ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ"แต่วันนั้นทุกคนก็เห็นกับตาว่าหนูดาตายไปแล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงที่หนูดายังมีชีวิตอยู่" "เ
ตกค่ำถึงเวลาพาลูกเข้านอนศรัณย์ก็พาลูกเข้านอนปกติ พอลูกหลับก็ลุกเดินออกไปไม่คิดแหกกฏแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ของลูกจะดีขึ้นมากแล้ว"เดี๋ยวก่อน"ทว่าเดินยังไม่พ้นประตูก็ถูกเรียกไว้ เขาหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองร่างบางที่นั่งพิงหัวเตียงด้วยความสงสัย"น้องดามีอะไรรึเปล่าครับ""มานอนกับลูกสิ จะไปไหน" สิ้นคำบอกกล่าวของเธอใบหน้าคมเข้มก็ยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ ขณะเดียวกันก็ไม่อยากเชื่อหูตัวเองเท่าไรจึงถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาดไป"น้องดาอนุญาตให้พี่นอนกับลูกเหรอครับ" "หรือจะไม่นอนคะ""นอนครับนอน" พอเธอตอบมาแบบนั้นก็รีบเดินกลับไปขึ้นเตียงทันที เขารอเวลานี้มาตั้งนานจะปล่อยให้หลุดลอยไปได้อย่างไร"ขอบคุณนะครับที่ยอมให้พี่นอนกับลูก" เขามองสบดวงตากลมด้วยความรู้สึกขอบคุณ เธอสบตาเขานิ่ง ๆ ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ ก่อนจะยื่นมือไปปิดโคมไฟหัวเตียง แล้วล้มตัวลงนอน"พี่รักน้องดานะ ฝันดีนะครับ"เขาเอ่ยอีกครั้งพลางล้มตัวลงนอน ก่อนหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างมีความสุข เฉกเช่นเดียวกับดาริกาที่หลับไปพร้อมกับรอยยิ้มวันต่อมาปกติศรัณย์จะตื่นก่อนใคร แต่วันนี้กลับกลายเป็นดาริกาที่ตื่นก่อน เธอยืนมองสอ