“ร้องให้ตายก็ไม่มีผู้ใดช่วยหรอก พวกนั้นเกลียดเจ้ายังกับตัวอะไรดี มาเถอะเรามาเล่นสนุกกันก่อน เสร็จแล้วค่อยเอาเงินให้ข้าก็ยังไม่สาย ฮ่า ๆ” นอกจากจะรีดไถเงินจากไป๋เหลียนแล้ว หลังจากนี้เขาจะตั้งตนเป็นคนจัดหาแขกให้นางเอง แค่คิดถึงเม็ดเงินที่ได้ก็แทบทนรอไม่ไหวแล้ว
“ถุย ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า” รู้เช่นนี้ข้าน่าจะยัดยาฆ่าแมลงแทนที่จะเป็นยาปลุกเซ็กซ์ให้มันกิน ไม่น่าไว้ชีวิตให้ย้อนกลับมาทำร้ายตนเองเช่นนี้เลย
หญิงสาวล้มลุกคลุกคลาน พยายามดิ้นรนหนีให้พ้นจากเงื้อมมือของติงเฉิงสุดกำลัง ปากหรือก็ร้องให้คนช่วยไม่หยุด แม้จะรู้ว่าจะไม่มีผู้ใดมาช่วยก็ตาม
อีกแค่นิดเดียวจะถึงบ้านอยู่แล้ว ถ้านางไปถึงบ้านอย่างน้อยก็มีหลี่มู่กวาอยู่ด้วย ให้ตายด้วยมือเขายังดีเสียกว่าต้องมาตายด้วยมือคนต่ำช้าอย่างติงเฉิง ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไปหรือไม่ ยังไม่ทันจะได้ออกแรงทำอะไรเลยเท่านี้ก็อ่อนปวกเปียกเสียแล้ว
“ร้องไปเถอะ แหกปากให้ตายก็ไม่มีคนสนใจเจ้าหรอก ฮ่า ๆ”
ติงเฉิงหัวเราะชอบใจเป็นการใหญ่ มองไป๋เหลียนด้วยสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือ คว้าขาเรียวเล็กได้พร้อมกับลากไป๋เหลียนเข้าหาตัวได้ด้วยมือข้างเดียว เมื่อจับยึดตัวอีกฝ่ายไว้ได้ มือข้างที่เหลือดึงทึ้งอาภรณ์ตัวนอกขาดวิ่น
เพียงแค่เห็นร่องอกขาวเนียนก็ทำเอาน้ำลายแทบหก ถึงจะรู้ว่าไป๋เหลียนเป็นคนสวยแต่ก็ไม่คิดว่าข้างในจะน่ากินถึงเพียงนี้ ไม่อยากจะนึกเลยหากตนปอกเปลือกนอกทั้งหมดออก ภายในจะงามสักแค่ไหนกันนะ
“อ๊ากกก!!”
ทว่าสิ่งที่ติงเฉิงคิดยังไม่ทันได้ทำสักอย่างเขากลับร้องเสียงหลง ยกมือขึ้นกุมหูทั้งสองข้างรู้สึกแสบไปทั้งยังมีเลือดไหลไม่หยุด ทันทีที่ได้เห็นเลือดพร้อมกับใบหูครึ่งหนึ่งเขาก็แทบจะสิ้นสติ ลนลานถอยห่างไป๋เหลียน เมื่ออาวุธที่ตัดหูเขาเมื่อครู่กำลังจ่ออยู่ที่คอหอย
“นายท่านข้ากลัวแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ ถ้าท่านอยากได้นังนั่นก็เอาไปข้ายกให้ขอรับ แค่ท่านไว้ชีวิตข้าก็พอ” ติงเฉิงตัวสั่นงันงกกลัวเกินกว่าจะทำเป็นเก่งได้อีกต่อไป พยายามต่อรองร้องขอชีวิต ทว่าคำพูดของบุรุษผู้นั้นยิ่งทำให้ติงเฉิงได้รู้ว่าตนคิดผิดมหันต์ ด้วยไม่คิดว่าทั้งสองจะเป็นพวกเดียวกัน
“มันทำอะไรเจ้าอีก” หลี่มู่กวาหันกลับไปถามสตรีข้างกาย ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้คำตอบ เมื่อไป๋เหลียนกลัวเสียจนสติหลุดไปแล้ว
“มือสองข้างนี้ใช่หรือไม่ที่บังอาจแตะต้องเจ้า ปากนี่ใช่หรือไม่ที่ด่าทอดูถูกเจ้า”
ไป๋เหลียนนั้นยังคงตื่นกลัวพูดอะไรไม่ออกได้แต่กลั้นเสียงสะอื้น น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะ ทำได้ดีที่สุดก็เพียงแค่พยักหน้าให้แม่ทัพหนุ่ม หวังว่าเขาจะเอาคืนให้อย่างสาสม
“อ๊าก! ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ”
ชั่วพริบตามือติงเฉิงเลือดพุ่งกระฉูด ถูกตัดนิ้วก้อยหายไปทั้งสองข้างอย่างง่ายดาย พร้อมกันนั้นหลี่มู่กวาใช้ปลอกดาบตบเข้าที่ปากอีกฝ่ายจนเลือดกบปาก ยังไม่พอเขายังตบซ้ำ ๆ จนกว่าฟันหน้าติงเฉิงหลุดออกมาทั้งแถบ กระนั้นก็ยังไม่เป็นที่พอใจอยู่ดี
“ตรงนี้ใช่หรือไม่ที่บังอาจจะใช้มันกับคนของข้า”
“อ๊ากกก”
กายหนาตวัดดาบในมือเฉือนจ้าวโลกขาดเป็นสองท่อน กระทั่งเมื่อไป๋เหลียนกระตุกแขนเสื้อพยักหน้าให้ เขาถึงได้หยุดการทรมานแล้วปล่อยติงเฉิงไป
“ฮึก ฮือออ”
เมื่อทุกอย่างจบลงร่างบางสวมกอดคนตัวโตทันที ปล่อยโฮเสียยกใหญ่ ลืมสิ้นความเกรงกลัวพระรองจอมโหด ไม่เสียแรงที่นางชื่นชมในตัวเขามาก การถูกคนที่ตนชอบช่วยชีวิตไว้แบบนี้ยิ่งทำให้นางชอบเขามากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ไป๋เหลียนกอดกายหนาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ประหนึ่งว่าคนผู้นี้คือที่พึ่งเดียวสำหรับนางไปแล้ว ต่อไปจะไม่คิดหนีอีกแล้ว หากอยากเอาชีวิตกันนางก็ยินดี
ด้านหลี่มู่กวานั้นยังไม่หายจากความกรุ่นโกรธ อยากจะตามไปเก็บเจ้านั่นฝังลงดินให้รู้แล้วรู้รอด กระนั้นก็ได้แต่หักห้ามใจ ตรงนี้น่าเป็นห่วงมากกว่าไม่อาจทิ้งไว้ลำพังได้
ชายหนุ่มได้แต่กอดปลอบพร้อมกับตบหลังนางเบา ๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย รอจนกระทั่งไป๋เหลียนหยุดร้องไห้ จึงถอดเสื้อคลุมตนเองให้นางสวมปิดบังร่างกาย พร้อมกับเก็บกระบุงที่กลิ้งไปเสียไกลกลับมา
“กลับบ้านกันเถอะ”
กายหนาจูงมือคนตัวเล็กกลับบ้าน แม้นางจะยังขาอ่อนเดินไม่ไหวอย่างไรก็ต้องเดินด้วยตนเองให้ได้ ด้วยเขาเองก็จนปัญญาไม่อาจจะอุ้มนางได้ดั่งใจเช่นกัน
เขาเองก็ยังเอาตัวไม่รอด แผลที่เกือบสมานก็ดันมาปริแตกอีกครั้งจากความไม่ระวังเมื่อครู่ ทำอะไรไม่ได้นอกจากจูงมือกันเดินกลับบ้านอย่างช้า ๆ คอยประคองเพื่อไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยกันทั้งคู่
“ในที่สุดก็ถึงเวลานี้เสียที ซิงเยี่ยนมาหาข้า” หัวหน้าคณะทูตกวาดสายตามองทุกคนพร้อมกับกระตุกยิ้ม ทว่าผู้ที่เขาหมายตาอยากจะแก้แค้นมากที่สุด บังอาจมาหยามหน้าตนต่อธารกำนัลจะไม่เอาคืนได้อย่างไรข้างกายเตี่ยซำฮวงก็ยังมีโส่วฮุ่ยผู้ร่วมขบวนการ อำมาตย์งูพิษยืนทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ภูมิใจที่ตนมีส่วนช่วยให้งานครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดีเมื่อกายหนาของอ๋องผู้สูงศักดิ์ก้าวออกมาตามคำสั่งด้วยสายตาเหม่อลอย บัดนี้เขาไม่เหมือนคนปกติ ดวงตาเลื่อนลอย เพียงแค่ได้ยินคำสั่งจากเตี่ยซำฮวงก็ไม่อาจขัดขืน ยอมทำตามคำสั่งได้อย่างไม่มีข้อแม้“ข้าหรือก็นึกว่าจะแน่ เจ้าหนูคนอ่อนประสบการณ์เช่นเจ้าจะไปสู้จิ้งจอกอย่างข้าได้หรือ ช่างไม่รู้จักเจียมตัว แล้วข้าจะให้เจ้าเห็นว่าคนจริงเขาทำกันอย่างไร ฮ่า ๆ” ทูตเฒ่าตบเบา ๆ ข้างแก้มอ๋องหนุ่ม ก่อนจะออกคำสั่งอีกครั้ง แล้วชี้ไปที่ปลายเท้าของตน “คุกเข่า”ปึก!เพียงแค่ประโยคเดียวกายหนากลับคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย ไม่เหลือคราบอ๋องผู้เกรียงไกรกรำศึกมาทุกสนามรบ การกระทำของซิงเยี่ยนพานทำให้คนทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน ไม่คิดว่าจะจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้“ไม่นึกว่าจะง่ายดายเช่นนี้นะขอรับ” โส่วฮุ่ยกล
แม้จะเกิดเรื่องราววุ่นวายหลายอย่าง กระนั้นทุกอย่างกลับผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทุกอย่างดูฉุกละหุกไปหมดแต่ก็สามารถทำขึ้นมาใหม่ได้ทันเวลา แม้จะไม่หวือหวาเหมือนดั่งตอนแรกแต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว“คณะทูตแคว้นฉู่มาถึงแล้ว”เสียงประกาศจากคนเฝ้าประตูด้านนอก ทำให้คนที่คอยท่าอยู่ในห้องรับรองต่างลุกขึ้นยืนรอต้อนรับเหล่าคณะทูตแคว้นฉู่ต่างพากันเดินเรียงรายเข้ามาถึงโถงด้านใน สองฝ่ายประจันหน้าต่างฝ่ายต่างก็หยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากทักทายกัน ยกเว้นก็แต่อำมาตย์โส่วฮุ่ยทั้งนอบน้อมและคอยเอาอกเอาใจฝ่ายตรงข้ามอย่างออกหน้าออกตา“ท่านทูตพวกท่านเดินทางกันมาเหนื่อย ๆ เชิญพักชมการแสดงดื่มกินให้สุขสำราญเถิดขอรับ” อำมาตย์โส่ววิ่งรอกจากตรงนั้นไปตรงนี้ให้วุ่น ไม่แม้แต่จะสนใจบุคคลสำคัญของแคว้นตนเองเลยสักนิด“อืม ดี จัดการได้ดี ไม่นึกว่าแคว้นที่เอาแต่ทำศึกติดต่อกันมานานจะคงมั่งคั่งถึงเพียงนี้ แต่ก็เทียบกับแคว้นฉู่เราไม่ได้ละนะ ของพวกนี้ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น” หัวหน้าคณะทูตแคว้นฉู่ เตี่ยซำฮวง วางท่าโอ้อวดเปรียบเทียบทั้งสองแคว้น มิหนำซ้ำเขายังกล่าวกระทบกระทั่ง คล้ายจะชื่นชมแต่กลับดูแคลนอยู่ในที“งานนี้
“เจ้าเข้ามาวุ่นวายอะไรที่นี่ ท่านแม่ทัพมิได้บอกหรือว่านี่คือเขตหวงห้ามคนนอกห้ามเข้าน่ะ” โส่วฮุ่ยไม่คิดจะให้เกียรติสตรีตรงหน้า เขามองว่าก็แค่สตรีชาวบ้านไร้ชาติตระกูล ยกตนขึ้นมาเป็นฮูหยินแม่ทัพได้คงไม่พ้นใช้เรือนร่าง ไม่มีค่าอะไรให้เขาต้องใส่ใจ“ข้าก็แค่เห็นว่าพวกนางแต่งกายงามนัก จึงอยากจะเข้ามาชื่นชมสักหน่อยเจ้าค่ะ”“เฮอะ! สตรีบ้านนอกไร้ชาติตระกูลก็เช่นนี้ ออกไปได้แล้ว อย่าได้มาก่อความวุ่นวายให้คนอื่น”“อย่างไรเสียท่านผู้นี้คือฮูหยินท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ อย่างไรก็ควรให้ความเคารพกันบ้าง” หลิวซือซือทนไม่ได้กับความไร้มารยาทของอีกฝ่าย อย่างไรแม่นางไป๋เหลียนก็เป็นถึงฮูหยินท่านแม่ทัพก็ควรจะให้เกียรติกันบ้าง“พอเถอะซือซือ” หญิงสาวรีบปรามไม่ให้หลิวซือซือ ยามนี้ไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ “ต้องขออภัยที่ข้าถือวิสาสะเข้ามาเอง เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว”“แต่ว่าฮูหยิน เราจะยอมง่าย ๆ เช่นนี้หรือเจ้าคะ”“ช่างเถอะข้าไม่ได้สนใจ” ที่นางมิได้ใส่ใจคำตำหนิ ก็เพราะตัวนางเองก็มิได้มีชาติตระกูลจริง ทั้งตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาต่อปากต่อคำไร้สาระ เรื่องถุงหอมมีพิษสำคัญกว่า“ก็แค่สตรีที่เอาเรือนร่างเข้าแลก มีค่าอะไร
พักอยู่เมืองหน้าด่านมาก็หลายวัน ในที่สุดก็ถึงวันที่คณะราชทูตแคว้นฉู่เดินทางมาถึงเมืองหน้าด่าน ขบวนของพวกเขานั้นยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา สมกับเป็นแคว้นที่กำลังรุ่งเรืองในเรื่องการค้า แม้จะขึ้นชื่อเรื่องการค้าทว่ากลับอ่อนด้านฝีมือทหาร ที่ยืนหยัดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะความมากเล่ห์ จึงไม่แปลกที่แคว้นฉู่มีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าตนเองจะต้องเป็นต่อแคว้นเป่ยแคว้นฉู่จึงใช้การแลกเปลี่ยนเพื่อหวังจะได้เปรียบไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง พวกเขาเสนอของมีค่ามากมายเพื่อทำข้อตกลงในการใช้เส้นทางสายไหมของแคว้นเป่ยส่งสินค้า แคว้นเป่ยที่ขาดทรัพย์เพื่อมาฟื้นฟูแว่นแคว้นจึงได้ตกปากรับคำ โดยลดค่าผ่านทางให้แคว้นฉู่หนึ่งในสามส่วนที่ต้องจ่ายในแต่ละปีดังนั้นของที่อยู่บนเกวียนม้ากว่าสามสิบคันรถ พร้อมกับคนคุ้มกันห้าร้อยนายกำลังเคลื่อนขบวนสู่ประตูเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นของมีค่ามหาศาล ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันตื่นเต้น ดีอกดีใจที่พวกเขาจะไม่ต้องอดตายในยามศึกสงครามเช่นนี้บัดนี้จวนแม่ทัพกำลังยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมต้อนรับเป็นการใหญ่ คนในเรือนคึกคักตื่นเต้นที่ได้รับโอกาสจัดงานใหญ่ครั้งแรก มีเพียงไป๋เหลียนที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย นา
ในสายตาของแม่ทัพหนุ่มตอนนี้ ไม่มีสตรีใดเข้ามาแทนที่ไป๋เหลียนในใจเขาได้อีกแล้ว และยิ่งได้รู้ว่าคนที่มีสัมพันธ์กับตนในคืนนั้นก็คือนาง เพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างต่อกันทั้งนั้นการกระทำของไป๋เหลียนคนก่อนเขาจะให้อภัย แม้ความผิดนางมากนักทว่าความดีที่ทำให้เขาได้พบรักแท้ ถือว่าทุกอย่างลบล้างกันได้ก๊อก ๆ ระหว่างที่คนทั้งคู่กำลังหวานชื่นกันนั้น กลับมีคนเคาะประตูขัดจังหวะเข้าพอดี สองร่างดีดตัวออกห่างกันอย่างรวดเร็ว ได้แต่นึกเสียดายที่มีคนมาขัดช่วงเวลาสำคัญ“ฮูหยิน ท่านแม่ทัพ ข้านำของว่างมาให้เจ้าค่ะ”“เข้ามาได้” เสียงคนด้านนอกช่างคุ้นหูนัก ทว่าเมื่อประตูถูกเปิดออกไป๋เหลียนจึงกระจ่างแล้วว่าน้ำเสียงอันคุ้นหูคือผู้ใดหลิวซือซือพร้อมหญิงรับใช้อีกสองคนยกของเข้ามาในห้อง นางเผยยิ้มกว้างเมื่อเห็นผู้มีพระคุณ การได้มาอยู่ที่นี่คือวาสนาของนางแล้ว ทั้งสะดวกสบายและมีคนให้เกียรติ ราวกับเป็นโลกใบใหม่ที่เพิ่งได้เคยสัมผัส“ซือซือเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าอยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่”“สบายดีเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเหมือนได้รับชีวิตใหม่เลยเจ้าค่ะ ข้าอยากตอบแทนบุญคุณท่านทั้งสอง ได้โปรดให้ข้า
หลังจากพักอยู่เมืองเจียงเป่ยหนึ่งคืน รุ่งสางคนทั้งสี่ก็ได้ออกเดินทางกลับเมืองหน้าด่านฉู่เจียงทันที เมื่อรู้แล้วว่าผู้ใดคือหนอนบ่อนไส้ คอยแฝงตัวได้อย่างแนบเนียน เรื่องนี้สำคัญมากซิงเยี่ยนจึงสั่งให้จิ้งกังเป็นผู้ส่งสารให้ถึงมือฝ่าบาทด้วยตนเองอนึ่งเพื่อให้ฝ่าบาทได้วางแผนตั้งรับได้ทันท่วงที พร้อมกับเสนอให้แสร้งทำเป็นเห็นดีเห็นงาม เมื่อได้โอกาสจึงค่อยตลบหลังพวกแคว้นฉู่ในตอนที่พวกมันชะล่าใจหลังจากจิ้งกังตะบึงม้าแยกตัวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง คนที่เหลือจึงกลับไปรอที่เมืองหน้าด่าน ทว่ากว่าจะไปถึงไป๋เหลียนก็ถึงกับโอดครวญ เป็นครั้งแรกที่นางอยู่บนหลังม้ากว่าครึ่งค่อนวัน ร้าวระบมไปหมดโดยเฉพาะก้นของนาง ที่ต้องกระแทกกับอานม้าเป็นเวลานานดีที่การเดินทางครั้งนี้นางอ้อนขอให้หลี่มู่กวาสอนขี่ม้า เพื่อว่าในภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องคอยเป็นภาระผู้อื่น ซิงเยี่ยนเห็นว่ายังพอมีเวลาไม่ต้องเร่งรีบ จึงอนุญาตให้สหายสอนภรรยาขี่ม้าตามต้องการ ด้วยทั้งสองเมืองห่างกันไม่ไกลนัก หากปล่อยม้าเดินเอื่อย ๆ อย่างมากก็ใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม หรือถ้าวิ่งเหยาะ ๆ ก็คงถึงเมืองหน้าด่านค่ำพอดีเมื่อมาถึงเมืองหน้าด่านฉู่เจียง ทุกคนต่างแยกย้า