ย้อนกลับไปเมื่อยามเช้าตรู่
หลี่มู่กวาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาหลังจากไป๋เหลียนออกไปได้ไม่นาน คราแรกยอมรับว่าตกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าตนจะหลับลึกถึงขั้นไม่รู้สึกตัวตื่นได้ถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาแม้บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยแค่ไหน อดหลับอดนอนหลายวันก็ตาม หากมีอะไรเล็กน้อยขยับใกล้ตัวเขาจะตื่นตัวทันที ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ไม่แม้แต่จะรู้ตัวด้วยซ้ำว่าไป๋เหลียนหายไปตั้งแต่ตอนไหน
เมื่อครั้นตั้งสติได้ชายหนุ่มก็เริ่มมองหาเจ้าของบ้าน ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่าไร้เงาไป๋เหลียน ภายในหัวฉุกคิดขึ้นมาได้หรือว่าสตรีบ้าบังอาจหนีเขาไปแล้ว นอกจากไม่คิดจะรับผิดชอบยังคิดจะหนีอีกหรือ คอยดูเถิดตามตัวได้เมื่อใดรับรองได้ว่าจะสับนางให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้น
กายหนาควานหาดาบคู่กายแต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่พบ เขาแทบจะรื้อทั้งห้องนอนก็ว่าได้ จนกระทั่งพบว่าดาบของเขาถูกซุกไว้ใต้เตียง หลังจากเก็บดาบเข้าปลอกคาดเอวก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน เมื่อมีถาดอาหารที่กำลังส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
“เข้าเมือง จะกลับให้ทันมื้อกลางวัน ทำโจ๊กไว้ให้ตื่นมาอย่าลืมกินข้าวและกินยา ไป๋เหลียน” หลี่มู่กวาอ่านข้อความในจดหมายถึงกับหัวเราะอย่างขบขัน นี่เขาคิดเป็นตุเป็นตะไปถึงไหนกัน ถึงได้คิดว่าสตรีอ่อนแอไม่มีที่ไปคิดจะหนี แต่ถึงนางหนีจริงเขาไม่เชื่อว่าจะหานางไม่พบ
ชายหนุ่มวางกระดาษข้อความไว้ที่เดิม ก่อนจะกลับไปนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง ครั้นเมื่อมองถ้วยโจ๊กก็ต้องกลืนน้ำลายตาม ทั้งหน้าตาและกลิ่นมันช่างเรียกความหิวได้ดียิ่งนัก
แม้จะยังไม่ไว้ใจสตรีบ้าเท่าไรนัก กระนั้นต้องละทิ้งซึ่งทิฐิในใจลงก่อน ชายหนุ่มตัดสินใจคว้าเอาถ้วยโจ๊กมาถือไว้ แล้วใช้เข็มเงินจุ่มลงไปในอาหาร อย่างไรเสียความปลอดภัยต้องมาก่อน เกรงว่าจะถูกวางยาซ้ำรอบสอง เมื่อเห็นแล้วว่าเข็มเงินไม่เปลี่ยนสี หลี่มู่กวาจึงได้วางใจยอมกินโจ๊กถ้วยนั้นแต่โดยดี
เพียงแค่ตักชิมคำแรกก็เริ่มติดใจกับรสชาติ ไม่คิดว่าแค่โจ๊กหมูหน้าตาธรรมดาจะรสดีถูกปากได้ถึงเพียงนี้ หลังจากนั้นโจ๊กหมูถ้วยใหญ่ก็ถูกกวาดเรียบในพริบตา
เมื่อเติมพลังเต็มอิ่มชายหนุ่มจึงให้ความสนใจยาสองเม็ดที่วางไว้ข้างกัน หน้าตาช่างแปลกนักไม่เคยเห็นมาก่อน เคยเห็นก็แต่ยาลูกกลอนเม็ดกลมสีดำ หลากสีเช่นนี้ใช่ยาแน่หรือ
คราแรกก็ไม่แน่ใจกล้า ๆ กลัว ๆ ทว่าเมื่อหวนนึกถึงคืนที่ผ่านมา เขาจำได้เลือนรางว่าไป๋เหลียนให้เขากินยาพวกนี้เข้าไป ไม่นานอาการปวดหัวราวกับจะระเบิดเสียให้ได้ก็ค่อยทุเลาลง มันออกฤทธิ์ได้ดีและเร็วกว่ายาของหมอหลวงเสียอีก คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงโยนเข้าปากพร้อมกับดื่มน้ำตาม กระทั่งเมื่อยาออกฤทธิ์เขาจึงได้หลับไปอีกครั้ง โดยที่เจ้าตัวจับดาบไว้แน่นเกรงว่าจะหายไปอีก
หลี่มู่กวาหลับไปได้เพียงแค่หนึ่งชั่วยามกลับมีเสียงเอะอะดังรบกวนการพักผ่อน ทำให้ต้องลุกจากเตียงด้วยความรำคาญ ครั้งจะหลับต่อก็หลับไม่ลงเสียแล้ว ด้วยเสียงจากด้านนอกรบกวนเกินกว่าจะข่มตาลง
พลันนึกขึ้นได้ว่าไป๋เหลียนจะกลับมาให้ทันมื้อกลางวัน นี่ก็ได้เวลาแล้วเหตุใดยังไม่กลับมาอีก ชายหนุ่มกุมหน้าอกตนเองพลางหัวใจเต้นรัว ภายในมันเบาโหวงรู้สึกไม่ดี ราวกับกำลังจะสูญเสียบางอย่างอย่างไรอย่างนั้น พลันนึกถึงเสียงผู้คนทะเลาะกันเมื่อครู่ หลี่มู่กวาร้อนรนก้าวเท้าออกจากบ้านในทันที หวังว่าสิ่งที่เขาคิดจะไม่เป็นความจริง
สุดท้ายแล้วลางสังหรณ์ของเขาก็เป็นจริงจนได้ เมื่อเห็นไป๋เหลียนกำลังถูกทำร้ายอยู่ห่างจากบ้านไม่ไกลนัก โชคยังดีที่ตามไปช่วยได้ทัน ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเขาช้ากว่านี้นางจะมีสภาพน่าเวทนาแค่ไหน
ภาพของไป๋เหลียนถูกบุรุษเลวระยำนั่นกำลังดึงทึ้งเสื้อผ้าขาดไปทั้งตัว ทำเอาเขาหน้ามืดเกือบเชือดไอ้สารเลวนั้นให้ตายคามือ
“ต่อไปนี้ห้ามห่างจากข้าแม้แต่ครึ่งศอก เจ้ายังมีเรื่องติดค้างข้า มีข้าเท่านั้นที่จัดการเจ้าได้ใครก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้อง” หลี่มู่กวาตบโต๊ะเสียงดัง ทั้งโกรธและอารมณ์ค้างกับเรื่องเมื่อครู่ เขาตวัดตามองสตรีข้างกายเน้นย้ำให้นางได้รู้ว่ามีเขาที่สามารถทำนางได้คนเดียวเท่านั้น
หลังจากกระเตงกันมาถึงบ้าน อารมณ์หัวร้อนที่กักเก็บเอาไว้จากเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ระเบิดออกมาทันที หากไปไม่ทันจะทำเช่นไร แค่คิดก็อยากจะสับไอ้สารเลวนั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนเนื้อให้หมามันกิน
“วางใจเถอะเจ้าค่ะ ถ้าไม่จำเป็นข้าก็ไม่อยากไปไหน อยู่ที่ไหนข้าก็ตายอยู่ดีโดยเฉพาะอยู่กับท่าน” ประโยคแรกไป๋เหลียนโต้กลับเสียงดังฟังชัด ทว่าประโยคหลังกลับเบาหวิว“ตอนนี้ให้ข้าดูแผลท่านก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า” เมื่อครู่เขาได้ยินสิ่งที่นางพูดอย่างชัดเจน กระนั้นก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ดูเอาเถอะถูกตบตีช้ำไปทั้งตัวยังจะมีหน้ามาห่วงคนอื่นอีก ห่วงตนเองก่อนดีหรือไม่
กายหนาเดินเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งพร้อมค้นหาชุดใหม่ ชุดที่นางสวมอยู่นั้นแทบจะเรียกว่าเป็นชุดไม่ได้เสียด้วยซ้ำ นอกจากชุดสำหรับเปลี่ยนแล้วก็ยังมีกล่องไม้สำหรับอุปกรณ์ทำแผล เขาไม่รู้ว่าของพวกนี้อะไรใช้แบบไหนบ้าง จึงได้แต่ยื่นส่งให้ไป๋เหลียนจัดการเอง
หญิงสาวได้เห็นการกระทำของแม่ทัพหนุ่มแล้วก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เขามาที่นี่ก็เพื่อจะมาฆ่านางไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงได้ดูแปลกไปนักเล่า ทั้งยังความห่วงใยนั้นอีกรู้สึกตามอารมณ์ไม่ทันเอาเสียเลย
“ในที่สุดก็ถึงเวลานี้เสียที ซิงเยี่ยนมาหาข้า” หัวหน้าคณะทูตกวาดสายตามองทุกคนพร้อมกับกระตุกยิ้ม ทว่าผู้ที่เขาหมายตาอยากจะแก้แค้นมากที่สุด บังอาจมาหยามหน้าตนต่อธารกำนัลจะไม่เอาคืนได้อย่างไรข้างกายเตี่ยซำฮวงก็ยังมีโส่วฮุ่ยผู้ร่วมขบวนการ อำมาตย์งูพิษยืนทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ภูมิใจที่ตนมีส่วนช่วยให้งานครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดีเมื่อกายหนาของอ๋องผู้สูงศักดิ์ก้าวออกมาตามคำสั่งด้วยสายตาเหม่อลอย บัดนี้เขาไม่เหมือนคนปกติ ดวงตาเลื่อนลอย เพียงแค่ได้ยินคำสั่งจากเตี่ยซำฮวงก็ไม่อาจขัดขืน ยอมทำตามคำสั่งได้อย่างไม่มีข้อแม้“ข้าหรือก็นึกว่าจะแน่ เจ้าหนูคนอ่อนประสบการณ์เช่นเจ้าจะไปสู้จิ้งจอกอย่างข้าได้หรือ ช่างไม่รู้จักเจียมตัว แล้วข้าจะให้เจ้าเห็นว่าคนจริงเขาทำกันอย่างไร ฮ่า ๆ” ทูตเฒ่าตบเบา ๆ ข้างแก้มอ๋องหนุ่ม ก่อนจะออกคำสั่งอีกครั้ง แล้วชี้ไปที่ปลายเท้าของตน “คุกเข่า”ปึก!เพียงแค่ประโยคเดียวกายหนากลับคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย ไม่เหลือคราบอ๋องผู้เกรียงไกรกรำศึกมาทุกสนามรบ การกระทำของซิงเยี่ยนพานทำให้คนทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน ไม่คิดว่าจะจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้“ไม่นึกว่าจะง่ายดายเช่นนี้นะขอรับ” โส่วฮุ่ยกล
แม้จะเกิดเรื่องราววุ่นวายหลายอย่าง กระนั้นทุกอย่างกลับผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทุกอย่างดูฉุกละหุกไปหมดแต่ก็สามารถทำขึ้นมาใหม่ได้ทันเวลา แม้จะไม่หวือหวาเหมือนดั่งตอนแรกแต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว“คณะทูตแคว้นฉู่มาถึงแล้ว”เสียงประกาศจากคนเฝ้าประตูด้านนอก ทำให้คนที่คอยท่าอยู่ในห้องรับรองต่างลุกขึ้นยืนรอต้อนรับเหล่าคณะทูตแคว้นฉู่ต่างพากันเดินเรียงรายเข้ามาถึงโถงด้านใน สองฝ่ายประจันหน้าต่างฝ่ายต่างก็หยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากทักทายกัน ยกเว้นก็แต่อำมาตย์โส่วฮุ่ยทั้งนอบน้อมและคอยเอาอกเอาใจฝ่ายตรงข้ามอย่างออกหน้าออกตา“ท่านทูตพวกท่านเดินทางกันมาเหนื่อย ๆ เชิญพักชมการแสดงดื่มกินให้สุขสำราญเถิดขอรับ” อำมาตย์โส่ววิ่งรอกจากตรงนั้นไปตรงนี้ให้วุ่น ไม่แม้แต่จะสนใจบุคคลสำคัญของแคว้นตนเองเลยสักนิด“อืม ดี จัดการได้ดี ไม่นึกว่าแคว้นที่เอาแต่ทำศึกติดต่อกันมานานจะคงมั่งคั่งถึงเพียงนี้ แต่ก็เทียบกับแคว้นฉู่เราไม่ได้ละนะ ของพวกนี้ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น” หัวหน้าคณะทูตแคว้นฉู่ เตี่ยซำฮวง วางท่าโอ้อวดเปรียบเทียบทั้งสองแคว้น มิหนำซ้ำเขายังกล่าวกระทบกระทั่ง คล้ายจะชื่นชมแต่กลับดูแคลนอยู่ในที“งานนี้
“เจ้าเข้ามาวุ่นวายอะไรที่นี่ ท่านแม่ทัพมิได้บอกหรือว่านี่คือเขตหวงห้ามคนนอกห้ามเข้าน่ะ” โส่วฮุ่ยไม่คิดจะให้เกียรติสตรีตรงหน้า เขามองว่าก็แค่สตรีชาวบ้านไร้ชาติตระกูล ยกตนขึ้นมาเป็นฮูหยินแม่ทัพได้คงไม่พ้นใช้เรือนร่าง ไม่มีค่าอะไรให้เขาต้องใส่ใจ“ข้าก็แค่เห็นว่าพวกนางแต่งกายงามนัก จึงอยากจะเข้ามาชื่นชมสักหน่อยเจ้าค่ะ”“เฮอะ! สตรีบ้านนอกไร้ชาติตระกูลก็เช่นนี้ ออกไปได้แล้ว อย่าได้มาก่อความวุ่นวายให้คนอื่น”“อย่างไรเสียท่านผู้นี้คือฮูหยินท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ อย่างไรก็ควรให้ความเคารพกันบ้าง” หลิวซือซือทนไม่ได้กับความไร้มารยาทของอีกฝ่าย อย่างไรแม่นางไป๋เหลียนก็เป็นถึงฮูหยินท่านแม่ทัพก็ควรจะให้เกียรติกันบ้าง“พอเถอะซือซือ” หญิงสาวรีบปรามไม่ให้หลิวซือซือ ยามนี้ไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ “ต้องขออภัยที่ข้าถือวิสาสะเข้ามาเอง เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว”“แต่ว่าฮูหยิน เราจะยอมง่าย ๆ เช่นนี้หรือเจ้าคะ”“ช่างเถอะข้าไม่ได้สนใจ” ที่นางมิได้ใส่ใจคำตำหนิ ก็เพราะตัวนางเองก็มิได้มีชาติตระกูลจริง ทั้งตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาต่อปากต่อคำไร้สาระ เรื่องถุงหอมมีพิษสำคัญกว่า“ก็แค่สตรีที่เอาเรือนร่างเข้าแลก มีค่าอะไร
พักอยู่เมืองหน้าด่านมาก็หลายวัน ในที่สุดก็ถึงวันที่คณะราชทูตแคว้นฉู่เดินทางมาถึงเมืองหน้าด่าน ขบวนของพวกเขานั้นยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา สมกับเป็นแคว้นที่กำลังรุ่งเรืองในเรื่องการค้า แม้จะขึ้นชื่อเรื่องการค้าทว่ากลับอ่อนด้านฝีมือทหาร ที่ยืนหยัดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะความมากเล่ห์ จึงไม่แปลกที่แคว้นฉู่มีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าตนเองจะต้องเป็นต่อแคว้นเป่ยแคว้นฉู่จึงใช้การแลกเปลี่ยนเพื่อหวังจะได้เปรียบไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง พวกเขาเสนอของมีค่ามากมายเพื่อทำข้อตกลงในการใช้เส้นทางสายไหมของแคว้นเป่ยส่งสินค้า แคว้นเป่ยที่ขาดทรัพย์เพื่อมาฟื้นฟูแว่นแคว้นจึงได้ตกปากรับคำ โดยลดค่าผ่านทางให้แคว้นฉู่หนึ่งในสามส่วนที่ต้องจ่ายในแต่ละปีดังนั้นของที่อยู่บนเกวียนม้ากว่าสามสิบคันรถ พร้อมกับคนคุ้มกันห้าร้อยนายกำลังเคลื่อนขบวนสู่ประตูเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นของมีค่ามหาศาล ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันตื่นเต้น ดีอกดีใจที่พวกเขาจะไม่ต้องอดตายในยามศึกสงครามเช่นนี้บัดนี้จวนแม่ทัพกำลังยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมต้อนรับเป็นการใหญ่ คนในเรือนคึกคักตื่นเต้นที่ได้รับโอกาสจัดงานใหญ่ครั้งแรก มีเพียงไป๋เหลียนที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย นา
ในสายตาของแม่ทัพหนุ่มตอนนี้ ไม่มีสตรีใดเข้ามาแทนที่ไป๋เหลียนในใจเขาได้อีกแล้ว และยิ่งได้รู้ว่าคนที่มีสัมพันธ์กับตนในคืนนั้นก็คือนาง เพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างต่อกันทั้งนั้นการกระทำของไป๋เหลียนคนก่อนเขาจะให้อภัย แม้ความผิดนางมากนักทว่าความดีที่ทำให้เขาได้พบรักแท้ ถือว่าทุกอย่างลบล้างกันได้ก๊อก ๆ ระหว่างที่คนทั้งคู่กำลังหวานชื่นกันนั้น กลับมีคนเคาะประตูขัดจังหวะเข้าพอดี สองร่างดีดตัวออกห่างกันอย่างรวดเร็ว ได้แต่นึกเสียดายที่มีคนมาขัดช่วงเวลาสำคัญ“ฮูหยิน ท่านแม่ทัพ ข้านำของว่างมาให้เจ้าค่ะ”“เข้ามาได้” เสียงคนด้านนอกช่างคุ้นหูนัก ทว่าเมื่อประตูถูกเปิดออกไป๋เหลียนจึงกระจ่างแล้วว่าน้ำเสียงอันคุ้นหูคือผู้ใดหลิวซือซือพร้อมหญิงรับใช้อีกสองคนยกของเข้ามาในห้อง นางเผยยิ้มกว้างเมื่อเห็นผู้มีพระคุณ การได้มาอยู่ที่นี่คือวาสนาของนางแล้ว ทั้งสะดวกสบายและมีคนให้เกียรติ ราวกับเป็นโลกใบใหม่ที่เพิ่งได้เคยสัมผัส“ซือซือเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าอยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่”“สบายดีเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเหมือนได้รับชีวิตใหม่เลยเจ้าค่ะ ข้าอยากตอบแทนบุญคุณท่านทั้งสอง ได้โปรดให้ข้า
หลังจากพักอยู่เมืองเจียงเป่ยหนึ่งคืน รุ่งสางคนทั้งสี่ก็ได้ออกเดินทางกลับเมืองหน้าด่านฉู่เจียงทันที เมื่อรู้แล้วว่าผู้ใดคือหนอนบ่อนไส้ คอยแฝงตัวได้อย่างแนบเนียน เรื่องนี้สำคัญมากซิงเยี่ยนจึงสั่งให้จิ้งกังเป็นผู้ส่งสารให้ถึงมือฝ่าบาทด้วยตนเองอนึ่งเพื่อให้ฝ่าบาทได้วางแผนตั้งรับได้ทันท่วงที พร้อมกับเสนอให้แสร้งทำเป็นเห็นดีเห็นงาม เมื่อได้โอกาสจึงค่อยตลบหลังพวกแคว้นฉู่ในตอนที่พวกมันชะล่าใจหลังจากจิ้งกังตะบึงม้าแยกตัวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง คนที่เหลือจึงกลับไปรอที่เมืองหน้าด่าน ทว่ากว่าจะไปถึงไป๋เหลียนก็ถึงกับโอดครวญ เป็นครั้งแรกที่นางอยู่บนหลังม้ากว่าครึ่งค่อนวัน ร้าวระบมไปหมดโดยเฉพาะก้นของนาง ที่ต้องกระแทกกับอานม้าเป็นเวลานานดีที่การเดินทางครั้งนี้นางอ้อนขอให้หลี่มู่กวาสอนขี่ม้า เพื่อว่าในภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องคอยเป็นภาระผู้อื่น ซิงเยี่ยนเห็นว่ายังพอมีเวลาไม่ต้องเร่งรีบ จึงอนุญาตให้สหายสอนภรรยาขี่ม้าตามต้องการ ด้วยทั้งสองเมืองห่างกันไม่ไกลนัก หากปล่อยม้าเดินเอื่อย ๆ อย่างมากก็ใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม หรือถ้าวิ่งเหยาะ ๆ ก็คงถึงเมืองหน้าด่านค่ำพอดีเมื่อมาถึงเมืองหน้าด่านฉู่เจียง ทุกคนต่างแยกย้า