เรื่องข่าวดีที่บุตรชายฝาแฝดคนเล็กของเยี่ยนหลิงกับฟงเฉิงฮ่าว สามารถสอบได้ตำแหน่งจอหงวนถูกส่งไปยังตระกูลจิน ที่ยังคงคอยดูแลร้านผ้าไหมอยู่ในเมืองผู่เถียน สองสามีภรรยาอย่างมู่ถงและจือเหมย ยังคงทำงานที่ตนเองรักอย่างมีความสุข
ทุก ๆ สามเดือนทั้งสองคนจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อไปเยี่ยมเยียนบุตรหลานเป็นประจำ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่บุตรสาวออกเรือน และย้ายไปอยู่บ้านสามีตามธรรมเนียม แม้ซูอันกับเยี่ยนหลิงอยากให้บิดามารดาไปอยู่เมืองหลวง แต่ทั้งสองกลับชอบอยู่ที่เมืองผู่เถียนเสียมากกว่า
เนื่องจากข่าวดีส่งมาในเวลากระชั้นชิดเกินไป มู่ถงกับจือเหมยจึงเลือกส่งของขวัญให้กับหลานชาย เพราะคงไม่สามารถเดินทางในเวลาอันสั้นได้ และของขวัญที่ส่งให้หลานชายอย่างฟงเหยาเหวิน ย่อมเป็นผ้าไหมปักลายอย่างประณีตงดงามอย่างแน่แท้
ทางด้านเยี่ยนหลิงก็ช่วยแม่สามีจัดเตรียมงานเลี้ยง ทุกอย่างในงานล้วนทำอย่างพิถีพิถันมากที่สุด ด้วยไม่ต้องการทำให้ตระกูลฟงขายหน้าได้ อย่างไรเสียงานเลี้ยงครั้งนี้องค์หญิงใหญ่ย่อมเสด็จมาเข้าร่วม เพราะทั้งสองตระกูลมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่บุตรชายจนมาถึงหลาน ๆ ของทั้งสองตระกูล
แขกเหรื่อส่วนที่เหลือย่อมเดาได้ไม่ยาก ว่าเป็นขุนนางขั้นสูงที่อยากผูกสัมพันธ์กับตระกูลฟง ผ่านการแต่งงานกับหลานชายฝาแฝด หรือแม้กระทั่งอยากให้บุตรสาวของตน ได้แต่งเข้ามาในฐานะฮูหยินรองหรืออนุภรรยของฟงเฉิงฮ่าว ไม่ว่าทางใดล้วนเป็นประโยชน์กับพวกเขาทั้งสิ้น
เพียงแต่งานเลี้ยงตระกูลฟงครั้งนี้ มิได้มีเพียงเหล่าบิดามารดาที่คิดใช้บุตรสาวเป็นสะพาน แต่ยังมีบุตรสาวจากสองตระกูลใหญ่ ซึ่งบิดาของพวกนางสองคนเพิ่งได้รับเลือก เพื่อทำหน้าที่ในตำแหน่งเสนาบดีได้ไม่ถึงสามปี ได้คิดแผนการทำลายญาติผู้น้องของจอหงวนคนใหม่
เหตุผลที่พวกนางสองคนคิดทำเช่นนั้น มีเพียงเรื่องความเกลียดชังและอิจฉาริษยา ไม่ว่าจะเป็นความงามหรือความสามารถ อีกทั้งหยางเฟิ่งเซียนยังทำการค้าได้เก่งกาจไม่แพ้ผู้เป็นมารดาเลยสักนิด
“เหอะ เหตุใดผู้คนถึงได้ชื่นชอบหยางเฟิ่งเซียนนักนะ นางทำการค้าเก่งและยังมีวรยุทธ์แล้วอย่างไร สตรีควบคุมยากเช่นนางไม่มีบุรุษใดจริงใจกับนางแน่” เซิ่งฟางเอินเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ ยามนั่งดื่มน้ำชากับสหายที่มาพบถึงจวน
หลีเยียนหรานที่หมายตาฟงเหยาเหวินเอาไว้ ก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามเช่นเดียวกับสหาย “ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้านะฟางเอิน นางมีฐานะสูงส่งย่อมมีบุรุษมากมายหมายปอง หวังใช้ประโยชน์จากนางก็เท่านั้น”
“ถึงอย่างไรข้าก็เกลียดนางอยู่ดี เยียนหรานเจ้าช่วยอะไรข้าสักอย่างสิ”
หลีเยียนหรานได้ฟังสหายขอความช่วยเหลือ ก็รู้แล้วว่าในงานเลี้ยงตระกูลฟงจะมีเรื่องสนุกให้ดูแน่นอน “เจ้าอยากให้ข้าช่วยสิ่งใดหรือฟางเอิน หากไม่เกินความสามารถข้าย่อมช่วยเจ้าอย่างเต็มที่”
และน้ำเสียงที่ออกจากปากของเซิ่งฟางเอิน ยิ่งทำให้รู้ว่านางมีแผนการบางอย่างจริง ๆ “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยซื้อตัวสาวใช้ในจวนตระกูลฟงมาสักคนหนึ่ง เมื่อวันงานเลี้ยงมาถึงข้ามีงานให้นางทำ โดยมีค่าตอบแทนให้เป็นเงินสิบตำลึง”
“โธ่ ฟางเอินข้าก็นึกว่าเรื่องอันใดเสียอีก แค่การซื้อตัวสาวใช้มิใช่เรื่องยาก เจ้าวางใจเถิดข้าจะให้เสี่ยวขุยไปจัดการให้เอง ชักอยากให้ถึงงานเลี้ยงเร็ว ๆ เสียแล้วสิ คิ คิ คิ” หลีเยียนหรานตกปากรับคำของสหายอย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
“หึ หยางเฟิ่งเซียนครั้งนี้ข้าจะทำให้เจ้าอับอาย จนอยู่เมืองหลวงไม่ได้อีกต่อไป มาดูกันสิว่าฮ่องเต้กับองค์หญิงใหญ่ ผู้โปรดปรานหลานสาวคนนี้หนักหนาจะทำเช่นไร เมื่อหลานรักทำเรื่องอับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย ฮ่า ๆ ๆ” เซิ่งฟางเอินคิดอย่างลำพองใจ ว่าแผนการของตนต้องสำเร็จอย่างแน่นอน
ภายหลังอยู่พูดคุยกับเซิ่งฟางเอินได้ไม่นาน หลีเยียนหรานก็ขอตัวกลับจวนเพื่อดำเนินการตามแผน ที่นางได้รับปากกับสหายเอาไว้ ยามที่อยู่ในรถม้านางจึงออกคำสั่งกับสาวใช้ถึงเรื่องดังกล่าว
“เสี่ยวขุยเจ้าคงได้ยินที่ฟางเอินพูดแล้วใช่หรือไม่”
“บ่าวได้ยินเจ้าค่ะคุณหนู”
“ดี พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปดักรอสาวใช้ตระกูลฟงที่ตลาด มองหาคนที่นิสัยทะเยอทะยานสักคน และบอกนางตามที่ฟางเอินบอกกับข้า แล้วมอบเงินให้นางห้าตำลึงเงิน ส่วนที่เหลือบอกนางว่าจะมอบให้หลังเสร็จงาน”
“บ่าวจะจัดการให้เรียบร้อยเจ้าค่ะ”
ในวันรุ่งขึ้นเสี่ยวขุยตื่นตั้งแต่ปลายยามอิ๋น เพื่อมาดักรอสาวใช้ตระกูลฟงที่มาจับจ่ายซื้อวัตถุดิบทำอาหาร และนางก็พบสาวใช้ผู้มีนิสัยอย่างที่เจ้านายบอกกับตน
หมับ! “เจ้าปะ...”
“ชู่ว์ อย่าได้ส่งเสียงดังข้าอยากคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว หากเจ้าอยากมีเงินใช้จ่ายก็เดินตามข้ามา”
“อืม เจ้าก็เดินนำทางไปสิ” เสี่ยวฮัวสาวใช้ในโรงครัวที่เพิ่งมาได้ไม่นาน แต่นางเป็นคนเกียจคร้านเอาแต่คิดหาวิธีปีนเตียงเจ้านายไปวัน ๆ
เสี่ยวขุยพาเสี่ยวฮัวมายังมุมหนึ่งของตลาด ก่อนจะทำการเจรจาเงื่อนไขเรื่องที่เจ้านายสั่งการกับตน “ข้ารู้ว่าเจ้าได้ค่าจ้างน้อยนิดเมื่อเทียบกับงานที่ทำอยู่ แต่ถ้าครั้งนี้เจ้ายินดีทำงานให้เจ้านายของข้า จะมีเงินไว้ใช้จ่ายไปอีกหลายปีเจ้าอยากทำหรือไม่”
เพียงแค่ได้ยินคำว่าเงินเสี่ยวฮัวก็ตาโตเป็นไข่ห่านทันที “เจ้าพูดจริงรึ! แล้วเจ้านายของเจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด เพื่อแลกกับเงินที่จะมอบให้ข้าล่ะ”
“งานที่เจ้าต้องทำเจ้านายของข้าจะสั่งการอีกครั้ง ในวันจัดงานเลี้ยงของตระกูลฟงที่ใกล้จะถึงนี้ เจ้าแค่รอพบข้าอยู่ในจวนนั่นก็พอ ส่วนค่าจ้างเจ้ามั่นใจได้เพราะนี่คือค่าจ้างเพียงส่วนหนึ่ง ที่เหลือค่อยมารับหลังจากเจ้าทำงานได้สำเร็จแล้ว”
เสี่ยวฮัวยืนมือไปรับถุงเงินจากเสี่ยวขุย เมื่อโยนชั่งน้ำหนักของเงินที่อยู่ด้านใน นางก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขกับเงินจำนวนมาก “ไอหยา พี่สาวท่านเชื่อใจข้าได้ งานที่เจ้านายของท่านต้องการให้ข้าทำ ย่อมสำเร็จตามที่หวังอยู่แล้ว”
“อืม เจ้าเข้าใจอะไรง่าย ๆ เช่นนี้ก็ดีแล้ว เจ้ากลับออกไปเถิดประเดี๋ยวคนอื่นจะสงสัยเอาได้” เสี่ยวขุยรับเงินจากหลีเยียนหรานมาห้าตำลึงก็จริง แต่นางมอบให้เสี่ยวฮัวแค่สามตำลึงเงินเท่านั้น
เสี่ยวขุยมองตามเสี่ยวฮัวอย่างดูถูก และคิดว่าตนเองนั้นฉลาดหลักแหลมมากกว่า ที่แอบยักยอกเงินค่าจ้างไว้เองสองตำลึงเงิน เมื่อเสี่ยวฮัวทำงานสำเร็จนางก็จะได้อีกสองตำลึงเงิน ครั้งนี้เสี่ยวขุยคิดว่าตนได้เงินมาไว้ใช้จ่ายอย่างสบาย ๆ ไม่ต้องเปลืองแรงอันใด
ส่วนคนที่รับเงินผู้อื่นเพื่อแลกกับเงิน ก็เดินกลับไปหาแม่ครัวอย่างอารมณ์ดี แตกต่างกับยามออกจากจวนลิบลับ จนคนอื่น ๆ นึกแปลกใจกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของเสี่ยวขุยแต่ที่นางไม่รู้ก็คือ ยามกลับไปถึงจวนบ่าวไพร่ทุกคนจะถูกจับตามอง จากองครักษ์ที่ปลอมตัวเป็นบ่าวทันที
หยางเฟิ่งเซียนเดินไปยืนกับมารดาด้วยท่าทางเขินอาย ส่วนเสี่ยวฮัวรีบวิ่งไปตามบ่าวไพร่อย่างรวดเร็ว และประตูเรือนรับรองก็ถูกเปิดโดยแม่นมฟาง หลังจากบานประตูเปิดกว้างสิ่งที่พบเห็น ยิ่งสร้างความโกรธเคืองให้กับเหอฮูหยินอย่างมากแต่ว่าภาพตรงหน้าทำเอาสองฮูหยิน ที่ติดตามมาถึงกับตกตะลึงจนอยากหยุดหายใจ เนื่องจากสตรีสองในสี่ที่อยู่ด้านในนั้น กลับกลายเป็นบุตรสาวของพวกนางเสียเอง พวกนางไม่คิดมาก่อนว่าบุตรสาวของตน จะคิดวางแผนกลั่นแกล้งคนในในจวนตระกูลฟง จนต้องรับผลจากแผนสกปรกเสียเอง หากสามีของพวกนางรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่เหอฮูหยินยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ก็มีเสียงจากด้านหลังกรีดร้องและวิ่งเข้าไป เพื่อแยกคนด้านในออกจากบุรุษ ที่พวกนางดูอย่างไรก็มิใช่คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ ที่สำคัญคนภายในห้องนี้ล้วนเปลือยกายล่อนจ้อน ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ของบุตรสาวพวกนางปัง! “กรี๊ดดด! เอินเอ๋อร์ /หรานเอ๋อร์!”“เจ้าคนต่ำช้าออกไปให้ห่างลูกของข้านะ ออกไป๊ เอินเอ๋อร์ ๆ เจ้าอย่าทำเช่นนี้บอกแม่มาเถิดว่าใครที่ทำร้ายเจ้า แม่จะให้คนไปตามจับตัวพวกมามาลงโทษ”“หรานเอ๋อร์ ๆ ลูกแม่” เพียะ! เพียะ! “ออกไปให้พ้นพวกสกปรกอย่ามาแตะลูกสาวของข
ขณะที่แขกเหรื่อกำลังสนทนากันอย่างออกรส ภายหลังจากองค์หญิงใหญ่ได้เสด็จกลับจวนไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซึ่งยามนี้ในวงสนทนามีเหล่าฮูหยินหลายตระกูล ต่างกล่าวชื่นชมบุตรสาวของตนไปมาตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยง เพื่อเป็นการมองหาบุรุษให้กับบุตรสาวของตนหนึ่งในนั้นยังมีซูอันที่นั่งอยู่ข้างกายพี่สาวโดยไม่พูดสิ่งใด พวกนางมิได้ตอบรับหรือถามอันใดเพิ่มเติม ทำเพียงแค่ยิ้มบางให้กับบางคำถามเท่านั้น เนื่องจากสองพี่น้องตระกูลจิน ไม่เคยคิดบังคับบุตรของตนในเรื่องของการเลือกคู่ครองส่วนเสี่ยวฮัวที่ตั้งหน้าตั้งหน้าวิ่งมาจากเรือนรับรอง นางย่อมรู้ว่าควรวิ่งไปหาผู้ใดเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น แฮ่ก ๆ ๆ “ฮูหยินเจ้าคะเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ทะ ทะ ที่เรือนรับรองมีคนทำเรื่องบัดสีอยู่ในนั้นเจ้าค่ะ”พรึบ! “เจ้าว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในจวนของข้านะ พูดมาให้ชัดว่ามันเป็นเรื่องอะไรกันแน่!” เหอฮูหยินมารดาของฟงเฉิงฮ่าวแทบนั่งไม่ติด เมื่อได้ยินสาวใช้ของจวนวิ่งหน้าตาตื่น เข้ามารายงานเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น“เมื่อครู่บ่าวพาคุณหนูหยางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนรับรอง แต่บ่าวกับคุณหนูหยางกลับได้ยินเสียงบุรุษกับสตรี กำลังทำเรื่องบัดสีอย
ส่วนเสี่ยวขุยที่เดินตามหาเสี่ยวฮัวในที่สุดก็เจอตัว จึงพากลับมาพบเมิ่งฟางเอินเพื่อรับภารกิจตามที่รับปากไว้ โดยที่แขกในงานคิดว่าเป็นการตามสาวใช้ มาช่วยเหลือเรื่องอาหารหรือน้ำชาที่พร่องไป มิได้คิดว่าจะมีแผนการสร้างความวุ่นวายแต่อย่างใด“คารวะคุณหนูทั้งสอง ท่านต้องการให้บ่าวทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”เมิ่งฟางเอินไม่รอช้ารีบสั่งการกับเสี่ยวฮัว ตามแผนการที่นางได้เตรียมเอาไว้ เพื่อสร้างเหตุการณ์ให้แขกเหรื่อในงานทั้งหลาย ได้รับรู้ว่าหยางเฟิ่งเซียนมิใช่สตรีที่ดีงามอันใด“เจ้านำกำยานไร้กลิ่นนี้ไปจุดไว้ในเรือนรับรองหลังใดก็ได้ แล้วไปตามบ่าวที่ดูแลม้าของจวนให้เข้าไปอยู่รอด้านใน จากนั้นเจ้าจงกลับมาในงานถือถาดกาน้ำชา แสร้งสะดุดไปทางหยางเฟิ่งเซียน เมื่อชุดของนางเปียกชื้นเจ้ารีบอาสาพานางไปเปลี่ยนชุดยังห้องรับรอง พอผ่านไปสักหนึ่งเค่อก็ส่งเสียงร้องดัง ๆ ข้ากับสหายจะรีบตามไปที่นั่น”เมื่อรู้ว่าเป็นภารกิจที่ไม่ยากเกินความสามารถ เสี่ยวฮัวยกยิ้มอย่างมั่นใจว่าตนเองทำสำเร็จได้แน่ จึงลองเอ่ยถึงเรื่องค่าจ้างที่เหลือกับเซิ่งฟางเอิน “คุณหนูรอฟังสัญญาณจากบ่าวได้เลยเจ้าค่ะ ว่าแต่ค่าจ้างที่เหลือของบ่าว...”“พรุ่งนี้เช้ามื
และแล้วงานเลี้ยงของจวนตระกูลฟงก็มาถึง แขกเหรื่อมากมายหลายตระกูลต่างมาร่วมแสดงความยินดี ซึ่งในมือของทุกตระกูลจะมีกล่องของขวัญ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจที่บางคนแอบแฝงเรื่องอื่น ๆ เพียงแค่สิ่งที่ผู้คนได้เห็นเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้นส่วนหยางเฟิ่งเซียนกับพี่ชายของตน ได้ชักชวนบิดาและมารดามายังจวนญาติผู้พี่ ก่อนจะถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงหนึ่งชั่วยาม เพื่อนำอุปกรณ์พิเศษที่จีจี้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เข้าไปติดตามมุมต่าง ๆ ที่คาดว่าจะมีคนลงมือทำเรื่องไม่ดีในวันนี้ซูอันนำกล้องวงจรปิดขนาดเล็ก ใส่ไว้ในลังไม้จำนวนนับร้อยชิ้น และกำชับกับบุตรทั้งสองก่อนลงจากรถม้าอีกเล็กน้อย “หรงเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ อย่าลืมสิ่งที่แม่เคยสอนพวกเจ้าไว้ล่ะ หากมีคนคิดทำร้ายลูกในงานเลี้ยง...”“ถ้าหากลูกถูกคนกลั้นแกล้งหรือลอบทำร้ายในงานเลี้ยง อย่าได้ตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง จงทำตัวให้เป็นคนที่น่าสงสาร จากนั้นค่อยเอาคืนอย่างสาสมใช่หรือไม่เจ้าคะ” หยางเฟิ่งเซียนย่อมจดจำได้กับสิ่งที่มารดาต้องการบอกกับตน ยกเว้นหากถูกรังแกซึ่ง ๆ หน้าเท่านั้น นางถึงจะลงมือจัดการอย่างตรงไปตรงมาไม่มีละเว้น“หึ ใช่ ในเมื่อพวกลูกจดจำได้ก็ดีแล้ว แม้จะเป็นที่
เรื่องข่าวดีที่บุตรชายฝาแฝดคนเล็กของเยี่ยนหลิงกับฟงเฉิงฮ่าว สามารถสอบได้ตำแหน่งจอหงวนถูกส่งไปยังตระกูลจิน ที่ยังคงคอยดูแลร้านผ้าไหมอยู่ในเมืองผู่เถียน สองสามีภรรยาอย่างมู่ถงและจือเหมย ยังคงทำงานที่ตนเองรักอย่างมีความสุขทุก ๆ สามเดือนทั้งสองคนจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อไปเยี่ยมเยียนบุตรหลานเป็นประจำ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่บุตรสาวออกเรือน และย้ายไปอยู่บ้านสามีตามธรรมเนียม แม้ซูอันกับเยี่ยนหลิงอยากให้บิดามารดาไปอยู่เมืองหลวง แต่ทั้งสองกลับชอบอยู่ที่เมืองผู่เถียนเสียมากกว่าเนื่องจากข่าวดีส่งมาในเวลากระชั้นชิดเกินไป มู่ถงกับจือเหมยจึงเลือกส่งของขวัญให้กับหลานชาย เพราะคงไม่สามารถเดินทางในเวลาอันสั้นได้ และของขวัญที่ส่งให้หลานชายอย่างฟงเหยาเหวิน ย่อมเป็นผ้าไหมปักลายอย่างประณีตงดงามอย่างแน่แท้ทางด้านเยี่ยนหลิงก็ช่วยแม่สามีจัดเตรียมงานเลี้ยง ทุกอย่างในงานล้วนทำอย่างพิถีพิถันมากที่สุด ด้วยไม่ต้องการทำให้ตระกูลฟงขายหน้าได้ อย่างไรเสียงานเลี้ยงครั้งนี้องค์หญิงใหญ่ย่อมเสด็จมาเข้าร่วม เพราะทั้งสองตระกูลมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่บุตรชายจนมาถึงหลาน ๆ ของทั้งสองตระกูลแขกเ
ในวันที่ตระกูลฟงได้รับข่าวน่ายินดี เมื่อมีจอหงวนคนใหม่อยู่ในตระกูลแม่ทัพใหญ่ การหารือเรื่องงานเลี้ยงจึงเสร็จสิ้นภายในวันเดียวกัน จินเยี่ยนหลิงกับแม่สามีช่วยกันทำงานไม่ให้ตกหล่น รายชื่อแขกที่เชิญมาร่วมงานได้มอบให้พ่อบ้านจัดการเป็นที่เรียบร้อยมีเพียงหนังสือเชิญของตระกูลหยาง ที่สองพี่น้องฝาแฝดตระกูลฟงนำไปส่งด้วยตนเอง เพื่อเยี่ยมคารวะท่านน้ากับน้าเขย แต่สิ่งที่ทุกคนต่างรู้กันดีย่อมหนีไม่พ้นญาติผู้น้อง ไม่ว่าครั้งไหนทั้งสี่คนมักจะนั่งพูดคุยจนลืมเวลาได้เสมอ“พวกเจ้าสองคนอย่าไปถึงงานเลี้ยงช้านักล่ะ พี่สั่งให้พ่อครัวทำอาหารที่พวกเจ้าชอบไว้หลายอย่าง ไปถึงช้าจะถูกคนอื่นแย่งกินจนหมดนะ”“พี่เหยาเหวินท่านไม่ต้องห่วง ข้ากับพี่ใหญ่จะไปถึงเป็นคนแรกแน่นอนเจ้าค่ะ”แต่หยางซิวหรงกลับคิดต่างกับน้องสาวเล็กน้อย “เซียนเอ๋อร์แน่ใจหรือว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่ไปถึง พี่กลับคิดว่าคงมีคุณหนูอีกหลายตระกูล ที่เร่งเร้าให้บิดามารดาพาไปร่วมงานแต่หัววัน เมื่อเจ้าไปถึงพวกนางก็เดินให้เกลื่อนจวนแล้วกระมัง”“เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับอาหรงนะ นอกจากตระกูลที่เป็นมิตรกับท่านปู่แล้ว อย่างไรเสียพวกที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่เชิญก็ไม่ได้