และแล้วงานเลี้ยงของจวนตระกูลฟงก็มาถึง แขกเหรื่อมากมายหลายตระกูลต่างมาร่วมแสดงความยินดี ซึ่งในมือของทุกตระกูลจะมีกล่องของขวัญ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจที่บางคนแอบแฝงเรื่องอื่น ๆ เพียงแค่สิ่งที่ผู้คนได้เห็นเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้น
ส่วนหยางเฟิ่งเซียนกับพี่ชายของตน ได้ชักชวนบิดาและมารดามายังจวนญาติผู้พี่ ก่อนจะถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงหนึ่งชั่วยาม เพื่อนำอุปกรณ์พิเศษที่จีจี้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เข้าไปติดตามมุมต่าง ๆ ที่คาดว่าจะมีคนลงมือทำเรื่องไม่ดีในวันนี้
ซูอันนำกล้องวงจรปิดขนาดเล็ก ใส่ไว้ในลังไม้จำนวนนับร้อยชิ้น และกำชับกับบุตรทั้งสองก่อนลงจากรถม้าอีกเล็กน้อย “หรงเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ อย่าลืมสิ่งที่แม่เคยสอนพวกเจ้าไว้ล่ะ หากมีคนคิดทำร้ายลูกในงานเลี้ยง...”
“ถ้าหากลูกถูกคนกลั้นแกล้งหรือลอบทำร้ายในงานเลี้ยง อย่าได้ตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง จงทำตัวให้เป็นคนที่น่าสงสาร จากนั้นค่อยเอาคืนอย่างสาสมใช่หรือไม่เจ้าคะ” หยางเฟิ่งเซียนย่อมจดจำได้กับสิ่งที่มารดาต้องการบอกกับตน ยกเว้นหากถูกรังแกซึ่ง ๆ หน้าเท่านั้น นางถึงจะลงมือจัดการอย่างตรงไปตรงมาไม่มีละเว้น
“หึ ใช่ ในเมื่อพวกลูกจดจำได้ก็ดีแล้ว แม้จะเป็นที่โปรดปราณของเสด็จปู่ เสด็จย่า ก็อย่าได้หยิ่งผยองพองขนจนเกินไปนัก ยามใดควรใช้อำนาจยามใดควรใช้ฝีมือของตน จงคิดให้ถี่ถ้วนก่อนลงมือทำสิ่งใด”
หยางซิวหรงเข้าใจคำเตือนของมารดา ตั้งแต่เล็กจนโตเขากับน้องสาวรวมถึงญาติผู้พี่ ถูกมารดาสั่งสอนอย่างเข้มงวดมาตลอด “ท่านแม่อย่าได้กังวลกับเรื่องนี้เลย ลูกกับน้องเล็กและญาติผู้พี่ล้วนจดจำได้ขึ้นใจ หากไม่จำเป็นจริง ๆ พวกลูกจะใช้สติปัญญากับความสามารถของตน จัดการปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเองขอรับ”
“ท่านแม่พาท่านพ่อเข้าไปพบท่านป้ากับท่านลุงเถิดเจ้าค่ะ ส่วนที่เหลือลูกกับพี่ใหญ่จะช่วยกันจัดการให้เรียบร้อย และจะตามไปหาพวกท่านในบริเวณงานเลี้ยงทีหลังนะเจ้าคะ” หยางเฟิ่งเซียนย่อมรับรู้ถึงความห่วงใยของมารดา แต่นางกำลังตื่นเต้นกับอุปกรณ์แปลก ๆ ที่เพิ่งได้รับมากกว่า
หยางไท่หมิงไม่ลืมเอ่ยเตือนอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้บุตรทั้งสองทำตามความตั้งใจ “อย่าลืมสนุกจนลืมเวลาล่ะเข้าใจหรือไม่ หลังจากจัดการทุกอย่างแล้วรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และเข้าไปคารวะผู้อาวุโสด้วยนะ อาหรงดูแลน้องให้ดีอย่าได้คลาดสายตา”
“ลูกทราบแล้วขอรับท่านพ่อ”
สองพี่น้องยืนส่งบิดามารดาเดินเข้าจวน แล้วจึงหันมาสั่งผู้ติดตามของตนช่วยกันยกลังไม้ตามเข้าไปทีหลัง ซึ่งทั้งสองเดินลัดเลาะไปยังเรือนของญาติผู้พี่ฝาแฝด เพื่อบอกถึงแผนการเฝ้าระวังที่ต้องช่วยกันจัดการ
“หลี่เจินเจ้ากับไป่เฉิงยกลังไม้ตามพวกข้าไปที่เรือนญาติผู้พี่ ส่วนจ้าวหยูพาคนที่เหลือไปตรวจรอบ ๆ งานอีกครั้ง” หยางซิวหรงสั่งผู้ติดตามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ขอรับคุณชาย”
ฟงเสวี่ยหลินเป็นผู้เห็นญาติผู้น้องที่เดินมายังเรือนของตน จึงได้เอ่ยทักทายและถามถึงสิ่งที่ผู้ติดตามกำลังยกอยู่ด้านหลัง
“อ้าว อาหรง เซียนเอ๋อร์ พวกเจ้ามาถึงกันแล้วหรือ เช่นนั้นท่านน้าก็มาพร้อมกับพวกเจ้าน่ะสิ แล้วนั่นให้คนยกลังไม้อันใดมาด้วยล่ะ?”
หยางเฟิ่งเซียนขอเป็นคนตอบคำถามนี้แทนพี่ชาย “พี่เสวี่ยหลินในลังไม้นี้เป็นสิ่งที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อน แต่มันสามารถช่วยให้พวกเรารู้ว่า มุมไหนของจวนที่เป็นจุดลับสายตา ที่คนนิสัยไม่ดีอยากใช้เป็นสถานที่ลงมือเจ้าค่ะ”
“เซียนเอ๋อร์! อย่าบอกนะว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในลังไม้นั้นได้มากจาก...”
“คิ ๆ ๆ ท่านเดาได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”
ฟงเสวี่ยหลินรีบยกมือขึ้นปิดปากของตน ด้วยเกรงว่าจะส่งเสียงร้องออกไปจนบ่าวไพร่ตกใจเอาได้ แม้ที่ผ่านมาเขากับน้องชายจะได้รับบางอย่างจากท่านน้า แต่มันก็ยังสร้างประหลาดใจให้กับตนได้ทุกครั้ง
แต่ก่อนจะได้พูดสิ่งใดกับญาติผู้น้อง ฟงเหยาเหวินก็ออกจากเรือนอีกฝั่งมาเสียก่อน ซึ่งฟงเสวี่หลินชิงบอกน้องชายเกี่ยวกับลังไม้ เพื่อมิให้เขาต้องถามอีกครั้ง และท่าทางของฟงเหยาเหวินก็ไม่ต่างอันใดกับพี่ชายนัก
“อาหรง เซียนเอ๋อร์ ท่านน้าจะเก่งกาจเกินไปแล้วกระมัง”
“นั่นมันแน่อยู่แล้วเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้พวกเราควรช่วยกันนำสิ่งที่อยู่ในลังไม้ แบ่งกันไปติดตามจุดต่าง ๆ โดยเร็วดีกว่า ถ้ามีแขกมาจะเป็นที่น่าสงสัยเอาได้นะเจ้าคะ” หยางหยางเฟิ่งเซียนยืดอกรับคำชมที่ญาติผู้พี่มีต่อมารดาอย่างเต็มใจ
หยางซิวหรงพยักหน้าอันเคร่งขรึมเมื่อน้องสาวกล่าวเช่นนี้ เขาจึงแบ่งฝั่งว่าใครควรไปกับใคร “ใช่แล้วพี่เสวี่ยหลิน พวกเราแยกเป็นสองกลุ่มท่านมากับข้า ส่วนพี่เหยาเหวินไปกับเซียนเอ๋อร์ หลังจากจัดการเสร็จค่อยกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงเวลานั้นงานเลี้ยงคงเริ่มพอดีขอรับ”
“อืม เช่นนั้นพวกเรารีบลงมือเถิด ข้าเกรงว่าจะมีคนเป็นนกสองหัวอยู่ในจวน” ฟงเสวี่ยหลินแค่เกริ่นถึงเรื่องที่องครักษ์ของตน นำข้อมูลบางอย่างมารายงานเมื่อวันก่อน
ภายหลังได้ข้อสรุปทั้งสี่คนจึงแบ่งอุปกรณ์ในลังไม้ และแยกย้ายไปติดตามจุดที่คิดว่าเหมาะสม หยางซิวหรงกับหยางเฟิ่งเซียนได้ยินเสียงจีจี้ ที่คอยแนะนำว่าควรติดกล้องไว้จุดใดบ้าง จากการเฝ้าอยู่หน้าจอในมิติซึ่งก่อนหน้านี้ จีจี้ได้ส่งโดรนรุ่นใหม่ล่าสุดไปบินสำรวจไว้แล้ว
เพราะเป็นงานที่ไม่ยุ่งยากทั้งสี่คนจึงจัดการได้รวดเร็ว และกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างสบายใจ ก่อนจะพากันไปยังโถงรับรองของเรือนหน้า ซึ่งยามนี้แขกมาร่วมงานเลี้ยงทยอยมาถึงกันแล้ว นอกจากนี้ยังมีองค์หญิงใหญ่ที่มากับพระสวามี การจัดโต๊ะที่นั่งจึงต้องแบ่งแยกอย่างชัดเจน
เสียงพิณดีดกังวานผสมเสียงเครื่องสายหวานหู กลิ่นกำยานจันทน์หอมละมุนลอยฟุ้งทั่วเรือนรับรองของตระกูลฟง และที่นี่ยังประดับประดาไปด้วยโคมผ้าหลากสี เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วจากเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ ดังกระซิบกระซาบอย่างสนุกสนานอยู่อีกมุมหนึ่งของเรือนแห่งนี้ ทำให้บรรดาฮูหยินทั้งหลายต่างยิ้มหน้าบานไปตาม ๆ กัน
หยางเฟิ่งเซียนนั่งร่วมโต๊ะกับท่านหญิงฉิง ธิดาเพียงคนเดียวจากจวนท่านอ๋องฉิงเว่ยฉี นางสวมชุดผ้าไหมพื้นสีขาวอมเขียวอ่อน ปักลวดลายเป็นดอกป่ายเหอสีขาว ไล่จากอกลงไปถึงชายกระโปรงและปลายแขนเสื้อ ผมยาวถักรวบสูงด้วยปิ่นเงินที่ได้จากมารดา ดวงหน้าได้รูปของนางขาวกระจ่างยิ่งกว่าจันทร์เพ็ญ
สายตาหญิงสาวหลายคนมองนางด้วยความริษยา ยิ่งเมื่อเห็นบุตรชายขุนนางที่มาร่วมงานแอบเหลียวแลมิละสายตา ยิ่งเพิ่มความริษยาภายในใจให้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่พวกนางก็ทำได้แค่ริษยาไม่อาจทำอันใดได้มากกว่านี้
แต่มิใช่กับเซิ่งฟางเอินและหลีเยียนหราน ซึ่งแสดงความเกลียดชังผ่านดวงตาของพวกนางอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลีเยียนหรานที่ไฟริษยากำลังสุมอก เมื่อเห็นว่าฟงเหยาเหวินเอาอกเอาใจหยางเฟิ่งเซียนเพียงใด
“ฮึ่ย ดูนางสิมือไม้ตนเองก็มีไม่ทำเอง กลับใช้ให้คุณชายเล็กฟงคอยคีบอาหารให้นาง ช่างไร้ยางอายสิ้นดีเจ้าว่าหรือไม่ฟางเอิน”
ส่วนเมิ่งฟางเอินที่มองหยางเฟิ่งเซียนด้วยความเกลียดชัง มือบางจับถ้วยชาไว้แน่นเพื่อระบายความโกรธเกลียด “หึ วันนี้ข้าจะให้นางอับอายเสื่อมเสียชื่อเสียงให้ดู เยียนหรานเจ้าให้คนไปตามสาวใช้นางนั้นมาพบข้าได้แล้ว ถึงเวลาที่คุณหนูผู้เลอโฉมจากตระกูลหยาง จะถูกผู้คนนินทางไปทั่วทุกตรอกในเมืองหลวงแล้ว”
“อืม เสี่ยวขุยเจ้ารีบไปตามสาวใช้ผู้นั้นมาเร็วเข้า ยามนี้แขกเหรื่อในงานยังอยู่กันจำนวนมาก พวกเขาจะได้ช่วยเป็นพยานให้กับความอัปยศของหยางเฟิ่งเซียน”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปตามนางมาเดี๋ยวนี้”
ทุกคำพูดหรือแม้แต่ท่าทางของสตรีทั้งสอง ที่นั่งอยู่ด้วยกันเพียงลำพังในศาลากลางน้ำ ผู้ช่วยอันดับหนึ่งของซูอันล้วนได้ยินอย่างชัดเจน จึงเริ่มปฏิบัติการรายงานสถานการณ์กับซูอัน รวมถึงบุตรทั้งสองของเจ้านายอย่างทันท่วงที
[นายหญิง คุณชายใหญ่ คุณหนู จีจี้ทราบตำแหน่งผู้ต้องสงสัย ที่คิดทำร้ายคุณหนูในงานเลี้ยงได้แล้วเจ้าค่ะ]
หลังจากได้รับสัญญาณจากจีจี้ ทั้งซูอันและบุตรทั้งสองจึงปลีกตัวออกมาให้ห่างผู้คน เพื่อสอบถามรายละเอียดของเรื่องราวดังกล่าว เพราะอยากรู้ว่าใครกันที่คิดทำเรื่องชั่วช้าในจวนผู้อื่นเช่นนี้
‘อยู่ที่ใด? /นางคือใคร? /นางคิดจะทำสิ่งใด?’
[พวกนางสองคนเป็นสหายกัน คนหนึ่งชื่อฟางเอินส่วนอีกคนชื่อเยียนหราน พวกนางได้ซื้อตัวสาวใช้ในจวนไว้ เพื่อทำบางอย่างให้คุณหนูต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะอิจฉาริษยาความงามของคุณหนู รวมถึงสิ่งที่คุณชายฟงทั้งสองคอยดูแลท่านอย่างดี ทำให้พวกนางสองคนอยากทำร้ายท่านเจ้าค่ะ]
‘หนอยยย ที่แท้ก็เป็นพวกนางสองคนนี่เอง ทุกทีก็เสแสร้งเป็นสตรีอ่อนหวานไร้เดียงสาต่อหน้าผู้คนไปทั่ว แต่ภายในจิตใจกลับซ่อนความคิดชั่วร้ายไว้จนทนไม่ไหวแล้วกระมัง’
‘หึ พวกนางช่างกล้าคิดทำร้ายน้องสาวของข้าเชียวรึ ความอัปยศที่คิดจะมอบให้น้องสาวข้าไม่มีทางให้เกิดขึ้นแน่’
‘จีจี้เจ้ารอฟังพวกนางอีกสักหน่อย ว่านางต้องการให้สาวใช้ผู้นั้นทำสิ่งใดกับบุตรสาวของข้า แล้วรีบรายงานกลับมาโดยเร็ว’
[รับทราบเจ้าค่ะนายหญิง]
สามคนแม่ลูกยังคงไม่กลับเข้าไปร่วมโต๊ะ ด้วยต้องการฟังข่าวจากจีจี้ว่าแผนการของเมิ่งฟางเอินคืออะไรกันแน่ จะมีเพียงสองพี่น้องตระกูลฟงที่เอ่ยขอตัวเดินออกมาสมทบกับญาติผู้น้อง แต่พวกเขากลับได้รับสัญญาณว่าให้รออยู่เงียบ ๆ อย่าเพิ่งพูดสิ่งใด
หยางเฟิ่งเซียนเดินไปยืนกับมารดาด้วยท่าทางเขินอาย ส่วนเสี่ยวฮัวรีบวิ่งไปตามบ่าวไพร่อย่างรวดเร็ว และประตูเรือนรับรองก็ถูกเปิดโดยแม่นมฟาง หลังจากบานประตูเปิดกว้างสิ่งที่พบเห็น ยิ่งสร้างความโกรธเคืองให้กับเหอฮูหยินอย่างมากแต่ว่าภาพตรงหน้าทำเอาสองฮูหยิน ที่ติดตามมาถึงกับตกตะลึงจนอยากหยุดหายใจ เนื่องจากสตรีสองในสี่ที่อยู่ด้านในนั้น กลับกลายเป็นบุตรสาวของพวกนางเสียเอง พวกนางไม่คิดมาก่อนว่าบุตรสาวของตน จะคิดวางแผนกลั่นแกล้งคนในในจวนตระกูลฟง จนต้องรับผลจากแผนสกปรกเสียเอง หากสามีของพวกนางรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่เหอฮูหยินยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ก็มีเสียงจากด้านหลังกรีดร้องและวิ่งเข้าไป เพื่อแยกคนด้านในออกจากบุรุษ ที่พวกนางดูอย่างไรก็มิใช่คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ ที่สำคัญคนภายในห้องนี้ล้วนเปลือยกายล่อนจ้อน ไม่เว้นแม้แต่สาวใช้ของบุตรสาวพวกนางปัง! “กรี๊ดดด! เอินเอ๋อร์ /หรานเอ๋อร์!”“เจ้าคนต่ำช้าออกไปให้ห่างลูกของข้านะ ออกไป๊ เอินเอ๋อร์ ๆ เจ้าอย่าทำเช่นนี้บอกแม่มาเถิดว่าใครที่ทำร้ายเจ้า แม่จะให้คนไปตามจับตัวพวกมามาลงโทษ”“หรานเอ๋อร์ ๆ ลูกแม่” เพียะ! เพียะ! “ออกไปให้พ้นพวกสกปรกอย่ามาแตะลูกสาวของข
ขณะที่แขกเหรื่อกำลังสนทนากันอย่างออกรส ภายหลังจากองค์หญิงใหญ่ได้เสด็จกลับจวนไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซึ่งยามนี้ในวงสนทนามีเหล่าฮูหยินหลายตระกูล ต่างกล่าวชื่นชมบุตรสาวของตนไปมาตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยง เพื่อเป็นการมองหาบุรุษให้กับบุตรสาวของตนหนึ่งในนั้นยังมีซูอันที่นั่งอยู่ข้างกายพี่สาวโดยไม่พูดสิ่งใด พวกนางมิได้ตอบรับหรือถามอันใดเพิ่มเติม ทำเพียงแค่ยิ้มบางให้กับบางคำถามเท่านั้น เนื่องจากสองพี่น้องตระกูลจิน ไม่เคยคิดบังคับบุตรของตนในเรื่องของการเลือกคู่ครองส่วนเสี่ยวฮัวที่ตั้งหน้าตั้งหน้าวิ่งมาจากเรือนรับรอง นางย่อมรู้ว่าควรวิ่งไปหาผู้ใดเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น แฮ่ก ๆ ๆ “ฮูหยินเจ้าคะเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ทะ ทะ ที่เรือนรับรองมีคนทำเรื่องบัดสีอยู่ในนั้นเจ้าค่ะ”พรึบ! “เจ้าว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในจวนของข้านะ พูดมาให้ชัดว่ามันเป็นเรื่องอะไรกันแน่!” เหอฮูหยินมารดาของฟงเฉิงฮ่าวแทบนั่งไม่ติด เมื่อได้ยินสาวใช้ของจวนวิ่งหน้าตาตื่น เข้ามารายงานเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น“เมื่อครู่บ่าวพาคุณหนูหยางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนรับรอง แต่บ่าวกับคุณหนูหยางกลับได้ยินเสียงบุรุษกับสตรี กำลังทำเรื่องบัดสีอย
ส่วนเสี่ยวขุยที่เดินตามหาเสี่ยวฮัวในที่สุดก็เจอตัว จึงพากลับมาพบเมิ่งฟางเอินเพื่อรับภารกิจตามที่รับปากไว้ โดยที่แขกในงานคิดว่าเป็นการตามสาวใช้ มาช่วยเหลือเรื่องอาหารหรือน้ำชาที่พร่องไป มิได้คิดว่าจะมีแผนการสร้างความวุ่นวายแต่อย่างใด“คารวะคุณหนูทั้งสอง ท่านต้องการให้บ่าวทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”เมิ่งฟางเอินไม่รอช้ารีบสั่งการกับเสี่ยวฮัว ตามแผนการที่นางได้เตรียมเอาไว้ เพื่อสร้างเหตุการณ์ให้แขกเหรื่อในงานทั้งหลาย ได้รับรู้ว่าหยางเฟิ่งเซียนมิใช่สตรีที่ดีงามอันใด“เจ้านำกำยานไร้กลิ่นนี้ไปจุดไว้ในเรือนรับรองหลังใดก็ได้ แล้วไปตามบ่าวที่ดูแลม้าของจวนให้เข้าไปอยู่รอด้านใน จากนั้นเจ้าจงกลับมาในงานถือถาดกาน้ำชา แสร้งสะดุดไปทางหยางเฟิ่งเซียน เมื่อชุดของนางเปียกชื้นเจ้ารีบอาสาพานางไปเปลี่ยนชุดยังห้องรับรอง พอผ่านไปสักหนึ่งเค่อก็ส่งเสียงร้องดัง ๆ ข้ากับสหายจะรีบตามไปที่นั่น”เมื่อรู้ว่าเป็นภารกิจที่ไม่ยากเกินความสามารถ เสี่ยวฮัวยกยิ้มอย่างมั่นใจว่าตนเองทำสำเร็จได้แน่ จึงลองเอ่ยถึงเรื่องค่าจ้างที่เหลือกับเซิ่งฟางเอิน “คุณหนูรอฟังสัญญาณจากบ่าวได้เลยเจ้าค่ะ ว่าแต่ค่าจ้างที่เหลือของบ่าว...”“พรุ่งนี้เช้ามื
และแล้วงานเลี้ยงของจวนตระกูลฟงก็มาถึง แขกเหรื่อมากมายหลายตระกูลต่างมาร่วมแสดงความยินดี ซึ่งในมือของทุกตระกูลจะมีกล่องของขวัญ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจที่บางคนแอบแฝงเรื่องอื่น ๆ เพียงแค่สิ่งที่ผู้คนได้เห็นเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้นส่วนหยางเฟิ่งเซียนกับพี่ชายของตน ได้ชักชวนบิดาและมารดามายังจวนญาติผู้พี่ ก่อนจะถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงหนึ่งชั่วยาม เพื่อนำอุปกรณ์พิเศษที่จีจี้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เข้าไปติดตามมุมต่าง ๆ ที่คาดว่าจะมีคนลงมือทำเรื่องไม่ดีในวันนี้ซูอันนำกล้องวงจรปิดขนาดเล็ก ใส่ไว้ในลังไม้จำนวนนับร้อยชิ้น และกำชับกับบุตรทั้งสองก่อนลงจากรถม้าอีกเล็กน้อย “หรงเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ อย่าลืมสิ่งที่แม่เคยสอนพวกเจ้าไว้ล่ะ หากมีคนคิดทำร้ายลูกในงานเลี้ยง...”“ถ้าหากลูกถูกคนกลั้นแกล้งหรือลอบทำร้ายในงานเลี้ยง อย่าได้ตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง จงทำตัวให้เป็นคนที่น่าสงสาร จากนั้นค่อยเอาคืนอย่างสาสมใช่หรือไม่เจ้าคะ” หยางเฟิ่งเซียนย่อมจดจำได้กับสิ่งที่มารดาต้องการบอกกับตน ยกเว้นหากถูกรังแกซึ่ง ๆ หน้าเท่านั้น นางถึงจะลงมือจัดการอย่างตรงไปตรงมาไม่มีละเว้น“หึ ใช่ ในเมื่อพวกลูกจดจำได้ก็ดีแล้ว แม้จะเป็นที่
เรื่องข่าวดีที่บุตรชายฝาแฝดคนเล็กของเยี่ยนหลิงกับฟงเฉิงฮ่าว สามารถสอบได้ตำแหน่งจอหงวนถูกส่งไปยังตระกูลจิน ที่ยังคงคอยดูแลร้านผ้าไหมอยู่ในเมืองผู่เถียน สองสามีภรรยาอย่างมู่ถงและจือเหมย ยังคงทำงานที่ตนเองรักอย่างมีความสุขทุก ๆ สามเดือนทั้งสองคนจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อไปเยี่ยมเยียนบุตรหลานเป็นประจำ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่บุตรสาวออกเรือน และย้ายไปอยู่บ้านสามีตามธรรมเนียม แม้ซูอันกับเยี่ยนหลิงอยากให้บิดามารดาไปอยู่เมืองหลวง แต่ทั้งสองกลับชอบอยู่ที่เมืองผู่เถียนเสียมากกว่าเนื่องจากข่าวดีส่งมาในเวลากระชั้นชิดเกินไป มู่ถงกับจือเหมยจึงเลือกส่งของขวัญให้กับหลานชาย เพราะคงไม่สามารถเดินทางในเวลาอันสั้นได้ และของขวัญที่ส่งให้หลานชายอย่างฟงเหยาเหวิน ย่อมเป็นผ้าไหมปักลายอย่างประณีตงดงามอย่างแน่แท้ทางด้านเยี่ยนหลิงก็ช่วยแม่สามีจัดเตรียมงานเลี้ยง ทุกอย่างในงานล้วนทำอย่างพิถีพิถันมากที่สุด ด้วยไม่ต้องการทำให้ตระกูลฟงขายหน้าได้ อย่างไรเสียงานเลี้ยงครั้งนี้องค์หญิงใหญ่ย่อมเสด็จมาเข้าร่วม เพราะทั้งสองตระกูลมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่บุตรชายจนมาถึงหลาน ๆ ของทั้งสองตระกูลแขกเ
ในวันที่ตระกูลฟงได้รับข่าวน่ายินดี เมื่อมีจอหงวนคนใหม่อยู่ในตระกูลแม่ทัพใหญ่ การหารือเรื่องงานเลี้ยงจึงเสร็จสิ้นภายในวันเดียวกัน จินเยี่ยนหลิงกับแม่สามีช่วยกันทำงานไม่ให้ตกหล่น รายชื่อแขกที่เชิญมาร่วมงานได้มอบให้พ่อบ้านจัดการเป็นที่เรียบร้อยมีเพียงหนังสือเชิญของตระกูลหยาง ที่สองพี่น้องฝาแฝดตระกูลฟงนำไปส่งด้วยตนเอง เพื่อเยี่ยมคารวะท่านน้ากับน้าเขย แต่สิ่งที่ทุกคนต่างรู้กันดีย่อมหนีไม่พ้นญาติผู้น้อง ไม่ว่าครั้งไหนทั้งสี่คนมักจะนั่งพูดคุยจนลืมเวลาได้เสมอ“พวกเจ้าสองคนอย่าไปถึงงานเลี้ยงช้านักล่ะ พี่สั่งให้พ่อครัวทำอาหารที่พวกเจ้าชอบไว้หลายอย่าง ไปถึงช้าจะถูกคนอื่นแย่งกินจนหมดนะ”“พี่เหยาเหวินท่านไม่ต้องห่วง ข้ากับพี่ใหญ่จะไปถึงเป็นคนแรกแน่นอนเจ้าค่ะ”แต่หยางซิวหรงกลับคิดต่างกับน้องสาวเล็กน้อย “เซียนเอ๋อร์แน่ใจหรือว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่ไปถึง พี่กลับคิดว่าคงมีคุณหนูอีกหลายตระกูล ที่เร่งเร้าให้บิดามารดาพาไปร่วมงานแต่หัววัน เมื่อเจ้าไปถึงพวกนางก็เดินให้เกลื่อนจวนแล้วกระมัง”“เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับอาหรงนะ นอกจากตระกูลที่เป็นมิตรกับท่านปู่แล้ว อย่างไรเสียพวกที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่เชิญก็ไม่ได้