ในวันที่ตระกูลฟงได้รับข่าวน่ายินดี เมื่อมีจอหงวนคนใหม่อยู่ในตระกูลแม่ทัพใหญ่ การหารือเรื่องงานเลี้ยงจึงเสร็จสิ้นภายในวันเดียวกัน จินเยี่ยนหลิงกับแม่สามีช่วยกันทำงานไม่ให้ตกหล่น รายชื่อแขกที่เชิญมาร่วมงานได้มอบให้พ่อบ้านจัดการเป็นที่เรียบร้อย
มีเพียงหนังสือเชิญของตระกูลหยาง ที่สองพี่น้องฝาแฝดตระกูลฟงนำไปส่งด้วยตนเอง เพื่อเยี่ยมคารวะท่านน้ากับน้าเขย แต่สิ่งที่ทุกคนต่างรู้กันดีย่อมหนีไม่พ้นญาติผู้น้อง ไม่ว่าครั้งไหนทั้งสี่คนมักจะนั่งพูดคุยจนลืมเวลาได้เสมอ
“พวกเจ้าสองคนอย่าไปถึงงานเลี้ยงช้านักล่ะ พี่สั่งให้พ่อครัวทำอาหารที่พวกเจ้าชอบไว้หลายอย่าง ไปถึงช้าจะถูกคนอื่นแย่งกินจนหมดนะ”
“พี่เหยาเหวินท่านไม่ต้องห่วง ข้ากับพี่ใหญ่จะไปถึงเป็นคนแรกแน่นอนเจ้าค่ะ”
แต่หยางซิวหรงกลับคิดต่างกับน้องสาวเล็กน้อย “เซียนเอ๋อร์แน่ใจหรือว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่ไปถึง พี่กลับคิดว่าคงมีคุณหนูอีกหลายตระกูล ที่เร่งเร้าให้บิดามารดาพาไปร่วมงานแต่หัววัน เมื่อเจ้าไปถึงพวกนางก็เดินให้เกลื่อนจวนแล้วกระมัง”
“เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับอาหรงนะ นอกจากตระกูลที่เป็นมิตรกับท่านปู่แล้ว อย่างไรเสียพวกที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่เชิญก็ไม่ได้ เพราะเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก
ที่สำคัญอาจมีคุณหนูที่ไม่ชอบเซียนเอ๋อร์ของเรา พวกนางต้องแต่งกายด้วยเครื่องประดับราคาแพง เพื่อมาข่มความงามของน้องสาวพวกเราเป็นแน่” ฟงเสวี่ยหลินที่เคยเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ผ่านตามาบ้าง
ส่วนฟงเหยาเหวินกลับมีความเห็นไปอีกทาง “แต่ข้ากลับมองว่านอกจากการแต่งกายประชันความงาม คงมิใช่จุดหมายที่แท้จริงของพวกนางแน่นอน พวกเราควรระวังคุณหนูที่ตัวติดกันให้ดี ข้าคิดว่าพวกนางต้องมีแผนการมากลั่นแกล้งเซียนเอ๋อร์ ท่ามกลางแขกเหรื่อมากมายหากเกิดเรื่องกับเซียนเอ๋อร์ ย่อมเป็นเรื่องเล่าลือไปทั่วเมืองหลวงในชั่วข้ามคืน”
ป๊าบ! “ถูกต้องเจ้าค่ะพี่เหยาเหวิน ข้าก็คิดเรื่องนี้คล้ายกับท่านเช่นกัน การระวังตัวไว้ย่อมดีกว่าเพราะสามารถรับมือได้ทัน แต่ข้าจะเอาคืนพวกนางอย่างไรโดยไม่ให้ถูกตำหนิ ขอเวลาข้าคิดแผนการอีกสักหน่อย หากคิดออกแล้วจะรีบบอกพวกท่านทันทีเจ้าค่ะ”
หยางเฟิ่งเซียนเข้าใจสิ่งที่ฟงเหยาเหวินพูดอย่างรวดเร็ว ถึงตนจะอยู่นิ่ง ๆ แต่สตรีเหล่านั้นก็คิดลงมือกับนางอยู่ดี ดังนั้นนางย่อมทำตามปณิธานของตนเสียหน่อยแล้ว
“เอาเช่นนี้เถิด วันนี้พวกท่านกลับจวนไปกำชับกับพ่อบ้าน เพื่อจัดกำลังบ่าวไพร่ให้มากกว่าปกติ ในบริเวณที่สุ่มเสี่ยงกับการเกิดเรื่อง ส่วนแผนการของเซียนเอ๋อร์ค่อยให้หลี่เจินไปบอกพวกท่านทีหลังขอรับ” หยางหยางซิวหรงเสนอแผนการป้องกันเอาไว้อีกทางกับทุกคน
“ข้าเห็นด้วย /ข้าก็เห็นด้วย”
ฟงเสวี่ยหลินยอมรับแผนการของญาติผู้น้อง เมื่อการส่งหนังสือเชิญเสร็จสิ้นก็ถึงเวลากลับจวน พร้อมนำแผนการนี้ไปกำชับกับพ่อบ้านฟงอีกครั้ง “เช่นนั้นพวกพี่ต้องกลับจวนก่อนนะ จะได้จัดการเรื่องกำลังคนให้เรียบร้อย”
“ขอรับ /เจ้าค่ะ”
ญาติผู้น้องฝาแฝดเดินมาส่งญาติผู้พี่แค่หน้าเรือนใหญ่ เพราะทั้งสองไม่อยากให้หยางเฟิ่งเซียนต้องเดินไปถึงประตูจวน ภายหลังส่งญาติผู้พี่กลับออกไปแล้ว ด้านหลังของทั้งสองก็ปรากฏร่างของอวี้เหลียน เข้ามารายงานว่าเจ้านายของตนต้องการพบสองพี่น้องในยามนี้
“หือ อวี้เหลียนเจ้ามีอะไรกับพวกข้าสองคนเช่นนั้นหรือ”
“เรียนคุณชาย คุณหนู นายหญิงให้ข้ามาเชิญพวกท่านไปพบที่เรือนตอนนี้ขอรับ”
“อืม ขอบคุณเจ้ามากข้ากับน้องเล็กจะไปเดี๋ยวนี้”
หยางเฟิ่งเซียนทำท่าครุ่นคิดกับการไปพบมารดา ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ทั้งสองคนเฝ้ารอหรือไม่ เนื่องจากนางลองคำนวณเวลาดูแล้ว นี่ก็ครบสามวันตามที่จีจี้ได้บอกเอาไว้ “พี่ใหญ่ท่านว่าที่ท่านแม่ให้คนมาตามพวกเราสองคนไปพบ จะเกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันเอาไว้เมื่อวันก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
“อาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ พวกเรารีบไปพบท่านแม่ก่อนเถิด ไปถึงคงจะรู้เองว่าใช่อย่างที่พวกเราคิดหรือไม่” หยางซิวหรงย่อมคิดไม่ต่างจากน้องสาว บางครั้งความคิดของพวกเขาก็คล้ายกันมากจนน่าตกใจ ถึงขั้นมองตาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกคนคิดจะทำสิ่งใด
“ไปเร็วเข้าพี่ใหญ่”
ซูอันที่ส่งอวี้เหลียนไปตามบุตรทั้งสองให้มาพบ กำลังนั่งรออย่างสบายใจไม่มีทีท่ากลัดกลุ้ม หรือเป็นกังวลอย่างที่มารดาผู้อื่นเป็นสักนิด จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้ามากกว่าสองคน ก็รู้แล้วว่าบุตรของตนมาถึงเรือนแล้วนั่นเอง
เสียงของหยางเฟิ่งเซียนดังขึ้นก่อนจะเปิดประตูเรือนของมารดา “ท่านแม่ข้ากับพี่ใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ ท่านให้อวี้เหลียนไปตามพวกเรามาพบ มีเรื่องสำคัญอันใดอยากจะชี้แนะกับพวกเราหรือเจ้าคะ”
ซูอันมิได้ตอบบุตรสาวแต่หันไปสั่งการกับอวี้เหลียน “เจ้าเฝ้าด้านนอกไว้ให้ดีนะอวี้เหลียน ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับลูก ๆ ของข้าสักประเดี๋ยว ใครกล้าไม่เชื่อฟังลงโทษทันที”
“ทราบแล้วขอรับนายหญิง”
เมื่ออวี้เหลียนปิดประตูเรือนจนสนิท และยืนถือดาบเฝ้าด้านหน้าอยู่เงียบ ๆ ซูอันถึงหันมาหาบุตรทั้งสองอีกครั้ง “เอาล่ะ ที่แม่เรียกพวกเจ้ามาพบในวันนี้ เพราะเรื่องที่รับปากเอาไว้จีจี้ทำสำเร็จแล้ว จีจี้ส่งของออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
[รับทราบเจ้าค่ะนายหญิง]
พรึบ! สิ้นเสียงคำสั่งของซูอันก็ปรากฏกล่องไม้เล็ก ๆ สี่ชิ้น และยังมีกล่องขนาดแตกต่างกันอีกสี่ชิ้นบนโต๊ะกลางห้อง หลังจากนั้นยังคงเป็นเสียงของจีจี้ ที่อธิบายว่าสิ่งของในกล่องไม้มีอะไรบ้าง
[อะ แฮ่ม ต่อไปจีจี้จะอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ด้านในแล้วนะเจ้าคะ กล่องเล็ก ๆ ทั้งสี่จีจี้ใช้หยกดำหายาก ในการทำเป็นแหวนให้คุณชายกับคุณหนูรวมถึงคุณชายฟงทั้งสอง โดยด้านในแหวนทั้งสี่วงได้ใส่สิ่งจำเป็นมากมายเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร ยารักษาโรค ยาพิษหรือยาถอนพิษชนิดต่าง ๆ อาวุธร้ายแรงที่มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ซึ่งนายหญิงเคยสอนพวกท่านใช้ทั้งหมดไปแล้ว]
“ว้าว พี่ใหญ่นี่มันยอดเยี่ยมมากจริง ๆ เจ้าค่ะ ต่อไปยามเดินทางไปทำการค้าต่างแคว้น พวกเราย่อมมีอาวุธที่ร้ายกาจจัดการศัตรูได้ทันที ขอบคุณท่านแม่ ขอบคุณจีจี้ข้าชอบสิ่งนี้มาก”
“น้องเล็กพูดถูก อาวุธร้ายกาจพวกนี้ค่อยใช้ในยามอันตราย จะให้คนอื่นเห็นง่าย ๆ ไม่ได้เป็นอันขาด เหมาะกับการพกพาไปทำการค้าที่สุดแล้วล่ะ ขอบคุณท่านแม่กับจีจี้นะขอรับ ลูกก็ชอบสิ่งนี้เหมือนน้องเล็ก”
ซูอันยกยิ้มพอใจกับท่าทางของบุตรทั้งสอง แต่นางรู้ว่าจีจี้มิได้มีเพียงเท่านี้ที่จะมอบให้บุตรของนาง “จีจี้ เอาออกมาให้หมดเสียในคราวเดียวไม่ดีกว่าหรือ เจ้าจะหมกเม็ดเอาไว้เพื่ออันใดกัน”
[ไอหยา ยังคงเป็นนายหญิงที่รู้ทันจีจี้เช่นเคย ใช่เลยเจ้าค่ะสิ่งที่เตรียมไว้มิได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีกระพี่พกขนาดสองฉื่อให้คุณชาย วัสดุทำจากเหล็กชั้นดีประดับด้วยหยกม่วง ความคมของกระบี่พกแค่ออกแรงตวัดเพียงสองส่วน ก็สามารถเชือดคอให้ขาดลึกไปหลายชุ่น
ในส่วนของคุณหนูเป็นปิ่นปักผมทำจากเหล็กขาว เมื่อจับหัวปิ่นดึงออกมาจะเป็นมีดสั้นอันคมกริบเช่นกัน สามารถใช้ในการลอบทำร้ายหรือลอบสังหารได้ดี ยังมีอีกหนึ่งอย่างของคุณหนูนั่นก็คือแส้เหล็กอันบางเฉียบ มีน้ำหนักเบาปลายแส้ฝังใบมีดขนาดเล็กทุก ๆ สามปล้อง สามารถสร้างบาดแผลและตัดเส้นเอ็นได้ในพริบตาเจ้าค่ะ]
หยางเฟิ่งเซียนได้ฟังจีจี้พูดถึงอาวุธของตน ยิ่งชื่นชอบความรู้ใจนี้มากกว่าเดิมหลายเท่า “โอ้ยยย ท่านแม่เหตุใดจีจี้ถึงได้รู้ใจลูกเช่นนี้เจ้าคะ มีทั้งอาวุธต่อสู้ในระยะประชิด ไหนจะแส้เหล็กใช้ต่อสู้ในระยะไกล ล้วนใช้สังหารคนได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว”
“กระบี่พกชิ้นนี้ความคมของมันไม่อาจดูเบาได้จริง ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์กับลูกและน้องเล็กทั้งสิ้นนะขอรับท่านแม่”
“พวกลูกชอบก็ดีแล้ว แต่ต้องใช้มันอย่างระมัดระวังด้วยล่ะ ในเมื่อพวกเจ้ารับปากแล้วว่าจะทำการค้าให้เจริญรุ่งเรือง ดังนั้นจงใช้สิ่งที่แม่มอบให้ปกป้องตนเองและการค้า
หากวันหนึ่งพวกเจ้าพบเจอเรื่องใหญ่เกินจะรับมือได้ อย่าลืมว่าข้างหลังพวกเจ้ายังมีพ่อและแม่ ที่พร้อมจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเสมอ อย่าได้อวดเก่งนั่นมิใช่ความคิดของคนฉลาด เข้าใจที่แม่พูดหรือไม่”
สองพี่น้องมองหน้ากันเป็นอันเข้าใจ ว่าสิ่งที่มารดาสั่งสอนนั้นเป็นสิ่งที่สมควรที่สุดแล้ว “ลูกกับน้องเล็กจดจำเอาไว้แล้วขอรับ พวกเราจะไม่อวดเก่งจนถูกมองว่า แก้ไขปัญหาด้วยวิธีอันโง่เขลาแน่นอนขอรับ”
หยางเฟิ่งเซียนนึกถึงเรื่องที่พูดคุยกับพี่ชายทั้งสามก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ “ลูกก็จดจำคำสอนของท่านแม่ไว้แล้วเจ้าค่ะ เอ่อ ท่านแม่เจ้าคะลูกมีเรื่องอยากปรึกษาสักเล็กน้อย เกี่ยวกับงานเลี้ยงของญาติผู้พี่เจ้าค่ะ”
ซูอันเห็นสีหน้าของบุตรสาวเปลี่ยนไป จึงสงสัยว่าเรื่องที่บุตรสาวอยากปรึกษาคืออะไรกันแน่ “เซียนเอ๋อร์อยากปรึกษาอันใดหรือ ลองบอกแม่มาเถิดจะได้ช่วยกันแก้ไขเสียแต่เนิ่น ๆ”
“ลูกคิดว่างานเลี้ยงของญาติผู้พี่ในวันมะรืน อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นเป็นแน่ ซึ่งสาเหตุคงไม่พ้นความอิจฉาริษยาของคุณหนูทั้งหลาย หรือคนที่เกลียดชังลูกไม่ว่าจะเป็นเรื่องอันใดก็ตาม
ลูกจึงอยากถามความเห็นของท่านแม่ว่า พอจะมีเครื่องมือที่เราสามารถใช้สอดส่องผู้คนในงาน โดยไม่ทำให้พวกเขารู้สึกผิดสังเกตบ้างหรือไม่เจ้าคะ ลูกกับพวกพี่ชายจะได้ระวังตัว ไม่ตกเป็นผู้ถูกกระทำตามแผนสกปรกของคนเหล่านั้นให้อับอายเจ้าค่ะ”
[เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของจีจี้เองเจ้าค่ะนายหญิง]
ซูอันถึงกับถามจีจี้ทันทีเมื่อได้ยินว่าผู้ช่วยของตนมีวิธีจัดการ “หือ เจ้าคิดจะใช้สิ่งใดช่วยบุตรหลานของข้าหรือจีจี้ ไหนลองบอกพวกเรามาสิกับแผนการของเจ้าน่ะ”
[ง่ายมากเจ้าค่ะ จีจี้จะใช้กล้องวงจรปิดติดไว้ให้ทั่วทุกจุดในจวนตระกูลฟง ส่วนนายหญิงกับคุณชายและคุณหนู ก็ใส่หูฟังไว้รอจีจี้รายงานสถานการณ์ให้ทราบ หากมีกลุ่มคนคิดจะวางแผนกลั่นแกล้งคุณหนูอย่างไรล่ะเจ้าคะ]
ซูอันพยักหน้าช้า ๆ อย่างเห็นด้วยกับวิธีนี้ เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าจีจี้จะวางกล้องไว้ตรงจุดไหนบ้าง “ดีมากจีจี้ ข้าอนุญาตให้เจ้าทำตามแผนนี้ได้ทันทีที่ไปถึงตระกูลฟง ส่วนพวกลูกสองคนคอยรับอุปกรณ์จากแม่ ก่อนจะลงจากรถม้าเมื่อไปถึงที่นั่นก็แล้วกัน”
หยางเฟิ่งเซียนได้รับการช่วยเหลือก็สบายใจ เมื่อตนไม่ต้องคอยใช้สายตาสอดส่องไปทั่วงาน “ขอบคุณท่านแม่มากเจ้าค่ะ เจ้าด้วยนะจีจี้ เช่นนั้นตอนนี้ลูกขอไปทดลองใช้อาวุธใหม่สักหน่อยนะเจ้าคะ ครั้งต่อไปจะได้ใช้อย่างคล่องมือพี่ใหญ่ไปที่สนามฝึกกันเถิดเจ้าค่ะ”
และซูอันย่อมรู้ใจบุตรทั้งสองของตนเช่นกัน “ไปเถิด ระวังอย่าให้บาดเจ็บก็แล้วกัน ส่วนของญาติผู้พี่พวกเจ้าแม่จะเก็บไว้ และค่อยนำไปมอบให้ในงานเลี้ยงที่ตระกูลฟงเอง”
“ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”
“ลูกขอตัวก่อนขอรับท่านแม่”
สองพี่น้องมีของวิเศษสวมไว้ที่นิ้วมืออย่างพอดี พร้อมกันนี้ยังถืออาวุธที่เพิ่งได้รับตรงไปยังลานฝึก เพื่อทดลองใช้ให้คล่องมือของตนโดยเร็ว ยามเผชิญหน้าศัตรูจะได้ไม่ติดขัดยามต่อสู้ ที่ฝาแฝดสองตระกูลมีนิสัยกล้าได้กล้าเสียเหมือนกัน ล้วนเป็นผลมาจากการสั่งสอนของซูอันทั้งสิ้น
ผ่านมาแล้วหลายเดือนในที่สุดขบวนสินสอดของตระกูลซ่างกวน ก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางไปเยือนแคว้นเป่ยชาง เพื่อจะสู่ขอบุตรสาวตระกูลหยางมาเป็นลูกสะใภ้ ขบวนเดินทางของซ่างกวนเซียวจิ้งใช้เวลาเกือบยี่สิบวัน สุดท้ายก็มาถึงเมืองหลวงแคว้นเป่ยชาง ด้วยหีบไม้ผูกผ้าสีแดงมากมายนับร้อยหีบ ยามทั้งหมดเดินผ่านประตูเมืองจึงกลายเป็นจุดสนใจทันทียิ่งไปกว่านั้นยังมีบุรุษรูปงามนั่งบนหลังม้า เป็นผู้นำขบวนดังกล่าวไปเยือนจวนตระกูลหยาง ซึ่งได้สอบถามเส้นทางไว้ล่วงหน้าแล้ว และขบวนสินสอดนี้ยังเป็นที่สนใจ ท่ามกลางความอยากรู้อยากเห็นของคนในเมืองหลวงยามนี้ในห้องโถงรับแขกของจวนตระกูลหยาง มีเจ้าของจวนและครอบครัวของซ่างกวนเซียวจิ้งนั่งอยู่อย่างพร้อมหน้า เนื่องจากเป็นการเดินทางมาเพื่อเจรจาสู่ขอหยางเฟิ่งเซียนอย่างเป็นทางการซ่างกวนเจิ้งไห่เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพกับหยางไท่หมิงและซูอัน “วันนี้ข้ามารบกวนถึงจวนเพราะต้องการสู่ขอบุตรสาวของน้องหยางกับฮูหยิน ไปเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลซ่างกวน เนื่องจากบุตรของพวกเราผูกสมัครรักใคร่กันทั้งสองฝ่าย พวกท่านมีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรหรือ”หยางไท่หมิงและซูอันยิ้มรับอย่างเป็นกันเอง เนื่องจากเรื่องนี้พวกเข
นับตั้งแต่หยางเฟิ่งเซียนและหยางซิวหรงเดินทางกลับแคว้น ซ่างกวนเซียวจิ้งจึงเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้สืบทอดการค้าของมารดา ซึ่งมีน้องสาวที่มีประสบการณ์คอยช่วยเหลือ เนื่องจากการค้าที่มารดาของเขาทำนั้น มีความแตกต่างกับการค้าของตระกูลซือหม่าอยู่มากก่อนนั้นแม้เขาจะรับราชการคล้ายไม่ค่อยมีเวลา แต่ความเป็นจริงเรื่องการค้าเขาจะคอยช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ลงมือทำเต็มตัวจึงใช้เวลาไม่นานก็ทำได้อย่างคล่องแคล่ว โดยให้น้องสาวคอยดูแลจัดการอยู่ที่ร้านค้า ส่วนการติดต่อกับคู่ค้าในต่างเมืองตนจะรับผิดชอบทั้งหมดระหว่างที่ซ่างกวนเซียวจิ้งกำลังทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ก็มักจะปลีกตัวมาพูดคุยกับหยางเฟิ่งเซียนผ่านป้ายหยกอยู่เสมอ นางไม่เคยเอ่ยเร่งรัดเรื่องการแต่งงานกับซ่างกวนเซียวจิ้ง เพราะเข้าใจดีกับการเริ่มต้นใหม่ของครอบครัวนี้‘ท่านอย่าได้เร่งรีบจนเกินไปนักรู้หรือไม่ หากทำให้เกิดช่องโหว่คู่ค้าอาจเอาเปรียบท่านได้นะเจ้าคะ’“พี่เข้าใจแล้ว ขอบใจเซียนเอ๋อร์ที่คอยเตือนและให้คำแนะนำดี ๆ แก่พี่เสมอนะ”‘ขอบใจอันใดมากมายเจ้าคะ ข้าย่อมเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายกับท่านเท่าใดนัก หากข้าสามารถช่วยได้จะไม่ช่วยท่านได้อย่างไรกัน
เรื่องราวที่เย่จินลู่คิดกระทำกับซ่างกวนเซียวจิ้ง ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครมไปยังเรือนรับรองอีกสองหลัง แม้แต่บ่าวไพร่ที่นำร่างของนางกลับไป ยามได้ยินคำพูดจากโจวหลี่ก็แทบจะกลายเป็นใบ้ เพราะคำเตือนที่มาจากหยางเฟิ่งเซียน สร้างความหวาดกลัวให้พวกเขาอยู่ไม่น้อยเมื่อร่วมรับมื้อเช้าพร้อมกันเสร็จเรียบร้อย ซ่างกวนเซียวจิ้งจึงเอ่ยขอตัวออกไปหาดูจวนหลังใหม่ เพราะครอบครัวของเขาไม่อยากรบกวนท่านตานานเกินไป ซึ่งการออกไปนออกจวนข้างกายของซ่างกวนเซียวจิ้ง ย่อมมีหยางเฟิ่งเซียนที่มีพี่ชายฝาแฝดติดตามไปด้วยเช่นกันทั้งสามคนมายังที่ว่าการของเมืองหลวง เพื่อสอบถามเรื่องจวนที่เจ้าของต้องการขายกับเจ้าหน้าที่ จากนั้นถึงจะไปดูจวนแต่ละหลังก่อนตัดสินใจซื้อ“ไม่ทราบว่าพวกท่านมาที่นี่ต้องการดูร้านค้า หรือหาซื้อจวนเพื่ออยู่อาศัยหรือขอรับ ข้าน้อยฟางเหวินหมิงเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ พวกท่านสามารถบอกรายละเอียดกับข้าน้อยได้เลยขอรับ”“ข้าต้องการซื้อจวนขนาดใหญ่เล็กน้อย ท่านเจ้าหน้าที่พอจะแนะนำได้หรือไม่ว่า จวนหลังใดน่าสนใจและน่าอยู่อาศัยบ้าง สิ่งที่สำคัญคือจวนหลังนี้ต้องไม่มีผู้คนพลุกพล่านจนเกินไป”“โอ้ว คุณชายท่านมาได้พอดี
เมื่อครอบครัวซ่างกวนตอบรับคำเชิญที่จะพักอยู่ในจวน เรือนรับรองจึงถูกบ่าวไพร่ทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แขกคนสำคัญของตระกูลซือหม่าได้พักผ่อนจากการเดินทางไกล สิ่งของที่นำมาจากแคว้นหนานหยางด้านหน้าจวน ถูกยกเข้ามาเก็บไว้ที่เรือนรับรองเสียก่อน ด้วยความเหนื่อยล้าที่เดินทางมาสิบกว่าวัน สองสามีภรรยารวมถึงบุตรสาวจึงงีบหลับทันทีหลังจากชำระล้างร่างกายส่วนซ่างกวนเซียวจิ้งถูกหยางเฟิ่งเซียนรั้งไว้ด้านนอกเรือน เพราะนางต้องการพูดถึงเรื่องที่สังเกตเห็นยามที่มาถึงจวนแห่งนี้ โดยมีหยางซิวหรงนั่งฟังน้องสาวเล่าเรื่องด้วยเช่นกัน“เซียนเอ๋อร์มีเรื่องอันใดจะบอกพี่เช่นนั้นหรือ ดูสีหน้าของเจ้าคล้ายกำลังมีคนทำให้โกรธอยู่ใช่ไหม?”“นั่นน่ะสิน้องเล็ก พี่ใหญ่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครไม่ยินดีที่จะต้อนรับพวกเรา ยกเว้นป้าสะใภ้รองของพี่เซียวจิ้งคนนั้น”“หึ เพราะพวกท่านสองคนมิได้สนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นสตรี ถึงไม่เห็นว่ามีสาวใช้คนหนึ่งกำลังอยากปีนเตียงคู่หมั้นของข้าน่ะสิ”“หา!! /อะไรนะ!!”บุรุษทั้งสองอุทานอย่างตกใจออกมาพร้อมกัน เนื่องจากพวกเขาไม่ทันสังเกตอย่างที่หยางเฟิ่งเซียนพูดจริง ๆ เพราะคิดว่าที่นี่ย่อมรู้ว่าครอบค
ในการออกเดินทางของตระกูลซ่างกวน หย่างไท่หมิงอยากให้ซ่างกวนเซียวจิ้งกับครอบครัว ขึ้นไปนั่งอยู่ด้านในรถม้าเสียก่อน เมื่อพ้นเขตเมืองหลวงค่อยออกมาขี่ม้าเช่นที่เคยทำ เนื่องจากมีบ่าวไพร่ติดตามไม่มาก ขบวนเดินทางครั้งนี้จึงใช้ม้าทั้งหมด เพื่อการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งระยะทางจากเมืองหลวงแคว้นหนานหยาง ไปถึงแคว้นชางเหอใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นเพียงแต่หยางไท่หมิงกับซูอันและสองพี่น้องตระกูลฟง ต้องแยกตัวกลับแคว้นเป่ยชางเมื่อมาถึงเขตชายแดน มีเพียงสองพี่น้องตระกูลหยางและผู้ติดตามอีกสิบคน ยังคงต้องไปกับซ่างกวนเซียวจิ้งตามความตั้งใจเดิมจากชายแดนแคว้นเป่ยชางมาถึงเมืองหลวงแคว้นชางเหอ ขบวนเดินทางของซ่างกวนเซียวจิ้งใช้เวลาอีกเจ็ดวัน ในที่สุดก็ผ่านประตูเมืองหลวงมาหยุดอยู่หน้าจวนขนาดใหญ่ ซึ่งที่นี่เป็นจวนของตระกูลซือหม่าคหบดีอันดับหนึ่งของแคว้นชางเหอเฉินเจ๋อลงจากหลังม้าทำหน้าที่ของตน โดยการบอกบ่าวด้านหน้าประตูให้ไปรายงานเจ้าของจวน “น้องชายรบกวนเจ้าไปรายงานนายท่านผู้เฒ่าว่า บุตรสาวเพียงคนเดียวมาขอพบ”“รอสักประเดี๋ยวข้าจะรีบไปรายงานท่านพ่อบ้านให้ขอรับ”“ขอบใจมาก”บ่าวคนที่พูดคุยกับเฉินเจ๋อเร่งกล
ภายหลังกลับมาถึงจวนตระกูลซ่างกวน ผู้เป็นเจ้าของจวนรีบสั่งพ่อบ้านไปเรียกบ่าวไพร่ มาช่วยทำความสะอาดเรือนรับรอง เพื่อให้ครอบครัวของหยางเฟิ่งเซียนได้พักผ่อน ระหว่างที่นั่งรอบ่าวไพร่จัดการเรื่องเรือนรับรอง ภายในห้องโถงรับแขกจึงมีการสนทนาถึงสิ่งที่ซ่างกวนเจิ้งไห่คิดจะทำหลังจากนี้ เพราะหยางไท่หมิงกับซูอันต่างคิดคล้ายกันว่า ตระกูลซ่างกวนไม่อาจอยู่ที่แคว้นหนานหยางได้อีกแล้ว“นายท่านซ่างกวนกับฮูหยินคิดจะทำอย่างไรต่อหรือขอรับ ข้าว่าพวกท่านคงอยู่ใช้ชีวิตในแคว้นหนานหยางยากแล้วล่ะ แม้ฮ่องเต้จะรู้สึกผิดและเสียดายขุนนางดี ๆ แต่ขุนนางที่ฝักใฝ่ในอำนาจมักมีวิธีการชักจูงฮ่องเต้ได้เสมอนะ”“อืม ข้าเข้าใจสิ่งที่น้องหยางพูดมา ก่อนหน้าจะถึงงานเลี้ยงฉลอง ครอบครัวของเราได้หารือกันไว้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างที่คาดก็ไม่คิดจะอยู่ที่แคว้นหนานหยางอีก” ซ่างกวนเจิ้งไห่ตอบหยางไท่หมิงไปตามตรงซือหม่าฮูหยินกล่าวเสริมคำพูดของสามีอีกเล็กน้อย “พวกเราคุยกันไว้ว่าจะย้ายกลับไปตระกูลซือหม่าที่แคว้นชางเหอ เพื่อทำการค้าเนื่องจากบิดาของข้าเป็นวาณิชหลวงให้กับราชสำนักน่ะ”ซูอันได้ยินคำว่าวาณิชหลวงจากซือหม่าฮูหยินก็หูผึ่งทันที เพร