LOGINหลัง “การประชุมชั้น 18” เช้านั้น วันทำงานวันที่สองของฉันผ่านไปเร็วกว่าที่คิด แปลกดีที่พอหัวใจเบา งานก็เบาตาม ทั้งที่จริง ๆ เนื้อหาที่ต้องร่างก็ไม่ได้ง่ายอะไร ฉันยังคงจำคำของภีมที่พูดไว้ “เริ่มใหม่มันสนุก” แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ระหว่างนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ช่วงบ่ายฉันร่างสตอรี่บอร์ดไว้สามโพสต์ “เช้าใหม่ เมล็ดใหม่” วาดรูปคนยืนรับแสงอาทิตย์พร้อมถือแก้วกาแฟ แล้วยำมุกเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คนอ่านได้ยิ้ม โทนเดียวกับชีวิตช่วงสองสามวันที่ผ่านมา: ไม่หวือหวา แต่มีความอบอุ่นแบบไฟอ่อน ๆ เผาไขไม่ไหม้
พอถึงเวลาเลิกงาน ฉันรีบเก็บกระเป๋า เหตุผลไม่ใช่เพราะอยากกลับไปนอนเร็ว แต่เพราะไม่อยากให้เครื่องซักผ้าคิดถึงฉันจนพ่นน้ำต้อนรับอีก รอบนี้ฉันตั้งปณิธานแน่วแน่กลับถึงบ้านจะเช็กวาล์วสายยางก่อนทุกอย่าง และจะไม่ทำตัวเป็นวิศวกรสมัครเล่นอีกแล้ว
ก่อนออกออฟฟิศ มิ้นท์ตะโกนตามหลังมา “เฮ้ เพื่อนบ้านหล่อคนนั้นเป็นไงบ้าง เมื่อเช้าส่งรูปสติกเกอร์ไขควงมาในไลน์เหรอ”
“เรื่องมันยาว ไว้เล่าพร้อมชานม” ฉันตะโกนกลับ พลางทำท่ายกแก้วสมมติ มิ้นท์ทำหน้าหมั่นไส้อย่างจงใจ เราหัวเราะให้กันสั้น ๆ
ฉันเดินผ่านร้านผลไม้หน้าปากซอยแวะซื้อกล้วยหอมหนึ่งหวี ถุงผักหนึ่งถุง น้ำปลา น้ำมันพืช ข้าวสารครึ่งถุง (ครึ่งถุงก็ยังหนักนะบอกเลย) และขนมแมวรสปลาคู่ชีวิตที่ถ้าไม่ได้ซื้อ โมจิจะยื่นหนังสือคำร้องหยุดความสัมพันธ์แม่-ลูกทันที หยิบของครบแล้ว ฉันเปลี่ยนแขนสลับถือไปมา สาบเสื้อเกี่ยวถุงจนตึงไปทั้งแถบ เดิน ๆ อยู่ก็บ่นในใจ “โต๊ะกินข้าวยังไม่มี แต่ความมุทะลุอยากทำกับข้าวมีแล้วหนึ่ง”
ถึงล็อบบี้คอนโด รปภ.หน้าตายิ้มต้อนรับ ฉันยกมือไหว้แบบหอบ ๆ เขาหัวเราะ “วันนี้ไม่ท่วมแล้วนะคุณมะปราง ช่างแจ้งว่าเรียบร้อยดี”
“ค่ะ ๆ ขอบคุณมากเลย ถ้าท่วมอีกหนูจะตั้งศาลพระภูมิเครื่องซักผ้าแล้วค่ะ” ฉันตอบไปแบบนั้นจริง ๆ และเหมือนจักรวาลจะชอบมุกล้อโชคชะตา เพราะพอเข้าลิฟต์ไป ฉันดันยืนคู่กับผู้หญิงหิ้วพัดลมตั้งโต๊ะใหม่เอี่ยม เธอมองถุงน้ำมันในมือตะลึง ๆ ฉันเลยยิ้มบอกว่า “ห้องครัวฉันเพิ่งผ่านสงครามน้ำเมื่อวาน วันนี้เลยซื้ออาวุธมาเพิ่ม” เราหัวเราะให้กันแบบคนแปลกหน้าที่เข้าใจอะไรบางอย่างร่วมกัน
ลิฟต์เปิด “ติ๊ง” ชั้น 18 ตามกำหนด ทุกอย่างเหมือนจะราบรื่น ถ้าไม่ใช่เพราะประตูห้องฉันเปิดแง้มไว้เพราะดึงของเข้าไปไม่ทัน และโมจิ…ใช่ค่ะ โมจิของฉัน ออกมายืนจังก้าหน้าห้องเหมือนบอดี้การ์ดที่ลืมว่าหน้าที่คือเฝ้าอยู่ข้างใน มันเหลือบตามองถุงขนมในมือฉันหนึ่งที ก่อนวิ่งสวนทางฝีเท้าเบา ๆ ไปที่ห้อง 18B ราวกับรู้เส้นทางดี
“โมจิ! หยุด! นั่นเขตแดนประเทศเพื่อนบ้าน!” ฉันร้องลั่น แต่คนถือถุงสองมือน่ะ บอกเลยว่าแพ้นักวิ่งสี่ขาเสมอ
พอถึงหน้าห้อง 18B ฉันก็เห็นประตูเปิดพอดี เหมือนรอเวลามะปรางหน้าแตก ภีมยืนอยู่ตรงนั้นในชุดที่ฉันไม่ค่อยเห็น เสื้อเชิ้ตดำเรียบ กางเกงสแลคเข้ารูป มือซ้ายถือกุญแจรถ มือขวาดึงสายจูงโตโตะไว้หลวม ๆ กลิ่นโคโลญจน์อ่อน ๆ ผสมกลิ่นกาแฟติดเสื้อ ทำให้ภาพรวมดูเรียบง่ายแต่ดูดีแบบที่ทำให้คนถือถุงข้าวสารอย่างฉันรู้สึกว่า…นะ เหมือนโฆษณาน้ำหอมยังไงยังงั้น
โตโตะเห็นโมจิแล้วตาเป็นประกาย ส่ายหางถี่ “บรู๋ง บรู๋ง” รอท่าเหมือนจะบอกว่า “ยินดีต้อนรับครับ แขก VIP”
โมจิหยุดตรงหน้าเขา ยกคางสูงเหมือนเจ้าเมือง “เหมียว” เบา ๆ หนึ่งครั้ง แล้วเดินเฉียด ๆ ขาหน้าภีมอย่างถือสิทธิ์
ฉันรีบพูดรัว “ไม่ใช่นะคะ! โมจิไม่ได้เป็นแมวขโมย! มันไม่ได้จะเอ่อ เข้ามาขโมยอะไรของคุณนะคะ! ไม่! ไม่! ไม่ใช่ว่าฉันหาว่าคุณเป็นขโมยนะคะ ฉันหมายถึง..”
ประโยคของฉันพันกันเป็นก้อน เหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวน้ำตกที่ลอยวนอยู่ในชามจนหาจุดเริ่มไม่เจอ ภีมเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิด ๆ “หืม ใครว่าผมเป็นขโมยนะ”
“ไม่ใช่ ๆ ๆ ฉันหมายถึงแมว! แมวไม่ใช่ขโมย! แล้ว โอ๊ย ขอโทษค่ะ ฉันพูดไม่เป็นภาษาไปหมดเลย” ฉันยืนตัวแข็ง ๆ เหมือนเสาอากาศเสียในวันที่พายุเข้า
โตโตะมองหน้าเราแล้วเห่า “บู้” เบา ๆ เหมือนหัวเราะ เผลอ ๆ อาจกำลังให้คะแนนความวุ่นวายอยู่ในใจ
ภีมหัวเราะน้อย ๆ เสียงทุ้มชัด “ใจเย็นครับ ผมไม่ได้คิดว่าใครเป็นขโมยสักคน แค่นึกภาพตัวเองถูกกล่าวหาแบบงง ๆ ก็…ขำดี”
ฉันอยากเอาถุงน้ำมันพืชคลุมหัว “ขอโทษจริง ๆ ค่ะ ฉันรีบเกินไป ปากเลยวิ่งแซงสมอง”
เขาชำเลืองมองมือฉันที่ถือถุงพะรุงพะรัง “ให้ช่วยไหมครับ ของดูหนัก”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยกไหว” ฉันพยายามจะพิสูจน์ความแข็งแกร่งหญิงสาว แต่ทันทีที่ยกสูงขึ้นนิด ถุงน้ำมันก็เอียงไปชนถุงข้าวสารดัง “ตั้บ” แบบเสียวหล่น ทั้งหมดเกิดขึ้นช้ามากในสายตา แต่เร็วมากในความเป็นจริง ภีมเอื้อมมือมาคว้าได้พอดี ช่วยชีวิตน้ำมันกับศักดิ์ศรีฉันไปพร้อมกัน
“ยกไหวเหรอครับ” น้ำเสียงเขาเรียบ แต่สายตาแซวอย่างสุภาพ
“เอ่อ…ไม่ไหวก็ได้ค่ะ” ฉันยอมแพ้แบบไร้ศักดิ์ศรีอย่างรวดเร็ว เพื่อนบ้านปลอดภัยไว้ก่อน
เขารับถุงทั้งสองจากฉันอย่างง่ายเหมือนยกหมอน “งั้นเข้าไปวางในห้องก่อน”
ฉันเปิดประตูเชื้อเชิญ โมจิเดินนำเข้าไปก่อนพร้อมท่าทีเป็นเจ้าบ้าน โตโตะยืนรอหน้าประตูแป๊บหนึ่งแล้วนั่งลงอย่างมีมารยาท ภีมวางถุงลงบนเคาน์เตอร์ครัวชั่วคราว ฉันรีบเคลียร์พื้นที่โดยกวาดนิตยสารกับเทปกาวไปกองไว้ที่มุม
“ขอบคุณนะคะ รบกวนอีกแล้ว” ฉันยกมือไหว้เหมือนเจอครูบาอาจารย์ เขาส่ายหน้าเบา ๆ
“ผมแค่ช่วยยกของ ไม่ได้ใช้ไขควง ถือว่ายังไม่ได้ทำงาน” เขายิ้มจาง ๆ ฉันหัวเราะ เขามักหาคำพูดพอดี ๆ ที่ทำให้สถานการณ์คลี่คลายได้ง่ายเสมอ
โมจิกระโดดขึ้นไปนอนบนถุงข้าวสารอย่างภาคภูมิใจ เหมือนประกาศกรรมสิทธิ์ตามคติ “ใครนอนก่อนคนนั้นเป็นเจ้าของ” ฉันชี้ให้ภีมดู เขาพูดเสียงนิ่ง “มันคงคิดว่าเป็นเตียงนุ่มพิเศษ”
“ใช่ค่ะ เตียงรุ่น ‘เมล็ดข้าวทนทาน’” เราหัวเราะพร้อมกัน หัวเราะแบบเสียงไม่ดังมาก แต่ยาวพอจะทำให้ไหล่ที่เกร็งคลายลง
“คุณเพิ่งกลับจากร้านเหรอคะ” ฉันเห็นเสื้อเชิ้ตเรียบกริบเลยถามอย่างอยากรู้
“ครับ แวะไปดูเครื่องก่อนปิดร้าน แล้วก็ลงไปเอาของที่รถนิดหน่อย” เขาชี้กุญแจที่มือ “เลยแต่งตัวสุภาพกว่าปกติหน่อย”
“สุภาพมากค่ะ” ฉันเผลอพูดออกไปตรง ๆ แล้วหน้าก็ร้อน โอเค มะปราง เก็บคำชมไว้ในใจบ้างก็ดี
เขามองรอบห้อง “วันนี้อยู่รอดดีไหม ไม่มีเสียงน้ำพุ่ง”
“สบายมากค่ะ” ฉันชี้สติ๊กเกอร์เล็ก ๆ ที่ติดข้างวาล์ว “ฉันแปะป้ายเตือนตัวเองว่า ‘อย่าซน’”
“ดีครับ ช่างบอกว่าทุกอย่างโอเคแล้ว” เขาขยับแววตาไปทางโมจิ “เหลือแค่ระบบกันหนีของสมาชิกสี่ขา”
“ใช่ค่ะ” ฉันถอนหายใจ “มันฉลาดแบบที่เก่งเรื่องประตูมากกว่าฉันอีก”
“จริงสิ” เขาเหมือนนึกอะไรได้ “พรุ่งนี้ช่วงเย็นผมจะลองคั่วเมล็ดใหม่ ถ้าคุณว่าง แวะไปชิมไหม ผมอยากฟังความเห็นคนชอบรส ‘นิ่มนวลในถ้วย’”
หัวใจฉันเต้น “ตุบ” หนึ่งครั้ง คำชวนของเขาเหมือนง่าย ๆ แต่สำหรับฉันมีน้ำหนักมากกว่ากาแฟหนึ่งแก้ว “ได้สิคะ ถ้าไม่ติดงานฉันจะไป”
“โอเคครับ” เขาพยักหน้าเรียบ ๆ “เดี๋ยวผมเอาโตโตะไปเดินเล่นต่อ เห็นทีวันนี้มันได้พบเจอเพื่อนเยอะแล้ว”
“ขอบคุณมากนะคะ สำหรับ…ทุกอย่างวันนี้” ฉันย้ำ แล้วส่งยิ้มแบบเก็บเสียง เขายกมือบ๊ายบายเบา ๆ ก่อนปิดประตู
เสียงปิดประตู 18B ยังไม่ทันเงียบ โมจิก็หันมามองฉันตาปรือ เหมือนถามว่า “ขนมล่ะ” ฉันส่ายหน้าให้มัน “อย่าทำหน้ารู้ทันสิคุณนาย ฉันเพิ่งหน้าแตกต่อหน้าคนหล่อ เอ๊ย คนสุภาพ เพราะเธอเลยนะ” มันยืดตัว บิดขี้เกียจ แล้วเดินไปนั่งมุมเดิมราวกับว่า “ยินดีค่ะ เดี๋ยวทำให้อีก”
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







