LOGINฉันเก็บของเข้าที่ทีละอย่าง เปิดลิสต์ในมือถือ “โต๊ะพับเล็ก, กระทะเหล็ก, ที่ทุบกระเทียม” อ่านแล้วก็รู้สึกว่า ถ้าความรักต้องการเครื่องมือ ฉันคงมีพร้อมของครัวมากกว่าของหัวใจ…แต่เอาเถอะ อย่างน้อยท้องอิ่มก่อน ความกล้าค่อยตามมา
ระหว่างจัดของ โทรศัพท์ดัง มิ้นท์โทรมา “สรุป เล่าเดี๋ยวนี้ เพื่อนบ้านข้างห้องเจอกันอีกไหม”
“เจอสิ” ฉันตอบขณะจัดข้าวสารให้พ้นจากอาณาจักรของโมจิ “แล้วฉันก็พูดอะไรพัง ๆ อีกแล้ว เหมือนกล่าวหาเขาเป็นขโมย กลายเป็นแมวขโมย อะไรก็ไม่รู้วุ่นวายหมด”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะ “โอ๊ยยยย เพื่อนกู๊!!! ดีมาก ตลกแบบซิทคอมเลย”
“ขำเถอะ เดี๋ยวฉันย้ายออกไปอยู่กับเธอเลยไหม” ฉันทำเสียงบ่น แต่ก็หัวเราะไปด้วย
“ไม่ต้องย้าย แต่ฟังนะ” มิ้นท์เปลี่ยนโทนเป็นจริงจัง “ฟังจากที่เล่ามา ผู้ชายคนนั้นใจเย็น พูดน้อย แต่สื่อสารชัดเจน เขาชวนเธอไปชิมกาแฟพรุ่งนี้ นั่นมันกึ่งเดตแล้วนะเพื่อน”
ฉันเงียบไปเล็กน้อย “ฉันไม่อยากคิดไกล แต่ก็…นิดหนึ่ง” ฉันยอมรับแบบไม่อาย
“ดีแล้ว ค่อย ๆ ไป จำไว้ว่าเธอเพิ่งย้ายบ้าน อย่ากดดันตัวเอง ให้ความสุขเล็ก ๆ พาเดิน” มิ้นท์พูดเหมือนพี่สาว
ฉันพยักหน้า ทั้งที่เธอมองไม่เห็น “โอเค รับคำสั่งหัวหน้าทีมแซว”
เราคุยเรื่องงานและชีวิตอีกนิดก่อนวางสาย ฉันหันกลับมาที่ครัว ตั้งใจทำข้าวผัดทูน่าอีกครั้งแต่เวอร์ชันอัปเกรด เพิ่มกระเทียมเจียวกรอบ ต้นหอมซอย และพริกไทยนิดหน่อย กลิ่นหอมขึ้นกว่าคราวก่อนจนฉันอยากตบไหล่ตัวเอง แถมไม่ลืมเปิดหน้าต่างกับเครื่องดูดควัน บทเรียนราคาแพงจากเสียงเตือนควันที่ฉันไม่อยากได้ยินอีก
กินข้าวไปสักพัก เสียงแจ้งเตือนดัง “ติ๊ง” หน้าจอโชว์ชื่อ “ภีม” ใจฉันหวิวหนึ่งทีแบบคนไม่อยากสารภาพ เขาส่งข้อความมา “ถ้าวันนี้มีปัญหาเรื่องประตู ล็อกเสริมได้ ผมมีบานพับแม่เหล็กเผื่อเหลืออยู่” ต่อด้วยรูปโตโตะทำหน้าหล่อเอียงคอ น่าจะตั้งใจให้บรรยากาศไม่ทางการ
ฉันตอบไป “วันนี้สบายมากค่ะ แต่อุปกรณ์กันหนีของเจ้าเหมียวสนใจอยู่” แล้วแถมสติกเกอร์แมวนอนกลิ้ง เขาส่งกลับมาแค่ “รับทราบครับ” กับอีโมจิแก้วกาแฟ ฉันยิ้มน้อย ๆ ให้หน้าจอโดยลืมว่ากำลังกิน แล้วสำลักพริกไทยนิดหน่อย ความหวานของชีวิตมักมากับความเผ็ดของความซุ่มซ่ามเสมอ
หลังอาหาร ฉันล้างจานช้า ๆ ตั้งใจทำมือให้ว่าง เพื่อปล่อยให้ใจคิดทีละเรื่อง เห็นแผ่นกระดาษโน้ตเขียนรายการ “สิ่งดี ๆ ของวันนี้” ที่ฉันเริ่มติดไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ฉันเติมเพิ่มสามบรรทัด
ทีมงานใจดี
ข้าวแกงร้านหน้าซอยไม่หวงเครื่อง
เข้าใจผิดรอบสอง แต่จบด้วยการหัวเราะ
ฉันเดินไปที่ระเบียงส่วนกลางเพื่อรับลมเย็น ๆ อีกนิด เห็นเงาของเฟิร์นไหวตามแรงลมแบบเมื่อเช้า ข้างล่างถนนเริ่มเงียบลง แสงไฟจากร้าน “ที่เดิม” เหลือแค่ป้ายไม้ที่ส่องนวล ๆ ฉันยืนพิงราว ก้มดูปลายเท้าแล้วเงยขึ้นมองท้องฟ้า มีดาวหนึ่งดวงชัดกว่าดาวอื่นนิดหน่อย บางทีอาจเพราะฉันอยากให้มันชัด
ประตูระเบียงเลื่อนเปิด ภีมเดินออกมาพร้อมขวดสเปรย์น้ำสำหรับรดเฟิร์น ยิ้มสั้น ๆ ให้เราเจอกันพอดี “อากาศดีนะครับ”
“ค่ะ ดีมาก” ฉันหันไป “เมื่อกี้ขอบคุณสำหรับข้อความนะคะ ฉันว่าจะไปดูบานพับแม่เหล็กพรุ่งนี้”
“ถ้าไม่สะดวก ผมติดให้ได้” เขาพูดเฉย ๆ เหมือนชวนคนไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง
“สะดวกสิคะ” ฉันรีบตอบเร็วไปนิด ก่อนจะเสริม “หมายถึง สะดวกให้ช่างคอนโดติดให้ก่อนค่ะ ถ้าไม่เวิร์คค่อยรบกวนคุณ”
เขาพยักหน้า “ได้ครับ” แล้วรินน้ำสเปรย์ใส่เฟิร์น เสียงน้ำเบา ๆ เหมือนฝนจิ๋ว
ฉันอยากชวนคุยต่อ เลยถาม “คุณเริ่มคั่วกาแฟยังไงคะ”
เขามองปลายเฟิร์น “เริ่มจากอยากรู้ว่าทำไมกาแฟถ้วยหนึ่งถึงต่างกันนัก บางถ้วยทำให้เช้าไม่ดี กลายเป็นดี บางถ้วยทำให้บ่ายที่หนัก ๆ กลายเป็นเบา ผมอยากรู้ต้นเหตุ เลยเริ่มคั่วเอง ลองเอง ล้มเหลวเอง แล้วเขียนโน้ตไว้”
“ฟังดูเป็นคนบันทึกเก่ง” ฉันว่า
“บันทึกช่วยให้ไม่โกหกตัวเอง” เขาตอบ “เวลาอ่านย้อนหลัง จะรู้ว่าเมื่อวานเราคิดยังไง วันนี้เปลี่ยนยังไง มันซื่อสัตย์ดี”
ฉันเงียบไปครู่หนึ่ง ชอบประโยคนี้มากจนอยากขีดเส้นใต้ในหัว ใจหนึ่งอยากบอกเขาว่าฉันก็เริ่มบันทึกรายการ “สิ่งดี ๆ ของวันนี้” แต่อีกใจกลัวจะฟังดูเหมือนสารภาพอะไรบางอย่างเร็วเกิน
ลมพัดแรงขึ้นนิดหนึ่ง เส้นผมหน้าฉันปลิวมาแตะแก้ม ฉันพยายามเก็บ ผิดจังหวะจนเส้นผมไปเกี่ยวต่างหู ไร้สง่าจนหัวเราะให้ตัวเอง ภีมส่งยางมัดผมอันเดิมนั่นแหละที่ฉันยืมจากเขาวันแรก “เผื่อจำเป็น”
ฉันรับไว้ “จะคืนเมื่อหัวไม่ยุ่งนะคะ”
“ไม่ต้องรีบ” เขายิ้ม
เรายืนเงียบแบบสบาย ๆ สักพัก แต่เงียบของเราไม่อึดอัด เหมือนเสียงของเมืองไกล ๆ ทำหน้าที่พูดแทน จนฉันนึกขึ้นได้ “ขอโทษนะคะ ที่เมื่อกี้ฉันพูดเพี้ยน ๆ จนเหมือนหาว่าคุณเป็นขโมย”
“ผมรู้ว่าคุณหมายถึงแมว” เขาหัวเราะบาง ๆ “ชีวิตมีพื้นที่ให้เข้าใจผิดได้ เราคงไม่ต้องจริงจังกับทุกคำผิดพลาดหรอก”
“ค่ะ” ฉันยิ้ม “งั้นขอประกาศว่าผู้ต้องสงสัยคือโมจิเท่านั้น”
“รับทราบ” เขาทำเสียงจริงจังเล่น ๆ
ฉันมองนาฬิกา “งั้นฉันไปก่อนนะคะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เรา…นัดชิมเมล็ดใหม่” พอพูดคำว่า “เรา” แล้วรู้สึกหน้าอุ่น ฉันรีบกล่าวลา เขาพยักหน้า ฉันเดินกลับห้องพร้อมคิดว่า คำสั้น ๆ ก็ทำให้วันยาวขึ้นได้
ในห้อง โมจินอนเหยียดยาวบนพรม แผ่พุงเหมือนคนพอใจในความปั่นป่วนที่ก่อ ฉันนั่งลงข้างมัน วางมือบนหัวกลม ๆ “ฟังนะลูก พรุ่งนี้แม่มีนัดชิมกาแฟ แกห้ามทำตัวเป็น ‘แมวขโมย’ เข้าใจไหม” มันกระพริบตาสองครั้งเหมือนตอบว่า “ไม่รับประกัน”
ฉันหัวเราะ ลุกไปอาบน้ำ น้ำอุ่นไหลผ่านไหล่แบบความกังวลไหลออกบ้าง พอเช็ดตัวเสร็จ ฉันหยิบสมุดโน้ตเล่มเดิม เปิดหน้าว่าง เขียนหัวข้อ “บทเรียนวันนี้”
ปากไวแซงสมอง = ตลกได้ แต่ต้องมีคนใจดีอยู่ฝั่งตรงข้าม
ของหนักควรให้คนเสนอช่วยถือ อย่าฝืน
การชวนไปชิมกาแฟ = คำสัญญารสอ่อน ๆ ที่ทำให้คืนนี้นอนหลับดี
ฉันนั่งนิ่ง ๆ อีกครู่หนึ่งก่อนดับไฟ ห้องค่อย ๆ มืดลง แสงจากเมืองลอดเข้ามาเป็นลายบนผนัง โมจิมาขดตัวปลายเท้าเหมือนเดิม แต่วันนี้มันไม่ยอมขึ้นมาทับอก คงเพราะขนมปลาอบ ในความเงียบฉันนึกถึงคำ “เริ่มใหม่” ของภีม และรู้สึกว่า…บางทีการเริ่มใหม่ไม่ต้องการคำประกาศอะไรยิ่งใหญ่ เพียงแค่หัวใจยอมให้พื้นที่กับความเข้าใจผิดเล็ก ๆ ที่จบด้วยรอยยิ้ม แค่นั้นก็มากพอจะผลักวันพรุ่งนี้ให้ใกล้เข้ามาอีกนิด
ก่อนหลับ ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความของเขาอีกครั้ง “ถ้ามีปัญหาเรียกได้ตลอดครับ” มันเป็นประโยคธรรมดาที่ใคร ๆ ก็พิมพ์ได้ แต่จากเขา มันดูเหมือนป้ายไฟเล็ก ๆ ตรงโค้งถนน ไม่ได้สว่างจ้า แต่ทำให้เลี้ยวได้ไม่พลาด
ฉันพิมพ์ข้อความสั้น ๆ กลับไป “ขอบคุณนะคะ พรุ่งนี้เจอกันค่ะ” แล้ววางโทรศัพท์ลงข้างหมอน หลับตาพร้อมเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของแมว และความคิดหนึ่งที่ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยความหมายผิดนับไม่ถ้วน การมี “คนหนึ่ง” ที่ยอมให้เราพูดผิดได้โดยไม่ตัดสิน คือของขวัญล้ำค่ามากกว่ากาแฟสูตรไหนดีเสียอีก
และใช่ ฉันตั้งปลุกสองเรือนอีกครั้ง เผื่อวันพรุ่งนี้จะเป็น “เข้าใจถูกครั้งแรก” ของเรา
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







