LOGINออฟฟิศของฉันเป็นสตูดิโอเล็ก ๆ มีโต๊ะไม้ยาวหนึ่งตัว โซฟาสีครีมหนึ่งตัว และกระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่ เจ้านาย พี่นนท์ ยืนชี้ปากกาอยู่หน้ากระดาน “มะปราง ยินดีต้อนรับอย่างเป็นทางการนะ วันนี้เราคุยไอเดียเปิดเพจลูกค้าคาเฟ่ใหม่กัน”
ฉันเกือบเงยหน้าขึ้นตอบว่า “พร้อม!” แต่หยุดทันเดี๋ยวจะติดภาพคาเฟ่ของข้างห้องจนผิดลูกค้า เราคุยไอเดียกันสนุกมาก ฉันเสนอคอนเซปต์ “เช้าใหม่ เมล็ดใหม่” ที่เล่าเรื่องกาแฟผ่านผู้คนย่านนี้ ใส่โทนอบอุ่น เบาสมอง ได้ทั้งภาพและคำ
พี่นนท์พยักหน้า “ได้เลย ลองทำสตอรี่บอร์ดสั้น ๆ สักสามโพสต์ เอาฟีลลิ่งที่อ่านแล้วอยากยิ้ม” เขาวางมือบนโต๊ะ “แล้วก็…อยากให้ลองถ่ายภาพด้วยนะ เรามีเลนส์ 35 ที่ยืมไว้”
ฉันรับงานด้วยความตื่นเต้น แอบนึกถึงแก้วลาเต้ที่ภีมชงให้เมื่อเช้าและคิดว่ารู้สึกโชคดีที่ชีวิตใหม่ขยับไปทีละคลิกแบบนี้
กลางวัน มิ้นท์ เพื่อนร่วมงานเดินมานั่งข้าง ๆ “ย้ายบ้านวันแรกเป็นไงบ้าง เหนื่อยมั้ย”
“เหนื่อยแต่คุ้ม” ฉันเล่าคร่าว ๆ เกี่ยวกับเครื่องซักผ้า เทวดาชั้น 18 และหมากับแมวที่กำลังเจรจาสันติภาพ มิ้นท์หัวเราะจนตาโค้ง “โอ๊ย ฟีลกู้ดมาก เพื่อนบ้านเธอหล่อไหม”
“สุภาพค่ะ” ฉันตอบกลาง ๆ ไม่อยากให้เพื่อนเอาไปแซวจนหลุดกรอบงาน
“สุภาพ = หล่อระดับทำกาแฟแล้วหัวใจสั่นใช่ไหม” เธอทำหน้าทะเล้น ฉันผลักไหล่เธอเล่นแล้วเปลี่ยนเรื่องไปเมนูข้าวมันไก่หน้าปากซอยแทน
ช่วงบ่ายฉันนั่งร่างคอนเทนต์อย่างเพลิน จนลืมเวลา พอเงยหน้าก็สี่โมงกว่าแล้ว ฉันเซฟไฟล์ หยิบกระเป๋า แล้วส่งสติกเกอร์รูปชามก๋วยเตี๋ยวไปหา “ภีม เย็นนี้ยังไปปากซอยไหมคะ” เขาตอบกลับด้วยสติ๊กเกอร์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ยิ้มและคำว่า “เจอกันหน้าล็อบบี้ 6 โมงครับ”
โอเค ใจเต้นปกติไว้มะปราง แค่ก๋วยเตี๋ยว แค่พริกเผา ไม่ใช่พิธีสารสันติภาพโลก
กลับถึงคอนโดก่อนหกโมงสิบห้าเล็กน้อย ฉันแวะที่ระเบียงส่วนกลางอีกครั้ง ลมเย็นกว่าเช้า ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เมฆสีชมพูอ่อนวาดเป็นริ้ว ๆ ไล่ไปทางแม่น้ำ ฉันหยุดหายใจลึก ๆ สองครั้ง ตั้งสติให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน
เสียง “เห่า!” สั้น ๆ ดังขึ้น โตโตะคาบสายจูงสีเหลืองวิ่งมาหาฉัน ภีมเดินตามมาพร้อมยกมือทัก “พร้อมลุยพริกเผาหรือยัง”
“พร้อมค่ะ” ฉันตอบทันทีโดยไม่ลองใจตัวเองซ้ำ
“ก่อนลงไป เดี๋ยวรอช่างแวะดูห้องคุณแป๊บหนึ่งนะครับ ผมโทรตามไว้ เขาบอกหกโมงจะขึ้น”
“ดีเลยค่ะ จะได้ไม่ต้องลุ้นทุกครั้งที่ซักผ้า”
ไม่นาน ช่างของคอนโดก็มาถึง ตรวจหัวก๊อก เปลี่ยนโอริงใหม่ เช็กวาล์ว และแนะนำให้ซื้อท่อยางแบบล็อกสองชั้น “จบเรื่องครับ” ช่างพูด ฉันยกมือไหว้สามรอบ ความกังวลเรื่องน้ำท่วมครัวจางหายเหมือนไอน้ำที่โดนลมพัด
“ขอบคุณภีมด้วยนะคะ ถ้าไม่มีคุณ ฉันคงได้ว่ายน้ำกลางห้องครัว”
“ยินดีครับ” เขายกสายจูงให้ฉันถือ “ถือไว้ก่อนสิ เดี๋ยวโตโตะคิดว่าคุณเป็นหัวหน้าทีมดับเพลิง”
โตโตะหันมามองฉัน ตาใสเป็นประกาย ฉันยิ้ม “ไปครับคุณลูกทีม”
ก่อนลงลิฟต์ โมจิยืนอยู่หน้าประตูห้องฉันเหมือนจะบอกว่า “เดี๋ยวฉันเฝ้าบ้านให้ก็ได้ แต่อย่าลืมทิปนะ” ฉันลูบหัวมัน “กลับมาจะให้ขนมปลาอบนะจ๊ะ ท่านผู้กำกับความสงบเรียบร้อย”
ร้านก๋วยเตี๋ยวปากซอยมีป้ายไฟสีส้มสว่าง โต๊ะสแตนเลสเงาวับ เสียงคนคุยกันคึกคัก กลิ่นน้ำซุปเดือดเคี่ยวหอมลอยมาแตะจมูก ภีมจูงโตโตะมานั่งโต๊ะริม ๆ เจ้าของร้านยิ้มจนแก้มป่อง “คุณภีม วันนี้พาเพื่อนมาเหรอ”
“ครับ พาเพื่อนบ้านใหม่มาลอง” เขาพูดง่าย ๆ แต่คำว่า “เพื่อนบ้านใหม่” ทำฉันยิ้มโดยไม่รู้ตัว
เราสั่งเส้นเล็กน้ำตกสองชาม เกาเหลาอีกหนึ่ง (ภีมบอกว่าไว้เผื่อหิวตอนคุยเพลิน) แล้วเขาก็เลื่อนถ้วยพริกเผามาใกล้มือฉัน “เชิญพิสูจน์ความไม่มือใหม่เรื่องพริก”
ฉันตักพริกเผาใส่ครึ่งช้อน คนเบา ๆ สูดกลิ่นน้ำซุปแล้วลองชิม “โอ้โห…อร่อย” รสเข้มแบบไม่ดุเกินไป เผ็ดพอดีจนจมูกโล่ง
“ผ่าน” ภีมพยักหน้า “แต่ยังไม่ใช่ด่านสุดท้ายของชั้น 18”
“ด่านสุดท้ายคืออะไรคะ”
“คาเฟ่ของผมตอนเช้า 7 โมง ลาเต้กับแซนด์วิชไข่ ถ้าไม่ชอบ ต้องรีวิวอย่างซื่อสัตย์” เขายิ้มบาง ๆ “ผมรับฟังลูกบ้าน”
“งั้นฉันขอจองเก้าอี้หน้าบาร์” ฉันยักไหล่รับคำท้า “แต่ขอเตือนก่อน ฉันรีวิวตรงไปตรงมาตลอด ถ้าไม่อร่อยจะบอกว่า…ต้องปรับสูตรความรักนะคะ” ฉันหัวเราะเองกับมุกที่เพิ่งปล่อย
ภีมหลุดขำจนเผลอก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม “งั้นผมจะคั่วเมล็ดสูตร ‘รักไม่เผ็ดแต่หอม’ ไว้รอ”
บทสนทนาของเราลื่นไหลอย่างประหลาด เราคุยเรื่องเครื่องชงมือสอง การล้างหัวชง การเลือกนมสำหรับลาเต้อาร์ต และเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับชีวิตในคอนโด เช่น เซเว่นฝั่งเหนือดีกว่าฝั่งใต้เพราะแซนด์วิชไข่หมดช้ากว่า หรือ รปภ.เวรกลางคืนใจดีเป็นพิเศษกับน้องหมา
โตโตะนอนหมอบใต้โต๊ะอย่างสงบเป็นพนักงานดีเด่นของค่ำคืน ฉันยื่นหมูเด้งชิ้นเล็ก ๆ ให้ มันรับไปอย่างสุภาพจนใจกะพริบ
ตอนคิดเงิน เจ้าของร้านไม่รับเงินของฉันเต็มจำนวน “ยินดีต้อนรับเพื่อนบ้านของคุณภีม” เธอยิ้ม ฉันเกรงใจแต่ภีมพยักหน้าขอบคุณแทน จึงยอมรับไมตรีด้วยหัวใจอุ่น ๆ
ระหว่างเดินกลับคอนโด ไฟข้างทางสาดแสงสีเหลืองนวลบนใบไม้ ฉันถามภีม “ทำไมตั้งชื่อร้านว่า ‘ที่เดิม’ คะ”
“เวลาเราเหนื่อย ๆ เรามักจะนึกถึง ‘ที่เดิม’ ที่นั่งประจำ เพลงเดิม กลิ่นเดิม ๆ ที่ทำให้หายใจโล่ง” เขาตอบช้า ๆ “ผมอยากให้ร้านเป็นความรู้สึกแบบนั้น”
ฉันพยักหน้า “เข้าใจเลยค่ะ…เหมือนระเบียงชั้น 18 ตอนเช้าที่มีเฟิร์นไหว ๆ กับกาแฟหอม ๆ”
“ใช่ ประมาณนั้น” เขายิ้มบาง
เดินถึงล็อบบี้ เราแยกทางกันตรงหน้าลิฟต์ “ขอบคุณสำหรับมื้อเย็นนะคะ” ฉันยกมือไหว้เล่น ๆ
“ขอบคุณที่ไม่ทำก๋วยเตี๋ยวหกใส่เหมือนที่คุณกลัว” เขาแกล้งแซว “พรุ่งนี้เช้า ถ้าผ่านร้าน ผมทำแซนด์วิชไข่ให้”
“ตกลงค่ะ” ฉันยิ้มจนตาโค้ง “แล้วเจอกันที่…ที่เดิม”
“ที่เดิม” เขาทวนคำเหมือนปิดประชุมใหญ่ประจำวัน
ลิฟต์เปิด ฉันกับโตโตะบอกลากันด้วยการแตะฝ่ามือกับอุ้งเท้า (ภีมบอกว่าโตโตะทำ “ไฮไฟว์” ได้) พอกลับถึงชั้น 18 ประตูห้องฉันเปิดออกก่อนที่ฉันจะไขกุญแจ—โมจิพุ่งมาทำหน้าเหมือนเจ้าหน้าที่ตรวจหนังท่องเที่ยว “กลับช้านะคุณผู้โดยสาร”
“ค่ะ ๆ กลับมาแล้ว คุณผู้กำกับ” ฉันอุ้มมันขึ้นลูบหัว แล้ววางลงข้างถ้วยน้ำ
ในห้องอุ่นสลัว ฉันอาบน้ำ เปลี่ยนชุด นั่งลงที่โต๊ะเล็ก ๆ หยิบสมุดโน้ตออกมา เปิดหน้าใหม่ เขียนบรรทัดสั้น ๆ ว่า “การประชุมเช้าของชั้น 18: สมาชิกครบ วาระชัด ผลการประชุมหัวใจกาแฟเข้มขึ้นหนึ่งระดับ”
ฉันเงยหน้ามองเพดานพลางยิ้มน้อย ๆ ความกังวลเรื่องเครื่องซักผ้าและความว่างเปล่าของห้องเริ่มหายไป กลายเป็นความรู้สึกว่า “ฉันอยู่ที่นี่จริง ๆ แล้ว” ไม่ใช่แค่คนย้ายของเข้ามาพักชั่วคราว
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น “พรุ่งนี้ 7.30 ผมคั่วเมล็ดชุดใหม่ ถ้าตื่นทัน แวะมาได้ ภีม” ตามด้วยอีโมจิรูปเมล็ดกาแฟและโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ยิ้ม
ฉันพิมพ์ตอบ “7.45 ได้ไหมคะ ฉันกับโมจิจะพยายาม” แล้วส่งอีโมจิรูปแมวหนึ่งตัวกับรูปไฟสายฟ้าเหมือนเพิ่มพลัง
ฉันวางโทรศัพท์ ดึงผ้าห่มขึ้น ปิดไฟ ปล่อยความเงียบสบาย ๆ เข้ามาแทนที่ วันนี้ทั้งวันเหมือนยาว แต่เป็นความยาวที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทำให้หัวใจเบา กลิ่นกาแฟแรกของเช้า เสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ระเบียง เงาสีชมพูของฟ้ายามเย็น น้ำซุปร้อน ๆ และคำว่า “ที่เดิม”
ก่อนจะหลับ ฉันเอื้อมไปแตะสมุดอีกครั้ง เติมประโยคสุดท้ายของวัน “พรุ่งนี้เช้าลาเต้หนึ่งแก้ว แซนด์วิชไข่หนึ่งชิ้น และย่อหน้าใหม่ของชีวิตที่ค่อย ๆ ชัดขึ้น”
โมจิกระโดดขึ้นเตียง ม้วนตัวเป็นก้อนกลม ๆ วางคางบนแขนฉัน ฉันกระซิบเบา ๆ “คืนนี้ช่วยอย่านอนบนหน้าอกแม่นะลูก พรุ่งนี้เรามีนัดประชุมใหญ่ของชั้น 18”
มันขยับหางช้า ๆ เหมือนตอบรับ สักพักก็หลับสนิท ฉันหลับตามไปพร้อมความคิดเรียบง่ายในโลกที่วุ่นวาย การมี “ที่เดิม” ให้กลับมา และ “คนเดิม” ให้ทักทายยามเช้า อาจเป็นความโรแมนติกที่ดีที่สุดแบบหนึ่งแล้วก็ได้
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







