LOGINเสียงกริ่งประตู “ติ๊งต่อง” ดังขึ้นตอนทุ่มครึ่งพอดี ฉันกำลังจัดตะกร้าเครื่องครัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งซื้อมาจากซูเปอร์ ทัพพีกับที่คีบสแตนเลสวางสลับกันอย่างภูมิใจ ก็สะดุ้งเฮือกเพราะลืมไปว่าเรานัดใครมาไว้ตอนค่ำ
“ใครเอ่ย” ฉันถาม ทั้งที่จริง ๆ ก็พอนึกออก
“เปิดสิยะ คุณผู้หญิงชั้น 18 ฉันถือความรัก เอ๊ย! ขนม มาให้” เสียงใสนั้นคือมิ้นท์ เพื่อนสนิทตั้งแต่ ม.ปลาย คนที่เชื่อว่าโลกนี้แก้ปัญหาได้ด้วยมุกตลก 70% กับชานมไข่มุกอีก 30%
ฉันหัวเราะ รีบเปิดประตู “เข้ามาเลยคุณท่าน ดึกดื่นไม่เกรงใจแมวข้างบ้านกันบ้างหรือไง”
มิ้นท์ยิ้มหวาน หล่อนหิ้วถุงสองข้าง ข้างหนึ่งคือชานมไข่มุกสองแก้ว อีกข้างเป็นขนมปังกลิ่นเนยหอมใหม่ ๆ กับมันฝรั่งทอดสามรส “ขอโทษทีเธอ แต่ฉันมาในฐานะหน่วยกู้ภัยห้องรก และผู้เชี่ยวชาญการวางกล่องอย่างเป็นศิลปะ”
“โอเคค่ะ คุณผู้เชี่ยวชาญ” ฉันรับของเข้ามาวางบนเคาน์เตอร์ครัวชั่วคราว “คืนนี้เป้าหมายคือทำให้ห้องดูเหมือนมีคนอยู่ ไม่ใช่โกดังขนย้าย”
โมจิ เหมียวอ้วนขนฟูของฉัน เดินอาด ๆ ออกมาต้อนรับ กลิ่นชานมคงลอยเข้าจมูกมันพอดี มันยืนจังก้าดมถุงแล้วเงยหน้ามองมิ้นท์ด้วยสายตาแบบ “แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้หรือไม่”
“โอ๊ยยย ตัวจริงอวบกว่าในรูปอีกนะเรา” มิ้นท์ยื่นนิ้วไปลูบ โมจิเบือนหน้าหนีอย่างหยิ่ง ๆ ทำเป็นไม่อิน ฉันยิ้ม—นิสัยคุณหนูของมันนี่ไม่มีวันที่หาย
เราช่วยกันจัดห้องอย่างเป็นพิธีการ—จริง ๆ คือคุยมากกว่าจัด เริ่มจากย้ายกล่องหนังสือไปชิดผนัง ตั้งชั้นวางเหล็กสำเร็จรูป, กางพรมผืนเล็กใต้โต๊ะกาแฟ แล้วก็เอากรอบรูปเปล่าที่ฉันยังไม่มีรูปใส่ไปวางพิง ๆ ให้ดูเหมือนบ้านของคนมีรสนิยม ราวชั่วโมงผ่านไป ความรกระดับ “สนามรบ” ลดลงเป็น “ห้องซ้อมรบ” อย่างน้อยก็เดินไม่สะดุดบ่อยแล้ว
“ห้องเริ่มเป็นห้อง” มิ้นท์ดื่มชานมอึกใหญ่ “แล้วเพื่อนบ้านข้างห้องล่ะ ไหน ๆ ให้ดูหน้าหน่อยสิ”
ฉันยักคิ้ว “ให้ดูยังไงล่ะ จะไปเคาะเรียกมาดูตัวไหม”
“ถ้าเคาะแล้วได้โบนัสเป็นกาแฟ ฉันก็ยอม” เธอทำตาวาว ฉันส่ายหัว พลังงานสายแซวของคุณเธอโดดเด่นเสมอ
เราย้ายมาคัดเสื้อผ้า ฉันพับเสื้อยืดเรียงเป็นแนวสวยงาม มิ้นท์กำลังวุ่นกับการจัดกล่องเครื่องสำอางใส่ตะกร้า ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าพร้อมเสียงกรุ๋งกริ๋งของเหรียญจากทางเดินนอกห้อง ตามด้วยเสียงเห่า “บู้!” หนึ่งทีสั้น ๆ หางเสียงมีความตื่นเต้น
ฉันเงยหน้ามองประตูที่แง้มไว้เล็กน้อย ลืมปิดสนิทอีกแล้วสิเรา แล้วทันใดนั้นเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวที่ช่องแง้ม แส้หางสั้นส่ายเร็วเหมือนพัดลมเบอร์สาม
โตโตะ
“เทวดาชั้น 18 มาแล้ว!” มิ้นท์กระซิบกับฉันเสียงดัง ดังเกินกว่าจะเรียกว่ากระซิบ “เพื่อนบ้านเธอนี่แพ็กเกจครบมาก หล่อ สุภาพ เลี้ยงหมา…ชนะเลิศ!”
“เบา ๆ” ฉันทำตาหวานขอชีวิต แต่ไม่ทันแล้ว ภีมยืนตามหลังโตโตะมา ชุดวันนี้เป็นเสื้อยืดสีครามกับกางเกงยีนส์พอดีตัว ง่าย ๆ แต่ดูดีแปลก ความสุภาพมีในท่าทางตั้งแต่ยืนยันเท้าจนถึงรอยยิ้มมุมปากที่ยกนิดเดียว
“สวัสดีครับ” ภีมพยักหน้าทัก “ขอโทษที่โตโตะมันผลุนผลันเห็นประตูแง้มแล้วคิดว่าเชิญ”
“เชิญสิคะ เชิญเลยค่ะ” มิ้นท์สวนทันที แบบคนไม่อายฟ้าอายดิน ฉันสะกิดแขนเธอให้เพลา ๆ ละเนื้อเธอก็แค่ยิ้มกว้างกว่าเดิม
“หมาน่ารักจังค่ะ ขอโทษนะคะ ขออนุญาต…” เธอย่อเข่า ยื่นมือไปเบื้องหน้าอย่างถูกหลัก แต่ยังไม่ทันแตะ โตโตะก็…กระโดด!
“มิ้นท์!” ฉันร้อง แต่สายไป ครืนเดียวเธอก้นจ้ำเบ้าลงบนพรมหน้าประตู เสียงถุงชานมสั่น “พรวด ๆ” ดวงตาเธอเท่าไข่ห่านก่อนจะ…หัวเราะ
“ไม่เป็นไร ๆ ๆ” เธอพูดทั้งหัวเราะ น้ำตาซึมขำ “หมาหล่อเจ้าของหล่อ ให้อภัย!”
ฉันอยากมุดพื้นให้รู้แล้วรู้รอด “ขอโทษนะคะคุณภีม โตโตะแค่ตื่นเต้น” ฉันเผลอเรียกหมาตามเจ้าของอย่างสนิทโดยไม่ตั้งใจ
ภีมหยิบสายจูงขึ้นมาควบคุมอย่างใจเย็น “ผมขอโทษแทนครับ ปกติมันไม่ค่อยกระโดดใส่ใคร คงดีใจที่มีเพื่อน”
เสียง “ฟู่…” เบา ๆ ดังจากด้านใน โมจิยืนถ่างขาอยู่บนพรมในห้อง มองโตโตะราวกำลังตัดสินคดีความ มันหรี่ตา สะบัดหางหนึ่งครั้งประกอบคำตัดสินว่า “ผู้บุกรุก!” ก่อนจะก้าวช้า ๆ แบบราชินีอย่างไม่เกรงใจใคร
ฉันรีบคว้าโมจิขึ้นมา “เฮ้ ใจเย็น ๆ นั่นเพื่อนนะลูก” โมจิทำหน้าหงุดหงิดแต่ยอมอยู่นิ่งบนแขน ฉันเลยหันไปถามมิ้นท์ “โอเคไหม เจ็บไหม”
“ก้นช้ำหน่อย แต่หัวใจชุ่มชื้นมากจ้ะ” มิ้นท์ตอบอย่างภาคภูมิ ใบหน้ากับน้ำเสียงประมาณคนเพิ่งได้ลายเซ็นต์ดารา
ภาพรวมชั่ววินาทีนั้นตลกพิลึก เพื่อนฉันนั่งหัวเราะอยู่บนพรม หมาข้างห้องน้ำลายเล็ก ๆ หอบหายใจอย่างภูมิใจที่มีเพื่อนใหม่ แมวฉันตาวาวอย่างไม่ไว้ใจ และภีมชายผู้คุมสถานการณ์ ยืนยิ้มบาง ๆ แต่สากลุกนิด ๆ ที่คิ้วเหมือนกำลังคิดหาวิธีทำให้ทุกอย่างกลับสู่สมดุล
“ให้ผมหยิบสเปรย์ทำความสะอาดมาฉีดพรมหน่อยไหมครับ เผื่อชานมหก” เขากล่าวเรียบ ๆ อย่างมืออาชีพเรื่องชีวิตประจำวัน
“โอ๊ย ไม่หกค่ะ ๆ” มิ้นท์ยกชานมโชว์ “ยังครบสามสิบเปอร์เซ็นต์น้ำตาล”
“ดีครับ” ภีมยิ้ม “งั้น…พาโตโตะไปเดินอีกรอบแล้วเดี๋ยวผมพากลับขึ้นไปทักทายใหม่แบบมีมารยาทกว่านี้”
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะ” ฉันรีบพูด “เดี๋ยว เอ่อ ถ้าคุณว่าง แวะมาชิมขนมปังไส้ครีมที่เพื่อนฉันเอามาหน่อยก็ได้ เรากำลังจะพักรอบหนึ่งพอดี”
“ได้ครับ” เขาพยักหน้า “เดี๋ยวผมพาโตโตะลงไปปล่อยพลังห้านาที” เขาโบกมือเบา ๆ แล้วหายไปตามทางเดิน ทิ้งกลิ่นอากาศสะอาด ๆ กับความสงบไว้เบื้องหลังอย่างเดิม
ประตูปิด ฉันหันไปยังมิ้นท์ เธอมองฉันตาวาว “ฉันว่าชั้น 18 นี่มีโอกาสพิเศษนะเพื่อน”
“หยุด” ฉันเอานิ้วจิ้มหน้าผากเธอเบา ๆ “ยัง ยัง ไม่เอาอะไรพิเศษทั้งนั้น”
“พิเศษแบบลาเต้ช็อตคู่” เธอทำท่าชงกาแฟในอากาศ “หรือพิเศษแบบหมากับแมวอยู่บ้านเดียวกันก็ได้ ฉันไม่เรื่องมาก”
“มิ้นท์!”
เธอหัวเราะลั่น “โอเค ๆ ฉันหยุดก่อน” แล้วก็หันไปมองโมจิ “คุณนายคะ อย่าโกรธเด็กข้างบ้านเขาเลย โตโตะเขาเฟรนด์ลี่”
โมจิกระพริบตาช้า ๆ แบบแมวผู้ดี ฉันตีความว่า “จะลองพิจารณา”
เรากลับมาจัดห้องต่อสำหรับสิบนาทีถัดมา แต่เป็นสิบนาทีที่มีเสียงซุบซิบมากกว่ากระดิ่ง นัดหมายการลงรูปในกรอบก็ยังไม่คืบหน้าเพราะมัวแต่เลือกว่าจะใส่รูปวิวหรือรูปสัตว์เลี้ยง จนกระทั่งเสียงเคาะประตูสองที “ก๊อก ก๊อก” ดังขึ้น
ภีมโผล่หน้าเข้ามาพร้อมโตโตะที่ดูเรียบร้อยขึ้นมาก เขาจับสายจูงสั้นลง โตโตะนั่งลงด้วยท่าทางขยันเป็นพิเศษจนฉันอยากให้ประกาศนียบัตร
“เชิญค่ะ” มิ้นท์เป็นคนตอบก่อนใคร “พรมสะอาดพร้อมรับแขกแล้วค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงประชดตัวเอง
“ขอบคุณครับ” ภีมยิ้มบาง ๆ แล้วกวาดตาไปรอบห้อง “จัดห้องคืบหน้าดีเลยนะครับ ดูเป็นบ้านขึ้นมาก”
ฉันยิ้มเขิน ๆ “ขอบคุณค่ะ มีแรงงานสายแซวช่วย”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ มิ้นท์ค่ะ” เพื่อนฉันยื่นมือให้ พร้อมยิ้มกว้างแบบนักการทูต
“ภีมครับ” เขาจับมืออย่างสุภาพ ระยะสัมผัสดูพอดีจนฉันอดชมในใจไม่ได้
ฉันวางจานขนมปังไส้ครีมกับแก้วน้ำลงบนโต๊ะพับเล็ก ๆ “ชิมก่อนค่ะ เผื่อหิว ข้างซอยเพิ่งอบมาเมื่อกี้”
ภีมขอบคุณและหยิบชิ้นเล็ก ๆ ลองกัด พลางพยักหน้า “นุ่มดีครับ หวานกำลังพอดี ถ้าคู่กับอเมริกาโน่จะลงตัวมาก”
“โห เสิร์ฟคำแนะนำพ่วงการจับคู่ทันที” มิ้นท์ว่า “เห็นไหมล่ะมะปราง คนนี้แหละที่ฉันบอกว่า”
“มิ้นท์” ฉันทำเสียงเตือน เธอเลยหัวเราะเบา ๆ แล้วจิบน้ำแทน
โตโตะนั่งจ้องชิ้นขนมปังแบบตั้งใจ ภีมแตะหัวมันเบา ๆ “นั่งดี ๆ นะครับนักเรียน ห้ามขอของคนอื่น” โตโตะเหลือบตามองเจ้าของ แล้วหันหน้ากลับมายิ้ม ฉันใช้คำว่ารอยยิ้มกับหมาได้จริง ๆ เพราะมันดูยิ้มจริง ๆ
“โมจิอยากชิมไหม” มิ้นท์หยิบขนมแมวเม็ดเล็ก ๆ โยนหนึ่งเม็ดลงบนจานรอง โมจิเดินมายืนพิจารณาเหมือนนักวิจารณ์อาหารระดับโลก จากนั้นก็ค่อย ๆ กินไปอย่างช้า ๆ ราวกับจะบอกว่าคู่ควร
“ดีครับ” ภีมพูดขึ้น “วันนี้ถือว่าเป็นการทำความรู้จักอย่างเป็นทางการของสัตว์เลี้ยงและเพื่อนบ้าน”
“จริงด้วย” ฉันตอบ “ขอบคุณนะคะที่พาโตโตะมาทัก เสียดายเมื่อกี้เพื่อนฉัน…เอ่อ…เพิ่งทดสอบความแข็งแรงของพรมไปแล้ว”
“พรมสอบผ่านครับ” ภีมตอบ มุมปากยิ้มมองมิ้นท์ “แต่ครั้งหน้าผมจะให้โตโตะโค้งคำนับก่อนเข้าห้อง”
“โอ๊ย ไม่ต้องถึงขนาดนั้นค่ะ” มิ้นท์หัวเราะ “แค่ไม่ชนฉันจนหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มก็พอ”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเราสามคนกับหนึ่งหมาหนึ่งแมวคลอไปกับเพลงแจ๊สเบาลงมาจากชั้นล่าง น่าจะเป็นเพลงจากร้าน “ที่เดิม” ที่เปิดคลอไว้ยามค่ำ ลมจากช่องหน้าต่างเล็ก ๆ พัดกลิ่นไม้เคลือบพื้นมาผสมกับกลิ่นขนมปังและกลิ่นสบู่หอมของภีมอย่างบาง ๆ ทำให้บรรยากาศแปลกดี…เหมือนฉากครอบครัวที่ไม่ได้นัดกันมาก่อนแต่ลงตัวเฉย
“ว่าแต่…” มิ้นท์หันมาหาฉันแล้วทำเสียงอ่อย ๆ “คืนนี้เราเปิดซีซั่นใหม่ของงานอดิเรกเธอไหมล่ะ เขียนนิยายวันละย่อหน้า จำได้ไหมที่ตั้งใจไว้”
ฉันสะดุดนิดหนึ่ง “อืม…จริงด้วย ลืมไปเลย”
ภีมหันมาฟังเงียบ ๆ ไม่ขัด มิ้นท์ยิ้ม “ฉันเป็นบอดี้การ์ดแรงใจให้เอง! เธอเขียนย่อหน้าหนึ่งตอนนี้เลยก็ได้ เดี๋ยวฉันกับคุณภีม ขอโทษค่ะ คุณภีมกับฉัน (เรียงลำดับใหม่เพื่อความเหมาะสม) จะนั่งกินขนมอย่างสงบ”
ฉันหัวเราะ “การบังคับให้เพื่อนทำตามเป้าแบบมีผู้ชายเป็นพยานนี่มันอะไร”
“มันคือวิธีเล่นใหญ่เพื่อให้เป้าเล็ก ๆ สำเร็จ” มิ้นท์พูดจริงจังขึ้น “เธออยากเขียน เธอก็ลงมือเลย ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ”
ฉันหันไปมองภีม เขาพยักหน้าเล็ก ๆ “วันละย่อหน้าก็เป็นระบบนะครับ ระบบเล็ก ๆ ที่สะสมเป็นเล่มได้”
ประโยคนั้นเหมือนเปิดสวิตช์ ฉันหยิบสมุดโน้ตจากโต๊ะ เปิดหน้าว่าง หายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “โอเค…งั้นย่อหน้าแรกของค่ำนี้..”
ปลายปากกาแตะกระดาษ พลางเสียงหมึกขีดเบา ๆ บันทึกประโยคแรก “ค่ำวันศุกร์ที่ชั้น 18 เริ่มด้วยกริ่งประตูหนึ่งครั้ง ชานมสองแก้ว หมาหนึ่งตัว แมวหนึ่งตัว และเพื่อนสนิทหนึ่งคน ก่อนจบลงด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ห้องเล็ก ๆ กลายเป็นบ้าน”
ฉันเงยหน้าขึ้น มิ้นท์ปรบมือดัง “แปะ ๆ ๆ” อย่างภูมิใจ ภีมยิ้มบางแต่แววตาอบอุ่นขึ้นนิดหนึ่ง นิดเดียวก็พอจะทำให้ฉันมั่นใจว่ากำลังก้าวถูกทาง
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







