LOGIN“ทีนี้คนเขียนต้องการน้ำไหมคะ” มิ้นท์โบกแก้ว “หรืออยากได้กาแฟยามค่ำ เอ๊ะ ถามเจ้าของร้านกาแฟเลยไหมคะว่ามีเมนู Night Mode”
“ผมทำดริปรสอ่อน ๆ ได้ครับ ถ้าไม่ทำให้คืนนอนไม่หลับ” ภีมตอบ
ฉันรีบส่ายหน้า “คืนนี้ขอพักกาแฟก่อนค่ะ เดี๋ยวใจเต้นแรงเกินเหตุ” ประโยคหลุดโดยไม่ตั้งใจทำให้แก้มฉันร้อนวาบ ฉันเลยหัวเราะกลบเกลื่อน “หมายถึง…หัวใจฉันแพ้คาเฟอีนง่าย”
“ครับ” ภีมรับคำเรียบ ๆ แต่ดวงตากระพริบขำเล็ก ๆ
เราแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ ฉันจัดเสื้อผ้าเพิ่ม มิ้นท์จัดลิ้นชักเครื่องครัวเหมือนกำลังทำภารกิจในเกม ภีมนั่งคุยเล่นเรื่องย่านร้านอาหารกับเรา บอกว่าก๋วยเตี๋ยวปากซอยมีเมนูเส้นใหญ่แห้งแอบเด็ด และร้านยำตรงหัวมุมควรสั่งเผ็ดครึ่งเดียวสำหรับคนไม่ใช่มืออาชีพ
ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ของภีมดังเตือน เขาเหลือบดูข้อความแล้วหันมาบอก “ขอตัวลงไปร้านสักสิบนาทีครับ พนักงานแจ้งว่าลืมปิดเครื่องบด ผมลงไปดู แล้วจะเอากล่องเมล็ด ‘เริ่มใหม่’ ขึ้นมาให้ลองดมกลิ่น ไม่ชง แค่ดม”
“โอเคค่ะ” ฉันบอก “เดี๋ยวเราจัดห้องรอ”
ประตูปิดลงอย่างนุ่มนวล เหลือเราและเสียงหัวเราะคิกคักในห้อง
ทันทีที่เขาไป มิ้นท์กระโดดเข้ามากัดแขนฉันเบา ๆ “อ๊ายยยยย เพื่อนนนนนน ชั้น 18 มีดาวประจำชั้น! เขาโคตรดี เขาพูดน้อยแต่ไม่เย็นชา คือหายากมากนะ คนแบบนี้”
“ใจเย็น ๆ” ฉันหัวเราะจนท้องคัด “ยังไม่ถึงไหนเลย”
“ก็ไม่ได้จะให้ถึงไหน แต่ฉันอยากให้เธอ ‘อยู่’ ที่ไหนสักที่ อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับคนดี ๆ อยู่กับความสุขเล็ก ๆ เธอเข้าใจฉันไหม” มิ้นท์เสียงอ่อนลง “ฉันเห็นเธอเหนื่อยมานานแล้ว”
ฉันนิ่งไปชั่วครู่ แล้วพยักหน้า “เข้าใจ ขอบใจนะเพื่อน”
โมจิเดินมาถูขาเราเหมือนอยากขโมยซีน ฉันลูบหัวมัน “ส่วนแก ถ้าอยากอยู่กับปัจจุบัน โปรดอย่าหนีไปอนาคตที่ห้อง 18B บ่อย ๆ เข้าใจไหม”
มันหาวหนึ่งทีเป็นคำตอบ ก็ชัดเจนดี
สิบกว่านาทีต่อมา ภีมกลับมาพร้อมกล่องเมล็ดกาแฟสีน้ำตาลปั๊มตรา “ที่เดิม” ตัวเล็ก ๆ เขาวางกล่องลง เปิดฝาให้เราได้กลิ่นหอมฟุ้งของเมล็ดคั่วกลาง ชวนให้คิดถึงไม้แห้ง น้ำผึ้ง และดอกส้มจาง ๆ
“โห…” มิ้นท์สูดหายใจยาว “กลิ่นดีมาก แบบอยากย้ายมานอนในถุง”
“อย่านะคะ” ฉันแซว “เดี๋ยวเจ้าของร้านตกใจ” แล้วหันไปมองภีม “ชื่อ ‘เริ่มใหม่’ ยังอยู่ไหมคะ”
“อยู่ครับ” เขายิ้ม “เพราะทุกเช้าเราควรมีสิทธิ์เริ่มใหม่”
ประโยคนั้นทำฉันเงียบชั่ววินาที มันเรียบง่าย แต่กระทบมาก
เรานั่งคุยเรื่องการคั่ว กลิ่น และเรื่องเล็ก ๆ ใกล้ตัวอีกพักหนึ่ง ระหว่างนั้นโตโตะนอนหมอบอยู่หน้าประตูอย่างว่าง่าย ส่วนโมจิขึ้นมานอนคูณบนกล่องเสื้อผ้าเหมือนราชินียึดบัลลังก์ ภาพสองตัวในเฟรมเดียวกันทำให้ฉันและภีมสบตากันอย่างขำ ๆ โดยไม่ต้องพูดอะไร
“ฉันว่าชั้น 18 นี่มีโอกาสพิเศษนะเพื่อน” มิ้นท์ทวนคำเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอพูดเบาลง คล้ายเป็นคำอวยพร มากกว่าคำแซว
ภีมหันมามองฉันเซ็กน้อยเหมือนจะถามในสายตาว่า “โอกาสอะไร” ฉันยิ้มแล้วส่ายหน้าเบา ๆ ยังไม่พร้อมให้คำนิยาม แต่พร้อมให้มันค่อย ๆ เติบโต
ใกล้สามทุ่ม เราเริ่มเก็บของเข้าที่ในระดับที่พอให้หายใจโล่งขึ้น ฉันเอาขยะไปลงถังรวม ภีมช่วยถือถุงใหญ่ด้านหนึ่ง มิ้นท์เดินตามถือถุงรีไซเคิล ในลิฟต์มีเราสามคนกับความเงียบสบาย ๆ สายตาสะท้อนแสงไฟเพดานเป็นวงกลม ๆ เหมือนโดนัท
“ขอบคุณนะครับที่ให้ผมรบกวนพื้นที่” ภีมพูดเบา ๆ ตอนลิฟต์ลงถึงชั้นล่าง
“จะบอกว่ารบกวนได้ยังไงคะ นี่มันภารกิจพิเศษ—ปฏิบัติการปรับห้องมะปราง 1.0” มิ้นท์ตอบทันควัน “รหัสภารกิจ: ก้นฉันยังโอเค”
ทุกคนหัวเราะ ป้ายไฟ “ที่เดิม” ส่องแสงนวล ๆ อยู่ไม่ไกล ภีมเหลือบดูร้านแวบหนึ่งแล้วกลับมามองเรา “ถ้าพรุ่งนี้ตอนเช้าไม่รีบ ผมทำแซนด์วิชไข่ไว้ให้ชิมได้ ข้างบนจะเงียบ เรากินกันที่ระเบียงก็ได้”
ฉันตอบเร็วเกินไปนิด “ดีค่ะ!” แล้วรีบลดโทน “หมายถึง…ขอบคุณมากค่ะ”
มิ้นท์กระซิบ (แต่ดัง) “อื้มมมมม ดีค่ะ!”
ขากลับขึ้นไปชั้น 18 ฉันดึงมิ้นท์ให้เดินช้าลงนิดให้ภีมกับโตโตะไปก่อน เธอเหล่มองฉัน “ก็ฉันอยากเห็นภาพเธอกับเขาเดินข้างกันไงล่ะ มันน่ารัก”
“อย่าแซวมาก เดี๋ยวหน้าแตกอีก” ฉันเตือน
“แตกบ้างก็ได้ ชีวิตจะได้มีเรื่องเล่า” เธอว่าพร้อมยิ้ม รอยยิ้มที่ฉันรู้ว่ามีความเป็นห่วงอยู่ข้างใต้
ถึงหน้าห้อง ภีมหยุดส่ง “งั้นคืนนี้พักผ่อนนะครับ” เขาพูดสั้น ๆ แต่เหมือนวางมือเบา ๆ บนความวุ่นวายของวัน “พรุ่งนี้เจอกันที่…ที่เดิม”
“ที่เดิม” ฉันทวนโดยอัตโนมัติ แล้วก็ยิ้ม คำเดียวกันที่ว่าวันก่อนกลับมาอีกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติ
ประตูปิดลง เราสองสาวยืนมองหน้ากันเงียบ ๆ สองวินาที ก่อนเสียงกรี๊ดเบา ๆ หลุดออกมาพร้อมกัน “กรี๊ดดดดด!” แล้วก็หัวเราะจนต้องพิงผนัง
“โอเค” มิ้นท์ชูมือ “สรุป เพื่อนบ้านหล่อ สุภาพ เลี้ยงหมา น่ารักกับสัตว์ และชงกาแฟอร่อย พรุ่งนี้เช้ากินแซนด์วิชไข่…สวรรค์ชั้น 18 ชัด ๆ”
“หยุด ๆ ๆ” ฉันหัวเราะ “พอเลยคุณศาลาพักใจ” แต่ในใจ ฉันก็ไม่ได้เถียงเธอเท่าไรนัก
เรากลับมาเก็บงานเล็ก ๆ ที่เหลือ โมจินอนเหยียดยาวบนโซฟาเหมือนประกาศว่าพื้นที่นี้เป็นของมันแล้ว ฉันเอาผ้าห่มผืนบางมาคลุมปลายเท้าให้มันนิดหนึ่ง ท่าทางเจ้าหญิงดีเหลือเกิน ก่อนหันไปเก็บเครื่องครัวชิ้นสุดท้ายเข้าลิ้นชัก
“คืนนี้นอนนี่ไหม” ฉันถามมิ้นท์ “แต่ไม่มีที่นอนสำรองนะ เตียงลมฉันกอดคนเดียว”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันกลับดีกว่า” เธอยิ้ม “พรุ่งนี้จะทักไปถามรีวิวแซนด์วิชไข่ ขอดาวเต็มสิบเท่านั้น”
ฉันตีแขนเธอเบา ๆ “กลับดี ๆ โทรหาด้วย” เรากอดกันสั้น ๆ แบบเพื่อนที่ผ่านพ้นวันยาว ๆ มาด้วยกัน แล้วฉันก็เดินไปส่งเธอที่ลิฟต์ โบกมือจนประตูลิฟต์ปิด
เมื่อกลับเข้าห้อง ความเงียบอบอุ่นเข้ามาแทนที่ ฉันแปรงฟัน ล้างหน้า พับผ้าอีกสองชิ้นแล้วหยิบสมุดโน้ตขึ้นมา เปิดหน้าที่เขียนค้างไว้ เขียนต่ออีกสองสามบรรทัดเกี่ยวกับ “การทักทายระหว่างหมากับแมว” และ “เสียงหัวเราะของเพื่อนที่ทำให้ห้องกลายเป็นบ้าน”อารมณ์มันไหลดีจนฉันไม่อยากหยุด แต่ก็บอกตัวเองว่าเป้าคือวันละย่อหน้า พอแค่นี้ให้รู้สึกหิวต่อวันพรุ่งนี้
ก่อนปิดไฟ ฉันเดินไปที่ระเบียง ผลักบานเลื่อนออกรับลมเย็น ๆ เมืองยามค่ำเป็นเส้นแสงยาว ๆ บนถนน ปลายฟ้าสีกรมท่าเข้ม ดาวน้อยดวงหนึ่งชัดเจนกว่าที่เหลือ ฉันพึมพำกับตัวเองว่า “ดีนะที่ย้ายมา” ดีที่ได้เริ่มใหม่ ดีที่มีชั้น 18 ดีที่มีเพื่อนรักสายแซวคอยดัน และดี…ที่มีประตูห้อง 18B อยู่ตรงข้าม
เสียงแจ้งเตือนดัง “ติ๊ง” ข้อความจากภีม “พรุ่งนี้ 7:45 น. แซนด์วิชไข่พร้อม ลาเต้อุ่นหนึ่ง แก้วน้ำร้อนหนึ่ง จะได้ไม่ใจสั่นเกินไป :)” ต่อด้วยรูปโตโตะทำหน้าเหนื่อย ๆ เหมือนเพิ่งวิ่งเสร็จ
ฉันยิ้ม พิมพ์ตอบ “ตกลงค่ะ เจอกันที่ระเบียง สมาชิกครบชั้น 18” แล้วใส่อีโมจิแมวหนึ่งตัว โกลเด้นรีทรีฟเวอร์หนึ่งตัว กับรูปขนมปัง
ฉันวางโทรศัพท์ ขยับตัวขึ้นเตียงลม โมจิเคลื่อนตัวมานอนข้าง ๆ อย่างยอมประนีประนอม วันนี้มันไม่ขึ้นมานอนทับอกเหมือนคืนก่อน อาจเพราะเหนื่อยจากการเป็นผู้ตรวจสอบความเรียบร้อยแห่งชั้น 18
“ราตรีสวัสดิ์นะ โมจิ” ฉันกระซิบ
มันกระดิกหางเบา ๆ เป็นคำตอบ ฉันปิดไฟ ปล่อยให้ความมืดนุ่ม ๆ โอบกอด และปล่อยให้หัวใจเก็บภาพค่ำคืนนี้ไว้ เสียงหัวเราะของเพื่อน, แววตาใจดีของเพื่อนบ้าน, กลิ่นเมล็ด “เริ่มใหม่” ที่ยังติดปลายจมูก, กับความรู้สึกง่าย ๆ ว่า พรุ่งนี้เช้าจะมี “ที่เดิม” ให้ไป และ “คนเดิม” ให้ทัก
และใช่ฉันตั้งปลุกสองเรือนเหมือนเดิม แต่อีกเหตุผลหนึ่งนอกเหนือจากการตื่นให้ทัน…คือการไม่อยากพลาดแซนด์วิชไข่ที่ระเบียงชั้น 18
คืนนี้ ชั้น 18 เงียบสงบ แต่ในความเงียบนั้น เต็มไปด้วยโอกาสเล็ก ๆ ที่เพื่อนรักสายแซวเพิ่งชี้ให้เห็น โอกาสที่จะค่อย ๆ ทำความรู้จักกัน แบบไม่รีบ แบบไม่ฝืน แบบมีหมากับแมวคอยเป็นกรรมการ และมีลาเต้อุ่น ๆ เป็นพยาน
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







