บทที่ 10 บรรยากาศแปลกไป
"ถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ"
จางเสวี่ยฮุ่ยลุกขึ้นทำความเคารพเย่จิ้นหยางอย่างนอบน้อมและเขินอาย ฟางเมี่ยวที่หาทางปลีกกายออกไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงลุกขึ้นยืนทำความเคารพเขาเช่นเดียวกัน
ให้ตายสิ!! กระโดดถีบแทนได้หรือไม่
เย่จิ้นหยางละสายตาจากจางเสวี่ยฮุ่ย ก่อนจะจ้องมองมาที่ฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ฟางเมี่ยวมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย ทำให้เย่จิ้นหยางขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเอ่ยถาม
"แม่นาง ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ชอบใจข้าเท่าใดนัก"
ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมาจ้องมองเย่จิ้นหยางคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา แต่ทว่ารอยยิ้มของนางดูเย็นชาไม่น้อย
"ท่านอ๋องทรงคิดมากไปแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่เคยพบเจอท่านอ๋องมาก่อน จะไม่ชอบใจพระองค์เรื่องใดกัน"
"นั่นสินะ ข้าคงคิดมากไป ว่าแต่เจ้าคงจะเป็นสหายของเสวี่ยเอ๋อร์สินะ"
เย่จิ้นหยางเอ่ยถามนาง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มหวานให้จางเสวี่ยฮุ่ย ฟางเมี่ยวไม่ตอบเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
คนบัดซบเช่นนี้ นางไม่อาจทำใจรักษากฎระเบียบใดกับเขาได้ แม้ยามนี้นางจะบอกตนเองเสมอว่าไม่ให้แค้นเคืองเขาในเรื่องเก่าก่อน แต่นางกลับรู้สึกว่าตนขัดหูขัดตาเขาไม่น้อย นี่แปลว่านางยังแค้นเขาใช่หรือไม่ ให้ตายสิ!!!
การได้เจอเขาเช่นนี้ทำให้นางอยากจะระเบิดโทสะเหลือเกิน!!!
"อาจิ้น"
"อาเยี่ยน เจ้ามาแล้วหรือ"
ฟางเมี่ยวหันไปมองหลี่เยี่ยนเฉินที่เดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้น หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองนางคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้จางเสวี่ยฮุ่ย แล้วหันไปเอ่ยกับเย่จิ้นหยาง
"ข้าก็คิดว่าเจ้าไปอยู่ที่ใด ที่แท้มาพบคุณหนูจางนี่เอง"
"ข้าจะไปที่ใดได้เล่า"
หลี่เยี่ยนเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย ยามนี้อยู่กันตามลำพังไม่ได้มีขุนนางรายล้อม ย่อมสนทนากันเฉกเช่นสามัญชนทั่วไปอย่างสนิทสนม
เย่จิ้นหยางหันมามองจางเสวี่ยฮุ่ยอีกครา ก่อนจะเอ่ย
"เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องอยากจะสนทนากับเจ้า แม่นาง ข้าขอยืมตัวสหายเจ้าสักครู่...เอ่อ เจ้ามีนามว่าอันใดหรือ?"
"นางชื่อฟางเมี่ยวเพคะท่านอ๋อง"
จางเสวี่ยฮุ่ยเอ่ยตอบขึ้นมาแทนฟางเมี่ยว ฟางเมี่ยวไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ในใจรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย
รีบๆ ไสหัวไปเถิด!!
"ฟางเมี่ยว บุตรสาวท่านเสนาบดีกรมกลาโหมน่ะหรือ บิดาเจ้าทำงานได้เที่ยงตรงยิ่งนัก"
"ขอบพระทัยเพคะ"
"เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เสวี่ยเอ๋อร์ เราไปกันเถิด"
"เพคะท่านอ๋อง"
จางเสวี่ยฮุ่ยหันมาส่งยิ้มให้ฟางเมี่ยวอย่างรู้สึกผิดที่ทิ้งสหายไปดื้อๆ แต่ฟางเมี่ยวเพียงพยักหน้าให้นางเล็กน้อยเท่านั้น
ยามนี้จึงเหลือเพียงหลี่เยี่ยนเฉินและฟางเมี่ยวเพียงสองคนเท่านั้น หลี่เยี่ยนเฉินมีท่าทางประหม่าไม่น้อย ฟางเมี่ยวเองก็วางมือเท้าไม่ถูกเช่นเดียวกัน
เป็นหลี่เยี่ยนเฉินที่ตัดสินใจหันหลังจะเดินจากไปเสียก่อน แต่ทว่ากลับต้องหยุดฝีเท้าเมื่อได้ยินฟางเมี่ยวร้องเรียกเอาไว้
"พี่เยี่ยน ช้าก่อนเจ้าค่ะ"
หลี่เยี่ยนเฉินขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองฟางเมี่ยวในทันที
เมื่อครู่นางเรียกเขาว่าอะไรนะ!!!
พี่เยี่ยนอย่างนั้นหรือ!!!
หูเขาพิการแล้วใช่หรือไม่?
"เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ?"
"พี่เยี่ยน พี่เยี่ยนของข้า"
ของข้าด้วย!!!
หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกจนวางท่าทีไม่ถูกแล้ว ฟางเมี่ยวเองก็รู้สึกว่าเขาแปลกไปเช่นกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงที่ใด
คล้ายว่ายามนี้เขาต้องสารภาพรักกับนางไม่ใช่หรือ
"เอ่อ"
"มีสิ่งใดหรือคุณหนูฟาง หากไม่มีข้าขอตัวก่อน"
คุณหนูฟาง!!! นี่มันเรื่องใดกัน ฟ้าดินกลับหัวหรือ? เหตุใดเขาจึงวางท่าทีห่างเหินกับนางเช่นนี้เล่า
ท่าทีเก้ๆ กังๆ ของคนทั้งสองทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนไม่น้อย ฟางเมี่ยวทนไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"หลี่เยี่ยนเฉิน!!! เจ้าจะกลับเมืองหลวงแต่ไม่คิดที่จะส่งจดหมายแจ้งข้าสักฉบับยังไม่พอ เมื่อได้พบกันแล้วเจ้ายังไม่มีเรื่องที่จะเอ่ยกับข้าอีกหรือ? แล้วท่าทางเย็นชานั่นด้วย หมายความว่าอย่างไรกัน"
หลี่เยี่ยนเฉินขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้างงงวยอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
หรือว่านางรอเขาบอกเรื่องนั้น เรื่องที่เขาบอกชอบนาง
หรือนางรู้ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใด จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!!
หลี่เยี่ยนเฉินพิจารณามองฟางเมี่ยวอย่างละเอียดอีกครา ก็ไม่พบว่านางผิดแปลกที่ตรงใดเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเอ่ยกับนางอย่างขอไปที
"คุณหนูฟาง ข้าไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยกับเจ้า"
เขาไม่มีทางบอกชอบนางอีกเด็ดขาด!!!
"เดี๋ยวสิ!! ไม่มีจริงๆ หรือ เจ้าลองนึกดีๆ"
"ไม่มี อีกอย่าง สถานที่ตรงนี้ค่อนข้างห่างไกลผู้คน เจ้าเป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน ส่วนข้าเป็นบุรุษที่ยังไม่แต่งภรรยา เราสองยามนี้เติบโตแล้วมิควรชิดใกล้กัน"
ฟางเมี่ยวยกมือขึ้นเกาศีรษะตน ใบหน้าสวยหวานมีท่าทีงงงันเป็นอย่างมาก
เป็นไปได้อย่างไรกัน!! นางไม่เข้าใจ หรือว่าระหว่างที่ออกรบเขาฆ่าคนตายไปมากจนสมองมีปัญหา?
หลี่เยี่ยนเฉินไม่สนใจฟางเมี่ยวอีก เขาจึงเดินหันหลังจากไป ฟางเมี่ยวไม่รอช้านางรีบเดินตามเขาไปทันที แต่เพราะรีบเกินไปนางจึงสะดุดล้มจนหน้าคะมำกับพื้น หลี่เยี่ยนเฉินหันมาเห็นภาพตรงหน้า เขาตกใจไม่น้อย ก่อนความตกใจนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความขบขันในทันที
ให้ตายเถิด!!! เขาอยากตะโกนหัวเราะใส่หน้านางจริงๆ เขาลงไปนอนหัวเราะได้หรือไม่?
ฟางเมี่ยวเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด โชคดีที่ตรงนี้เป็นเพียงพื้นหญ้า ใบหน้านางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดมากนัก นางเงยหน้าไปมองหลี่เยี่ยนเฉินคราหนึ่ง นอกจากเขาจะไม่ช่วยนางแล้ว ท่าทีที่คล้ายกลั้นหัวเราะนั่นมันคือสิ่งใดกัน!!
ฟางเมี่ยวไม่ถือสาหลี่เยี่ยนเฉิน นางรีบหยัดกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะปัดเศษใบไม้และเศษดินบนเสื้อผ้าของนางออก แล้วจึงเดินตรงไปหาหลี่เยี่ยนเฉิน
ไม่ได้การ!!! นางจะเอานิสัยเดิมมาใช้ไม่ได้ นางต้องอ่อนโยนกับเขาสิ
"พี่เยี่ยน ข้าขอถามท่านอีกครา ท่านไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยกับข้าจริงๆ หรือ?"
หลี่เยี่ยนเฉินถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเอ่ยตอบ
"ฟางเมี่ยว เจ้าต้องการให้ข้าเอ่ยสิ่งใดหรือ?"
"เอ่อ..."
ฟางเมี่ยวมีท่าทีอึกอัก จะให้นางเอ่ยเช่นไรเล่า นางเอ่ยได้หรือ หากนางเอ่ยถามไปหลี่เยี่ยนเฉินจะสงสัยในตัวนางหรือไม่
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงทำหน้ามุ่ย ก่อนจะเอ่ย
"ช่างมันเถิด"
"เช่นนั้นข้าขอตัว"
"เดี๋ยวสิ"
"มีอันใดอีก"
"ข้าเจ็บข้อเท้ายิ่งนัก เดินไม่ไหวเลย"
หลี่เยี่ยนเฉินหรี่ตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมา
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางยืนได้ แต่ยังมีหน้ามาบอกว่าข้อเท้าบาดเจ็บ นิสัยชอบยั่วยวนบุรุษของนางมันคงฝังลึกเข้าไปในกระดูกของนางแล้วเป็นแน่ จึงแก้ไม่หาย!!!
ไปหลอกเด็กสามขวบเถิด!!!
"แต่เจ้ายืนได้นี่"
"ยืนได้ แต่เดินไม่ไหวนี่เจ้าคะ"
"เช่นนั้นก็คลานไปเถิด"
"พี่เยี่ยน เดี๋ยวสิ!!! หลี่เยี่ยนเฉิน!!!"
หลี่เยี่ยนเฉินหันหลังเดินจากไปทันที ทิ้งให้ฟางเมี่ยวยืนอยู่เพียงลำพัง นางรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย แต่ในใจหนึ่งนางก็แอบสงสัยในท่าทีของหลี่เยี่ยนเฉินที่มีต่อนาง ท่าทีที่ไม่สนิทสนมและห่างเหินนั่นมันคือสิ่งใดกัน
หรือว่าเขามีคนรักระหว่างอยู่ที่ชายแดนอย่างนั้นหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้
นางจะต้องหาสาเหตุที่เขามีท่าทีเช่นนี้กับนางให้จงได้
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื