บทที่ 11 พบสหายเก่า
ฟางเมี่ยวเดินกลับเข้ามาในงานเลี้ยง นางรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ในชาตินี้หลี่เยี่ยนเฉินดูแปลกไป
หรือว่าเขาจะย้อนอดีตกลับมาเช่นเดียวกันกับนาง
จะเป็นไปได้เช่นไรกัน เขาก็ดูปกติดี ไม่ได้มีท่าทีว่าจำเรื่องราวในชาติก่อนได้เลยนี่!!!
ช่างเถิด ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว นางค่อยหาทางอีกคราก็ยังไม่สาย
"คุณหนูฟาง ได้ยินชื่อเสียงมานาน ได้พบที่งานเลี้ยงวันนี้ช่างดูงดงามสมคำร่ำลือยิ่งนัก"
ฟางเมี่ยวหันไปมองบุุรุษที่เดินเข้ามาทักทายนางคราหนึ่ง นางจำเขาได้ คนผู้นี้มีนามว่ามู่หรงฟัง
ในชาติที่แล้วเขาตามตื๊อนางอย่างเอาเป็นเอาตาย คอยส่งของมีค่ามาให้นาง อีกทั้งยังสอนให้นางเล่นการพนันอีกด้วย ยามที่เสียพนันเขาก็เป็นคนแนะนำให้นางไปขโมยเงินมาจากสินเดิมของท่านแม่ นางยามนั้นไร้เดียงสาโง่งมทำตามเขาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เพียงเพราะต้องการตอบสนองความสนุกของตนเองเพียงเท่านั้น
ยามนี้นางได้กลับมาเจอเขาอีกครา เป็นช่วงเวลาที่นางยังไม่ทันได้ติดการพนันอย่างบ้าคลั่ง ทุกอย่างเพียงกำลังเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฟางเมี่ยวจึงยิ้มให้มู่หรงฟังเล็กน้อย
"รู้จักข้าด้วยหรือเจ้าคะ?"
มู่หรงฟังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเอ่ย
"ย่อมรู้จักอยู่แล้ว คุณหนูฟางชื่อเสียงดีงามเลื่องลือ งดงามไม่เป็นรองสตรีใดในเมืองหลวง อีกทั้งยังมีรสนิยมเช่นเดียวกับข้า ข้ามีนามว่ามู่หรงฟัง"
ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนี้ก็ส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง ชื่อเสียงดีงามกับผีน่ะสิ คนเขาเกลียดข้าไปทั่วเจ้าไม่รู้หรือไร!!!
เหอะ!!! รสนิยมเดียวกันหรือ พูดมาได้ กลัวนางจำได้หรือไรว่านางชอบเข้าบ่อนน่ะ!!!
มู่หรงฟังมองฟางเมี่ยวอย่างหลงใหล ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ฟางเมี่ยวอย่างถือวิสาสะ แล้วจึงยื่นหน้าเข้ามาพลางกระซิบเสียงแผ่ว
"โรงพนันอวี้เซียนจุนที่ตรอกใกล้ๆ ร้านสุราน่าสนใจไม่น้อย หากมีเวลาคุณหนูฟางก็นัดพบกับข้าได้ ข้ายินดีช่วยเจ้าให้ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ได้ยินว่าช่วงก่อนเจ้าเคยไปที่นั่นมาครั้งหนึ่งมิใช่หรือ?"
ฟางเมี่ยวส่งเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ขอบคุณคุณชายมู่หรงฟังมาก เพียงแต่ยามนี้ข้าไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้นแล้ว ท่านไปชวนคนอื่นเถิด"
"เดี๋ยวสิ!!! ไปสักครั้งก็ยังดี เผื่อเจ้าจะติดใจ"
"ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ"
"คุณหนูฟาง!! ฮึ่ย!!!"
ฟางเมี่ยวเดินหนีมู่หรงฟังทันที พยายามระงับโทสะไม่ให้ทุบตีบุรุษบัดซบผู้นี้ มู่หรงฟังรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดจะหลอกให้ฟางเมี่ยวไปที่โรงพนันอวี้เซียงจุนเพื่อหวังให้นางเล่นจนเสียเงิน แล้วหลอกให้ฟางเมี่ยวไปนำเงินในบัญชีของนางออกมา ได้ยินว่ากิจการของมารดานางร่ำรวยไม่น้อย เอามาให้เขาเล่นการพนันนิดหน่อยจะเป็นไรไป แต่นี่นางกลับเมินเขา!!!
เหอะ!!! คอยดูเถิด ข้าจะทำให้เจ้ามาสยบแทบเท้าข้าให้จงได้ฟางเมี่ยว!!!
ฟางเมี่ยวรู้สึกเวียนหัวไม่น้อย เหตุใดโจทก์เก่านางจึงมากมายเพียงนี้กันนะ
"เมี่ยวเมี่ยว!!!"
ฟางเมี่ยวหันไปมอง ก่อนจะพบกับจางเสวี่ยฮุ่ยที่กำลังเดินตรงเข้ามาหานาง
"ข้าตามหาเจ้าตั้งนาน"
"ข้าเพิ่งกลับมาจากศาลาน่ะ ว่าแต่เจ้าสนทนากับท่านอ๋องเสร็จแล้วหรือ?"
จางเสวี่ยฮุ่ยที่ได้ยินฟางเมี่ยวเอ่ยถามเช่นนั้นก็ยิ้มเขินอาย ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย ฟางเมี่ยวถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง แต่ก่อนนางก็เคยหลงใหลในตัวเย่จิ้นหยางเช่นนี้ไม่ต่างกัน
แต่ครั้งนี้นางไม่เอาด้วยคนแล้ว นางไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าหน้าผา!!!
"เมี่ยวเมี่ยว อีกไม่นานงานเลี้ยงก็คงจบแล้ว พวกเรากลับเข้าไปด้านในกันเถิด"
"อืม ไปสิ"
เมื่อฟางเมี่ยวและจางเสวี่ยฮุ่ยมาถึง งานเลี้ยงก็จบลงแล้ว ผู้คนต่างทยอยกันเดินทางกลับ อาหารก็ลิ้มรสไปไม่มากนัก ฟางเมี่ยวเดินมาหาบิดาของตนที่กำลังสนทนากับแม่ทัพใหญ่หลี่อย่างออกรส นางปรายตาไปมองโดยรอบ ก็พบว่ายามนี้หลี่เยี่ยนเฉินกำลังสนทนาอยู่กับสตรีน้อยนางหนึ่งอยู่อย่างสนิทสนม นางขมวดคิ้วมุ่นแต่ไม่ได้เอ่ยถามออกไป
หลังจากอยู่สนทนากันต่ออีกสักพัก ท่านพ่อก็พานางมาที่รถม้าเพื่อกลับจวน ระหว่างที่นางกำลังขึ้นรถม้า นางก็ได้ยินเสียงหวานใสของสตรีนางหนึ่ง
"พี่หญิง!!! ท่านกล้ามากเลยนะที่ไปสนทนากับท่านอ๋องสองต่อสองน่ะ ท่านพ่อ พี่ใหญ่ทำขายหน้าแล้วเจ้าค่ะ!!!"
"ท่านพ่อ คือว่าลูก..."
"ไม่ต้องพูดแล้ว กลับจวนไปเจ้าก็จงไปคุกเข่าสำนึกผิดที่สุสานบรรพชนเสีย!!!"
ฟางเมี่ยวจ้องมองจางเสวี่ยฮุ่ยที่กำลังถูกบิดาตำหนิด้วยความสงสัยคราหนึ่ง ก่อนจะขึ้นรถม้าเพื่อกลับจวนของตนไป
เมื่อกลับมาถึงจวนฟางเมี่ยวก็รีบอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ก่อนจะหยิบตำราสมุนไพรเครื่องหอมของท่านแม่ที่นางนำมาเก็บไว้ในห้องนอนออกมาอ่าน แล้วสั่งให้คนไปตามแม่นมหลิ่วและผู้ดูแลร้านเครื่องประทินผิวมาพบนาง ไม่นานนักแม่นมหลิ่วและผู้ดูแลร้านก็มาถึง ฟางเมี่ยวจึงเอ่ยถามทันที
"ผู้ดูแลหลัว ระยะนี้กิจการเป็นเช่นไรบ้าง?"
ผู้ดูแลหลัวที่ทำหน้าที่ดูแลร้านเครื่องประทินผิวจ้องมองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง นางเป็นสตรีวัยกลางคนแต่ทว่าเพราะดูแลตนเองดี จึงยังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง
"ระยะนี้สินค้าค่อนข้างขายออกยากเจ้าค่ะ เนื่องจากมีแต่สินค้าชนิดเดิมๆ ไม่ได้มีเพิ่มเติมเลยเจ้าค่ะ"
"เหลือแต่สินค้าเก่าที่ท่านแม่ทำไว้หรือ"
"เจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นเจ้าไปปิดร้าน บอกว่าต้องการปรับปรุง แล้วนำของเดิมทั้งหมดมาให้ข้าดู"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
"อืม ส่วนท่านแม่นมหลิ่ว ระยะนี้ภัตตาคารโหยวเย่ว์คงกำลังวุ่นวายเลยกระมัง เปิดรับสมัครพ่อครัวอีกสักคนเถิด เลือกเอาไว้สักหลายๆ คนหน่อย ข้าจะไปดูเอง"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
เมื่อจัดการทุกอย่างแล้ว นางก็ให้คนทั้งสองออกไป ก่อนจะรีบเดินออกจากเรือนตนไปทันที ลู่ชิงที่เดินตามเจ้านายมาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
"คุณหนูจะไปโรงพนันหรือเจ้าคะ หรือว่าจะไปโรงสุราเจ้าคะ ใบหน้าคุณหนูดูอิดโรย คงจะเพราะไม่ได้ดื่มสุราบำรุงเป็นแน่เจ้าค่ะ!!!"
ฟางเมี่ยวหยุดชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันไปมองลู่ชิง จนคนถูกมองสะดุ้งโหยง
"ลู่ชิง หน้าข้าเหมือนคนติดสุราหรือ?"
"เหมือน เอ่อ ไม่เหมือนเจ้าค่ะ"
"หุบปากเสีย!!! แล้วไม่ต้องตามข้ามา ไปเฝ้าเรือนเสีย ข้าเพียงจะไปกินมื้อค่ำกับท่านพ่อ"
"แต่ว่าคุณหนู บ่าวอยาก..."
"หากเจ้าไม่ไป ข้ารับรองได้ว่าข้าจะเตะขาเจ้าจนเดินไม่ได้อีก"
"ไปแล้วเจ้าค่ะ!!!"
ฟางเมี่ยวส่ายหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดอย่างปวดหัว นางมีบ่าวเช่นนี้เอาไว้ข้างกายได้อย่างไรกัน!!!
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื