ยามซวี [1] มาเยือนเงาดำสายหนึ่งกระโจนลงจากหลังคาเรือนหลัก เจ้าของร่างสูงชำระร่างกายและอยู่ระหว่างผลัดผ้ากลับยังคงสงบนิ่ง เขาผินหน้ามองเนิบช้า ใบหน้าด้านข้างต้องแสงจากโคมไฟภายในห้องยิ่งขับเน้นโครงหน้าให้เด่นชัด รับกับจมูกโด่งเป็นสัน
"ซือหาน ว่าอย่างไร"
"ท่านโหว เมื่อช่วงบ่ายฮูหยินไปพบคุณชายฟ่านขอรับ"
เจียงซื่อจวินหมุนกายฉับ พร้อมตวัดอาภรณ์คลุมร่างกำยำเอาไว้ กระนั้นสาบเสื้อของเขาก็ยังแหวกกว้างเผยให้เห็นแผงอกหนั่นแน่น
"นางไปทำไม"
เฉิงซือหานสาวเท้ามาเบื้องหน้า จากนั้นจึงบอกเล่าเรื่องราวที่หลิวจือหลินไปพบฟ่านเทียนเผยให้ผู้เป็นนายฟังโดยละเอียด เนื่องจากเขามีความจำอันเป็นเลิศ กระทั่งคำพูดของหลิวจือหลินเฉิงซือหานก็เลียนแบบและจดจำได้แทบทั้งหมด
เจียงซื่อจวินยืนฟังอยู่นาน กระทั่งได้ยินคำเกี้ยวพาของฟ่านเทียนเผยและความตั้งใจของหลิวจือหลินที่ประสงค์ออกห่างจากเขา โหวหนุ่มก็บังเกิดโทสะขึ้นมาเดี๋ยวนั้น หนำซ้ำนางยังกล่าวหาว่าเขามักมากหลายใจ
เขานี่หรือบุรุษมักมากหลายใจ หากกล่าวตามตรง สตรีทั้งสองที
ในเมื่อเขาไม่อยากช่วยเหลือ หลิวจือหลินก็ไม่อยากเป็นภาระเขา นางตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องเสียเลย เผื่ออีกฝ่ายจะยอมจากไป "ท่านโหว แวะมาเรือนตะวันออกดึกดื่นมีธุระใดหรือเจ้าคะ""ข้าจะมาพบฮูหยินยังต้องอาศัยว่ามีธุระด้วยงั้นหรือ"หลิวจือหลินอึ้งงัน "แล้ว..."เจียงซื่อจวินถอนหายใจตัดบท "แล้วเจ้าจะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานหรือไม่ ยามค่ำคืนน้ำค้างลง ลมก็เย็น เจ้าคงไม่คิดจะนอนอยู่บนพื้นกระมัง""เหอะ!" หลิวจือหลินสะบัดหน้าหนีเขาเจียงซื่อจวินเลิกคิ้วงุนงง กระทั่งเขาสังเกตเห็นความผิดปกติที่อีกฝ่ายเอาแต่จับเอวนวดบั้นท้ายอยู่ตลอด ชายหนุ่มจึงเข้าใจในบัดดล ดูเหมือนเขาหยอกล้อนางแรงไปเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่าสตรีนั้นเปราะบางถึงเพียงนี้ หรือไม่นางก็อาจล้มลงไปผิดท่า ร่างสูงยอบกายลงจากนั้นช้อนคนตัวเล็กไว้บนอ้อมแขน"เหวอ..."หลิวจือหลินตะลึงงัน เมื่อจู่ ๆ เรือนกายก็ลอยหวือขึ้นจากพื้นไม่ทันตั้งตัว ทว่าอีกฝ่ายกลับปั้นหน้าใจเย็นเฉกเช่นหุบเขาน้ำแข็ง"ทำอะไรเจ้าคะ!?""หยุดดิ้น หากตกลงไปขาหักซ้ำ อย่ามาโทษว่าข้ารังแกเจ้า"หลิวจือหลินส่งค้อนวงใหญ่ให้เขา "
เวลารวดเร็วดุจพลิกฝ่ามือ ในที่สุดตัวอย่างอาภรณ์สำหรับทดลองก็เป็นรูปร่างอย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าทุกค่ำคืนกลับมีบางคนเฝ้าจับจ้องหลิวจือหลินชนิดไม่คลาดสายตา ซ้ำยังคอยอยู่ใกล้ ๆ ประหนึ่งเงาตามตัว ดูเหมือนช่วงนี้เขาว่างเสียจริง"ฮือ...เรียบร้อยแล้ว" ร่างระหงตระกองกอดอาภรณ์ผืนงามด้วยความภาคภูมิ นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายดั่งไข่มุกยามราตรียิ่งเขาอยู่ใกล้นาง เจียงซื่อจวินก็ยิ่งได้เห็นมุมมองแปลกใหม่ของหลิวจือหลินมากขึ้น หลายวันมานี้หลิวจือหลินตั้งอกตั้งใจทำงาน ซ้ำยังไม่ปริปากบ่นสักคำ จะเข็มตำมือหรือกรรไกรงับนิ้วล้วนไม่ร้องสักแอะ เขาทราบว่านางบาดเจ็บอีกทีก็ยามที่นิ้วเรียวสวยเต็มไปด้วยผ้าพันแผลเสียแล้วยามทำงานหลิวจือหลินมักบ่นมุบมิบเสียงแผ่วเสมอว่า อุปกรณ์ในการตัดเย็บของที่นี่ยุ่งยากไปหน่อย ไม่เหมือนกับที่บ้านเลยเจียงซื่อจวินเงี่ยหูฟังอยู่ตลอด นางยังชอบเปล่งวาจาผู้เดียวด้วยถ้อยคำประหลาดอย่างนึกลืมตัว เช่นเสื้อแฟชั่นยังสวยไม่พอ คอลเลคชั่นใหม่ บลา บลา ภาษาอะไรฟังแล้วงุนงง"เรียบร้อยแล้วก็ไปพักผ่อน" เงาร่างสูงยืนซ้อนอยู่เบื้องหลังคนตัวเล็กเ
"เจ้า! กำลังยั่วโมโหข้าหรือ""เปล่านะ ท่านโหว ออกไปห่าง ๆ ข้าหายใจไม่ออก" หลิวจือหลินพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งโน้มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ปลายจมูกของเขาแทบสัมผัสถูกหน้าอยู่รอมร่อ กลิ่นเครื่องหอมประจำกายชายหนุ่มตีแสกเข้าหน้าเสียจนหลิวจือหลินรู้สึกประดักประเดิด"วันพรุ่งข้าจะไปกับเจ้า"หลิวจือหลินหันหน้าขวับ ปรางแก้มพลันเฉียดปลายจมูกของบุรุษตรงหน้า ไม่รู้เพราะจมูกเขามันโด่งเกินไปหรือตั้งใจกันแน่ ทั้งสองเบิกตากว้างตะลึงงัน เจียงซื่อจวินได้สติจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระ"...นี่ท่านฉวยโอกาสรึ"เจียงซื่อจวินกระแอมเล็กน้อย "เจ้าหันมาเอง ยังกล่าวโทษข้า""ห้ะ!" หลิวจือหลินยกมือลูบแก้มของตนที่ยังหลงเหลือสัมผัสจากชายหนุ่ม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีแดงเรื่อ ริมฝีปากบางเฉียบขยับเอ่ยกระท่อนกระแท่น "…พรุ่งนี้ท่านโหวไม่มีงานหรือไร""ไม่มี" เจียงซื่อจวินไม่ฟังเสียงทัดทานนั้นอีก ร่างสูงหมุนกายเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอนหน้าตาเฉยนัยน์ตากลมโตกลอกมององครักษ์สองนายด้วยความประหวั่น หลิวจือหลินลอบถอนหายใจโล่งอก ดูเหมือนพวกเขายืนหันหลังดั่งหุ่นไม
รถม้าจากจวนโหวเคลื่อนมาจอดที่เบื้องหน้าร้านฟ่านอิน บุรุษร่างสูงยืนรออยู่เกือบครึ่งชั่วยามแล้ว เขาตั้งตารอการมาเยือนของฮูหยินเจียงโหวโดยตลอด ริมฝีปากได้รูปยกโค้งพึงใจเมื่อเห็นร่างระหงย่างกรายลงจากบันไดแคบหลิวจือหลินยอบกายพร้อมรอยยิ้ม "คุณชายฟ่าน""ฮูหยิน ท่านไม่ต้องมากพิธี" มือหยาบระคายเอื้อมไปเบื้องหน้าหมายประคองให้นางยืดกายตามสบาย ทว่ากลับมีเสียงทุ้มกระแอมเบาดังมาจากด้านในประหนึ่งตาเห็นคิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน ฟ่านเทียนเผยสลับสายตามองหลิวจือหลินกับรถม้าที่นางใช้เป็นพาหนะเดินทางหลิวจือหลินคลี่ยิ้มแห้งขอด จากนั้นบุรุษร่างสูงจึงสาวเท้าตามลงมา เมื่อพบว่าเป็นผู้ใดฟ่านเทียนเผยก็พลันแค่นยิ้มในลำคอ มิน่าเล่าเขาถึงเห็นองครักษ์เจียงซื่อจวินขนาบข้างซ้ายขวาเจียงซื่อจวินเยื้องย่างมายืนเคียงกายหลิวจือหลิน จากนั้นยกแขนโอบกอดไหล่บอบบาง หลิวจือหลินสะดุ้งโหยง กล่าวกระซิบลอดไรฟัน "ท่านโหว ทำอะไรเนี่ย ปล่อยข้านะ อายผู้อื่น"ฟ่านเทียนเผยมองแขนที่กระชับไหล่เล็กเพื่อประกาศความเป็นเจ้าของ สลับกับสีหน้าต่อต้านน้อย ๆ ของสตรีข้างกายอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็เข้าใจในบั
"ฮูหยิน แล้วไอแฟชั่นโชว์ของท่านนี่ต้องทำอย่างไรหรือ"ร่างระหงยอบกายลงนั่งตามเดิมด้วยท่าทีกระตือรือร้น "ท่านไปหาสาวงามมาสักสิบคน จากนั้นข้าจะนำอาภรณ์ที่ตัดเย็บสวมลงบนกายพวกนาง ลานแสดงของท่านหากจัดในเหลาอาหารอาจดูแออัดไป เช่นนั้นก็จัดมันข้างหน้าเลยดีหรือไม่"ฟ่านเทียนเผยเลิกคิ้ว "อ่า...ข้าเข้าใจแล้ว คล้าย ๆ แสดงการร่ายรำงั้นหรือ"หลิวจือหลินตริตรอง "อืม...ก็คงนับว่าคล้าย ๆ กระมังเจ้าคะ เพียงแต่งานนี้จะเป็นการแสดงความโดดเด่น และความสวยงามของอาภรณ์เท่านั้น เพื่อเรียกบรรดาแขกเหรื่อ และสร้างจุดขายให้ผลิตภัณฑ์ของเราเจ้าค่ะ"ฟ่านเทียนเผยพยักหน้าเข้าใจ ส่วนเจียงซื่อจวินมองนางแทบไม่ละสายตาท่าทีเริงร่าเช่นนี้ยามอยู่กับเขานางไม่เห็นจะเคยทำ ดูเหมือนสบายใจเสียจริงยามได้พูดคุยหยอกล้อกับบุรุษอื่น จู่ ๆ เจียงซื่อจวินก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาตงิดใจ เขาจึงยกชาขึ้นจิบเพื่อสงบอารมณ์"ฮูหยินของท่านโหวช่างฉลาดล้ำจริงแท้"เจียงซื่อจวินตัวแข็งทื่อเมื่ออีกฝ่ายกล่าวว่านางคือของเขา ส่วนหลิวจือหลืนมิได้คิดอะไรก็เอาแต่ปั้นยิ้มจนเขาอยากยกมือป้องปากนั้นไว้เสีย
นับจากวันนั้นหลิวจือหลินและฟ่านเทียนเผยก็พบปะกันมากขึ้น เพราะทั้งสองต้องร่วมวางแผนทำการค้าอย่างจริงจัง กระทั่งถึงวันที่ต้องนำอาภรณ์ทั้งหมดซึ่งตัดเย็บเรียบร้อยมาจัดแสดงหน้าเหลาอาหารดูเหมือนชะตาการค้าช่างเข้าข้างยิ่งนัก เพราะคุณชายฟ่านล้วนเป็นที่รู้จักของสตรีแทบทุกชนชั้น จึงเป็นโอกาสอันดีที่หลิวจือหลินจะสามารถกอบโกยผลประโยชน์นี้ได้อย่างเต็มที่ คุณชายฟ่านช่างเนื้อหอมใช่เล่นแม้แต่บรรดาองค์หญิงและบุตรีขุนนางใหญ่โตยังสนใจเข้าร่วมงานจัดแสดงอย่างกระตือรือร้น ไท่จื่อทราบข่าวการเปิดตัวอาภรณ์สตรีแนวใหม่จึงบังเกิดความสนใจขึ้นเช่นกัน เขาอยากชื่นชมฝีมือของฮูหยินเจียงโหวเสียหน่อยนับตั้งแต่ได้พบหน้ากับหลิวจือหลินหนนั้น ไท่จื่อก็ใคร่อยากทำความรู้จักนางมากขึ้นอีก อันเป็นเหตุให้แขกเหรื่อในวันนี้มากด้วยบรรดากิตติมศักดิ์จนล้นหลาม แม้จะดูแน่นขนัดกันไปหมด กระนั้นหลิวจือหลินก็ยังจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน หาได้กระทบต่อการเข้าชมของทุกฝ่ายแต่อย่างใด"ทุกคนเรียบร้อยแล้วหรือไม่" หลิวจือหลินง่วนอยู่กับการจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้บรรดาสาวงามที่ฟ่านเทียนเผยเฟ้นหามาให้ กระนั้นนางไม่
การจัดแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่หลิวจือหลินคิดมากนัก ร่างระหงสาวเท้าลงจากบันไดคับแคบด้วยรอยยิ้ม"ฮูหยิน ท่านเหนื่อยหรือไม่" ฟ่านเทียนเผยยิ้มตอบหลิวจือหลินส่ายหน้า "ไม่เลยเจ้าค่ะ วันนี้ข้าสนุกมาก นี่เป็นสิ่งที่ข้าเฝ้าฝันอยากทำมาโดยตลอด""ท่านช่างฉลาดล้ำ ซ้ำยังมุ่งมั่นยิ่ง"ริมฝีปากสีกุหลาบฉีกยิ้มกว้าง พวกเขาพูดคุยกันอย่างถูกคอ พลางมองบรรดาสาวงามที่หลิวจือหลินแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม เมื่อผู้คนได้เห็นสตรีซึ่งแต่งกายหลากหลายรูปแบบมากสีสันบนลานแสดงก็ต่างฮือฮายกใหญ่ แม้รูปร่างที่แตกต่างทว่ายังสามารถดึงความโดดเด่นจากอาภรณ์บนเรือนกายออกมาได้อย่างน่าตื่นตะลึงหลิวจือหลินยกฝ่ามือขึ้นพร้อมใบหน้าซึ่งประดับไปด้วยรอยยิ้ม ฟ่านเทียนเผยงุนงงทว่าก็ยังยินดีทำตาม "อะไรหรือ"มือเรียวตบแปะบางเบาไปยังฝ่ามือกว้าง "กิ๊ฟมีไฟว์ [1] เจ้าค่ะ"ฟ่านเทียนเผยตัวแข็งทื่อเฉกเช่นดินปั้นไม้แกะสลัก ความรู้สึกที่ถูกอีกฝ่ายสัมผัสเมื่อครู่คือสิ่งใดกัน ใบหูของชายหนุ่มร้อนผ่าวขึ้นมาเดี๋ยวนั้น "นะ...นั่นหมาย
ความอลหม่านของงานจัดแสดงอาภรณ์สิ้นสุดลงแล้ว โชคดียิ่งที่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายเพิ่มเติม ดูเหมือนเหตุการณ์ดังกล่าวมิใช่เพียงอุบัติเหตุ แต่เป็นความจงใจของใครบางคนเสียมากกว่า ยามนี้มีเพียงเจียงโหวที่ได้รับบาดเจ็บ เพราะเขาเอาตนเองเป็นโล่กำบังให้หลิวจือหลินแม้องครักษ์ทั้งสองสามารถจับกุมมือดีไว้ได้ ทว่าต่อให้สอบสวนและคาดคั้นอย่างหนัก สตรีนางนั้นก็ไม่อาจตอบคำถามพวกเขาได้ เพราะเป็นเพียงการว่าจ้างมาอีกทอดหนึ่ง ผู้ว่าจ้างปกปิดใบหน้าซ้ำยังมีร่างกายกำยำน่าหวาดเกรง นางเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านตาดำ ๆ ตัดสินใจรับงานและก่อเหตุก็เพื่อต้องการเงินไปเลี้ยงดูลูกน้อยที่อยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ มาช้านาน อีกอย่างเขาบอกเพียงว่าเป็นชาธรรมดา เป้าหมายหลักก็เพียงอยากทำให้เจียงโหวฮูหยินอับอายต่อหน้าธารกำนัล คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่นางสาดใส่หลิวจือหลิน จะไม่ใช่เพียงน้ำชาตามที่ตนเข้าใจแม้เจียงซื่อจวินรู้สึกเห็นใจหญิงหม้ายลูกติดเพียงใด คนเราเมื่อทำความผิดก็ต้องว่าไปตามผิด เขาจึงส่งนางไปยังศาลหลวงเพื่อให้ตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมต่อไปหลิวจือหลินนั่งมองบาดแผลซึ่งปรากฏอยู่บนแขนแกร่งตาละห้อย นางบรรจงทำคว
เจียงซื่อจวินหลับใหลไร้สติร่วมเจ็ดวัน หลิวจือหลินดูแลเขาอยู่ไม่ห่าง ทว่านางกลับไม่พบหม่าลี่เจี่ย เหตุใดอนุของเขาจึงมิได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเลย หนำซ้ำเรือนตะวันตกยังดูเงียบเหงาจนผิดปกติอีกด้วยแค่ก! แค่ก!เสียงกระอักไอของใครบางคนทำให้หลิวจือหลินหลุดจากภวังค์"ท่านโหว!"หลิวจือหลินรุดเข้าประคองอีกฝ่ายด้วยความร้อนรนระคนดีใจ"นะ...น้ำ"เจียวเจียวซึ่งยืนรอเป็นลูกมือในทุกวัน ถลันไปรินชาลงถ้วยกระเบื้องเคลือบด้วยมือสั่นเทา นางเห็นหลิวจือหลินดูแลเจียงซื่อจวินจนหน้าซีดขาว ก็อดเป็นห่วงมิได้ ยามนี้เจียงโหวรู้สึกตัวแล้ว หวังว่านายของตนจะหันมาดูแลตัวเองเสียบ้าง"ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ""ขอบใจนะ" หลิวจือหลินส่งยิ้มให้เจียวเจียว จากนั้นจึงป้อนให้ผู้ป่วยด้านหน้าแค่ก แค่ก"ค่อย ๆ เจ้าค่ะ"เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อจวินฟื้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าห่วง สาวใช้ทั้งสองรวมถึงองครักษ์ซ้ายขวาจึงพร้อมใจกันออกไปด้านนอก"ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่เจ้าคะ"เจียงซื่อจวินช้อนตามองสตรีเบื้องหน้า นางดูเป็นกังวลอย่างยิ่งยวด ซ้ำใบหน้ายังซีดขาว ขอ
หลิวจือหลินเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ราวกับว่าตนกำลังถูกผู้ปกครองจับมัดแล้วหวดตีเพราะดื้อรั้น เสียงใสกล่าวอ้อมแอ้ม "เอ่อ...ท่านโหว อย่าเพิ่งดุข้าได้หรือไม่ คือ...ข้าเพียงไม่รู้ว่ายามนี้ราชวังกำลัง... อีกอย่างข้ารอท่านแล้ว แต่ท่านไม่มาพบข้าเลยตั้งหลายวัน"เจียงซื่อจวินอึ้งงั้นไปชั่วขณะ นางบอกว่ารอเขาอยู่อย่างนั้นหรือ นางเฝ้ารอเขาไปพบโดยตลอด แม้จะเพราะต้องการเข้าวังก็ตาม ไฉนจึงรู้สึกดีใจเพียงนี้กัน"ข้าทำงาน ขอโทษเจ้าด้วย ที่ปล่อยให้รอนาน ต่อไปข้าจะไม่หายหน้าแบบนี้อีกแล้ว"หลิวจือหลินกะพริบตาปริบ ๆนี่เขาขอโทษข้างั้นหรือจู่ ๆ ร่างกำยำก็โน้มลงโอบรอบเอวคอดไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าหล่อเหลาก่ายเกยบนลาดไหล่แคบ ลมหายใจอุ่นเป่ารดต้นคอเสียจนหลิวจือหลินขนลุกเกรียว"...ท่านโหว เป็นอะไรเจ้าคะ""นิ่ง ๆ ข้าอยากอยู่แบบนี้สักพัก" นัยน์ตาคมหลับลง เขากำลังประมวลความคิดบางอย่าง เมื่อครู่เขาเป็นห่วงนางแทบแย่ เหตุใดนางจึงไม่รู้จักรักตัวกลัวตายเสียบ้าง ไยนางจึงกล้าฝ่าดงกระบี่ ดงเพลิงเพื่อช่วยเหลือเขาหลิวจือหลินหายใจติดขัดด้วยอาการตื่นตร
หลิวจือหลินใจกระตุกอย่างรุนแรง เรือนกายของนางชาวาบเมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกโชติช่วงเป็นวงกว้างล้อมรอบเจียงซื่อจวินต่อหน้าต่อตา"ท่านโหว!" ช่ายจินซินพยายามบุกทะลวงเพื่อฝ่าอัคคีร้อนเข้าช่วยนายของตน ทว่ายังมิอาจแทรกกายเข้าไปได้เสียงทุ้มตะเบ็งลั่น "ถานอี้! เจ้ามันช่างเนรคุณจริงแท้"ทุกคนต่างผินหน้าตามต้นเสียงโดยพร้อมเพรียง รัชทายาทนำกองกำลังทหารนับพันนายเข้ามาสมทบแล้ว หลิวจือหลินเล็งเห็นจังหวะเหมาะ นัยน์ตากลมโตสำรวจหาสิ่งทุ่นแรง ในที่สุดก็พบม้าตัวโตยืนจังก้าโดดเดี่ยวริมสระน้ำ บริเวณเดียวกันมีผ้าคลุมไหล่ผืนหนาหล่นเกลื่อนพื้นเอาน่าจือหลิน... แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง [1] มิใช่หรือร่างระหงวิ่งถลาค้อมกายหยิบผ้าคลุมขึ้นทันควัน จากนั้นตวัดจุ่มลงน้ำจนเปียกชุ่ม หลิวจือหลินใช้มันห่อกายตนเอาไว้ แล้วจึงกระโจนขึ้นบนหลังม้าด้วยความรวดเร็วเจียงซื่อจวินซึ่งจับตามองหลิวจือหลินผ่านกลุ่มควันสีหม่น เขาเห็นรำไรว่านางกำลังวิ่งวุ่นกระทำบางสิ่ง
หลิวจือหลินหมุนเคว้งเป็นลูกข่าง นัยน์ตากลมโตจดจ้องอีกฝ่ายด้วยอาการตะลึงงัน"คุณชายฟ่าน! นะ...นี่ท่านมาได้อย่างไร"ฟ่านเทียนเผยประคองสตรีร่างระหงไว้ในอ้อมแขน ส่วนมืออีกด้านกำลังฟาดฟันกับศัตรูอย่างไม่ย่อหย่อน "ไว้ข้าจะบอกอีกครา" เขาโน้มกระซิบ "กุ้ยเฟยและฮองเฮาเล่า"หลิวจือหลินกระซิบตอบ "หลบในที่ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ"ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หลิวจือหลินรู้สึกว่ายามนี้นางกำลังเป็นภาระของเขา เมื่อเพ่งสายตามองไปด้านนอกธรณีทางเข้า นางก็พบกับองครักษ์ทั้งสองของเจียงซื่อจวิน พวกเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดเฉิงซือหานซึ่งได้รับหน้าที่ติดตามดูแลหลิวจือหลิน ต้านศึกอยู่ด้านนอกมาโดยตลอด ทว่าสองหมัดยากจะสู้สี่มือ [1] เพราะกองกำลังทหารด้านหน้ามีเพียงหยิบมือ ส่งผลให้เขายื้อเวลาได้ไม่นาน ภายในห้องก็ถูกรุกล้ำเสียแล้ว"คุณชายฟ่าน ท่านปล่อยข้าเถิด ข้าดูแลตัวเองได้""ได้ แต่ฮูหยินอย่าบุ่มบ่ามเช่นเมื่อครู่อีก ข้าตกใจแทบแย่ เช่นนั้นข้าจะให้ผู้ติดตามของข้าพาท่านไปหลบที่ปลอดภัย"นางไม่อยากเป็น
เสียงโลหะกระทบกันพร้อมเสียงกรีดร้องสะท้อนเข้ามาจากนอกตำหนักฮองเฮาและหลิวจือหลินดีดกายยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียงอย่าบอกเชียวที่เขาห้ามข้าไม่ให้เข้าวังเพราะเรื่องนี้"ฮองเฮาเพคะ ในนี้มีห้องลับหรือไม่"หลิวจือหลินเอ่ยถามด้วยความเร่งร้อน พลางประคองสตรีข้างกายเอาไว้ ทว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอาการตื่นตะลึง ฮองเฮาทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาจึงโพล่งขึ้น"มีเจ้าค่ะฮูหยิน"หลิวจือหลินพยักหน้าเข้าใจ นางเคยดูซีรีส์มาบ้าง โดยปกติในตำหนักเชื้อพระวงศ์มักมีห้องลับด้านในแต่ทว่าพื้นที่คงมิได้กว้างขวางนักเพราะในนี้มีคนอยู่ไม่น้อยเลย มิรอให้นางกำนัลต้องนำทางว่าที่ใด หลิวจือหลินก็มุ่งหน้าไปยังองค์พระขนาดย่อมเสียก่อน นางจูงมือฮองเฮาและกุ้ยเฟยให้เดินตาม"ตรงนี้ใช่หรือไม่" หลิวจือหลินเอ่ยถามนางกำนัล"เจ้าค่ะ"ฮองเฮางุนงง "เจ้ารู้ได้อย่างไร มิใช่ว่าเพิ่งเข้าห้องนี้ครั้งแรกหรือ""หม่อมฉันเดาเพคะ ดูจากรูปแบบการก่อสร้างแล้ว คงต้องใช่แน่นอน"ฮองเฮาพยักหน้า "เช่นนี้เอง เจ้าช่างฉลาดล้ำดีจ
"ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ เอ่อ...หม่อมฉันมีข้อสงสัยบางอย่าง มิทราบสามารถเอ่ยถามได้หรือไม่"กุ้ยเฟยตอบยิ้ม ๆ "เอาสิ เจ้าสงสัยสิ่งใดหรือ"หลิวจือหลินเริ่มประหม่า "คือว่า...หยกมณีเพลิงนั่น...""อ่า...หยกนี่หรือ" ซินกุ้ยเฟยยกเครื่องประดับอันงดงามซึ่งแขวนอยู่บนลำคอพลิกมองซ้ายขวา จากนั้นแหงนหน้าประสานสายตากับหลิวจือหลิน เอ่ยต่อว่า "ฝ่าบาทประทานให้ข้าและฮองเฮาคนละอันอย่างไรเล่า"หลิวจือหลินใจเต้นไม่เป็นส่ำ ฟ่านเทียนเผยคงมิได้นำหยกมณีเพลิงปลอมให้ฮองเฮาใช่หรือไม่ แต่นางสำรวจดูแล้ว หยกชิ้นนั้นเป็นของแท้แน่นอนคุณชายฟ่านคงมิได้หาของก็อบเกรดเอมาลวงหลอกใช่ไหมเนี่ยดูเหมือนซินกุ้ยเฟยและฮองเฮารู้ทันความคิดหลิวจือหลินเข้าเสียแล้ว สตรีวัยกลางคนจูงมือหลิวจือหลินให้ยอบกายนั่งขนาบข้างตน"เอ่อ...ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันไม่อาจเอื้อม...""เด็กดี นั่งลงเถิด"หลิวจือหลินเหลียวมองซินกุ้ยเฟยซึ่งนั่งถัดลงไปหนึ่งระดับ อีกฝ่ายยิ้มตอบซ้ำยังพยักหน้าบางเบา นางจึงวางใจหย่อนกายลงตามประสงค์ จากนั้นนางกำนัลก็นำฉลองพระองค์ที่หลิวจือหลินตัดเย
ตั้งแต่เจียงซื่อจวินพูดคุยกับหลิวจือหลินวันนั้น เขาก็ไม่โผล่หน้ามายังเรือนตะวันออกเลย ดูเหมือนต้องใช้คำว่าไม่กลับจวนเลยเสียมากกว่า ดูเหมือนงานของเขาหนนี้คงยุ่งจริงจัง หลิวจือหลินนั่งเหม่อมองหยกในมือตาละห้อย"ตาทึ่ม ไม่โผล่หน้ามาเลย ไหนบอกจะพาข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาอย่างไรเล่า แล้วช่วงนี้หายไปไหนกัน...เฮ้อ"ปี้อี๋ "ฮูหยิน คิดถึงท่านโหวหรือเจ้าคะ"หลิวจือหลินอึกอัก "ซะ...ซี้ซั้ว ใครคิดถึงเขา ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮาต่างหาก"แม้ปากเอ่ยปฏิเสธทว่าจิตใจของนางกลับระส่ำระสายอย่างยิ่งยวด เขาไม่ว่างกระทั่งโผล่มาหานางสักเสี้ยวเลยงั้นหรือ หลิวจือหลินพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นทิ้งไปโหวเผด็จการนั่นไม่อยู่ก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่ต้องมีใครมาบงการหรือบีบบังคับ ซ้ำยังไม่ต้องเจอหน้าที่แสนเกลียดชังนั่นด้วยหลิวจือหลินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด "ปี้อี๋ เจียวเจียว เตรียมรถม้า""ฮูหยินจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ" เจียวเจียวเอ่ยถามด้วยความฉงน"ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ข้าทำอาภรณ์ชุดใหม่ขึ้นมา ต้องการถวายฮองเฮาเพื่อเป็นของกำนัล ยามนั้นชุลมุนเกิน
"นั่นเจ้ากำลังทำสิ่งใด" เสียงทุ้มโพล่งจากทางเบื้องหลังหลิวจือหลินสะดุ้งโหยง หลายวันแล้วที่นางนั่ง ๆ นอน ๆ จนรู้สึกเบื่อหน่าย เหตุใดนางมักล้มหมอนนอนเสื่ออยู่เรื่อย หายจากอาการโน้นก็มีเรื่องร้ายแทรกซ้อนเข้ามาไม่หยุดหย่อน"ท่านโหว ข้าเพียงหาอะไรทำเล็กน้อยเท่านั้น ช่วงนี้ร้านฟ่านอินก็ไม่ให้ข้าเฉียดเข้าใกล้ เพราะคุณชายฟ่านเกรงว่าข้าจะทำงานหนัก กระทั่งข้าอยู่เรือนท่านก็ยังจะห้ามข้าไม่ให้ทำอะไรอีกคนหรือ"เจียงซื่อจวินถอนหายใจเบา นางเอาแต่กล่าวถึงบุรุษอื่นอีกแล้ว "ข้ามิได้ห้าม เจ้ายังไม่หายดีจะหักโหมได้อย่างไร"หลิวจือหลินคลี่ยิ้มให้เขา "ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ตั้งแต่งานพิธีวันนั้น ข้ายังไม่เห็นฮองเฮาสวมฉลองพระองค์กระจะตาเลย ข้าอยากทำคอลเลคชั่นใหม่ไปถวายฮองเฮาเจ้าค่ะ""คอลเลคชั่นใหม่?" เจียงซื่อจวินเลิกคิ้ว ขบคิดไปพักหนึ่ง จากนั้นเอ่ยต่อ "ตื่นมากี่คราวาจาก็ยังประหลาด""ท่านโหวพาข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาได้หรือไม่เจ้าคะ ข้ารับรองว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ท่านต้องลำบากใจ" หลิวจือหลินเว้าวอน เปลือกตาบางกะพริบปริบเจียงซื่อจวินเห็นใบหน้าดั่งแมวน้อยขี้
ภายในคุกใต้ดินอันแสนสกปรกและอับชื้น ท่อนขาสูงยาวเยื้องย่างเนิบนาบ ขนาบข้างซ้ายขวาคือแสงรำไรจากเชิงเทียนที่คอยส่องสว่างเป็นแนวทอดยาว ใบหน้าหล่อเหลายามนี้แข็งกระด้างเยือกเย็นเต็มไปด้วยไอสังหารชายฉกรรจ์ที่ลักพาตัวโฮ่วถิงในงานพิธีวันนั้นถูกจับได้ทั้งหมด โชคยังดีที่พวกมันมิได้ปู้ยี่ปู้ยำสตรีแต่อย่างใด เพียงอุ้มไปทิ้งในพื้นที่เปลี่ยวร้าง สิ่งที่น่าตระหนกไปกว่านั้น บรรดาชายเหล่านี้หาใช่มืออาชีพอย่างที่คิด กระทั่งเค้นสอบถาม และทรมานเพียงใดก็มิยอมปริปากว่าผู้ใดคือคนบงการเบื้องหลัง ดูเหมือนจะเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เสียด้วย หนำซ้ำยังซื้อตัวพวกเขาได้อย่างเฉียบขาดชายกำยำผู้หนึ่งถูกปลดลงจากขื่อ จากนั้นถูกจับแขนทั้งสองกางออกให้นอนหงายท้อง กระดาษแผ่นแรกวางโป๊ะลงบนใบหน้าคร้ามแดด น้ำสกปรกในถังไม้ถูกเทลงไปแช่มช้าซ่าาาาา...แค่ก แค่ก"จะบอกหรือไม่ ว่าใครส่งพวกเจ้ามา!"มีเพียงเสียงกระอักไอทว่าไร้คำตอบ นักโทษรายอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันหลุกหลิก วิธีที่เขาใช้ทรมานนักโทษดูไม่น่ากลัว แท้จริงแล้วช่างเป็นการสอบปากคำอันแสนทรมานอย่างยิ่งยวด ชายที่นอนอยู่ถูกแผ่นกระดาษป