Share

บทที่ 8

อากาศบนภูเขาเริ่มเย็นลงทุกขณะไป๋ตงเริ่มกระวนกระวายด้วยน้องน้อยยังไม่กลับมา

“นี่!!” คนภายในหลุมส่งเสียงเรียก

“เจ้ามีอะไร”

“ข้ายอมบอกเรื่องของตนแล้ว เจ้าช่วยดึงข้าขึ้นไปก่อนได้หรือไม่ อยู่ในนี้ข้าอึดอัดยิ่งนัก”

ไป๋ตงทำสีหน้าลังเลทั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าตัวเชื่อใจคนป่า แต่ทว่าใจเขาเป็นห่วงน้องสาวเสียมากกว่า

แต่ถ้าหากปล่อยให้คนผู้นี้อยู่ในหลุมต่อไปก็เกรงว่าเขาอาจจะเกิดอันตราย เฮ้อ! ข้าควรทำยังไงดี

“พี่ใหญ่! ข้ากลับมาแล้ว” เสียงตะโกนก่อนตัวของผู้ที่ตนกำลังรอคอยดังขึ้นก่อนจะปรากฏกายออกมา ทำให้ไป๋ตงผู้กำลังคิดมากรีบหันหน้าไปทางเสียงที่ได้ยิน

“น้องรอง นะ..นั่นทำไมมันมากถึงเพียงนั้น” ใบหน้าของไป๋ตงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

“แค่นี้นับว่าเล็กน้อยนะเจ้าคะ ผีซิวล่าได้เยอะมากกว่านี้อีก แต่ว่าข้าได้แบ่งให้พี่สาวที่เจอกับครอบครัวของนางส่วนหนึ่ง

พี่ใหญ่รู้ไหมพวกเขาอยู่กันอย่างลำบากมาก” ไป๋เสวี่ยส่งเสียงเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องที่ตัวเองประสบมาโดยเจตนาให้คนที่อยู่ในหลุมดักสัตว์ได้ยิน

“เจ้าไปที่แห่งนั้นมาได้ยังไง” น้ำเสียงของเขาแสดงความร้อนใจในตอนนี้เจ้าตัวเริ่มอยู่ไม่นิ่งเสียแล้ว

“เจ้ารู้จักคนพวกนั้น” ไป๋ตงถามด้วยความสงสัย

“มะ..” “ข้าให้เจ้าทบทวนดูใหม่ว่าควรตอบเช่นไร” ไป๋เสวี่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงแววข่มขู่

“ก็ได้ข้ายอมรับ คนเหล่านั้นมีแม่และพี่สะใภ้ของข้ารวมถึงหลาน ๆ ด้วย ส่วนที่เหลือก็เป็นบ่าวที่ติดตามกันมา” เมื่อเขาได้พูดออกไปคล้ายว่าความอึดอัดก็พลันเบาบางลงไปด้วย

“ก็แค่นั้น พี่ใหญ่ท่านช่วยดึงเขาขึ้นมาเถอะเจ้าค่ะ”

“เรื่องของเจ้าเป็นมายังไงกันแน่” ไป๋ตงอยากรู้ใจแทบขาดจึงได้ถามขึ้นทันทีเมื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นมาจนถึงปากหลุม

“ข้ากับครอบครัวอพยพมาจากแคว้นอื่น พวกเรารอนแรมหนีสงครามกันมาจนกระทั่งถึงภูเขาลูกนี้ ให้ข้ากินก่อนไม่ได้เหรอข้าหิวจนตาลายไปหมดแล้วแม้น้ำสักหยดก็ยังไม่มีตกถึงท้อง” คนพูดกลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่นไก่ย่างที่ไป๋เสวี่ยกำลังพลิกไปมา

“น้องสาวเจ้าก่อไฟเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่”

คนป่ามองหน้าของไป๋ตงด้วยดวงตาที่ถูกผมปรกลงมา “มันใช่ประเด็นไหมแค่จุดไฟเอง หากนางทำไม่ได้ก็นับว่าไม่สมควรเกิดเป็นหญิงแล้วละ หลานสาวของข้ายังก่อเป็นตั้งแต่อายุสี่ขวบ” คำพูดของเขาในช่วงท้ายราวกับโอ้อวด

“เหอะ! ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หิ้วท้องไปให้หลานสาวของเจ้าก่อไฟแล้วย่างไก่ให้กินดีไหม” ไป๋เสวี่ยตอบโต้ทันควัน

เด็กหนุ่มมองไก่ตาละห้อย พร้อมกันนั้นเขาก็คิดว่าเด็กคนนี้ช่างอารมณ์ร้อนเสียจริง “เจ้าก็อย่าใจร้ายกับข้านักเลย กว่าข้าจะเดินกลับถึงที่พักเห็นทีว่าคงจะเป็นลมและหลังจากนั้นอาจจะโดนหมาป่าคาบไปกินเป็นอาหารร่างกายคงเหลือแต่ซาก”

เด็กหญิงเพียงปรายตามองเขาก่อนทำเป็นหูทวนลม “รอก่อนยังไม่ได้ที่” เด็กหญิงพูดเสียงแข็ง

“อืม” เด็กหนุ่มแหวกผมของตนที่ปิดหน้าปิดตาตอบตกลงอย่างดีใจ ส่วนไป๋ตงรู้สึกทนไม่ได้ที่เห็นคนผู้นี้ในสภาพราวยาจก

“ข้าว่าเจ้าเกล้าผมให้เรียบร้อยสักหน่อยดีไหม”

“จะให้ดีข้าว่าเจ้าไปอาบน้ำล้างตัวตรงลำธารเลยจะดีกว่า” ไป๋เสวี่ยกล่าวอย่างเห็นพ้องกับความคิดของพี่ชาย

“ข้ายังไม่ได้บ้าถึงเพียงนั้นนะ น้ำในลำธารเย็นจะตายให้ข้าลงไปอาบมีหวังได้แข็งตายเป็นแน่” เขาแย้งขึ้นทันที

“เฮ้อ! เจ้าอยู่ในป่าแห่งนี้มานานแค่ไหนแล้ว ข้าถามจริงเจ้าเคยสำรวจมันบ้างหรือไม่” ไป๋เสวี่ยพูดพลางถอนใจ

“นานแล้วแต่จำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่ ว่าแต่เจ้าถามถึงเรื่องสำรวจป่าทำไม สัตว์ร้ายในป่ามีเยอะแยะ อีกทั้งครอบครัวข้าก็พากันสูญหาย ไหนเลยข้ายังจะกล้าออกท่องป่า” คำตอบนี้ของเขาค่อนข้างสมเหตุสมผล

“เดินลึกขึ้นไปทางเหนือมีตาน้ำพุร้อนแต่ตรงนั้นยังไม่สามารถอาบได้เพราะมันร้อนจนเกินไปอาจทำให้ร่างกายของเจ้าเปื่อยยุ่ยซึ่งข้าคิดว่าคงไม่น่าดู แต่ถัดลงมาสักสองลี้จะมีบ่อแห่งหนึ่ง น้ำในนั้นสามารถแช่ตัวได้อย่างสบายทีเดียวดังนั้นเจ้าควรจะไปชำระกายที่นั่น”

ไป๋ตงใบหน้าเริ่มซีดขาวหลังจากฟังสิ่งที่น้องสาวพูดออกมา “เป่าเปาเหตุใดเจ้าถึงกล้าเข้าป่าลึก”

“พี่ใหญ่เจ้าคะ ข้าหาได้ไปคนเดียวเสียเมื่อไหร่ มีผีซิวไปด้วยใครจะกล้ามารังแกข้าได้ หากไม่เชื่อพี่ก็ลองดูสัตว์ที่จับมาได้เอาเถอะ” ไป๋เสวี่ยพูดขึ้นพลางพยักเพยิดหน้าไปยังซากไก่ซากปลา และกระต่ายหลายตัว อีกทั้งยังมีลูกหมูป่าที่ขนาดกำลังพอดีอีกหนึ่งตัวซึ่งมันน่าจะพลัดหลงจากฝูง

“ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะทว่าคราวหลังเจ้าอย่าได้เสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก” ไป๋ตงยังอยากจะพูดอีกหลายคำ

เพียงแต่ในตอนนี้ปากของเขาได้ถูกน่องไก่จากฝีมือคนเป็นน้องฉีกอุดเอาไว้เสียสิ้น

“พี่ใหญ่รีบกินเถอะเนื้อของมันนุ่มมากเลย เชื่อข้า” คนตัวเล็กกว่าฉีกยิ้มอย่างไม่รู้สึกผิด

ส่วนเด็กหนุ่มคนป่านั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะเจ้าตัวได้ฉีกกินเนื้อไก่ไปมากกว่าครึ่งตัวแล้วด้วยความหิวโหย

“เจ้าค่อย ๆ กินก็ได้หากติดคอขึ้นมาจะลำบากแล้วนี่ก็กระบอกน้ำ” ไป๋ตงพูดหลังจากกลืนเนื้อไก่ลงคอ

“อืม” เด็กคนนี้อยากจะตอบรับทว่าก็จนใจทั้งนี้เป็นเพราะเจ้าตัวกำลังเคี้ยวเนื้อไก่อยู่เต็มปาก

“เจ้าบอกว่ามีบ่าวรับใช้ตามมาด้วยแสดงว่าเจ้าย่อมเป็นคุณชายมาจากไหนสักตระกูลนะสิ จุ๊ ๆ ทว่าดูท่าทางการกินของเจ้าแล้วดูยังไงก็ห่างไกลนัก” ไป๋เสวี่ยไม่วายเอ่ยตำหนิเขาอย่างไม่ไว้หน้า

“ข้าไม่สนคำตำหนิของเด็กอย่างเจ้าหรอก ข้าหิวก็ต้องกินนะสิ แล้วไม่รู้ว่าอีกกี่วันถึงจะได้กินอย่างนี้อีก” เนื้อไก่ในมือเริ่มฝืดคอ

“เจ้าไม่ต้องทำหน้าเศร้าได้ไหม ข้าก็เพียงกล่าวหยอกเล่นเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องที่เจ้ากังวลนั้นข้าจะพยายามหาทางช่วย”

แววตาของเด็กหนุ่มเริ่มมีความหวังเมื่อได้ยินประโยคนี้ของเด็กหญิงผู้มีอายุน้อยกว่า

“น้องรองเจ้าจะทำอันใด”

“ข้าตั้งใจจะช่วยพวกเขาเจ้าค่ะ พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นคนป่าแบบนี้”

“เจ้าจะช่วยอย่างไรในเมื่อบ้านเราเองก็มีฐานะลำบากไม่ต่างจากพวกเขา อีกอย่างการที่จะรับรองฐานะให้คนป่าจำต้องให้พวกเขาลงนามเป็นทาสกับครอบครัวเรา ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะถูกทางการจับไปขายให้เป็นทาสแก่ผู้อื่นอยู่ดี” ไป๋เสวี่ยฟังสิ่งที่พี่ชายกล่าวออกมาด้วยใบหน้าฉงน

“ทำไมล่ะเจ้าคะ ให้พวกเขาเป็นคนในหมู่บ้านไม่ต้องเป็นทาสใครไม่ได้หรือ” ใบหน้าของคนถามเต็มไปด้วยความสนเท่ห์

“ไม่ได้หรอกทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาเป็นคนต่างแคว้น ยิ่งตอนนี้สงครามเพิ่งจะสิ้นสุดทางการอาจจะมองว่าพวกเขาเป็นสายลับ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเขาได้ยังไง” สมองเล็ก ๆ ของไป๋เสวี่ยพยายามหาทางออก

“เรื่องนี้พี่ว่าเจ้าลองนำไปปรึกษาท่านปู่กับท่านพ่อดีหรือไม่” ไป๋ตงเองก็อดเห็นใจชะตากรรมของคนเหล่านี้ไม่ได้เสนอ

ดังนั้นหลังจากสองพี่น้องส่งสหายคนป่าที่ยังไม่รู้จักชื่อแซ่กลับเข้าป่าด้านในคนทั้งคู่กับสัตว์เทพจึงได้พากันเดินลงจากภูเขาโดยที่กระบุงของแต่ละคนบรรจุทั้งเนื้อและผักป่าเอาไว้

เมื่อถึงเนินเขาสายตาทั้งสามคู่ก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังรวมตัวกันมีคบไฟในมือที่ยังไม่ได้จุดอยู่หลายอัน

“พวกเจ้ากลับมาแล้ว เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่ทำไมถึงได้กลับมากันเอาป่านนี้” ไป๋ซวนสาวเท้าเดินเข้าไปหาบุตรชายหญิงถามพลางสำรวจร่างกายของลูกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“ท่านพ่อ พวกเราปลอดภัยดีขอรับ เพียงแต่ข้ากับน้องรองช่วยกันเก็บฟืนกับผักป่านานไปหน่อยก็เลยกลับลงมาช้า” ไป๋ตงไม่ได้ตอบคำถามตามตรงเนื่องจากในตอนนี้มีคนนอกอยู่จำนวนมากแม้ว่าคนพวกนี้จะเป็นทหารในหน่วยของบิดาก็ตาม

“คราวหน้าคราวหลังเจ้าอย่าได้เป็นเช่นนี้อีก”

“ขอรับ/เจ้าค่ะ”

เมื่อคนที่ต้องการตามหากลับมาแล้วไป๋ซวนจึงได้เอ่ยขอบคุณกับคนในที่ว่าการของตน

“ขอบคุณพี่น้องทั้งหลายเอาไว้วันหน้าข้าจะเลี้ยงตอบแทน”

“ท่านนายอำเภอเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราพี่น้องขอตัวก่อน” นายทหารผู้เป็นหัวหน้าของคนเหล่านี้ประสานมือคารวะเขาก่อนจะสั่งให้ทุกคนแยกย้าย

แม้ว่าไป๋ซวนจะเป็นนายอำเภอของเมืองนี้ก็ตาม ทว่าอำนาจส่วนใหญ่รวมถึงคนที่ทำงานนั้นล้วนเป็นของเจ้าเมืองแทบทั้งสิ้นดังนั้นเขาจึงค่อนข้างทำอะไรลำบาก

ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวไม่เคยคิดลาออกเพียงแต่หากลาออกแล้วเขากับครอบครัวจะไปอยู่ที่ไหน เป็นเพราะเรื่องนี้เขาจึงจำต้องอยู่อย่างอดทนและหวังว่าสักวันจะหลุดพ้นจากความอึดอัดนี้

“ท่านพ่อ” น้ำเสียงหวานใสของลูกสาวปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์

“ทำไมหรือลูก” เขาถามเสียงอ่อนใบหน้าอันอ่อนล้าพลันคลายลงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของคนเป็นลูก

“กลับเรือนกันเถอะเจ้าค่ะ” มือเล็กสอดรับกับมือใหญ่ของบิดาทำให้คนเป็นพ่อเริ่มมีกำลังใจมากขึ้น

“อืม”

ภายในบ้านดินขนาดห้าห้องในยามนี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างมองไก่กับกระต่ายที่มีอยู่หลายตัวด้วยสายตาตื่นตะลึง

“พี่รอง นี่เป็นฝีมือของผีซิวจริงเหรอ” พ้นคำถามนี้สัตว์เทพผู้สง่างามก็ส่งเสียงคำรามใส่หน้าของเขาจนทำให้เจ้าตัวยืนแทบไม่อยู่ด้วยความตกใจ

“ขะ..ข้าขอโทษเพียงแต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเก่งกาจเยี่ยงนี้ทั้งที่ดู ๆ ไปเจ้าตัวเล็กกว่าลูกหมูตัวนั้นด้วยซ้ำ” ไป๋เทียนพูดเสียงสั่น

สัตว์เทพสะบัดหน้าหนีก่อนที่จะนั่งหมอบลงเชิดศีรษะของตนขึ้น ซึ่งการกระทำเช่นนี้แปลได้ว่าเจ้าตัวค่อนข้างพอใจกับคำพูดของเด็กชายตัวเหม็น

“คราวหลังเจ้าก็ระวังคำพูดหน่อยก็แล้วกัน มาเถอะเดี๋ยวข้าจะตุ๋นกระต่ายปลอบใจ”

“ดี ดี ปู่จะรอชิมฝีมือหลาน ส่วนไก่กับเนื้อหมูพวกนี้เห็นทีว่าพวกเราคงจะต้องจัดการทำความสะอาด หาไม่เห็นทีว่าพรุ่งนี้คงจะมีกลิ่นจากของเสียที่อยู่ด้านใน” ไม่มีใครค้านคำพูดของชายชรา

“ท่านปู่เก็บเครื่องในของมันเอาไว้นะเจ้าคะ ทั้งหมูทั้งไก่เลย”

“ทำไมเหรอ” เหมยกุ้ยถามอย่างสงสัย

“มันกินได้เจ้าค่ะ เชื่อข้าเถอะ”

“ได้ แม่จะเก็บไว้ให้เจ้าเอง แต่จะต้องทำอย่างไรนั้นคงต้องรบกวนเจ้าให้มาบอกเสียแล้ว”

“ได้เลยเจ้าค่ะ”

“พี่รองว่าแต่ท่านทำอาหารเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรือว่าที่แห่งนั้นสอนท่านมาด้วยอย่างนั้นเหรอ” ไป๋เทียนเริ่มเป็นเจ้าหนูจามัยเอ่ยอย่างใคร่รู้

“ข้าเป็นทายาทของเทพถงหวีมาเกิดเจ้าไม่รู้หรือ” คนตอบพูดไปส่งเสียงหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นใบหน้าของคนเป็นน้อง

ไป๋เทียนยกมือเกาศีรษะด้วยความไม่เข้าใจและเจ้าตัวก็ยิ่งทวีความอยากรู้

“พี่รองเทพถงหวีคือผู้ใด” คนตัวเล็กพยุงไม้เท้าเดินตามคนเป็นพี่ไปทางโรงครัวราวกับเป็นหางเล็ก ๆ ของนางก็ไม่ปาน

“เอาไว้ข้าจะเล่าให้ฟังในภายหลัง”
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 136

    อาหารของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ค่อนข้างสมราคาคุยของเสี่ยวเอ้อ แม้ว่าพื้นที่ของเมืองแห่งนี้จะค่อนข้างห่างไกลจากเมืองหลวงและกันดาร กระนั้นอาหารห้าอย่างที่สั่งมาก็ยังมีเนื้ออยู่ถึงสามจานอีกทั้งยังมีผักใบเขียวในน้ำแกงไข่ให้ได้เห็นรสชาติของน้ำแกงค่อนข้างสดชื่นจึงทำให้น้ำแกงไข่ผักป่าถ้วยนี้เป็นที่ถูกใจของกลุ่มผ

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 135

    ภายในห้องนอนของคู่สามีภรรยา เมื่อหงฮุยเห็นสีหน้าของสามีเจ้าตัวย่อมรู้ดีว่าเขากำลังมีเรื่องราวในใจ “ท่านพี่ เรื่องที่ท่านกำลังเผชิญอยู่สามารถแบ่งให้ข้ารับรู้ได้นะเจ้าคะแม้ว่าข้าอาจจะช่วยอะไรท่านไม่ได้มากแต่กระนั้นอย่างน้อยข้าก็สามารถรับฟังได้” เฟยเซียวเทียนมองภรรยาที่ตกระกำลำบ

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 134

    ในระหว่างที่สามพี่น้องอยู่ภายในด่านจิ้งไห่ สถานการณ์ทางเมืองฟงอวิ๋นเริ่มเกิดเหตุการณ์ไม่สู้ดีเท่าที่ควร “พี่ใหญ่ ท่านจะทำอย่างไรกับเรื่องที่ทางการต้องการเรียกภาษีจากประชาชนเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน” หยูไห่รู้สึกหนักใจเป็นอย่างมากทั้งนี้เป็นเพราะเรื่องโรคระบาดเพิ่งจะพ้นผ่านไปได้ยังไม่นานประชาชน

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 133

    “ท่านอา เมืองที่ชายคนนั้นอยู่ข้าได้เขียนบอกเอาไว้ในจดหมายแล้ว ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะสามารถโน้มน้าวและช่วยเขาได้ แต่จำเอาไว้ด้วยว่าหลังจากท่านทำหน้าที่เสร็จแล้วให้ถอนตัวออกมาทันที ซึ่งเรื่องนี้ท่านคงไม่ต้องให้ข้าพูดแล้วกระมั้งว่าเพราะเหตุใดข้าจึงแนะนำท่านออกมาเช่นนี้” ไป๋เสวี่ยพูดออกมายืดยาวหลังจากร

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 132

    ในระหว่างที่ไป๋เสวี่ยกำลังเตรียมตัวเพื่อจะไปช่วยโอว หยางเฉินตามหาบิดา เฟยเซียวเทียนก็ได้คิดทบทวนในสิ่งที่ไป๋เสวี่ยได้เคยพูดกับตนเอาไว้อย่างรอบคอบ “เข้ามา” น้ำเสียงอ่อนล้าของเขาพูดขึ้นหลังได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้องหนังสือ เกาซูเดินเข้ามาโดยมีหงฮุยถือถาดของว่างเดินเยื้องอยู่ด

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 131

    “เป็นเจ้า” โอวหยางเฉินรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดคล้ายจำตนได้จากริมฝีปากเล็กของเด็กชายตรงหน้า “เจ้าจำข้าได้ วันก่อนที่ข้าพบเจ้า จำได้ว่าเจ้าเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงนี้แฝงไว้ด้วยความหยอกเย้าริมฝีปากแดงเรื่อของเขาหยักขึ้นยามเมื่อเห็นท่าทางของคนตัวเล็ก

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status