อากาศบนภูเขาเริ่มเย็นลงทุกขณะไป๋ตงเริ่มกระวนกระวายด้วยน้องน้อยยังไม่กลับมา
“นี่!!” คนภายในหลุมส่งเสียงเรียก
“เจ้ามีอะไร”
“ข้ายอมบอกเรื่องของตนแล้ว เจ้าช่วยดึงข้าขึ้นไปก่อนได้หรือไม่ อยู่ในนี้ข้าอึดอัดยิ่งนัก”
ไป๋ตงทำสีหน้าลังเลทั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าตัวเชื่อใจคนป่า แต่ทว่าใจเขาเป็นห่วงน้องสาวเสียมากกว่า
แต่ถ้าหากปล่อยให้คนผู้นี้อยู่ในหลุมต่อไปก็เกรงว่าเขาอาจจะเกิดอันตราย เฮ้อ! ข้าควรทำยังไงดี
“พี่ใหญ่! ข้ากลับมาแล้ว” เสียงตะโกนก่อนตัวของผู้ที่ตนกำลังรอคอยดังขึ้นก่อนจะปรากฏกายออกมา ทำให้ไป๋ตงผู้กำลังคิดมากรีบหันหน้าไปทางเสียงที่ได้ยิน
“น้องรอง นะ..นั่นทำไมมันมากถึงเพียงนั้น” ใบหน้าของไป๋ตงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“แค่นี้นับว่าเล็กน้อยนะเจ้าคะ ผีซิวล่าได้เยอะมากกว่านี้อีก แต่ว่าข้าได้แบ่งให้พี่สาวที่เจอกับครอบครัวของนางส่วนหนึ่ง
พี่ใหญ่รู้ไหมพวกเขาอยู่กันอย่างลำบากมาก” ไป๋เสวี่ยส่งเสียงเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องที่ตัวเองประสบมาโดยเจตนาให้คนที่อยู่ในหลุมดักสัตว์ได้ยิน
“เจ้าไปที่แห่งนั้นมาได้ยังไง” น้ำเสียงของเขาแสดงความร้อนใจในตอนนี้เจ้าตัวเริ่มอยู่ไม่นิ่งเสียแล้ว
“เจ้ารู้จักคนพวกนั้น” ไป๋ตงถามด้วยความสงสัย
“มะ..” “ข้าให้เจ้าทบทวนดูใหม่ว่าควรตอบเช่นไร” ไป๋เสวี่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงแววข่มขู่
“ก็ได้ข้ายอมรับ คนเหล่านั้นมีแม่และพี่สะใภ้ของข้ารวมถึงหลาน ๆ ด้วย ส่วนที่เหลือก็เป็นบ่าวที่ติดตามกันมา” เมื่อเขาได้พูดออกไปคล้ายว่าความอึดอัดก็พลันเบาบางลงไปด้วย
“ก็แค่นั้น พี่ใหญ่ท่านช่วยดึงเขาขึ้นมาเถอะเจ้าค่ะ”
“เรื่องของเจ้าเป็นมายังไงกันแน่” ไป๋ตงอยากรู้ใจแทบขาดจึงได้ถามขึ้นทันทีเมื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นมาจนถึงปากหลุม
“ข้ากับครอบครัวอพยพมาจากแคว้นอื่น พวกเรารอนแรมหนีสงครามกันมาจนกระทั่งถึงภูเขาลูกนี้ ให้ข้ากินก่อนไม่ได้เหรอข้าหิวจนตาลายไปหมดแล้วแม้น้ำสักหยดก็ยังไม่มีตกถึงท้อง” คนพูดกลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่นไก่ย่างที่ไป๋เสวี่ยกำลังพลิกไปมา
“น้องสาวเจ้าก่อไฟเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่”
คนป่ามองหน้าของไป๋ตงด้วยดวงตาที่ถูกผมปรกลงมา “มันใช่ประเด็นไหมแค่จุดไฟเอง หากนางทำไม่ได้ก็นับว่าไม่สมควรเกิดเป็นหญิงแล้วละ หลานสาวของข้ายังก่อเป็นตั้งแต่อายุสี่ขวบ” คำพูดของเขาในช่วงท้ายราวกับโอ้อวด
“เหอะ! ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หิ้วท้องไปให้หลานสาวของเจ้าก่อไฟแล้วย่างไก่ให้กินดีไหม” ไป๋เสวี่ยตอบโต้ทันควัน
เด็กหนุ่มมองไก่ตาละห้อย พร้อมกันนั้นเขาก็คิดว่าเด็กคนนี้ช่างอารมณ์ร้อนเสียจริง “เจ้าก็อย่าใจร้ายกับข้านักเลย กว่าข้าจะเดินกลับถึงที่พักเห็นทีว่าคงจะเป็นลมและหลังจากนั้นอาจจะโดนหมาป่าคาบไปกินเป็นอาหารร่างกายคงเหลือแต่ซาก”
เด็กหญิงเพียงปรายตามองเขาก่อนทำเป็นหูทวนลม “รอก่อนยังไม่ได้ที่” เด็กหญิงพูดเสียงแข็ง
“อืม” เด็กหนุ่มแหวกผมของตนที่ปิดหน้าปิดตาตอบตกลงอย่างดีใจ ส่วนไป๋ตงรู้สึกทนไม่ได้ที่เห็นคนผู้นี้ในสภาพราวยาจก
“ข้าว่าเจ้าเกล้าผมให้เรียบร้อยสักหน่อยดีไหม”
“จะให้ดีข้าว่าเจ้าไปอาบน้ำล้างตัวตรงลำธารเลยจะดีกว่า” ไป๋เสวี่ยกล่าวอย่างเห็นพ้องกับความคิดของพี่ชาย
“ข้ายังไม่ได้บ้าถึงเพียงนั้นนะ น้ำในลำธารเย็นจะตายให้ข้าลงไปอาบมีหวังได้แข็งตายเป็นแน่” เขาแย้งขึ้นทันที
“เฮ้อ! เจ้าอยู่ในป่าแห่งนี้มานานแค่ไหนแล้ว ข้าถามจริงเจ้าเคยสำรวจมันบ้างหรือไม่” ไป๋เสวี่ยพูดพลางถอนใจ
“นานแล้วแต่จำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่ ว่าแต่เจ้าถามถึงเรื่องสำรวจป่าทำไม สัตว์ร้ายในป่ามีเยอะแยะ อีกทั้งครอบครัวข้าก็พากันสูญหาย ไหนเลยข้ายังจะกล้าออกท่องป่า” คำตอบนี้ของเขาค่อนข้างสมเหตุสมผล
“เดินลึกขึ้นไปทางเหนือมีตาน้ำพุร้อนแต่ตรงนั้นยังไม่สามารถอาบได้เพราะมันร้อนจนเกินไปอาจทำให้ร่างกายของเจ้าเปื่อยยุ่ยซึ่งข้าคิดว่าคงไม่น่าดู แต่ถัดลงมาสักสองลี้จะมีบ่อแห่งหนึ่ง น้ำในนั้นสามารถแช่ตัวได้อย่างสบายทีเดียวดังนั้นเจ้าควรจะไปชำระกายที่นั่น”
ไป๋ตงใบหน้าเริ่มซีดขาวหลังจากฟังสิ่งที่น้องสาวพูดออกมา “เป่าเปาเหตุใดเจ้าถึงกล้าเข้าป่าลึก”
“พี่ใหญ่เจ้าคะ ข้าหาได้ไปคนเดียวเสียเมื่อไหร่ มีผีซิวไปด้วยใครจะกล้ามารังแกข้าได้ หากไม่เชื่อพี่ก็ลองดูสัตว์ที่จับมาได้เอาเถอะ” ไป๋เสวี่ยพูดขึ้นพลางพยักเพยิดหน้าไปยังซากไก่ซากปลา และกระต่ายหลายตัว อีกทั้งยังมีลูกหมูป่าที่ขนาดกำลังพอดีอีกหนึ่งตัวซึ่งมันน่าจะพลัดหลงจากฝูง
“ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะทว่าคราวหลังเจ้าอย่าได้เสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก” ไป๋ตงยังอยากจะพูดอีกหลายคำ
เพียงแต่ในตอนนี้ปากของเขาได้ถูกน่องไก่จากฝีมือคนเป็นน้องฉีกอุดเอาไว้เสียสิ้น
“พี่ใหญ่รีบกินเถอะเนื้อของมันนุ่มมากเลย เชื่อข้า” คนตัวเล็กกว่าฉีกยิ้มอย่างไม่รู้สึกผิด
ส่วนเด็กหนุ่มคนป่านั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะเจ้าตัวได้ฉีกกินเนื้อไก่ไปมากกว่าครึ่งตัวแล้วด้วยความหิวโหย
“เจ้าค่อย ๆ กินก็ได้หากติดคอขึ้นมาจะลำบากแล้วนี่ก็กระบอกน้ำ” ไป๋ตงพูดหลังจากกลืนเนื้อไก่ลงคอ
“อืม” เด็กคนนี้อยากจะตอบรับทว่าก็จนใจทั้งนี้เป็นเพราะเจ้าตัวกำลังเคี้ยวเนื้อไก่อยู่เต็มปาก
“เจ้าบอกว่ามีบ่าวรับใช้ตามมาด้วยแสดงว่าเจ้าย่อมเป็นคุณชายมาจากไหนสักตระกูลนะสิ จุ๊ ๆ ทว่าดูท่าทางการกินของเจ้าแล้วดูยังไงก็ห่างไกลนัก” ไป๋เสวี่ยไม่วายเอ่ยตำหนิเขาอย่างไม่ไว้หน้า
“ข้าไม่สนคำตำหนิของเด็กอย่างเจ้าหรอก ข้าหิวก็ต้องกินนะสิ แล้วไม่รู้ว่าอีกกี่วันถึงจะได้กินอย่างนี้อีก” เนื้อไก่ในมือเริ่มฝืดคอ
“เจ้าไม่ต้องทำหน้าเศร้าได้ไหม ข้าก็เพียงกล่าวหยอกเล่นเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องที่เจ้ากังวลนั้นข้าจะพยายามหาทางช่วย”
แววตาของเด็กหนุ่มเริ่มมีความหวังเมื่อได้ยินประโยคนี้ของเด็กหญิงผู้มีอายุน้อยกว่า
“น้องรองเจ้าจะทำอันใด”
“ข้าตั้งใจจะช่วยพวกเขาเจ้าค่ะ พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นคนป่าแบบนี้”
“เจ้าจะช่วยอย่างไรในเมื่อบ้านเราเองก็มีฐานะลำบากไม่ต่างจากพวกเขา อีกอย่างการที่จะรับรองฐานะให้คนป่าจำต้องให้พวกเขาลงนามเป็นทาสกับครอบครัวเรา ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะถูกทางการจับไปขายให้เป็นทาสแก่ผู้อื่นอยู่ดี” ไป๋เสวี่ยฟังสิ่งที่พี่ชายกล่าวออกมาด้วยใบหน้าฉงน
“ทำไมล่ะเจ้าคะ ให้พวกเขาเป็นคนในหมู่บ้านไม่ต้องเป็นทาสใครไม่ได้หรือ” ใบหน้าของคนถามเต็มไปด้วยความสนเท่ห์
“ไม่ได้หรอกทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาเป็นคนต่างแคว้น ยิ่งตอนนี้สงครามเพิ่งจะสิ้นสุดทางการอาจจะมองว่าพวกเขาเป็นสายลับ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเขาได้ยังไง” สมองเล็ก ๆ ของไป๋เสวี่ยพยายามหาทางออก
“เรื่องนี้พี่ว่าเจ้าลองนำไปปรึกษาท่านปู่กับท่านพ่อดีหรือไม่” ไป๋ตงเองก็อดเห็นใจชะตากรรมของคนเหล่านี้ไม่ได้เสนอ
ดังนั้นหลังจากสองพี่น้องส่งสหายคนป่าที่ยังไม่รู้จักชื่อแซ่กลับเข้าป่าด้านในคนทั้งคู่กับสัตว์เทพจึงได้พากันเดินลงจากภูเขาโดยที่กระบุงของแต่ละคนบรรจุทั้งเนื้อและผักป่าเอาไว้
เมื่อถึงเนินเขาสายตาทั้งสามคู่ก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังรวมตัวกันมีคบไฟในมือที่ยังไม่ได้จุดอยู่หลายอัน
“พวกเจ้ากลับมาแล้ว เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่ทำไมถึงได้กลับมากันเอาป่านนี้” ไป๋ซวนสาวเท้าเดินเข้าไปหาบุตรชายหญิงถามพลางสำรวจร่างกายของลูกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“ท่านพ่อ พวกเราปลอดภัยดีขอรับ เพียงแต่ข้ากับน้องรองช่วยกันเก็บฟืนกับผักป่านานไปหน่อยก็เลยกลับลงมาช้า” ไป๋ตงไม่ได้ตอบคำถามตามตรงเนื่องจากในตอนนี้มีคนนอกอยู่จำนวนมากแม้ว่าคนพวกนี้จะเป็นทหารในหน่วยของบิดาก็ตาม
“คราวหน้าคราวหลังเจ้าอย่าได้เป็นเช่นนี้อีก”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
เมื่อคนที่ต้องการตามหากลับมาแล้วไป๋ซวนจึงได้เอ่ยขอบคุณกับคนในที่ว่าการของตน
“ขอบคุณพี่น้องทั้งหลายเอาไว้วันหน้าข้าจะเลี้ยงตอบแทน”
“ท่านนายอำเภอเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราพี่น้องขอตัวก่อน” นายทหารผู้เป็นหัวหน้าของคนเหล่านี้ประสานมือคารวะเขาก่อนจะสั่งให้ทุกคนแยกย้าย
แม้ว่าไป๋ซวนจะเป็นนายอำเภอของเมืองนี้ก็ตาม ทว่าอำนาจส่วนใหญ่รวมถึงคนที่ทำงานนั้นล้วนเป็นของเจ้าเมืองแทบทั้งสิ้นดังนั้นเขาจึงค่อนข้างทำอะไรลำบาก
ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวไม่เคยคิดลาออกเพียงแต่หากลาออกแล้วเขากับครอบครัวจะไปอยู่ที่ไหน เป็นเพราะเรื่องนี้เขาจึงจำต้องอยู่อย่างอดทนและหวังว่าสักวันจะหลุดพ้นจากความอึดอัดนี้
“ท่านพ่อ” น้ำเสียงหวานใสของลูกสาวปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์
“ทำไมหรือลูก” เขาถามเสียงอ่อนใบหน้าอันอ่อนล้าพลันคลายลงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของคนเป็นลูก
“กลับเรือนกันเถอะเจ้าค่ะ” มือเล็กสอดรับกับมือใหญ่ของบิดาทำให้คนเป็นพ่อเริ่มมีกำลังใจมากขึ้น
“อืม”
ภายในบ้านดินขนาดห้าห้องในยามนี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างมองไก่กับกระต่ายที่มีอยู่หลายตัวด้วยสายตาตื่นตะลึง
“พี่รอง นี่เป็นฝีมือของผีซิวจริงเหรอ” พ้นคำถามนี้สัตว์เทพผู้สง่างามก็ส่งเสียงคำรามใส่หน้าของเขาจนทำให้เจ้าตัวยืนแทบไม่อยู่ด้วยความตกใจ
“ขะ..ข้าขอโทษเพียงแต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเก่งกาจเยี่ยงนี้ทั้งที่ดู ๆ ไปเจ้าตัวเล็กกว่าลูกหมูตัวนั้นด้วยซ้ำ” ไป๋เทียนพูดเสียงสั่น
สัตว์เทพสะบัดหน้าหนีก่อนที่จะนั่งหมอบลงเชิดศีรษะของตนขึ้น ซึ่งการกระทำเช่นนี้แปลได้ว่าเจ้าตัวค่อนข้างพอใจกับคำพูดของเด็กชายตัวเหม็น
“คราวหลังเจ้าก็ระวังคำพูดหน่อยก็แล้วกัน มาเถอะเดี๋ยวข้าจะตุ๋นกระต่ายปลอบใจ”
“ดี ดี ปู่จะรอชิมฝีมือหลาน ส่วนไก่กับเนื้อหมูพวกนี้เห็นทีว่าพวกเราคงจะต้องจัดการทำความสะอาด หาไม่เห็นทีว่าพรุ่งนี้คงจะมีกลิ่นจากของเสียที่อยู่ด้านใน” ไม่มีใครค้านคำพูดของชายชรา
“ท่านปู่เก็บเครื่องในของมันเอาไว้นะเจ้าคะ ทั้งหมูทั้งไก่เลย”
“ทำไมเหรอ” เหมยกุ้ยถามอย่างสงสัย
“มันกินได้เจ้าค่ะ เชื่อข้าเถอะ”
“ได้ แม่จะเก็บไว้ให้เจ้าเอง แต่จะต้องทำอย่างไรนั้นคงต้องรบกวนเจ้าให้มาบอกเสียแล้ว”
“ได้เลยเจ้าค่ะ”
“พี่รองว่าแต่ท่านทำอาหารเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรือว่าที่แห่งนั้นสอนท่านมาด้วยอย่างนั้นเหรอ” ไป๋เทียนเริ่มเป็นเจ้าหนูจามัยเอ่ยอย่างใคร่รู้
“ข้าเป็นทายาทของเทพถงหวีมาเกิดเจ้าไม่รู้หรือ” คนตอบพูดไปส่งเสียงหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นใบหน้าของคนเป็นน้อง
ไป๋เทียนยกมือเกาศีรษะด้วยความไม่เข้าใจและเจ้าตัวก็ยิ่งทวีความอยากรู้
“พี่รองเทพถงหวีคือผู้ใด” คนตัวเล็กพยุงไม้เท้าเดินตามคนเป็นพี่ไปทางโรงครัวราวกับเป็นหางเล็ก ๆ ของนางก็ไม่ปาน
“เอาไว้ข้าจะเล่าให้ฟังในภายหลัง”