Share

บทที่ 7

ในขณะที่ไป๋ตงกำลังเร่งฝีเท้าตามน้องสาวไปติด ๆ เขาก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้น เจ้าตัวจึงได้รีบสาวเท้าให้เร็วกว่าเดิม

ภาพที่เข้ามาในครรลองสายตาของเจ้าตัวเป็นภาพน้องสาวที่กำลังนั่งยองอยู่เหนือหลุมดักสัตว์โดยมีสัตว์ตัวสีทองหมอบอยู่ข้างกันด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย

“น้องสาว! เกิดอันใดขึ้น” เขาถามพลางเดินเข้ามาถึงตัวน้องน้อยพร้อมกันนั้นเจ้าตัวจึงได้ก้มหน้าลงไปดูทางต้นเสียงที่ได้ยิน

“ช่วยด้วย” น้ำเสียงอันอ่อนแรงดังขึ้น

ไป๋ตงมองชายร่างผอมคนนั้นสลับกับใบหน้าอันเฉยชาของคนเป็นน้องด้วยความไม่เข้าใจ

“เหตุใดเจ้าถึงไม่ช่วยเขา” คำถามของคนเป็นพี่ทำให้ไป๋เสวี่ยมองเขาด้วยรอยยิ้ม

“ท่านนับว่าเป็นคนมีเหตุผล” เด็กหญิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงนำมือปัดกระโปรงที่ตนสวมเอ่ยชมคนเป็นพี่

“เขาตั้งใจจะทำร้ายข้าก่อนแต่ทว่ากรรมนั้นคืนสนอง จึงทำให้เจ้าตัวมีอันต้องตกลงไปในหลุมดักสัตว์เก่าอันนี้เสียเอง” คำตอบนี้ทำให้คนรักน้องเยี่ยงชีพส่งสายตาดุดันไปให้คนด้านล่างที่บัดนี้ได้แต่ก้มหน้าลงต่ำไม่เอ่ยร้องขอความช่วยเหลือออกมาอีก

“เจ้ามีเหตุผลหรือไม่” น้ำเสียงของเขาแฝงแววดุดันจน ไป๋เสวี่ยกับสหายเทพมองด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด

เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่มีวรยุทธแม้ว่าพลังปรานจะยังมีไม่มากนัก แต่ถ้าหากได้ฝึกอีกหน่อยข้าคิดว่าเขาน่าจะพัฒนาได้ไม่ยาก ผีซิวสื่อสารผ่านทางจิตกับไป๋เสวี่ยให้ได้ยินตามลำพัง

อย่างนี้ก็ดีนะสิ ในโลกนี้ข้าว่ามันพิลึกอย่างไรไม่รู้อย่างน้อยการมีวิชานับว่าเป็นเรื่องประเสริฐทีเดียว

ชาวป่าที่อยู่ในหลุมด่านล่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “เรื่องนี้ข้าอธิบายได้ขอรับ” เขารีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ว่ามา”

แม้ว่าไป๋ตงจะยังเป็นเพียงเด็กชายอายุสิบสามปีกระนั้นด้วยความที่เขาทำงานหนักอีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์รูปร่างของเขาจึงค่อนข้างบึกบึนมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน

“ข้าน้อยต้องการจับคุณหนูเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับอาหาร ในยามนี้พวกเราหากินได้ลำบากยิ่ง” คนผู้นั้นพูดขึ้นด้วยดางตาแดงก่ำอย่างเจ็บช้ำที่เขาไร้ความสามารถจึงทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้

เขาพูดจริงไหม? ไป๋เสวี่ยบ่ายหน้าไปทางสหายขนทอง

จริง

“เหตุใดเจ้าถึงไม่เพาะปลูกหรือไปรับจ้าง ทำไมถึงเลือกใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้กันเล่า และแม้ว่าเจ้าจับตัวข้าไปได้แล้วคิดบ้างหรือไม่ว่าคนในครอบครัวของข้าอาจจะไม่มีอาหารมาแลกกับเจ้าก็ได้”

คนป่ามองไป๋เสวี่ยก่อนส่ายหน้า “ไม่จริงหรอก คุณหนูแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแม้ว่าชุดจะไม่ได้ทำจากผ้าชั้นดีทว่าก็ไม่มีร่องรอยปะชุนอีกทั้งใบหน้ากับผิวก็ขาวราวไข่ปอก นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าฐานะทางบ้านของท่านย่อมไม่แย่อีกทั้งคุณหนูยังนับว่าเป็นที่รักของครอบครัวอีกด้วย ยังไงซะครอบครัวของท่านย่อมจะต้องนำอาหารมาแลกอย่างแน่นอน” คนป่าตอบอย่างมาดมั่นในความคิดของตน

ทว่าด้านไป๋เสวี่ยกลับกลอกตาไปมา กรรมของข้าที่มาอยู่ในร่างของคุณหนูตัวร้ายสินะที่วัน ๆ นางไม่คิดทำอะไรเอาแต่แต่งตัว เจ้าตัวคิด

“ข้าฟังเจ้าพูดวิเคราะห์ถึงน้องสาวของข้าดีขนาดนี้ก็นับได้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาดผู้หนึ่งแต่เพราะเหตุใดจึงริมาทำตัวเป็นโจร”

“ข้าไม่ใช่โจร! ข้าเป็นคนป่า” คนผู้นั้นตอบโต้เสียงดังด้วยใบหน้าดำคล้ำราวตับหมู

“คนป่า! ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าอาศัยอยู่ในป่าลึกหรอกเหรอ” ไป๋ตงซัก

“ใช่ แต่ก่อนพวกข้าอยู่ในป่าลึกทว่าเมื่อเดือนก่อนได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดทำให้พวกเราหายไปทีละคนสองคนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่ว่าพวกเราจะออกตามหาอย่างไรก็ไม่พบจนนานวันเข้าไม่มีใครกล้าที่จะอาศัยอยู่ที่นั่นอีก”

“เพียงแค่นี้ ไม่แน่ว่าคนเหล่านั้นอาจจะเดินทางไปแคว้นอื่นแล้วก็ได้” ไป๋ตงยังคงถามต่อไปเพื่อหาพิรุธของชายคนนี้

“เป็นไปไม่ได้เพราะหนึ่งในนั้นที่หายตัวไปคือพี่ชายของข้า อีกทั้งเขายังทิ้งลูกน้อยวัยสามรอบเอาไว้กับข้าด้วย” คนตอบส่ายศีรษะแย้งขึ้นทันควัน

ไป๋ตงมองหน้าของไป๋เสวี่ยหลังได้ยินคำตอบเช่นนี้ “จำนวนคนของเจ้าที่เหลือในตอนนี้มีกี่คน” คำถามของไป๋เสวี่ยทำให้คนป่ารู้สึกระแวง

“อย่าได้โป้ปดมิเช่นนั้นไม่ใช่แค่เจ้าที่เดือดร้อน” คำพูดของเด็กหญิงทำให้คนป่ารู้สึกขนอ่อนตั้งชันแม้แต่ผมบนหัวก็ไม่เว้น

“หนึ่งร้อยห้าสิบชีวิต ส่วนใหญ่เป็นหญิงม่ายกับเด็ก” คำตอบนี้ทำให้สองพี่น้องรู้สึกฉงน “เพราะเหตุใด” ไป๋ตงถามขึ้นด้วยความอยากรู้

“เพราะเหล่าบุรุษในวัยที่มากกว่าข้าออกไปหาอาหารแล้วไม่เคยได้กลับมารวมถึงพี่ชายของข้าด้วย” คนตอบเสียงสั่นน้ำตาของเขาหลั่งรินคล้ายได้ระบายความอัดอั้นในใจ

“เจ้าอายุเท่าไหร่” ไป๋ตงยังคงถามต่อ

“หนาวนี้ได้สิบห้ารอบ”

“สิบห้า!” สองพี่น้องส่งเสียงร้องอย่างตกตะลึง

เด็กหนุ่มผู้มีอายุสิบห้าปีเมื่อไม่นานเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัว “พวกท่านคิดว่าข้ามีอายุเท่าไหร่”

“ตอบยากแต่คิดว่าน่าจะมากทั้งนี้เป็นเพราะสภาพของเจ้านั่นแหละ” ครั้งนี้ไป๋เสวี่ยเป็นคนตอบ

“สภาพของข้าทำไม” เขาถามน้ำเสียงแสดงอาการฉุนเฉียว

“เหอะ ๆ ผมยาวรกรุงรังปิดใบหน้าหากเจ้าไม่พูดกับหน้าอกไม่แบนข้าคงแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงแล้วใครจะเดาอายุของเจ้าออกกัน” ไป๋เสวี่ยยักไหล่ตอบตามจริง

“จะ...เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงแบบใด เหตุไฉนถึงได้กล้าวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างของบุรุษเช่นนี้” คนพูดเอามือปิดช่วงบนของตนอย่างลืมตัวตะโกนขึ้นเสียงดัง

คนผู้นี้ทั้งสองพี่น้องดูไปคล้ายไม่ใช่คนป่าจึงทำให้คนทั้งคู่เกิดความกังขาเรื่องที่เขาเล่ามาเป็นอย่างมาก

“เจ้าตอบมาตามตรงว่าทำไมถึงมาเป็นคนป่า หากคำตอบของเจ้าเป็นที่พอใจข้าจะให้พี่ใหญ่ช่วยเจ้าขึ้นมา แต่ถ้าหากว่า.....ข้าจะให้เจ้าเป็นอาหารของสหายข้าหึหึ”

ข้าไม่กินเนื้อมนุษย์ สัตว์เทพส่งเสียงแย้ง

ข้ารู้ เพียงแต่เจ้าน่าเกรงขามเกินไปข้าก็เลยนำมาขู่เขาเท่านั้นเอง คำตอบนี้ค่อนข้างทำให้สัตว์เทพพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นเจ้าตัวจึงได้อ้าปากส่งเสียงก้องคำรามจนนกกาพากันแตกฮือบินขึ้นฟ้าด้วยความตื่นตระหนก

คนฟังเบื้องล่างเม้มปากแน่น ‘ข้าควรทำเยี่ยงไร’ เขาถามตัวเอง สองพี่น้องเองก็ใจดีไม่เร่งรัด

“พี่ใหญ่ท่านเฝ้าเขานะ” ไป๋เสวี่ยผู้ไม่ชอบอดทนรอพูดขึ้นพร้อมกับขยับกายเตรียมจะผละไป

“เจ้าจะไปไหน ในป่ามันอันตราย” ไป๋ตงรีบจับมือน้องสาวค้านขึ้นด้วยสีหน้ากังวล

“พี่ใหญ่ที่แห่งนั้นได้สอนวรยุทธข้ามาด้วย รับรองได้ว่าข้าปลอดภัยกลับมาอย่างแน่นอน” สิ้นคำตอบของคนตัวเล็ก ร่างกายของนางก็เลือนหายไปโดยที่ไป๋ตงยังไม่ทันปล่อยมือ

ไป๋ตงก้มลงมองมือที่วางเปล่าด้วยความตื่นตะลึง จนได้ยินเสียงเรียกจากคนป่านั่นแหละเขาถึงได้รู้สึกตัว

‘วิชาของน้องรองช่างเยี่ยมยุทธ’ เขาคิดด้วยความชื่นชมและหมายมั่นว่าจะให้น้องสาวของตนช่วยชี้แนะ หากว่าคนเป็นน้องไม่ติดขัด

สองสหายจอมซนพากันตะเวนวิ่งไปแทบจะทั่วทั้งหุบเขาแสงสีเงินสีทองวูบวาบไปมาจนในที่สุดไป๋เสวี่ยได้หยุดพักนั่งห้อยขาบนต้นผิงกั่วลำต้นสูงต้นหนึ่งที่ผลของมันกำลังเป็นสีแดงสด

นางเด็ดผลไม้ที่ผลค่อนข้างเล็กกว่ายุคปัจจุบันออกจากขั้วนำมาเช็ดกับแขนเสื้อก่อนกัดเข้าไปคำใหญ่

“อืม รสชาติไม่เลวแต่ติดเปรี้ยวไปสักหน่อย” นางพูดไปเคี้ยวผลไม้ในปากไป

เจ้าจะล่าสัตว์ไม่ใช่หรือเหตุใดถึงได้มานั่งแกว่งขาอยู่ตรงนี้เล่า สัตว์เทพถามขึ้นอย่างสงสัยระคนใคร่รู้

ข้ากำลังมองคนพวกนั้น ไป๋เสวี่ยชี้นิ้วลงไปทางพื้นเบื้องล่างที่มีควันไฟสีขาวกำลังลอยอ้อยอิ่ง

หืม? มีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นหรือ

ข้าว่าคนพวกนี้ไม่เหมือนคนป่า แม้ว่าจะพยายามทำตัวให้เหมือนก็ตามทว่าดูอย่างไรก็ไม่ใช่

จะว่าไปก็จริงอย่างที่เจ้าว่า

ใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นเห็นทีว่าข้าคงต้องทดสอบดูสักครา ไป๋เสวี่ยทิ้งตัวลงจากกิ่งไม้เมื่อใกล้จะถึงพื้นนางจึงตีลังกาหนึ่งรอบ

เท้าทั้งสองแตะพื้นดินแบบพอดิบพอดี ครู่ต่อมาจากเด็กหญิงผู้มีใบหน้าน่ารักก็แปรเปลี่ยนเป็นสภาพมอมแมมเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนดินโคลนจำสภาพเดิมไม่ได้

นางเดินโซซัดโซเซไปทางหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่หน้าเตาที่ทำจากก้อนหินตั้งเอาไว้อย่างหยาบ ๆ

“พี่สาว ชะ..ช่วยด้วย” น้ำเสียงของนางฟังดูราวกับจะขาดใจ จนทำให้หญิงสาวนางนั้นรีบลุกจากหินก้อนใหญ่ที่ตนนั่งอยู่

“น้องสาว! น้องสาว! ใครก็ได้มาช่วยเด็กคนนี้ที” นางรีบเข้าไปช่วยรับร่างอ่อนปวกเปียกของไป๋เสวี่ยไว้ได้ทันพร้อมกันนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

ยังแสดงเก่งเหมือนเดิม สหายสัตว์เทพของเด็กหญิงไม่รู้กล่าวชมหรือประชดคงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่ตอบได้

หากแสดงไม่ดีคนเขาก็จับได้นะสิ คนตัวเล็กกว่าเถียง

ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เล่นงิ้วของเจ้าไป ส่วนข้าจะออกไปล่าเนื้อไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเจ้าเด็กนั่นจะหาว่าข้ามีแต่ราคาคุย

ไม่ทันรอให้ไป๋เสวี่ยตอบความ เงาวูบวาบสีทองสายหนึ่งก็ห้อตะบึงไปไกลลิบเสียแล้ว

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 136

    อาหารของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ค่อนข้างสมราคาคุยของเสี่ยวเอ้อ แม้ว่าพื้นที่ของเมืองแห่งนี้จะค่อนข้างห่างไกลจากเมืองหลวงและกันดาร กระนั้นอาหารห้าอย่างที่สั่งมาก็ยังมีเนื้ออยู่ถึงสามจานอีกทั้งยังมีผักใบเขียวในน้ำแกงไข่ให้ได้เห็นรสชาติของน้ำแกงค่อนข้างสดชื่นจึงทำให้น้ำแกงไข่ผักป่าถ้วยนี้เป็นที่ถูกใจของกลุ่มผ

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 135

    ภายในห้องนอนของคู่สามีภรรยา เมื่อหงฮุยเห็นสีหน้าของสามีเจ้าตัวย่อมรู้ดีว่าเขากำลังมีเรื่องราวในใจ “ท่านพี่ เรื่องที่ท่านกำลังเผชิญอยู่สามารถแบ่งให้ข้ารับรู้ได้นะเจ้าคะแม้ว่าข้าอาจจะช่วยอะไรท่านไม่ได้มากแต่กระนั้นอย่างน้อยข้าก็สามารถรับฟังได้” เฟยเซียวเทียนมองภรรยาที่ตกระกำลำบ

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 134

    ในระหว่างที่สามพี่น้องอยู่ภายในด่านจิ้งไห่ สถานการณ์ทางเมืองฟงอวิ๋นเริ่มเกิดเหตุการณ์ไม่สู้ดีเท่าที่ควร “พี่ใหญ่ ท่านจะทำอย่างไรกับเรื่องที่ทางการต้องการเรียกภาษีจากประชาชนเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน” หยูไห่รู้สึกหนักใจเป็นอย่างมากทั้งนี้เป็นเพราะเรื่องโรคระบาดเพิ่งจะพ้นผ่านไปได้ยังไม่นานประชาชน

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 133

    “ท่านอา เมืองที่ชายคนนั้นอยู่ข้าได้เขียนบอกเอาไว้ในจดหมายแล้ว ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะสามารถโน้มน้าวและช่วยเขาได้ แต่จำเอาไว้ด้วยว่าหลังจากท่านทำหน้าที่เสร็จแล้วให้ถอนตัวออกมาทันที ซึ่งเรื่องนี้ท่านคงไม่ต้องให้ข้าพูดแล้วกระมั้งว่าเพราะเหตุใดข้าจึงแนะนำท่านออกมาเช่นนี้” ไป๋เสวี่ยพูดออกมายืดยาวหลังจากร

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 132

    ในระหว่างที่ไป๋เสวี่ยกำลังเตรียมตัวเพื่อจะไปช่วยโอว หยางเฉินตามหาบิดา เฟยเซียวเทียนก็ได้คิดทบทวนในสิ่งที่ไป๋เสวี่ยได้เคยพูดกับตนเอาไว้อย่างรอบคอบ “เข้ามา” น้ำเสียงอ่อนล้าของเขาพูดขึ้นหลังได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้องหนังสือ เกาซูเดินเข้ามาโดยมีหงฮุยถือถาดของว่างเดินเยื้องอยู่ด

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   บทที่ 131

    “เป็นเจ้า” โอวหยางเฉินรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดคล้ายจำตนได้จากริมฝีปากเล็กของเด็กชายตรงหน้า “เจ้าจำข้าได้ วันก่อนที่ข้าพบเจ้า จำได้ว่าเจ้าเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงนี้แฝงไว้ด้วยความหยอกเย้าริมฝีปากแดงเรื่อของเขาหยักขึ้นยามเมื่อเห็นท่าทางของคนตัวเล็ก

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status