เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยามคนตระกูลไป๋ก็พากันทำจมูกฟุดฟิด พวกเขาพากันสูดเอากลิ่นหอมจากเรือนครัวด้วยความอยากกินโดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กไป๋เทียนที่ตอนนี้กำลังช่วยพี่สาวเฝ้าอยู่หน้าเตาดินไม่ยอมห่าง
ส่วนไป๋เสวี่ยนางก็กำลังจัดแจงทำอาหารอีกอย่างนอกจากกระต่ายตุ๋นที่มีเครื่องปรุงภายในครัวเหลืออยู่แค่หยิบมือถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังสามารถปรุงอาหารชนิดนี้ออกมามีกลิ่นหอมจนได้
“พี่รอง ท่านกำลังทำอันใดหรือขอรับ” คนเป็นน้องมีท่าทางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเขาเข้าใจได้ว่าในบัดนี้พี่สาวต่างแม่ได้เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
“ทำผักป่านึ่งไข่ เจ้าอยากกินหรือไม่ ไข่ไก่นุ่ม ๆ ผสมเข้ากับผักป่าสีเหลืองตัดสีเขียว เจ้าไม่คิดว่ามันดูน่ากินหรอกหรือ” ไป๋เสวี่ยพูดไปพลางตีไข่ที่อยู่ในชามดินเผาไป
อึก!! ไป๋เทียนกลืนน้ำลายลงคอ “เหตุใดข้าจะไม่อยากกินกันเล่า เพียงแต่มันจะไม่เป็นการสิ้นเปลืองเกินไปหรือขอรับ”
“ไม่ เจ้าเชื่อข้าเถอะ นับจากวันนี้ข้าจะทำให้ครอบครัวของเราท้องอิ่มนอนอุ่น” เสียงของเธอนั้นไม่ดังไม่เบา
ทว่าสำหรับบ้านดินหลังนี้ไม่ได้เก็บเสียงได้ดีนักดังนั้นคนในครอบครัวจึงได้ยินคำพูดของนางอย่างชัดเจน
“ท่านพี่ ลูกสาวของท่านโตแล้ว อีกทั้งนางยังรู้ความมากด้วยข้าดีใจเหลือเกิน” เหมยกุ้ยยกชายเสื้อซับน้ำตารำพึงรำพันถึงพี่สาวผู้อาภัพที่จากไปเร็วด้วยโรคภัยรุมเร้าเมื่อหลายปีก่อน
“น้องหญิงเจ้าร้องไห้เพราะเหตุใด” ไป๋ซวนถามขึ้นเมื่อเจ้าตัวหันมาเห็นภรรยาดวงตาแดงเรื่อ
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงดีใจ” นางปฏิเสธเสียงอ่อน
“ดีใจก็ต้องหัวเราะสิ น้องหญิงข้าผิดต่อเจ้าเหลือเกินหากตอนนั้นเจ้าไม่แต่งให้ข้าบางทีชีวิตของเจ้าอาจจะดีกว่านี้” ผู้พูดจ้องหน้าของหญิงสาวด้วยสายตาแห่งความรู้สึกผิด
“ท่านพี่ การตัดสินใจแต่งกับท่านเป็นข้าเลือกเอง อีกอย่างข้าไม่วางใจ หากว่าตอนนั้นท่านเลือกคนอื่นทั้งนี้เป็นเพราะข้ากลัวว่าเด็ก ๆ จะได้แม่เลี้ยงที่ไม่ดี หากเป็นข้าจะดีจะร้ายอย่างไรก็ยังเป็นน้าของพวกเขา”
“น้องหญิงข้ารู้ว่าจิตใจของเจ้านั้นประเสริฐ ทว่าหลังจากเจ้าแต่งกับข้าได้ไม่ทันไรพวกเราก็ต้องมาอยู่สถานที่แห่งนี้ อีกทั้งตอนนั้นเป่าเปาเองก็ทำกิริยาร้ายกาจต่อเจ้าหลายครั้งหลายครา
ทว่าเจ้าเองกลับไม่เคยโกรธนาง รวมถึงยังเข้าข้างนางเสียอีกจึงทำให้นางยิ่งได้ใจ เรื่องนี้ก็ทำให้พี่รู้สึกผิดต่อเจ้ามากยิ่งนัก” ไป๋ซวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงความหลัง
“ท่านพี่ อย่าได้โทษตัวเองเจ้าค่ะ อีกอย่างตอนนี้เป่าเปาเองก็มีเหตุผลมากขึ้นแล้ว ข้าว่าพวกเราอย่าพูดถึงเรื่องเก่าอีกเลยนะเจ้าคะ ข้าเชื่อว่าต่อจากนี้บ้านของเราย่อมจะมีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาอย่างแน่นอน”
“อืม ข้าเองก็หวังเช่นนั้น แล้วยิ่งมาเห็นกับตาว่าบุตรสาวของเราทำอาหารได้ข้ายิ่งตื้นตันยิ่ง” ชายฉกรรจ์อกสามศอกพูดไปก็อดที่จะน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้
“พี่ใหญ่ แต่ก่อนข้านิสัยแย่มากเลยเหรอ ท่านพ่อถึงได้มีอาการเช่นนี้” ไป๋เสวี่ยอดกระซิบถามพี่ชายของตนไม่ได้แม้ว่านางจะเห็นจากความทรงจำของร่างเดิมแล้วก็ตาม
“สำหรับพี่แม้ว่าเจ้าจะร้ายกาจเพียงใดเจ้าก็ยังเป็นน้องสาวที่น่ารักของข้าอยู่ดี ดังนั้นข้าจึงตอบไม่ได้ว่าเจ้าแย่มากแค่ไหน” คำตอบพาซื่อเช่นนี้ทำให้ไป๋เสวี่ยมองพี่ชายด้วยสายตาแห่งความขอบคุณ
แต่แล้วเจ้าตัวก็ถูกความจริงจากปากของน้องชายตีความสุขของตนเสียกระเจิง
“ข้าจะบอกท่านเอง แต่ก่อนนั้นท่านเป็นคนนิสัยร้ายกาจมาก ทั้งเอาแต่ใจเจ้าอารมณ์แย่งขนมของน้อง ฟ้องร้องคนแก่ ชวนเด็กวัยเดียวกันตบตีและ...” “พอก่อน!!” ไป๋เสวี่ยรีบยกมือกล่าวห้ามน้องชายออกมาเสียงดัง
“เพราะเหตุใด” เจ้าตัวยังคงถามอย่างใสซื่อ
“ข้าในตอนนี้เป็นเช่นไร” ไป๋เสวี่ยไม่ตอบทว่ากลับย้อนถามออกมาแทน ไป๋เทียนเม้มปากของตนแน่นแม้ในใจจะยอมรับมากกว่าครึ่งถึงความเปลี่ยนแปลงของคนเป็นพี่ แต่อีกเสี้ยวเจ้าตัวก็ยังคงค้าน
“ดีมากแต่ว่าในอนาคตท่านจะกลับมาเป็นคนเดิมหรือไม่”
“ไม่อย่างแน่นอน ในเมื่อตอนนี้ข้าเป็นคนใหม่ที่ดีแล้ว ดังนั้นเหตุใดข้าจะต้องกลับไปเป็นคนเดิมที่นิสัยแย่เช่นนั้นด้วยเล่า” คนเป็นน้องสบดวงตาใสกระจ่างของคนเป็นพี่ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“หากท่านกล้ากลับไปเป็นคนเดิม ข้าขอให้ท่านเป็นลูกสุนัข”
“แค่ก ๆ เสี่ยวซาน พ่อไม่ได้เป็นบิดาของสุนัขนะเจ้า” ไป๋ซวนผู้ได้ยินคำพูดนี้ของบุตรชายคนเล็กกระแอมเอ่ยแย้งทันควัน
ส่วนเจ้าตัวเล็กที่เมื่อครู่ได้หลุดปากออกมาก็คลับคล้ายจะรู้สึกตัว “ข้าขอให้ท่านกินข้าวไม่ได้ก็แล้วกัน” เขารีบกลับคำด้วยคิดว่าหากท่านพ่อเป็นสุนัขถ้าอย่างนั้นตัวเขาก็ต้องเป็นด้วยนะสิ
ไป๋เสวี่ยอมยิ้มให้กับความซื่อบริสุทธิ์ของน้องชาย “ได้ ๆ หากข้าผิดคำพูดขอให้ข้ากินข้าวไม่ได้”
อาหารบนโต๊ะของครอบครัวไป๋วันนี้ทำให้แต่ละคนคิดว่ามันคือความฝัน เนื้อกระต่ายตุ๋นส่งกลิ่นหอมกำจาย เนื้อที่อยู่ในนั้นก็ดูเหมือนจะกำลังกิน ส่วนผักป่าไข่นึ่งก็ดูน่ากินมากเช่นกัน สีเหลืองของไข่ตัดกับผักป่าสีเขียว
“กินสิเจ้าคะ เสี่ยวทู่เองก็นั่งลงกินด้วยกันเถอะ” คำชวนของไป๋เสวี่ยได้ทำให้ตะเกียบในมือของทุกคนหลุดร่วง
“มีอันใดหรือเจ้าคะ”
“ลูกรัก ปกติเจ้าไม่เคยให้เสี่ยวทู่นั่งร่วมโต๊ะ ทั้งนี้เจ้าเคยบอกว่านายกับบ่าวไม่ควรตีเสมอกันจำไม่ได้หรือ”
ไป๋เสวี่ยส่ายศีรษะไปมา “ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ให้เสี่ยวทู่นั่งร่วมโต๊ะได้หรือไม่เจ้าคะ เพราะยังไงนางก็นับได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกันกับเรา” จบประโยคนี้ของเด็กหญิง
เสี่ยวทู่ตัวน้อยก็นั่งคุกเข่านำมือมากอดขาของไป๋เสวี่ยเอาไว้แน่นพลางเอ่ยออกมาทั้งน้ำหูน้ำตา “คุณหนูของบ่าว”
“..” ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดไปใช่ไหม นางคิด
หลังจากมื้ออาหารที่ไม่หลงเหลือแม้แต่น้ำแกงจบลง ไป๋เทียนตัวน้อยก็ลูบพุงป่อง ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะจ้องใบหน้าของพี่สาวอย่างไม่วางตา
“หน้าของข้ามีอันใดติดอยู่อย่างนั้นเหรอ” ไป๋เสวี่ยถามพลางเอามือจับตามกรอบหน้าของตน
“ไม่มีขอรับ เพียงแต่ท่านลืมเรื่องอะไรไปหรือไม่”
ไป๋เสวี่ยทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหัวไปมา “ไม่นี่”
คนเป็นน้องพองแก้มอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านลืมเรื่องที่พูดเอาไว้ก่อนหน้าขอรับ” เจ้าตัวยังคงไม่เฉลย
“เรื่องอันใดกัน” คนเป็นพี่ก็ยังคงนึกไม่ออกจนกระทั่งผีซิวได้ใช้เท้าหน้าสะกิดหน้าแข้งของนางเป็นการเตือน
เรื่องถงหวี จากนั้นสัตว์เทพก็นั่งหมอบเพื่อรอฟังเช่นกัน
“อ๋อ.....” ไป่เสวี่ยลากเสียงยาว
“พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดกัน” ผู้เฒ่าของบ้านเอ่ยถามหลังจากเขาไปเดินย่อยมากับบุตรชายรวมถึงไป๋ตงเองก็เดินเข้ามารวมตัวกับน้องน้อยทั้งคู่ด้วย
“ท่านพี่กำลังจะเล่าเรื่องของถงหวีให้ฟังขอรับ”
“เยี่ยงนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นปู่ขอฟังด้วยก็แล้วกัน” ชายชราหย่อนก้นลงนั่งโดยมีเหล่าสมาชิกคนอื่นที่ทยอยมารวมตัวก็หาที่นั่งเพื่อหมายจะฟังเรื่องที่บุตรีของตนจะเล่าด้วย
“นามถงหวีนั้นนับว่าเป็นเทพเจ้าค่ะ ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่านางเป็นชายาของหวางตี้ยุคแรก ในครานั้นเมื่อมนุษย์ได้สัตว์มาพวกเขาก็จะกินกันดิบ ๆ จึงทำให้พวกเขาเกิดความเจ็บป่วยเพราะอาหารไม่สะอาด เมื่อถงหวีรู้จักใช้หินคมต่างมีด นางจึงหั่นเนื้อให้ชิ้นเล็กลง จากนั้นนางก็ก่อไฟนำเนื้อไปย่างหรือปิ้งทำให้อาหารมีความอร่อยขึ้น และไม่มีใครท้องเสียจากการกินเนื้อปรุงสุก อีกทั้งนางยังคิดค้นวิธีเหลาไม้ไผ่มาทำเป็นตะเกียบ ช่วยให้หยิบอาหารเข้าปากสะดวกขึ้น ดังนั้นนางจึงนับได้ว่าเป็นเทพแห่งการทำครัว"[1]
“จบแล้วหรือขอรับ ข้ายังอยากจะฟังต่ออยู่เลย” ไป๋เทียน ถามขึ้นด้วยสีหน้าแสดงความเสียดาย
“พี่ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายเอาไว้จะทยอยเล่าให้เจ้าฟังดีหรือไม่ ทว่าตอนนี้เจ้าสมควรกินยาได้แล้วน้องรัก”
“อ่าห์ ข้าไม่อยากกินยาขม ๆ เลย” เจ้าตัวน้อยของบ้านตะโกนโวยวายราวหมูถูกเชือดก็ไม่ปาน
เสียงหัวเราะที่ห่างหายไปนานในครอบครัวไป๋ได้กลับคืนมาอีกครั้งจึงทำให้บ้านน้อยหลังนี้เต็มไปด้วยความสดใส
[1] เรื่องนี้มาจากตำนาน60เทพของวิถีเต๋านะคะ หากผิดพลาดประการใดผู้แต่งต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย