Accueil / วาย / ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi) / บทที่ 4 การพานพบที่ไม่สู้ดี

Share

บทที่ 4 การพานพบที่ไม่สู้ดี

last update Dernière mise à jour: 2025-08-26 18:12:14

บริเวณลานฝึกยุทธ์แห่งที่สามของสกุลหลิว บรรยากาศโดยรอบคล้ายกลายเป็นเพียงสวนหิน เงียบสงบจนเข็มตกสักเล่มยังได้ยิน เหล่าบรรดาบุรุษและสตรีวัยแรกรุ่นราวสิบกว่าชีวิต แต่ละคนล้วนเป็นผู้ฝึกปราณขั้นหนึ่งด้วยกันทั้งสิ้นต่างยืนนิ่งไม่ไหวติ่งราวกับหุ่นไม้ไผ่ ลมหายใจติดขัดคล้ายกับจะมีไข้ มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจาใดออกมาหลังจากที่หลิวเยี่ยนเฟยโหมกระหน่ำเพลิงโทสะโดยการใช้ฝ่ามือฟาดลงบนผืนดิน จนลานฝึกซ้อมเป็นหลุมลึกด้วยแรงกระแทกเพียงหนเดียว

ในยามนี้หลิวเยี่ยนเฟยยืนนิ่งราวกับหินผา เขากวาดตามองไปยังผู้คนในละแวกใกล้ 

ภาพที่เห็นมีเพียงหนุ่มสาววัยแรกรุ่นที่กำลังก้มหน้างุดมิยอมสบตา ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างหวาดหวั่น ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดใจ หลิวเยี่ยนเฟยจึงตวาดเสียงเข้มออกไป “เหตุใดบุตรนังแพศยานั่นยังมิปรากฏกาย” ก่อนจะยกนิ้วชี้ของตนชี้ไปยังดรุณน้อยผู้หนึ่งที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างลานฝึกด้วยเพลิงโทสะที่ลุกโชน “เจ้า…มานี่สิ”

“ขะ…ขอรับ” ดรุณตัวน้อยขานรับเสียงสั่น โดยเด็กหนุ่มผู้นี้มีอายุราวๆ สิบสามขวบปี ยามถูกเรียกตัวแบบทันท่วงทีก็สะดุ้งโหยงอย่างตกใจ ร่างกายสั่นเทิ้มมิอาจระงับไว้ ก่อนจะก้าวขาที่แข็งขืนเข้าไปยังลานฝึกด้วยท่วงท่าที่เก้ๆ กังๆ

แต่ไหนมาหลิวเยี่ยนเฟยก็ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายเป็นทุนเดิม ซ้ำยังฝึกฝนตบะฌานไปจนถึงระดับสาม ไหนเลยคนที่ฝึกฝนได้เพียงขั้นต้นที่เพิ่งผ่านระดับหนึ่งมาเพียงไม่นานอย่างเด็กหนุ่มจะต่อกร ดรุณน้อยผู้ที่กำลังก้าวเข้าไปในลานฝึกจึงไม่ต่างจากการเข้าไปให้คุณชายรองในสกุลหลิวทารุณตามอำเภอใจ

ทว่าในขณะที่อยู่ในสภาวะเคร่งตึง เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็วิ่งเข้ามา ก่อนเจ้าของเสียงฝีเท้าดังกล่าวจะมาหยุดยืนหอบหายใจอยู่ข้างลานฝึกด้วยสีหน้าประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวคล้ำ แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “คะ...คุณชายสามมาแล้วขอรับคุณชายรอง”

“เช่นนั้นรึ” หลิวเยี่ยนเฟยกล่าวเสียงเย็น ยามได้ยินถ้อยคำจากบ่าวรับใช้ที่เขาเพิ่งสั่งให้ไปตามคู่ซ้อมมือ ก่อนจะปรายหางตามองตามหนทางที่ทอดยาวออกไป เห็นน้องชายนอกไส้ที่แสนจะชิงชังกำลังเยื้องย่างมาที่ลานฝึกด้วยท่าทางเฉื่อยชา แล้วได้แต่แค่นหัวเราะในลำคอออกมาก่อนกล่าวด้วยวาจาห้วนสั้นว่า “ดี”

เพียงไม่นานหลังจากนั้น จ้าวเสี่ยวหมิงที่เพิ่งคลำหาทางจนมาถึงลานฝึกที่สามของสกุลได้ก็หยุดยืนอยู่กับที่ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเท้าเอวเอาไว้แล้วกวาดสายตาไปมา

ภาพที่เห็นมีเพียงบุรุษและสตรีวัยแรกแย้มต่างก้มหน้าก้มตา ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างหวาดกลัวมิยอมคลาย จ้าวเสี่ยวหมิงจึงได้แต่ยกยิ้มออกมาอย่างบางเบา

‘เห…แค่เจ้าหนูนั่นโมโหเพียงนิดถึงกับต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้เชียวรึ

จ้าวเสี่ยวหมิงสบถในใจอย่างนึกขัน ก่อนทำท่าทางครุ่นคิดบางอย่างอยู่ภายใน ครานั้นเองหลิวเยี่ยนเฟยที่ปรายตามองมาอยู่ก่อนหน้าก็ทำสีหน้ามิใคร่พอใจ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขึงออกไป “เหตุใดเจ้าถึงได้ชักช้านัก”

เป็นเหตุให้จ้าวเสี่ยวหมิงจำต้องหันไปตามเสียงดังกล่าว แล้วโค้งคารวะผู้เป็นพี่ชายของร่างนี้พอเป็นพิธี “ขออภัยพี่รอง ท่านพ่อเรียกข้าไปพบ ซ้ำยังเดินหลงทางไปลานฝึกหนึ่งจึงทำให้เสียเวลาไปครึ่งก้านธูปขอรับ”

“งั้นรึ” หลิวเยี่ยนเฟยกล่าวเสียงเย็น ยามได้ยินคำแก้ต่างของหลิวมู่เหยียนที่เอ่ยออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ก่อนเจ้าตัวจะปรายหางตามองไปยังบุรุษร่างผอมบางอีกหน แล้วเอ่ยเสียงเข้มอย่างมิพอใจว่า “แต่นั่นหาใช่ข้ออ้างไม่ เจ้าอายุเท่าไรแล้ว ไยมิรู้จักรักษาเวลาถึงเพียงนี้”

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิง ก็แค่นหัวเราะในลำคอออกมาอย่างนึกขันกับความเอาแต่ใจที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้ของพี่ชายเจ้าของร่าง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบดั่งสายน้ำไหล ไม่มีเค้าของความหวาดกลัวต่อภยันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามา “ข้าต้องขออภัยด้วยขอรับ แต่ข้าก็มิอาจขัดคำสั่งท่านพ่อได้เช่นกัน” กล่าวเพียงแค่นั้นก็ปรายหางตามองไปทางหลิวเยี่ยนเฟยที่ยืนด้วยท่วงท่าทีหยิ่งยโส ก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างบางเบา “หากเรื่องที่ข้าไปพบท่านพ่อทำให้ท่านมิพอใจ ข้าเองก็จนปัญญาเช่นกัน”

ในยามที่ได้ยินคำกล่าวโทษที่หาว่าเขามิมีความยำเกรงต่อบุพการีเช่นนั้น โทสะที่สั่งสมก็มิอาจกลั้น ใบหน้าหล่อเหลาหม่นคล้ำลงหลายส่วนด้วยแรงอารมณ์มิยอมคลาย จากนั้นจึงตวาดเสียงดังลั่นใส่ “เจ้าหาว่าข้าไม่เคารพบิดาเช่นนั้นรึ”

“เหวอ...ขะ...ข้าเปล่านะขอรับข้าเปล่า”

“ย่อมได้งั้นวันนี้ถ้าข้าไม่อัดเจ้าจนแหลกลาญ อย่าเรียกข้าว่าคุณชายรองของสกุลหลิวเลย”

กล่าวจบหลิวเยี่ยนเฟยก็ปรี่เข้าไปหาบุรุษร่างกายผอมบางอย่างไม่รั้งรอ ฝ่ามือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นหมายจะซัดกระแทกเข้าไป

เป็นเหตุให้คนที่อยู่ในละแวกใกล้ต่างร่นถอยหลังหนีฝ่ามือดังกล่าวกันอย่างจ้าละหวั่น มีเพียงหลิวมู่เหยียนผู้เดียวที่ยังคงไม่ขยับกาย ใบหน้าซีดเซียวมิได้ปรากฏร่องรอยของความหวาดกลัวใดๆ ออกมาให้เห็น

‘ข้าขอดูความทนทานของร่างนี้สักหน่อยก็คงไม่เสียหายหรอกกระมัง’

จ้าวเสี่ยวหมิงนึกภายในใจ เขาปรายหางตามองบุรุษที่กำลังพุ่งเข้าใส่ ก่อนจะเบี่ยงกายหลบฝ่ามือที่อัดกระแทกเข้ามาได้อย่างเฉียดฉิวเพียงแค่ช่วงขนตา

ก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นมาแล้วลองรวบรวมลมปราณหนึ่งในสิบขึ้นมาบนฝ่ามือตน ริ้วปราณสีดำจึงปรากฏให้เห็นพันรอบฝ่ามือของตนอย่างบางเบา จ้าวเสี่ยวหมิงจึงรีบลดมือลงอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะทันได้สังเกตเห็น

‘ปราณสีดำ...แม้แต่อยู่ในร่างนี้ปราณของข้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง หากยังฝืนใช้พลังภายในมากเกินไป ร่างนี้อาจแหลกเป็นเสี่ยงเสียก่อนกระมัง

จ้าวเสี่ยวหมิงลอบมองริ้วสีดำที่ปรากฏบนฝ่ามือตนอีกหน แล้วได้แต่สบถภายในใจ ก่อนเจ้าตัวจะเบี่ยงกายหลบการโจมตีของพี่ชายต่างมารดาอย่างจ้าละหวั่น

ซึ่งการกระทำดังกล่าวสร้างความมิพอใจให้กับหลิวเยี่ยนเฟยเป็นทบทวี โทสะที่สั่งสมพลันพุ่งสูงจนมิอาจระงับไว้ ด้วยเหตุที่ว่าเขาใช้กระบวนเคล็ดวิชาประจำสกุลไปถึงสองกระบวนท่า ก็ยังมิอาจเฉียดผิวกายบุรุษตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย

หลิวเยี่ยนเฟยจึงหยุดเคลื่อนไหวแล้วหรี่ตามองหลิวมู่เหยียนอย่างใช้ความคิด เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนไปในหนนี้ได้ ด้วยเหตุที่ว่าก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ชั่วยาม หลิวมู่เหยียนยังมิอาจหลบฝ่ามือของเขาได้สักหน แต่มาหนนี้กลับสามารถหลบกระบวนท่าที่ตนฝึกฝนมาอย่างยาวนาน

‘เหตุใดมันถึงหลบกระบวนท่าเหล่านี้ได้’

หลิวเยี่ยนเฟยสบถออกมาอย่างมิพอใจ เขาจ้องมองไปยังบุรุษร่างซูบผอมด้วยสายตาที่แสนจะชิงชัง ก่อนเริ่มเดินลมปราณ เพียงไม่นานสายปราณสีฟ้าเข้มสายหนึ่งก็พันรอบฝ่ามือตน จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปหาร่างของพี่น้องต่างมารดาอย่างไม่รั้งรอ

ในยามนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงสบถออกมาเบาๆ ว่าแย่แล้วอยู่ครามครัน

แม้ในอดีตเขาจะบรรลุการฝึกฝนจนถึงขั้นกุ่ยเซียน[1] มาก็ตามที แต่ร่างนี้หาใช่ร่างที่ฝึกฝนมาอย่างยาวนานไม่

ด้วยความที่ร่างนี้ยังคงเป็นเพียงดรุณตัวน้อยที่ผ่านโลกมาได้ไม่นาน ซ้ำยังมิเคยฝึกฝนลมปราณใดๆ เลยสักหน แล้วเขาจะไปปะทะกับฝ่ามือของผู้ฝึกยุทธ์ระดับสามที่เต็มไปด้วยจิตสังหารได้อย่างไร หากขืนออกแรงมากไปร่างนี้คงได้กระเด็นแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี

จ้าวเสี่ยวหมิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงเลือกเอาแต่หลบกระบวนท่าที่พี่ชายต่างมารดาอัดกระแทกเข้าใส่ มิยอมออกแรงตอบโต้ให้เสียกำลังสักนิดเดียว

โดยไม่ได้รู้สักนิดเลยว่าการกระทำดังกล่าว ได้ตกอยู่ใต้สายตาของหยางซิวอวี่เจ้าสำนักหยางเจียนที่เดินมาเยี่ยมชมการประลองในครั้งนี้ด้วยความบังเอิญแบบไม่รู้ตัว

หยางซิวอวี่ผู้นี้สวมแพรพรรณสีขาวเนื้อดี อายุอานามก็ย่างเข้าวัยแปดสิบสี่ ใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยที่ร่วงโรยลงไป ทว่าท่วงท่าความแข็งแรงยังมิเสื่อมสลายไปทางใด เคราสีขาวยาวลงถึงกลางอก นัยน์ตาสีดำสนิทที่หรี่ลงมองดูการประลองในครั้งนี้ฉายแววพราวระยับอย่างนึกสนุกอยู่ภายใน เขาลูบเคราขึ้นลงแล้วหัวเราะร่วนอย่างชอบใจยามได้เห็นการกระทำที่บุรุษร่างกายซูบผอมเผยออกมา

“อาเหลียง เจ้าลองทายดูสิว่าใครฝีมือเหนือกว่ากัน”

เขาเอ่ยถามบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล คนผู้นี้สวมใส่แพรพรรณเนื้อดีสีขาวเฉกเช่นเดียวกับชายชรา ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย นัยน์ตาสีดำสนิทดุจพญาเหยี่ยวน่าเกรงขามรับกับจมูกโด่งเป็นสันแลดูหยิ่งผยองและทะนงอยู่ภายใน  ริมฝีปากบางเฉียบเข้ากับกรอบหน้าได้อย่างวิจิตรบรรจง องคาพยพทั้งห้าเมื่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งแล้วมิได้ด้อยไปกว่าผู้ใด

ยามได้ยินคำเอ่ยของชายชรา หยางหยุนเหลียงที่ยังมองทางลานฝึกของสกุลหลิวอยู่มิได้สายตาไปทางใด ก็เอ่ยออกมาด้วยวาจาสุขุมเบาๆ “คงจะเป็นคุณชายรองของสกุลหลิวกระมังที่ฝีมือเหนือกว่าน่ะท่านปู่”

“เจ้ายังฝึกไม่ถึงขั้นนะอาเหลียง”

ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นัยน์ตาสีดำสนิทยังคงจับจ้องมองไปยังเจ้าของร่างบอบบางที่กำลังหลบกระบวนท่าของบุตรชายคนรองแห่งสกุลหลิวไปมาด้วยท่วงท่าที่พลิ้วไหว ริมฝีปากบางก็พลันยกยิ้มขึ้นมาอย่างพึงใจ ก่อนเจ้าตัวจะใช้ปลายเท้าสะกิดก้อนหินก้อนเล็กๆ ลูกหนึ่งขึ้นมาจากผืนดินแล้วคว้าเอาไว้ในมือตน

นัยน์ตาสีดำสนิทเพ่งมองไปยังหลิวมู่เหยียนที่อยู่กลางลานฝึกยุทธ์ฉายแววพราวระยับอย่างนึกสนุก เขาเดาะหินก้อนเล็กในมือขึ้นลง ก่อนเจ้าตัวจะปรายหางตามองไปทางหยางหยุนเหลียงผู้เป็นหลานในไส้ที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความขำขันอยู่ในที “เจ้าคิดว่าเขาจะหลบวิชาดัชนีวายุร่อนระบำที่ข้าใส่พลังปราณลงไปแปดในสิบส่วนได้หรือไม่”

“หลานคิดว่าคงหลบไม่พ้นกระมังขอรับท่านปู่” หยางหยุนเหลียงเอ่ยเสียงเรียบออกมา ก่อนจะจ้องมองไปยังเจ้าของร่างกายซูบผอมอย่างมิใคร่พอใจ ทั้งๆ ที่คนผู้นี้ดูๆ แล้วก็น่าจะมีวรยุทธ์อยู่บ้างพอประปราย ซ้ำยังเป็นบุรุษแท้ๆ กลับเอาแต่หลบไปมา มิยอมเผชิญหน้าอย่างห้าวหาญ ไร้ซึ่งความสามารถอย่างสิ้นเชิง “บุรุษเช่นนี้หาได้มีฝีมือไม่ มิสู้หลบใต้ชายกระโปรงของสตรีไปเลยเสียดีกว่า เพียงแค่หลบกระบวนท่าของคุณชายรองหลิวที่ซัดกระแทกใส่ตนก็แทบเต็มกลืนแล้วขอรับ คนเช่นนี้จะหลบวิชาดัชนีของท่านปู่ได้อย่างไรขอรับ”

“งั้นข้าจะทำให้เจ้าดูว่าคนผู้นี้หลบได้หรือไม่ได้”

กล่าวจบชายชราก็ดีดลูกหินด้วยวิชาดัชนีวายุร่อนระบำเคล็ดวิชาประจำสกุลที่อัดแน่นไปด้วยปราณแปดในสิบส่วนของตนอย่างรวดเร็ว และด้วยแรงส่งบวกกับพลังปราณที่สูงส่งเช่นนี้ เป็นเหตุให้ก้อนหินลูกดังกล่าวพุ่งทะยานไปยังเป้าหมายราวกับสายฟ้าฟาดลงมา

ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงที่กำลังหลบกระบวนท่าที่เจ็ดของหลิวเยี่ยนเฟยอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงบางอย่างแหวกอากาศเข้ามา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจึงหรี่ลงอย่างใช้ความคิด ก่อนจะปรายมองมายังเสียงดังกล่าวที่ดังอยู่ด้านข้างของตน ภาพที่สะท้อนให้เห็น คือก้อนหินลูกเล็กๆ ที่พุ่งเข้ามาใส่ล้อมรอบด้วยปราณสีขาวบางๆ ห่อหุ้มไว้

ยามได้เห็นเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงลอบกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงในลำคออย่างลำบาก หากเขาเอาแต่ระวังกระบวนท่าของหลิวเยี่ยนเฟยที่อัดกระแทกเข้ามา ก็อาจทำให้ตนหลบหินลูกนี้มิพ้น ร่างกายคงได้แหลกเป็นผุยผงหากโดนเข้าไป 

ในครานั้นเองจ้าวเสี่ยวหมิงจึงเลือกที่จะเบี่ยงกายหลบลูกหินก้อนเล็กๆ ที่พุ่งเข้ามาหมายจะเอาชีวิตตน ซึ่งมันก็ผ่านปลายจมูกเขาไปเพียงเสี้ยวธุลี แล้วพุ่งตรงไปกระทบกับเชิงผาที่ห่างไปไม่ไกลจนเกิดเสียงดังสนั่น

สายตาทุกคู่ที่อยู่ในละแวกใกล้ต่างหันไปจับจ้องที่มาของเสียงดังกล่าวอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะมีคนในสำนักวิ่งไปยังทางต้นเสียงราวสามสี่คน มีเพียงผู้ถูกกระทำเท่านั้นที่ปรายหางตามองหาที่มาของหินลูกนั้นอย่างมิพึงใจ

ภาพที่เห็นคือชายชราสวมแพรพรรณสีขาวเนื้อดี ยืนลูบเคราสีขาวยาวถึงกลางอกด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายและกำลังหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ ซึ่งข้างกายของชายชราผู้นั้นก็มีบุรุษหนุ่มอายุราวๆ สิบแปดปียืนอยู่ข้างกัน

นัยน์ตาสีดำสนิทของบุรุษหนุ่มผู้นั้นกำลังสบถด่าเจ้าของร่างที่จ้าวเสี่ยวหมิงเข้ามาสิงสู่ด้วยความมิชอบใจอย่างไม่ปิดบัง จนคนถูกกล่าวขวัญอ่านออกได้จากทางสายตา

ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงได้แต่สบถเสียงเบาออกมา “ไอ้หยา… เกือบไปแล้วไหมล่ะ ดีนะที่ข้าหูดีมิเช่นนั้นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นคงเล่นงานข้าเป็นแน่แท้” ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบปลายจมูกตนไปมา แล้วหันหน้ากลับไปเผชิญหน้ากับหลิวเยี่ยนเฟยตามเดิม

ทว่าเพราะมัวแต่มองหาคนที่ส่งลูกหินที่พุ่งเข้ามาทำร้ายจึงไม่ทันได้ระวังตัวดี ฝ่าเท้าของหลิวเยี่ยนเฟยก็พุ่งมาถึงตรงหน้าตนเสียแล้วจะหลบก็มิอาจหลบไปทางใดพ้น

จ้าวเสี่ยวหมิงจึงได้แต่ร้องเสียงหลงอย่างตกใจ “ไอ้หยา...หลบไม่ทันแล้ว” ก่อนฝ่าเท้าข้างนั้นที่เต็มไปด้วยพลังปราณราวแปดในสิบส่วนจะถีบเข้ามาตรงยอดอกของเขาเข้าอย่างจัง ด้วยแรงถีบส่งที่มากมายมหาศาล เป็นเหตุให้ร่างผอมบางถึงกับกระเด็น

ยามได้เห็นหลิวมู่เหยียนพลาดท่าเสียที หยางหยุนเหลียงก็เอ่ยออกมาว่า “เห็นไหมขอรับท่านปู่ถึงแม้เขาจะหลบลูกหินพิฆาตนั่นพ้น แต่คนเช่นเขาก็ถูกคุณชายรองหลิวเล่นงานอยู่ดี” นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองภาพที่หลิวมู่เหยียนกำลังลอยละลิ่วด้วยแรงถีบส่งอย่างระอา เขาส่ายศีรษะไปมาอย่างนึกขันเอ่ยออกมาได้ไม่ผิดคำพูดเสียเมื่อไรกัน

ทว่ามีเพียงชายชราที่ยืนอยู่ข้างกันปรายหางตามองหลานในไส้ แล้วกระหยิ่มยิ้มย่องราวกับกำลังคิดบางอย่างอยู่ภายใน ก่อนจะกล่าวด้วยถ้อยคำเพียงสั้นๆ ว่า “เจอคนเดือดร้อนเหตุใดเจ้าจึงไม่รีบช่วยเขาเล่า” กล่าวจบหยางซิวอวี่ก็อัดกระแทกฝ่ามือด้วยปราณหนึ่งในสิบส่วนเข้าใส่ผู้เป็นหลานในไส้ของตน

แรงที่ส่งเป็นเหตุให้หยางหยุนเหลียงที่ไม่ทันได้ระวังตัวดีเซถลา จนต้องมาเผชิญหน้ากับร่างที่ลอยละลิ่วเข้ามาหาแบบพอดิบดี

จะหลบก็มิได้จะหนีก็ไม่พ้น ในใจพลันสาปส่งผู้เป็นปู่อย่างมิใคร่พอใจ ก่อนเจ้าตัวต้องอ้าแขนรับร่างผอมบางนั่นเอาไว้ด้วยความจำใจ แต่ด้วยแรงมหาศาลที่อัดกระแทกจากฝ่าเท้าของหลิวเยี่ยนเฟยเป็นเหตุให้หยางหยุนเหลียงต้องโอบร่างของหลิวมู่เหยียนให้กระชับขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว

หยางหยุนเหลียงร่นถอยหลังเพียงแค่ก้าวเดียวสามารถหยุดแรงส่งที่อัดกระแทกเข้ามา ก่อนเจ้าตัวจะก้มหน้ามองมายังร่างที่อยู่ในอ้อมแขนตน

เมื่อร่างกายถูกหยุดด้วยแผ่นอกของบุรุษผู้สวมแพรพรรณสีขาวเนื้อดี ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงก็ได้สติคืนกลับมา เขาเงยหน้าสบมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังจ้องมาที่ตนอย่างระอา แล้วลอบสำรวจใบหน้านั้นอย่างระวัง

‘เจ้าหนูผู้นี้หน้าตาช่างคุ้นเคยยิ่งนัก...ข้าเคยพบเจอเขาที่ใดกัน

จ้าวเสี่ยวหมิงนึกภายในใจ หลังจากได้สบมองใบหน้าของหยางหยุนเหลียงแบบเต็มสายตา ก่อนเจ้าตัวจะทำทีหัวเราะแหะๆ ขัดตาทัพออกมา แล้วค่อยๆ หยัดกายอย่างเชื่องช้า พร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าระรื่นว่า “ขออภัยขอรับข้ามิทันได้ระวังตัวเลยทำให้พี่ชายต้องเดือดร้อนเช่นนี้” กล่าวจบก็ทำทีเป็นโค้งคารวะบุรุษตรงหน้าพอเป็นพิธี

“ช่างเถอะ เจ้ามันก็อ่อนหัดดั่งคำร่ำลือจริงๆ” หยางหยุนเหลียงเอ่ยอย่างระอาก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วย่างเท้ากลับมาสมทบกับผู้เป็นปู่ของตนซึ่งกำลังหารือกับหลิวซูหยวนที่อยู่ไม่ไกล

ยามเมื่อมาถึงก็ได้ยินหยางซิวอวี่เอ่ยด้วยวาจาราบเรียบดั่งสายน้ำไหล “ในปีนี้เจ้ามิลองส่งบุตรชายคนเล็กของเจ้าเข้าพิธีด้วยเล่ารองเจ้าสำนักหลิว” ก่อนเจ้าตัวจะเหลียวมองไปยังเจ้าของร่างซูบผอมที่กำลังยืนขอโทษขอโพยคุณชายรองแห่งสกุลหลิวอยู่ที่เดิมมิไปไหน

“คงมิได้กระมังขอรับท่านเจ้าสำนักหยาง บุตรชายของข้าผู้นี้ร่างกายอ่อนแอและไม่เคยฝึกฝนลมปราณใดๆ ซ้ำยังรวบรวมตันเถียนในกายมิได้ จะเข้าร่วมพิธีเปิดญาณทิพย์ก้าวข้ามปราณขั้นต้นได้อย่างไรขอรับ”

“ไม่ลองก็ไม่รู้ บุรุษที่สามารถหลบวิชาดัชนีวายุร่อนระบำของข้าพ้นมีอยู่ไม่น้อยก็จริง” หยางซิวอวี่เอ่ยอย่างอารมณ์ดี เขายกมือลูบเคราสีขาวราวกับเส้นไหมขึ้นลงด้วยท่วงท่าที่ผ่อนคลาย นัยน์ตาสีดำสนิทหรี่มองคู่สนทนา

แม้จะเห็นไอพิษปีศาจผูกพันลอยวนเวียนอยู่รอบกาย แต่ก็มิอาจช่วยเหลือสิ่งใดได้ ด้วยเหตุที่ว่าหลิวซูหยวนถูกไอพิษเช่นนี้คงมิใช่เรื่องเล็กน้อยเสียเมื่อไร หากยื่นมือเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า คนที่พ่นไอพิษชนิดนี้เข้าใส่อาจรู้ตัวได้เสียก่อน เขาจึงได้แต่มองแล้วเก็บเรื่องนี้ไปปรึกษาเจ้าสำนักหลิว หลิวหลี่เฉวียนอีกหนจะดีเสียกว่า ก่อนจะทำทีเป็นเอ่ยออกมา “แต่คนที่หลบได้นั้นส่วนใหญ่จะข้ามปราณขั้นต้นไปแล้วทั้งสิ้น”

“หากท่านเจ้าสำนักหยางออกตัวเช่นนี้ข้าน้อยคงมิอาจขัดได้” หลิวซูหยวนเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะปรายหางตามองบุตรนอกไส้ของตนอย่างเย็นชา แล้วกล่าวออกมาว่า “เพียงแต่บุตรชายของข้าผู้นี้มิเคยฝึกปราณพื้นฐานเลยสักระดับ ตัวข้าที่เป็นกรรมการฝ่ายควบคุมพิธีคงมิอาจจะลงไปฝึกเขาเองได้ และถ้าจะให้ศิษย์ในสำนักหลิวฝั่งตะวันออกมาช่วยฝึกมันก็อาจจะมิทันการ เกรงว่าหากถึงเวลาเข้าพิธีเขาอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียมากกว่ากระมัง” 

“ไม่เป็นไร ข้าจะให้หลานชายข้าที่ยังว่างอยู่ช่วยฝึกเขาอีกแรง”

ได้ยินเช่นนั้นหยางหยุนเหลียงที่ยืนฟังอยู่ถึงกับหางตากระตุกอย่างมิใคร่พอใจ ก่อนเจ้าตัวจะก้าวออกไปแล้วกล่าวว่า “ท่านปู่ข้ายังอ่อนด้อยประสบการณ์นัก ไหนเลยจะฝึกคุณชายสามหลิวได้เล่าขอรับ”

“ฮ่าๆ...มิเป็นไร…มิเป็นไร…คนที่ผ่านการฝึกปราณระดับสามเพื่อเตรียมตัวเข้าพิธีมาแล้วเช่นเจ้าถือว่าไม่ด้อยประสบการณ์หรอกนะอาเหลียง แถมการฝึกในครั้งนี้อาจช่วยให้เจ้าฝึกฝนตัวเองอีกด้วย” หยางซิวอวี่เอ่ยอย่างอารมณ์ดี เขาปรายหางตามองหลานในไส้ของตนด้วยแววตาพราวระยับอย่างนึกสนุก มือข้างหนึ่งลูบเคราสีขาวขึ้นลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้เป็นหลานชายที่ยืนทำสีหน้าหงุดหงิดราวกับแบกโลกนี้ไว้ทั้งใบ แล้วผินใบหน้าหันไปมองหลิวซูหยวนพลางกล่าวด้วยวาจาสุขุมแต่ผ่อนคลาย “ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไรเล่า รองเจ้าสำนักหลิว”

“หากเรื่องนี้เป็นความต้องการของท่านเจ้าสำนักหยางแล้ว ข้าน้อยหลิวซูหยวนคงมิอาจขัดได้ขอรับ” หลิวซูหยวนเอ่ยเสียงเรียบออกมา ก่อนจะย่างเท้าเข้าไปหาหยางหยุนเหลียงด้วยท่วงท่าที่ผ่อนคลาย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายสว่างวาบเพียงวูบเดียวก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างบางเบายามได้เห็นท่าทีที่บุรุษหนุ่มสวมใส่แพรพรรณสีขาวเผยความมิพึงใจให้เห็นอย่างแจ่มชัด ในใจพึงตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คงมิเห็นด้วยอย่างมิต้องคาดเดา “แต่ไม่ทราบว่าคุณชายสามหยางจะเห็นดีด้วยหรือไม่ อันนี้ต้องแล้วแต่เขานะขอรับ”

เป็นเหตุให้หยางหยุนเหลียงที่ถูกชายชรามัดมือชกพร้อมกับส่งสีหน้าอ้อนวอนกึ่งบังคับมาให้ ถึงมิอยากจะยินยอมตกลงเพียงไรก็ต้องจำใจตอบรับตามความต้องการของผู้ได้ชื่อว่าเป็นปู่ตนเองอยู่ดี เพราะเห็นว่าแม้ใจดีแบบนี้เวลาโดนขัดใจจนงอนขึ้นมา เขายังต้องหิ้วสุราอู่เหลียงเย่[2] ไปง้อเสียหลายไห ขืนครานี้ต้องมาง้ออีกครั้งคงต้องเหมาทั้งโรงกลั่นนั่นปะไร

หยางหยุนเหลียงจึงได้แต่ฝืนยกยิ้มอย่างจำใจ แล้วกล่าวด้วยประโยคด้วยวาจาราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความไม่เต็มใจออกมา “หากท่านปู่ว่าเช่นนั้นข้าหยางหยุนเหลียงคงมิอาจขัดใจได้ขอรับ” กล่าวจบก็ปรายหางตาหันไปมองหลิวมู่เหยียนที่กำลังหลบเลี่ยงกระบวนท่าที่หลิวเยี่ยนเฟยซัดกระแทกใส่อย่างระอาเต็มทน

“หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนท่านเจ้าสำนักหยางกับคุณชายสามหยางแล้ว”

หลิวชูหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความไม่พอใจเอาไว้ ก่อนจะย่างเท้าไปหาจูเล่ยบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วกล่าวเสียงเบาออกไป “ช่วยไปตามเจ้าสามมาให้ข้าที”

“ขอรับนายท่าน”

จูเล่ยเอ่ยรับคำเพียงแค่นั้นก็โค้งคำนับพอเป็นพิธี ก่อนจะหมุนกายแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปยังลานฝึกยุทธ์อย่างรวดเร็ว

เพียงไม่นานหลังจากนั้น หลิวมู่เหยียนก็เยื้องย่างมาถึงวงสนทนา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปมาเห็นว่ารอบกายผู้เป็นบิดาเจ้าของร่างนี้มีไอสีเขียวจางๆ พันวนอยู่โดยรอบก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมาอย่างระอา

โดนพิษของไอปีศาจผูกพันอีกครั้งจนได้สินะ

จ้าวเสี่ยวหมิงสบถในใจอย่างนึกขัน เขาเมียงมองไปยังบิดาเจ้าของร่างอย่างพินิจอีกเพียงครั้ง ก่อนจะหันหน้าไปสบมองชายชราที่ยืนมองเขาอยู่ไม่ไกล แล้วกล่าวด้วยถ้อยคำสุภาพว่า “ข้าน้อยหลิวมู่เหยียนขอคารวะท่านพ่อและผู้อาวุโสหยางขอรับ” ก่อนจะผินใบหน้าหันไปมอง หยางหยุนเหลียงที่ยืนอยู่อีกด้านอย่างสำรวมกิริยา “และพี่ชายหยางด้วยขอรับ”

“ไม่ต้องมากพิธี” หลิวซูหยวนกล่าวเสียงเรียบ แล้วยกมือขึ้นห้าม ก่อนจะหันหน้าไปสบมองหยางซิวอวี่ด้วยสายตาเรียบเฉยไร้อารมณ์เฉกเช่นทุกที พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าแฝงไปด้วยความกดดัน “อีกไม่นานจะมีพิธีเปิดญาณทิพย์เพื่อเลื่อนระดับขั้นปราณ ท่านเจ้าสำนักหยางอยากให้เจ้าเข้าร่วมพิธีนั้นกับพี่ชายรองของเจ้าด้วยเช่นกัน เจ้าจะขัดสนหรือไม่”

‘พิธีเปิดญาณทิพย์...พิธีนี้อีกแล้วใครเล่าอยากจะเข้าร่วมเป็นหนที่สองกัน

จ้าวเสี่ยวหมิงสบถภายในใจ หลังจากได้ยินชื่อพิธีนั้นอีกครั้ง พิธีที่เขาเคยเข้าร่วมเมื่อครั้งยังเยาวว์วัย บุรุษหนุ่มจึงลอบปรายหางตามองไปยังหยางซิวอวี่ด้วยความพินิจก็เห็นรอยยิ้มพรายอย่างนึกสนุกของชายชรา เป็นเหตุให้เขาต้องถอนหายใจกับความขี้เล่นนี้อย่างระอา 

เพราะเขาจำได้ว่าการเข้าพิธีนี้ หากใครยังมิสามารถฝึกจนถึงระดับสาม ก็มิอาจเข้าร่วมได้เช่นกัน พิธีที่เปลืองกำลังกายและต้องใช้ปราณไปไม่น้อย ขืนให้เข้าร่วมอีกหนเขาคงถูกจับแยกส่วนเป็นชิ้นๆ เสียก่อนจะได้ทำอันใด เพราะสีของปราณที่ไม่เหมือนใคร ปราณสีดำมืดที่มีเพียงพวกเผ่ามารและปีศาจบางตนเท่านั้นที่มีได้ ครั้งก่อนนั้นผ่านพิธีดังกล่าวมาได้เพราะสีปราณของตนในตอนนั้นยังเป็นสีเทามิได้มีสีเข้มจนดำมืดอย่างที่เห็น ซ้ำในครานั้นยังไม่รู้ด้วยว่าตนเองมีสายเลือดครึ่งหนึ่งเป็นมาร แล้วคราวนี้เหล่าใครจะช่วยเขาปกปิดกัน

ก่อนจะนึกได้ว่าเจ้าของร่างนี้ถูกทำลายตันเถียนจนมิอาจหลอมรวมลมปราณให้เป็นหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงกล่าวเลี่ยงด้วยน้ำเสียงราบเรียบกลับว่า “คงไม่ดีกระมังขอรับท่านพ่อ ข้านั้นหามีพลังปราณที่ดีไม่ ซ้ำยังมิอาจรวบรวมตันเถียนภายในกายได้เพราะถูกทำร้ายร่างกายเมื่อครั้งในอดีต ไหนเลยจะเข้าร่วมพิธีอันสูงส่งเช่นนั้นได้เล่าขอรับ”

“ไม่ต้องห่วง...เรื่องนั้นข้าจะให้อาหยางที่ยังว่างช่วยฝึกฝนเจ้าอีกแรง” หยางซิวอวี่ชิงเอ่ยขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะผายมือไปยังหลานในไส้ที่ยืนตีหน้าตึงอย่างมิพึงใจอยู่ข้างตนแล้วหัวเราะร่วนออกมา “หากอาหยางฝึกเจ้าแล้วยังไม่ถึงขั้นที่สามารถร่วมพิธีได้ นั่นคงเป็นชะตาที่ฟ้ากำหนดให้ ยามนั้นเจ้าค่อยถอดใจ”

เป็นเหตุให้จ้าวเสี่ยวหมิงจำต้องหันหน้ามองตามมือของชายชราที่ชี้ทางไป ภาพที่เห็นคือนัยน์ตาสีดำสนิทของหยางหยุนเหลียงที่จ้องเขม็งมายังตนอย่างกดดันจนถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ แล้วอุทานออกมาดัง “อึ๋ย...” หางคิ้วทั้งสองข้างพลันกระตุกยิกสองสามครั้งอย่างตระหนก ยามได้เห็นสายตาที่มิใคร่พอใจส่งมาให้ เขาจึงได้แต่ลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากลงคอไป แล้วเอ่ยเสียงเบาออกมา “มันจะมิเป็นการรบกวนพวกท่านหรือขอรับ”

“อย่าคิดเช่นนั้นสิอาเหยียน คนกันเองทั้งนั้น ฮ่าๆ” ชายชรากล่าวแล้วหัวเราะเสียงดัง มือข้างหนึ่งลูบเคราขึ้นลงอย่างช้าๆ นัยน์ตาสีดำสนิทปรายหางตาไปมองหลานในไส้พลันหรี่ลง “อีกอย่างข้าอยากให้อาเหลียงได้ดูแลเจ้าในฐานะน้องชายดูสักหน”

“หากเป็นความต้องการของท่านผู้อาวุโสหยางแล้วล่ะก็ ข้าน้อยหลิวมู่เหยียนคงมิอาจขัดได้” 

“ดียิ่ง” หยางซิวอวี่เอ่ยออกมา “งั้นวันนี้ข้าจะล่วงหน้ากลับไปก่อน ข้าจะให้อาเหลียงค้างที่นี่หนึ่งวันเพื่อรอไปสำนักหยางพร้อมกับเจ้าในยามตะวันรุ่ง เตรียมตัวให้พร้อมข้าอนุญาตให้เอาบ่าวรับใช้ข้างกายไปได้สองคน ท่านรองสำนักหลิวเห็นชอบด้วยหรือไม่” 

“หากท่านยืนกรานมาเช่นนี้ ข้าคงต้องขอรบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว” หลิวซูหยวนเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะหันไปสบมองหลิวมู่เหยียนด้วยสายตาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แล้วกล่าวด้วยถ้อยคำสุขุมเยือกเย็นออกไป

“อาเหยียนงั้นเจ้าก็ไปเตรียมตัวเสียเถอะอย่าให้เสียเวลา”

“ขอรับท่านพ่อ” จ้าวเสี่ยวหมิงฝืนใจตอบกลับไป นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหลุบต่ำเพื่อซ่อนสีหน้ายากจะกล่าวของตนเอาไว้ ในใจพลันสาปส่งความขี้เล่นของหยางซิวอวี่อย่างมิพอใจ ก่อนจะพยายามใช้ความคิดเพื่อหาทางเอาตัวรอดในครั้งนี้ให้ได้ แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีหนทางสว่างสักเท่าใด เขาจึงเงยหน้าขึ้นแล้วกวาดสายตาไปมาอย่างหนักใจ พลางเอ่ยออกไปว่า “หากมิมีอะไรแล้วข้าน้อยหลิวมู่เหยียนต้องขอตัวไปเตรียมตัวก่อนนะขอรับ...คารวะท่านทั้งสามที่เมตตา” กล่าวจบบุรุษหนุ่มร่างกายซูบผอมก็หมุนกายแล้วรีบย่างเท้าเดินออกไป

ยามเซิน[3]

“จริงหรือขอรับคุณชายสาม” เสียงของฉืออ้ายพล่ามออกมาอย่างดีใจ ยามได้ยินผู้เป็นนายเล่าเรื่องที่ตนเองจะได้ติดสอยห้อยตามไปสำนักหยางเจียน นัยน์ตาสีเทาทอประกายพราวระยับราวกับอยู่ในห้วงฝันอย่างไม่ปิดบัง แล้วกล่าวออกไปอีกครั้งคล้ายกับสิ่งที่ได้ยินมานั้นเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่านไป “บ่าวมิได้หูฝาดไปใช่ไหมขอรับ”

“อือ…เจ้ามิได้หูฝาดไปหรอกฉืออ้าย”

จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ราวกับคนคล้ายจะขาดใจ ก่อนเจ้าตัวจะนั่งลงบนตั่งไม้โทรมๆ แล้วเอาใบหน้าฟุบลงอย่างรู้สึกเกียจคร้านเต็มทน

เพราะตั้งแต่ที่ตัวเขานั้นได้ถอดดวงจิตออกจากร่าง กว่าจะได้เข้ามาในร่างนี้ก็กินเวลาไปถึงห้าเดือนเต็ม แต่พอได้เข้ามาสิงสู่ในร่างของหลิวมู่เหยียนเพียงไม่กี่ชั่วยามก็ดันมาเกิดเรื่องราวต่างๆ มากมายไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังต้องมาเปลืองกำลังกายไปกับการรับมือหลิวเยี่ยนเฟยเสียหลายกระบวนท่า โดนฝ่าเท้าที่มีพลังปราณแปดในสิบส่วนของผู้ฝึกปราณระดับสามซัดกระแทกเข้าใส่แบบไม่มีออมแรง ไหนเลยร่างกายซูบผอมนี้จะรับไหว เป็นเหตุให้หมดสภาพอย่างน่าอนาถ

“อยากแช่น้ำสมุนไพรทิพย์โอสถของตาเฒ่าหวงจัง”

จ้าวเสี่ยวหมิงสบถพึมพำเสียงเบาอย่างอ่อนแรง เขาโหยหาถึงสมุนไพรโอสถทิพย์ที่ในหมู่ผู้ฝึกตนมักใช้แช่เพื่อให้มีกำลังกายที่แข็งแรง สามารถรักษาบาดแผลทุกอย่างทั้งภายนอกและภายใน เป็นสมุนไพรเมื่อครั้งในอดีตที่ตัวของเขาเคยใช้แช่ตั้งแต่เยาว์วัย ซึ่งในบางครั้งยังเมินมันเสียด้วยซ้ำไป โดยให้เหตุผลออกไปว่าร่างกายของตนนั้นแข็งแกร่งดุจหินผาจะแช่ให้เสียเวลาไปทำไม

มาบัดนี้ตนเองนั้นกลับได้แต่หวนถวิลหายามเมื่อร่างกายได้รับความบอบช้ำภายใน ถึงจะกู่ก้องร้องตะโกนว่าอยากได้สักเพียงใดก็ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของสมุนไพรมาให้ดอมดม

จ้าวเสี่ยวหมิงได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างระอา บุรุษหนุ่มพลิกใบหน้าไปมาบนโต๊ะไม้เก่าๆ อย่างเหนื่อยใจ

ทว่าในคราที่หลิวมู่เหยียนพึมพำออกมาไม่ทันไร ฉืออ้ายที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวเข้าพอดีก็คลานเข่าเข้าไปหาผู้เป็นนายแล้วเอ่ยออกมาว่า “สมุนไพรทิพย์โอสถสำหรับแช่เพื่อปรับสมดุลของร่างกายที่นี่ก็มีนะขอรับ” 

“จริงเหรอ”

“จริงขอรับ” ฉืออ้ายอ้อมแอ้มตอบกลับไป นัยน์ตาสีเทาหม่นแสงหลุบต่ำลง ยามเมื่อพึงตระหนักได้ว่าเอ่ยไปก็เท่านั้น เพราะคนตรงหน้าไม่อาจหย่อนกายลงแช่ได้อย่างอำเภอใจ แต่กระนั้นความรู้สึกของฉืออ้ายราวกับมีลางสังหรณ์บางอย่างมันสั่งให้เอ่ยบอกออกไป “แต่ส่วนใหญ่นายท่านจะให้ใส่ไว้ในโรงอาบน้ำของสำนักเพื่อให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายได้แช่กันน่ะขอรับ เพียงแต่ร่างกายของคุณชายสามไม่สู้ดี ยามได้ลงแช่คราใดก็มีผื่นแพ้ขึ้นตามร่างกาย นายท่านจึงห้ามมิให้ท่านลงน่ะขอรับ”

“เป็นเช่นนั้นเองรึ มิน่าเล่าร่างกายข้าถึงได้บอบบางไม่ต่างจากร่างของสตรี” จ้าวเสี่ยวหมิงพึมพำเสียงเบา เขายกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วเลิกแขนเสื้อลงมา ภาพที่เห็นมีเพียงผิวหนังบอบบางขาวซีดอยู่ภายใน ก่อนจะทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างระอาเต็มทน “แล้วเช่นนี้จะมีวิธีใดที่ข้าสามารถทำให้ร่างร่างนี้แข็งแกร่งได้เหมือนร่างก่อนของข้ากัน”

“ท่านเอ่ยว่ากระไรนะขอรับ ร่างก่อนคืออันใด”

“อย่าใส่ใจ…อย่าใส่ใจ พอดีช่วงนี้หัวข้ากระแทกบ่อยๆ เลยเลอะเลือนบ้างเป็นครั้งคราว” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ ยามเผลอกล่าวในสิ่งที่มิสมควรลงไป ก่อนจะผงกศีรษะขึ้นมาแล้วผินใบหน้าหันมาสบนัยน์ตาสีเทาของคนข้างกาย “ข้าก็แค่เพ้อเจ้อไปอย่างนั้น อย่าได้ใส่ใจเลย”

“เช่นนั้นหรือขอรับ”

ฉืออ้ายได้แต่อ้อมแอ้มตอบกลับเสียงเบา เขาพยายามลอบมองท่าทีของผู้เป็นนายอย่างฉงน ภาพที่เห็นมีเพียงแววตาขี้เล่นและซุกซน มิเหมือนคุณชายสามคนเก่าที่ชอบนั่งทำหน้าอมทุกข์แลดูสิ้นหวังตลอดเวลา แล้วพยายามเขียนหนังสือด้วยหยาดน้ำตาจนแผ่นหวงจือบวมพองเฉกเช่นทุกครั้ง แต่ถึงกระนั้นไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นเช่นไร เขาก็ยังคงเคารพมิเสื่อมคลายอยู่ดี

ยามเห็นแววตาไม่เข้าใจจากคนตรงหน้า จ้าวเสี่ยวหมิงจึงยกยิ้มขึ้นมาอย่างนึกขัน ปล่อยให้คนผู้นี้ไม่เข้าใจเช่นนั้นต่อไปเสียดีกว่า เพราะหากรับรู้ได้ว่าตัวตนของเขานั้นหาใช่ผู้เป็นนายคนก่อนของเขาไม่ อาจมีปัญหามากมายตามมา ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงรีบเอ่ยออกไป “จริงสิตาเฒ่าหยางบอกให้ข้าเอาคนรับใช้ไปได้สองคนนี่” เพื่อเปลี่ยนเรื่องราวในครั้งนี้ จะได้มิให้คนข้างกายต้องมาคลางแคลงสิ่งใด

ได้ยินเช่นนั้นฉืออ้ายจึงเอ่ยออกไป “แต่ในเรือนนี้ท่านมีแค่ข้าคนเดียวนะขอรับที่เป็นบ่าวรับใช้” แล้วกวาดสายตาไปมา เพื่อมองหาบ่าวรับใช้ในเรือนนี้ ทั้งๆ ที่ตนเองนั้นรู้ดีว่าในละแวกนี้มีเพียงแค่ตนเองเท่านั้นที่ได้อยู่รับใช้ผู้เป็นนาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองหาดู “แล้วท่านจะให้ใครไปด้วยอีกคน

“นั่นสิ” จ้าวเสี่ยวหมิงกล่าวออกมาเพียงแค่นั้น คิ้วเข้มพลันขมวดมุ่นเข้าหากันราวกับครุ่นคิดบางอย่างอยู่ภายใน เพียงครู่เดียวริมฝีปากบางก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ยามคิดถึงใบหน้าของดรุณตัวน้อยที่หิ้วถังมูลอยู่ด้านหลังเรือนใหญ่เพียงลำพัง “จริงสิเจ้าหนูไท่จูนั่นไง”

“ไท่จู...ไท่จูไหนขอรับ”

“ก็ไท่จูเด็กน้อยที่ทำหน้าที่เก็บมูลเอาไปทิ้งนั่นยังไง ข้าต้องการให้เขาไปกับข้า” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ก่อนเจ้าตัวจะหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจสายน้ำไหลไร้ความกังวลใดๆ ปรากฏให้เห็น “เด็กเช่นเขามิสมควรทำงานอยู่เช่นนั้น”

“มันจะดีหรือขอรับ” ฉืออ้ายเอ่ยอย่างกังวล นัยน์ตาสีเทาฉายแววหมองหม่นอยู่ภายใน แม้จะดีใจที่ตนนั้นจะได้เพื่อนมาคอยรับใช้ แต่ทางพ่อบ้านของสกุลคงมิยินยอม “ข้าเกรงว่าหากท่านเอาเด็กน้อยผู้นั้นไปพ่อบ้านชูอาจมิพอใจเอานะขอรับ”

“ช่างเขาสิ” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยเสียงเรียบ เขาบิดกายไปมาอย่างเกียจคร้านจนกระดูกลั่นเสียงดัง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มพราวระยับทอประกายราวกับแก้วใส มิมีความเกรงกลัวสิ่งใดอยู่ภายในเผยให้เห็นแม้เพียงเสี้ยว ก่อนจะผินใบหน้าหันมาสบมองบ่าวรับใช้ในเรือนตนแล้วเอื้อนเอ่ยประโยคออกมา “เดี๋ยวเจ้าไปช่วยหาเด็กผู้นั้น แล้วบอกให้เขาอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ ก่อนพาเขามาพบข้าที”

ยามได้เห็นทั้งสีหน้าและแววตาของผู้เป็นนายในครั้งนี้ ฉืออ้ายจึงตอบรับออกไปอย่างมิหวาดหวั่นสิ่งใด “ขอรับ” ก่อนเจ้าตัวจะหยัดกายลุกขึ้นยืน แล้วรีบย่างเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อฉืออ้ายเดินออกไปเพียงไม่นาน เมื่อจ้าวเสี่ยวหมิงได้อยู่เพียงลำพัง จิตใจจึงพลันระลึกถึงพิธีเปิดญาณทิพย์ที่ได้ยินมาจากหยางซิวอวี่นั่นอีกครั้ง ก็ชวนให้รู้สึกอึดอัดใจ เขาจึงพึมพำออกมาว่า “ลองถอดจิตดูดีกว่า หากถอดได้ข้าจะได้ไปให้พ้นๆ จากตรงนี้เสียที” 

เพราะถ้าหากเขาถอดวิญญาณออกไปก็จะได้เป็นอิสระจากร่างๆ นี้ ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงยอบกายนั่งลงบนพื้น ก่อนจะยืดหลังนั่งตัวตรง เขากำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อปรับลมปราณภายใน แต่ทว่ายามใช้ลมปราณไปเพียงสามในสิบส่วน ร่างกายก็สั่นสะท้านเสียอย่างนั้น ลมหายใจสะดุดราวกับมีบางอย่างมาอุดกลั้น ช่องท้องปั่นป่วนตีคุอยู่ภายใน ก่อนจะสำรอกโลหิตคำใหญ่ออกมา และสุดท้ายสมาธิทั้งหมดก็พลันสิ้นสุดลง

‘เหตุใดข้าถึงมิอาจถอดจิตได้

จ้าวเสี่ยวหมิงสบถภายในใจ ก่อนจะรีบเช็ดคราบโลหิตที่สำลักออกมาอย่างรีบเร่ง แล้วลองทำดูอีกหน แต่ไม่ว่าจะพยายามทำสักเพียงใด ก็ไร้ผลเช่นเดิมอยู่ดีทว่าในขณะที่กำลังลองฝืนทำหนที่สามอยู่นั้น ก็มีเสียงของบุรุษที่คุ้นหูก็ดังแว่วเข้ามา

“หยุดเสียเถิด มันมิได้ผลหรอกจอมมารฝูหมิง แล้วถ้าเจ้ายังฝืนทำเช่นนั้นต่อไป ก็รังแต่จะให้ร่างนี้ของเจ้ามิสามารถใช้งานอย่างที่ใจต้องการได้” คำกล่าวนั้นเต็มไปด้วยความระอาอย่างมิอาจปกปิด ราวกับสิ่งที่จ้าวเสี่ยวหมิงกระทำนั้นเป็นเรื่องสูญเปล่าเสียเหลือเกิน “มันเป็นชะตากรรมที่เจ้าก่อจนต้องมาผูกติดกับร่างนี้อย่างไรเล่า”

“เพราะเหตุใดเฮาหนี่ ท่านบอกข้าเพียงแค่ว่ามีคนแย่งร่างข้าไปโดยมิชอบ ท่านก็ส่งข้ามาอยู่ในร่างดรุณตัวน้อยที่ไม่แม้จะเคยร่ำเรียนวิชา ด้วยเหตุนี้ข้าจะยอมอยู่เฉยให้ตนเองถูกฉีกเนื้อหนัง ถูกกักขังดวงวิญญาณไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอย่างที่คนพวกนั้นทำกับบิดาข้าเช่นครั้งในอดีตได้อย่างไร หากถูกกระทำเช่นนั้นข้าก็มิอาจไปแก้ไขในสิ่งที่ต้องการได้”

“เจ้ายังมิรู้อีกหรืออย่างไรว่าปัญหาที่เจ้าได้ก่อใหญ่มากกว่าที่เจ้าได้คิดไว้”

“มันจะใหญ่โตสักเพียงใด ก็แค่มีคนแย่งร่างข้าไป” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยทวนคำอีกครั้ง หลังจากได้ยินสิ่งที่เฮาหนี่กล่าวออกมา บุรุษหนุ่มเงยหน้าขึ้นราวกับว่าทำเช่นนั้นแล้วจะได้พบเจอคู่สนทนา 

“มีผู้ก่อความวุ่นวายวิญญาณคนตายถูกช่วงชิง เหตุเป็นเช่นนี้ล้วนต้องขอบใจเจ้า เพราะผู้ที่ช่วงชิงร่างของเจ้าไปใช้ร่างของเจ้าก่อกรรมเพื่อหมายจะบรรลุปราณขั้นสิบให้ได้เช่นเจ้า แต่วิญญาณภายในของเขามิใช่ลูกครึ่งมารอย่างเจ้า เขาเลยวางแผนนี้มานับสิบปี สั่งสมดวงวิญญาณของผู้คนบริสุทธิ์มาอย่างช้านาน และพอได้ร่างเจ้ามามันก็ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นอีกเท่าตัว ทั้งหมดเพียงเพื่อเอาชนะเจ้าและขึ้นเป็นใหญ่ในใต้หล้า” เฮาหนี่เอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น แล้วกล่าวเสียงเข้มออกมา “ซึ่งนั่นมันก็คือความผิดของเจ้า”

“หา…เหตุใดมาโทษข้าเช่นนี้เล่าเฮาหนี่” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยตระหนก ในใจพลันขบคิดไม่ตกอยู่ภายใน เพราะในอดีตนั้นมีผู้แย่งชิงความเป็นใหญ่อยู่มากมายแล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าใครกันที่แย่งร่างตนเองไป “ถ้าท่านจะโทษก็ต้องโทษคนที่มันคิดที่จะใช้ร่างข้าสิ”

“เพราะเจ้าทำตัวไม่สมกับสิ่งที่ได้รับมาอย่างไรเล่า คิดอยากจบชีวิตตนก็ถอดจิตเทียวไปเทียวมา มิรู้หรืออย่างไร ร่างของเจ้าแข็งแกร่งเพียงไหน ใช่ว่าจะถูกทำลายด้วยเพลิงโลกันตร์เพียงน้อยนิดนั่นไม่” เฮาหนี่ตวาดเสียงดังใส่ด้วยเพลิงโทสะที่เริ่มทบทวี “ทั้งหมดมันคือความผิดของเจ้าที่เจ้าต้องแก้ไขมันจอมมารฝูหมิงเอ๋ย หากเจ้าไม่ยอมรับความผิดที่ก่อขึ้นมาในครานี้ ข้าจะส่งเจ้าไปเกิดในท้องสุนัขเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป ดูสิเจ้าจะยังมีหน้ามาเถียงข้าได้อีกหรือไม่”

มาถึงตรงนี้เรียวคิ้วก็กระตุกยิกเสียหลายหน แต่ไหนมาเฮาหนี่ก็เป็นถึงผู้ช่วยเทพเจ้าผู้ควบคุมโลกวิญญาณ ความยิ่งใหญ่และสูงส่งจ้าวเสี่ยวหมิงย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ หากจะทำสิ่งที่เอ่ยมานั้นย่อมง่ายดังพลิกฝ่ามือ “หาาา...หากท่านทำถึงขั้นนั้นข้าคงรับไม่ได้” จ้าวเสี่ยวหมิงอ้อมแอ้มตอบออกไป ใบหน้าซีดเซียวหม่นหมองลงทุกที ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “แล้วข้าควรทำเช่นไรเล่า ท่านได้โปรดช่วยชี้แนะข้าด้วยเถิด”

“สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงสิ่งเดียว ใช้ร่างของหลิวมู่เหยียนจัดการเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ถูกทำนองคลองธรรม” เฮาหนี่เอ่ยเสียงเรียบอย่างใจเย็น แต่ภายในกลับแฝงไปด้วยความระอาอย่างไม่ปิดบัง “ส่วนเรื่องที่เจ้าจะใช้ร่างนี้เช่นไรนั้นก็อยู่ที่เจ้าแล้วล่ะจอมมารฝูหมิง” กล่าวเพียงแค่นั้นน้ำเสียงของเฮาหนี่ก็ค่อยเลือนหายไป “เรื่องทางโลกข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือก็แล้วแต่เจ้าจะกำหนดมัน”

“เดี๋ยวเฮาหนี่ เดี๋ยวก่อน” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยเรียกผู้ช่วยเทพเจ้าควบคุมโลกวิญญาณอีกหลายครั้ง แต่ก็ไร้เสียงตอบรับกลับมา บุรุษหนุ่มจึงยกมือขึ้นเท้าเอวหลวมๆ เอาไว้อย่างใช้ความคิด ส่วนมืออีกข้างก็เกาศีรษะแก้เก้อไปมา เขาทอดถอนลมหายใจอย่างระอา ก่อนจะพึมพำเสียงเบาว่า “หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงต้องอยู่ในร่างนี้ไปก่อน จนกว่าจะเสร็จงานแล้วกระมัง”

[1]กุ่ยเซียน (鬼仙) คือคนที่มีพลังหยินมากเกินไป และหมดพลังชีวิต มีลักษณะคล้ายแวมไพร์หรือปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง อาศัยอยู่ในภูมิของผี

[2]อู่เหลียงเย่เป็นสุราชนิดที่มีกลิ่นหอมแรง ผลิตจากโรงสุราอู่เหลียงเย่ อี๋ปิน ในมณฑลเสฉวน เล่ากันว่าเมืองอี๋ปินมีกิจการกลั่นเหล้าเกิดขึ้นตั้งแต่3,000 ปีที่แล้ว  เหล้าชนิดนี้มีเอกลักษณ์ 4 ประการ คือ กลิ่นหอมแรง ใสไร้สี มีรสหวานปนเปรี้ยว และมีกลิ่นหอมติดปากนาน

[3]ยามเซิน (申时) คือเวลา 15.00 – 16.59 น.

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 33 สงบสุขหวนคืน

    “คุณชายใหญ่มาทางนี้”เสียงสะท้อนในอกดังก้องในมโนสำนึกตน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า ก็เห็นเป็นภาพในอดีตเมื่อครั้งยังเยาว์วัย กำลังวิ่งเล่นรอบแปลงดอกโบตั๋นกับดรุณีน้อยนางหนึ่ง เพราะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ชวนให้คิดถึงมารดาผู้ถูกเหล่าเซียนทั้งหลายรังแกจนจากไปเหม๋ยตงหม่าคือนามของเขา ผู้ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ตระกูลเหม๋ย ส่วนเหม๋ยยี่เถียนนั้นเกิดจากอนุภรรยาผู้ที่เคยเป็นบ่าวรับใช้ ที่แสนจะต่ำต้อยแต่ทว่าเหม๋ยยี่เถียนนั้นกลับมีร่างกายแข็งแรงกว่าดรุณีทั่วไป ด้วยพละกำลังอันมหาศาลนี้ จึงต้องวิ่งร่ามาปกป้องตนเองเสมอมา ส่วนตนเองนั้นที่อ่อนแอกว่า จึงต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองของน้องสาวผู้นี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งๆ ที่เป็นคุณชายใหญ่ของสกุลกลับถูกดูแคลนว่าไร้ซึ่งความสามารถไม่หยุดหย่อน ทั้งจากบิดา ถูกติฉินนินทาแม้กระทั่งบ่าวรับใช้ภายในเรือน แต่กระนั้นเขากลับได้รับความรักจากน้องสาวต่างมารดาผู้นี้เสมอมา มีเพียงเขาเท่านั้นที่คิดว่าเหม๋ยยี่เถียนเสแสร้งมาเอาใจและแล้วภาพเบื้องหน้าจะแปรเปลี่ยนไป เป็นภาพของเหม๋ยยี่เถียนผู้เป็นน้องสาวต่างมารดา กำลังกางมือเข้าปกป้องตนเองจากเหล่า

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 32 ศึกสุดท้าย

    “ไม่ได้ขอรับ ต่อให้เป็นอาจารย์ ต่อให้ข้าขึ้นชื่อว่าอกตัญญู ข้าก็มิอาจปลดตรวนให้ท่านได้”เสียงของหลิวห้าวเหลียงยังคงดังก้องในมโนสำนึกของตนไม่จางหาย หลังจากที่กลับออกมาเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนฟูกนอนในเรือนตน ตรวนสองสายยังคงพันวนอยู่รอบกายมิได้ถูกปลดออกไป ด้วยเหตุที่ว่าราวหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา เมื่อตนเองเดินทางกลับมาถึงสำนักหลิวสุ่ย ก็เร่งฝีเท้าเดินทางมุ่งหน้ามาหาหลิวห้าวเหลียงโดยมิได้กระทำสิ่งอื่นใด เพื่อให้ช่วยปลดโซ่ตรวนที่พันอยู่รอบกาย ทว่ากลับถูกลูกศิษย์ของตนปฏิเสธเสียอย่างนั้น ซ้ำยังถูกห้ามมิให้ออกไปไหน ถูกบ่าวไพร่คอยจับตามองในเมื่อร้องขอก็แล้ว อ้อนวอนก็ทำไปแล้ว หรือแม้แต่ออกคำสั่ง สุดท้ายหลิวห้าวเหลียงก็มิยอมปลดปล่อยตนออกไป จ้าวเสี่ยวหมิงจึงนั่งนิ่งคิดอย่างใคร่ครวญอยู่หลายตลบ แล้วเอ่ยพึมพำออกมา “เจ้าเด็กเหลือขอพวกนี้เล่นพิเรนทร์อะไร มิรู้หรืออย่างไรว่าผลที่ตามมามันจะเป็นเช่นไร” เอ่ยเพียงแค่นั้นก็คว้าเอาเยวี่ยกวงขึ้นมาไว้ในมือ จากนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วลอบออกไป ไปหาหลิวซูหยวน ผู้เป็นบิดาเจ้าของร่างนี้แทนเมื่อเข้าไปถึงเรือนของหลิวซูหยวน จ้าวเสี่ยวหมิงก็ไม่รอช้าที่เ

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 31 ตามติด

    รัชศกเสวียนหลีที่ 77 ปีวอกธาตุทอง ไป๋ลู่[1]กลางป่าอั้นฉิงรอยต่อระหว่างเขาหัวซานและที่ตั้งของสำนักหานเสียงเกือกม้ากระทบกับผืนดิน จ้าวเสี่ยวหมิงกุมบังเหียนม้าพ่วงพีตัวใหญ่ควบตะบึงติดตาม หยางหยุนเหลียง ที่ยังคงควบม้าอยู่ไม่ไกล แล้วร้องตะโกนออกมา “พี่หยางท่านหยุดบัดเดี๋ยวนี้รู้หรือไม่ว่าข้าตามหาท่านมานานเพียงใดแล้ว” ก่อนจะใช้ขาหนีบท้องม้า แล้วควบทะยานเข้าไปอย่างรวดเร็วหลายเดือนมานี้จ้าวเสี่ยวหมิงไล่ตามติดหยางหยุนเหลียงไม่หยุดหย่อน พอเข้าใกล้ตัวทีไร หยางหยุนเหลียงก็จะเตลิดหนีหายไปเสียทุกครั้ง ราวกับหลอกล่อให้วิ่งไล่จับ แต่พอใกล้ถึงตัวกลับหนีหายไปจ้าวเสี่ยวหมิงควบม้าพ่วงพีตัวใหญ่ เข้ามาในเขตป่าอั้นฉิง ตามหนทางราบเรียบราวกับมีคนมาถอนหญ้าคอยท่าไว้ ตามผืนดินเต็มไปด้วยเศษดินแห้งๆ แต่ทว่ากลับละเอียดราวกับเม็ดทราย แวดล้อมไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณเขาควบม้าไล่ตามหยางหยุนเหลียงเข้ามาได้เพียงครู่เดียว ก็พบกับม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งถูกล่ามขวางหนทางไว้ จ้าวเสี่ยวหมิงจึงชะลอฝีเท้าม้าลง ก่อนจะกระโดดลงมาจากหลังม้าแต่รู้เสียที่ไหนว่าหยางหยุนเหลียงที่คอยจังหวะนี้ ใช้ดัชนีวายุร่อนระบำ ดีดลูกหินใส่หลังม้าของจ้

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 30 วิญญาณดวงสุดท้าย

    กล่าวมาถึงชิงเสี่ยวหม่าเมื่อต้องล่าถอยกลับมายังวังมาร ก็เจ็บหนักอยู่มิใช่น้อย จำต้องใช้เวลานอนพักรักษากายอยู่ราวสามวัน อาการจึงทุเลาลง และในวันนี้เมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติ เขาจึงนั่งมองคนโทเก็บวิญญาณที่ได้ไปรวบรวมวิญญาณของผู้บำเพ็ญตนในพิธีไล่ล่า ที่ตั้งอยู่อย่างสงบนิ่ง ภายในห้องสูบวิญญาณมาหลายวัน ด้วยแววตาเรียบเฉยทว่ากลับมีความพลุ่งพล่านร้อนรนอยู่ภายในด้วยเหตุที่ว่าชิงเสี่ยวหม่า มิอาจสูบวิญญาณเหล่านี้เข้าไปกายตนได้ เพราะต้องรอให้ได้ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องไปไล่ล่ามาให้ครบเสียก่อนดวงวิญญาณที่มีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ของสกุลในตำนานเท่านั้นที่จะต้องเฟ้นหามา สายเลือดของสกุลหยางผู้มีสายปราณหยางวิ่งวนอยู่ภายในร่างกาย ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องช่วงชิงมา และเวลาที่จักต้องดึงดวงวิญญาณนี้ออกมา คือในคืนวันเพ็ญเดือนแปดที่กำลังจะย่างกรายเข้ามาในอีกไม่ถึงหนึ่งขวบปีอีกทั้งยังมียังมีสิ่งที่ตนต้องตามหา นั่นคือหน้าสุดท้ายของคัมภีร์เดียรถีย์วิชาที่ขาดหายไป ไม่ว่าจะพลิกแผ่นดินหาเพียงใดก็ยังมิอาจพบเจอ เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะต้องสืบเสาะให้ได้เสียก่อนพิธีกรรมการสูบดวงวิญญาณครั้งสุดท้ายจะเริ่มต

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 29 หยินหยางประสานกาย

    หยางหยุนเหลียงเหยียบเวหาก้าวทะยานไปยังทิศทางที่จ้าวเสี่ยวหมิงหนีไป นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดมองไปมาจนทั่ว ภาพที่สะท้อนให้เห็นมีเพียงยอดไม้นานาพรรณ แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมทั่วทั้งผืนป่าทว่าหากได้เพ่งมองดูอย่างถ้วนถี่ลึกลงไปถึงผืนแผ่นดิน ก็จะเห็นซากศพของนักพรตที่เพิ่งจะฝึกฝนระดับขั้นต้น ต้องมาสังเวยชีวิตให้กับเหล่าปีศาจจากวังมาร ทุกๆ ร่างต่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติ่งอย่างเดียวดาย มีเพียงผู้เหลือรอดค่อยๆ ออกตามหาร่างไร้ชีวิตของสหายตนเมื่อพบหนึ่งศพหยางหยุนเหลียงก็จุดพลุไฟบอกตำแหน่งเสียหนึ่งลูก ก่อนจะก้าวทะยานตามหาหลิวมู่เหยียนต่อไป เขาค้นหาทั้งผืนป่ากว้างใหญ่จนทั่ว แต่ก็ยังไม่เจอแม้เพียงเศษเส้นผมผ่านนานจนดวงตะวันคล้ายจะลาลับขอบฟ้า หิมะจึงค่อยๆ โปรยปรายลงมาอย่างบางเบา ในครานั้นเองสายตาของหยางหยุนเหลียงก็ไปสะดุดอยู่ตรงผาน้ำตก ที่มีไอเย็นแผ่ปกคลุมออกมา ด้วยเหตุที่เขาจำได้ว่าในยามเช้าตอนตนผ่านหนทางเส้นนี้มา น้ำตกสายนี้ยังไหลอย่างเอื่อยเฉื่อย มีไอความอบอุ่นคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นยามช่วงต้นเหมันต์ฤดู ที่มีหิมะโปรยปรายลงมาปกคลุม ยังมิอาจแช่แข็งน้ำตกสายนี้ได้ทว่าในยามนี้กลับมีไอเย็นจัดแผ่ปกคลุมอยู่

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 28 ปะทะ

    หลังจากวันนั้นผ่านไปเพียงแค่สองวันหลิวเยี่ยเฟยก็มาขอเดินทางกลับไปยังสำนักหลิว เมื่อเห็นว่ามิมีส่วนใดเสียหาย หยางซิวอวี่ที่เพิ่งเดินทางกลับมา จึงอนุญาตให้กลับไปอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ ด้วยความที่ว่าการบุกเข้ามาช่วงชิงกระบี่เยวี่ยกวงในวันนั้น มิมีผู้ใดปริปากบอกเจ้าสำนักหยางสักครึ่งคำ เมื่อหลิวเยี่ยเฟยเดินทางกลับไป วันเวลาก็ยังดำเนินต่อไปไม่มีหยุดพัก จากวันคือเปลี่ยนผันเป็นเดือน จากเดือนล่วงเลยเป็นแรมปี จ้าวเสี่ยวหมิงยังคงพำนักอยู่ที่สำนักหยางเจียนแห่งนี้ แม้จะมีผู้คนลอบเข้ามาแย่งชิงกระบี่ ก็จะถูกหยางซิวอวี่หรือหยางหยุนเหลียงไล่กลับไป โดยที่จ้าวเสี่ยวหมิงมิได้ออกแรงเสียเท่าไรจนกระทั่งสามปีพ้นผ่านไป ไร้ซึ่งผู้รุกรานใดๆ ย่างกรายเข้ามา แม้กระทั่งจอมมารฝูหมิงก็ยังมิยื่นมือเข้ามาช่วงชิงกระบี่คืนกลับไป ความสัมพันธ์ฉันท์สหายของหลิวมู่เหยียนและหยางหยุนเหลียงนั้นก็ยังคงดำเนินไปอย่างมิเป็นระเบียบ ดูคลายลิ้นกับฟันที่จะบังเอิญกระทบกันยามใด ย่อมมิอาจเลี่ยงการปะทะคารมเป็นครั้งคราวผ่านมาสามขวบปี ตบะฌานของหยางหยุนเหลียงก็ก้าวกระโดดไปไกลถึงระดับเจ็ด ไร้ซึ่งผู้ใดยากจะต่อกร ส่วนทางด้านจ้าวเสี่ยวหมิงนั้น ด

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status