Accueil / วาย / ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi) / บทที่ 3 สาบกลิ่นปีศาจ

Share

บทที่ 3 สาบกลิ่นปีศาจ

last update Dernière mise à jour: 2025-08-26 17:07:33

แม้จะมีความพึงพอใจเล็กๆ ที่ผู้เป็นนายปฏิบัติตนต่อบุรุษวัยกลางคนผู้นี้อย่างมิเกรงกลัวสิ่งใด ทว่าในใจของฉืออ้ายก็ยังมิอาจคลายความกังวลด้วยเหตุที่ว่าพ่อบ้านชูผู้นี้แม้จะมิใช่คนที่บุญหนักศักดิ์ใหญ่อะไร แต่ก็เป็นถึงญาติผู้พี่ของชูอี๋เหนียง อนุภรรยาที่มีอำนาจมากที่สุดในเรือนหลัง ย่อมมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าผู้อื่นอยู่มากประมาณ หากคิดจะรังแกนายของตนคงง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ

ในครานั้นฉืออ้ายจึงค่อยๆ ก้าวออกมาเพื่อส่งพ่อบ้านของสกุลหลิวด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ก่อนเจ้าตัวจะเหลียวหลังหันไปมองผู้เป็นนายอีกหน

ภาพที่สะท้อนให้เห็นมีเพียงบุรุษหนุ่ม ร่างกายผอมบางยืนเอามือไขว้หลังอยู่เพียงลำพัง สวมใส่อาภรณ์สีเทาดำซีดๆ เนื้อบางเบา มีรอยปะชุนเป็นแห่งๆ ดูยังไงก็ไม่ต่างจากวนิพกข้างถนน ทว่าท่วงท่ากิริยาที่ปรากฏออกมานั้นกลับสง่างาม แผ่นหลังเหยียดตรงดุจบุรุษผู้สูงศักดิ์น่าเกรงขาม มิได้มีความหวาดกลัวใดเผยให้เห็นแม้แต่น้อย

ยามนั้นเองฉืออ้ายจึงสูดลมหายใจลึกเข้าไปในช่องอก เพื่อเพิ่มความหนักแน่นในใจตน แล้วเยื้องย่างเข้าหาบุรุษพ่อบ้านวัยกลางคนอย่างไว้ท่า ไม่มีความเกรงกลัวใดๆ

ทว่าในขณะที่ฉืออ้ายกำลังจะก้าวเข้าไปหา ชูเจียหงก็พลันตวาดเสียงดังลั่นอย่างมิใคร่พอใจ “ไม่ต้อง” ใบหน้ามีริ้วรอยตามวัยบึ้งตึงหม่นคล้ำลงหลายส่วน ด้วยเพลิงโทสะที่สั่งสมอยู่ภายในอย่างมิอาจปกปิด นัยน์ตาสีดำขลับปรากฏร่องรอยสว่างวาบเพียงวูบเดียว แล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบราวกับจะแช่แข็งประโยคนั้นด้วยคำกล่าวของตน “ระวังตัวไว้เถอะคุณชายสาม ท่านทำกับข้าถึงเพียงนี้ ก็รังแต่จะทำให้ท่านจะไม่มีอะไรคุ้มกะลาหัวเอา” กล่าวจบเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อจนเกิดเสียงดังแล้วจึงย่างเท้าจากไป

ยามนั้นฉืออ้ายจึงรีบวิ่งเข้าหาผู้เป็นนายด้วยท่าทางที่ตื่นกลัว นัยน์ตาสีเทาวูบไหวเต้นระริกอย่างมิอาจระงับ ก่อนเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านว่า “คุณชายสามทำเยี่ยงนั้นต่อพ่อบ้านชูไป จะดีหรือขอรับ”

ครานั้นเองจ้าวเสี่ยวหมิงจึงยกยิ้มที่มุมปากขึ้นมาอย่างบางเบา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความหวาดกลัวอยู่ภายใน “แล้วข้าทำอย่างไรกับพ่อบ้านผู้นั้นเจ้าเห็นหรือฉืออ้าย” ก่อนเจ้าตัวจะเยื้องย่างออกมาที่เฉลียงอย่างเชื่องช้า ในยามที่ตนนั้นจัดการอาภรณ์ที่สวมใส่ให้เรียบร้อยพอประมาณ

เมื่อได้ยินคำกล่าวของผู้เป็นนาย ฉืออ้ายก็พยายามขบคิดตามคำกล่าวเหล่านั้นเพียงครู่เดียว ใจที่เคยเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่นอยู่เมื่อครู่พลันสงบลงหลายส่วน ก่อนจะเงยหน้าสบมองผู้เป็นนายอีกหน นัยน์ตาสีเทาทอประกายอย่างมีความหวัง “ขะ…ข้ามิเห็นอะไรเลยขอรับ” กล่าวจบริมฝีปากบางก็ยิ้มพลายอย่างบางเบา ยามคิดถึงคำพูดที่หลิวมู่เหยียนได้ว่าไว้ แล้วเอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนมิอาจระงับ “สิ่งที่ข้าเห็นมีเพียงพ่อบ้านชู พูดเหนือตนข่มท่าน ใช้ถ้อยคำหยาบช้าเอ่ยกับคุณชายสามเพียงเท่านั้นขอรับ”

“เช่นนั้นรึ” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แล้วเยื้องย่างไปด้านนอกเรือนด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มพราวระยับทอประกายอย่างนึกสนุก “ดียิ่ง หากเป็นเช่นนั้นเราไปหาท่านพ่อข้ากันเถอะ” กล่าวจบทั้งสองจึงพากันเดินออกจากเรือนไป

ยามได้ออกจากเรือนจ้าวเสี่ยวหมิงก็พบว่าช่วงเวลานี้เป็นยามอู่[1]แสงอาทิตย์สาดส่องแทรกผ่านร่มไม้ใหญ่ลงมากระทบตามพื้นดินให้เห็นเป็นย่อมๆ แม้แดดจะแรงไม่เท่าในช่วงของคิมหันตฤดู แต่ก็ยังทำให้หิมะที่โปรยปรายลงมาในยามเช้าเริ่มละลาย

จ้าวเสี่ยวหมิงเดินทอดน่องผ่านเรือนน้อยใหญ่อย่างเชื่องช้า เพราะเขาใช้ช่วงเวลาที่กำลังเดินทางอยู่นี้ สำรวจและรับฟังเรื่องราวต่างๆ ในสกุลจากคำบอกเล่าของคนรับใช้ข้างกาย

ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงก็พึงตระหนักได้ว่า ตัวของเขานั้นมีนามว่าหลิวมู่เหยียน บิดามีนามว่าหลิวชูหยวนเป็นหัวหน้าสกุลหลิวสายรอง ผู้เป็นบุตรชายที่เหลือรอดเพียงคนเดียวของหลิวหลี่เฉวี่ยนผู้รั้งตำแหน่งเจ้าสำนักหลิวสุ่ยที่เชี่ยวชาญเรื่องเพลงกระบี่และเพลงพลอง มีหนึ่งฮูหยินและอนุภรรยาอีกสามคน แม้ปัจจุบันนี้จะเหลือเพียงแค่สามนางก็ตาม

มีบุตรธิดาร่วมกันด้วยฮูหยินกับอนุรวมทั้งสิ้นเจ็ดคน เป็นชายสามและเป็นหญิงอีกสี่คน ส่วนตัวเขานั้นเป็นบุตรชายลำดับที่สี่ของสกุล เกิดจากอนุภรรยาเหมยอี๋เหนียง ซึ่งในอดีตเคยเป็นบ่าวรับใช้ให้ชูอี๋เหนียงมาก่อน ก่อนจะเป็นที่ถูกตาต้องใจของหลิวชูหยวนในเวลาต่อมา ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตลงเพราะถูกตีจนตาย

ส่วนฮูหยินใหญ่ของสกุล มิได้เป็นที่รักใคร่ของหลิวชูหยวนเท่าใดนัก ซ้ำยังมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะร่างกายอ่อนแอมายาวนานกว่าสิบปีด้วยโรคที่ไม่อาจสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาทั่วไป แม้จะเชิญท่านหมอหวงเจียฉี เจ้าสำนักหวงอีเซิงที่เก่งกาจเรื่องการรักษาโรคมาดูอาการ ก็มิอาจรักษาให้หายขาดได้ดั่งใจปรารถนา ดังนั้นหน้าที่ต่างๆ ภายในสกุลหลิวจึงตกเป็นของชูอี๋เหนียงภรรยาที่เป็นที่รักยิ่งไปโดยปริยาย

ส่วนทางด้านบุตรธิดาของบ้านต่างถูกส่งไปสำนักต่างๆ เพื่อฝึกวิชาที่ตนถนัด เตรียมตัวสอบเข้าสำนักใหญ่ทั้งแปดที่มีชื่อ สิบวันจึงจะกลับมาที่สกุลเพียงครั้ง และพำนักอยู่นานสองวันจึงจะกลับไปใหม่ ที่นี่จึงเหลือเพียงแค่คุณหนูสี่หลิวเซียวหลินที่มีอายุเพียงแค่เจ็ดขวบปีและตัวเขาเท่านั้นที่ยังอยู่ในสกุลมิได้ไปไหนเฉกเช่นบุตรธิดาคนอื่นๆ ทั่วไป เพราะไม่สามารถรวบรวมตันเถียนในกายได้ เจ้าของร่างนี้จึงถูกดูหมิ่นดูแคลนอย่างที่เป็น

ยามได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ จากปากของบ่าวรับใช้ ในใจของจ้าวเสี่ยวหมิงก็มิอาจระงับโทสะไว้ได้ มือทั้งสองกำแน่นสลับคลาย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายสว่างวาบเพียงครู่เดียว ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความเยียบเย็น บุรุษหนุ่มเยื้องย่างไปเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็มาถึงเรือนรับรองที่หลิวชูหยวนเรียกให้มาพบ บานประตูถูกเปิดทิ้งไว้ราวกับรอให้เขาก้าวเท้าเข้าไป

ในครานั้นเองจ้าวเสี่ยวหมิงจึงกวาดตาไปมา ภาพที่เห็นตรงหน้าคือผู้คนยืนอยู่ราวๆ ห้าคนเห็นจะได้ หนึ่งในนั้นคือหญิงร่างกายอวบอ้วนผู้เป็นแม่ครัวที่เขาเพิ่งพบเจอเมื่อครู่ก่อน ส่วนอีกนางคือไป๋หลิวสาวใช้ที่เพิ่งโดนคุณชายใหญ่สั่งให้โบยตี กำลังนอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ไร้เสียงร้องโอดโอยออกมา แขนข้างที่หักถูกดามไว้เป็นอย่างดี นัยน์สีดำสนิทจ้องเขม็งมาที่เขาราวกับจะแล่เนื้อเถือหนังเสียให้ได้ เมื่อกวาดตาสำรวจจนพอใจแล้วจ้าวเสี่ยวหมิงจึงก้มศีรษะลง ก่อนจะทำท่าทางเคารพ แล้วเอ่ยออกมา “หลิวมู่เหยียนคารวะท่านพ่อ”

“ไม่ต้องมากพิธี เข้ามาเถิด” หลิวชูหยวนเอ่ยเสียงเบาอย่างระอา ยามได้เห็นอาภรณ์ที่สวมใส่บนร่างกายของบุตรชายตน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทั้งสองข้างมองมาที่หลิวมู่เหยียนตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนไปบางอย่างแต่ก็มิได้เอ่ยคำใด

จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อนว่า “ขอบพระคุณท่านพ่อที่เมตตา” ก่อนจะเหลียวหันไปมองฉืออ้ายที่ยืนอยู่ข้างกาย แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้” กล่าวจบก็เดินเข้าไปภายในเรือนอย่างทันท่วงที

เมื่อจ้าวเสี่ยวหมิงย่างเท้าเข้ามาได้เพียงครึ่งก้าว กลิ่นสาบจาง ๆ บางอย่างก็ลอยปะทะกับปลายจมูก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองหาที่มาของกลิ่นไม่พึงประสงค์ กลิ่นสาบสางที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของปีศาจชั้นสูงที่สามารถกลายร่างและกลบกลิ่นได้จากจมูกของมนุษย์ทั่วไป

จ้าวเสี่ยวหมิงเยื้องย่างเข้าไปอย่างช้าๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปมาอย่างระวัง ฉับพลันสายตาก็ไปสะดุดอยู่ที่ดวงตาของโฉมสะคราญนางหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างกายหลิวชูหยวน ซึ่งแม่นางผู้นี้ก็กำลังมองมาที่เขาด้วยเช่นกัน แพรพรรณสีฟ้าอ่อนสดใสชายกระโปรงถูกปักด้วยดิ้นสีน้ำเงินเข้มเป็นลายผีเสื้อยามขยับกายไปมามันก็ขยับปีกโบยบินราวกับถูกเติมชีวิตลงไป ใบหน้ารูปไข่ที่รับกับเครื่องหน้า ไม่ว่าจะเป็นคิ้วดั่งคันศร ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบตาเรียวสวยดั่งเมล็ดซิ่ง[2]อันงดงาม ริมฝีปากบางเฉียบสีแดงสดดูมีน้ำมีนวลน่าสัมผัส ทุกๆ อย่างล้วนดูลงตัวพอเหมาะอย่างวิจิตรบรรจง ส่งเสริมให้หญิงผู้นี้ดูสง่าน่าเกรงขาม

เป็นถึงรองเจ้าสำนักฝึกวิชาที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับมิเคยรู้เลยว่าตนเองเลี้ยงปีศาจร้ายอยู่ข้างกาย นี่แหละหนามนุษย์แม้จะฝึกปรือเพียงใดจมูกก็ยังไม่ดี เพียงแค่ปีศาจตนนี้แปลงโฉมและกลบกลิ่นสาบสางจากจมูกมนุษย์ หลบซ่อนตัวตนมาสิงสู่ในสกุลนี้ก็มองมิออก

จ้าวเสี่ยวหมิงคิดในใจอย่างนึกขัน ยามที่ได้มาเห็นปีศาจตัวเป็นๆ ยืนอยู่กับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฝึกตน เพียงแค่ปีศาจกลบกลิ่นกายเพื่อหลบเลี่ยงสัมผัสของมนุษย์ก็มิอาจรับรู้ได้ 

แต่เพราะวิญญาณของของเขานั้นในอดีตเป็นถึงครึ่งมารครึ่งเซียน จึงไวต่อการสัมผัสพวกเดียวกัน และอาจเป็นเพราะปีศาจตนนี้มิได้รับรู้ว่าดวงวิญญาณที่เข้ามาสิ่งสู่ในร่างนี้หาใช่หลิวมู่เหยียนคนเดิมไม่ แต่เป็นมารร้ายที่มีฉายาว่าจอมมารฝูหมิงที่ขึ้นชื่อว่าชั่วช้าสามานย์ กลิ่นสาบสางที่มีเพียงพวกเดียวกันเท่านั้นที่รับรู้ได้จึงกำจายออกมาอย่างมิทันได้ระวังตัว

ในยามนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงกวาดสายตามองดูอีกหน ก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง แม้จะบางเบาแต่ก็ยังคงชัดในความรู้สึกได้เป็นอย่างดี กลิ่นอายของปีศาจนั้นมิได้มีแค่เพียงสตรีนางนั้นเพียงผู้เดียว แต่ยังรวมไปถึงสตรีที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ทั้งยังมีพ่อบ้านชูที่เข้ามาเรียกเขาให้มาพบเมื่อครู่นี้อีกหนึ่งคน

เห…เหตุใดข้าถึงไม่ได้กลิ่นของคนพวกนี้ตั้งแต่แรก

จ้าวเสี่ยวหมิงได้แต่คบคิดไม่ตกอยู่ในใจอยู่หลายตลบ เพราะยามที่ได้พบกันคราแรกนั้นเขามิสามารถสัมผัสกลิ่นอายพวกนี้ได้เลยแม้แต่น้อย ความแปลกใจพลันบังเกิดขึ้นมาจนมิอาจระงับ ในยามนั้นบุรุษหนุ่มร่างกายซูบผอมจึงกวาดสายตาไปมา ก่อนสายตาจะไปสะดุดอยู่ที่ยันต์แปดทิศติดตรงเหนือประตูทางเข้า ครานั้นจึงเข้าใจเหตุที่เกิดขึ้นดังกล่าวอย่างถ่องแท้

ด้วยพลังหยินหยางที่ถูกควบคุมไว้ภายใต้ยันต์แปดทิศแผ่นนี้ เป็นเหตุให้ปิศาจทั้งสามตนต้องควบคุมพลังภายในอยู่หลายส่วนเพื่อให้ตนเองนั้นสามารถเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ได้อย่างไม่ต้องเจ็บปวดร่างกาย แม้จะตบตามนุษย์ได้ แต่ก็ยากลำบากเกินจะกล่าว สูญเสียกำลังภายในไปหลายส่วน จึงมิสามารถกลบกลิ่นจากพวกเดียวกันได้อีกตามที่ต้องการ

เหตุเป็นเช่นนี้หรอกหรือ สามารถควบคุมพลังภายในเข้ามาอยู่ในเขตอาคมได้เช่นนี้ พลังภายในพวกเขาต้องแข็งแกร่งถึงเพียงใดกัน

จ้าวเสี่ยวหมิงคิดในใจอย่างนึกหวั่น ทว่าก็ทำทีเป็นไม่ใส่ใจกับสิ่งที่สัมผัสได้เสียอย่างนั้น เพราะเขาคิดเพียงว่าหากปีศาจสามตนผู้นี้มิได้คิดรุกรานตนไปมากกว่าที่เป็น เขาก็เลือกที่จะเมินเฉยไม่เอ่ยคำใด

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยดั่งเมล็ดซิ่งของชูหลินเฝ่ยเพียงวูบเดียว ก็ผินใบหน้าหันไปมองผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าเจ้าของร่างนี้อย่างคนอารมณ์ดี

และพอได้มองดูบิดาเจ้าของร่างนี้แบบชิดใกล้ ก็เห็นถึงบางอย่างที่บางเบาปกคลุมอยู่บนร่างกายของหลิวซูหยวน ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงตระหนักได้อีกครั้งว่า ‘คนผู้นี้คงไม่แคล้วถูกไอปีศาจผูกพันจากปีศาจทั้งสามตนพ่นเข้าใส่ สติสัมปชัญญะต่างๆ จึงถูกครอบงำไว้ แม้จะเห็นว่าทำสิ่งใดแต่จิตใจกลับมิมั่นคง’

เมื่อเห็นเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงลักลอบร่ายอาคมบนฝ่ามือตน ก่อนจะสะบัดใส่ผู้เป็นบิดาเจ้าของร่างอย่างตั้งใจ หมายจะลดทอนอำนาจของพิษร้ายที่ห่มกายนั้นเอาไว้ แล้วทำทีเป็นเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “ท่านพ่อเรียกข้ามาพบมีเหตุอันใดหรือ” จากนั้นจึงกวาดสายตาไปมาอย่างสำรวมกิริยา พลางเอ่ยซ้ำอีกครั้งว่า “เกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ด้วยหรือขอรับ”

“ย่อมใช่” หลิวชูหยวนเอ่ยเสียงเรียบออกมาอย่างใจเย็น ก่อนเจ้าตัวจะหันไปมองยังสตรีที่ยืนอยู่ข้างกาย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแลดูนุ่มนวลอ่อนโยน “ไหนเจ้าลองว่ามาสิเฝ่ยเอ๋อ”

ในครานั้นชูหลินเฝ่ยจึงค่อยๆ เหลียวมาสบมองบุรุษข้างกาย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “เจ้าค่ะ” ก่อนเจ้าตัวจะเยื้องย่างมายังสตรีที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่อย่างสำรวมกิริยา ทุกก้าวย่างทุกท่วงท่าดูน่าเกรงขามและสง่างาม แพรพรรณสีฟ้าอ่อนขยับพลิ้วไปมาจนผีเสื้อที่ปักไว้บนชายกระโปรงเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตได้จริง

เมื่อเดินมาถึงสตรีที่นอนอยู่บนแคร่ นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานชวนฟัง “แม่รองได้ยินมาว่าอาเหยียนไปทำร้ายไป๋หลิวเสียจนแขนหักนั่นจริงหรือ” กล่าวจบนัยน์ตาสีน้ำตาลก็สบมองคนรับใช้ข้างกายตนเพียงวูบเดียว แล้วค่อยบรรจงช้อนแขนข้างที่หักขึ้นมาอย่างเบามือ “แม่รองรู้นะว่าเจ้ามิชอบนาง แต่ไยต้องทำร้ายนางถึงเพียงนี้”

ได้ยินดังนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงพึงตระหนักได้ว่า ภายนอกแม้จะดูอ่อนหวานเพียงใด แต่สตรีผู้นี้กลับใช้คำพูดกล่าวหาตนอย่างมิอาจปกปิด ในครานั้นบุรุษร่างกายซูบผอมจึงหันไปสบดวงตาสีน้ำตาลอย่างใช้ความคิดอยู่ภายใน

คิดจะเล่นงานข้าอย่างนั้นรึ ย่อมได้

จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยสบถอยู่ในใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายพราวระยับอย่างนึกสนุกเพียงวูบเดียวก็ยกยิ้มที่มุมขึ้นมาอย่างบางเบา

จากนั้นจึงทำทีเป็นหันใบหน้าไปสบมองผู้เป็นบิดาเจ้าของร่างด้วยแววตาสั่นระริกอย่างตื่นตระหนก แล้วจึงรีบคุกเข่าลงบนพื้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบสั่นว่า “มิใช่ข้านะขอรับที่ทำร้ายนาง” กล่าวจบก็ปรายหางตามองไปยังสตรีทั้งสองนางด้วยแววตาทอประกายวาบผ่าน ก่อนจะทำทีเป็นสั่นเทิ้มอย่างหวาดกลัวยามที่ตนได้สบตากับไป๋หลิวแบบตรงๆ “ตะ...ตัวข้านั้นไร้ซึ่งวรยุทธ์ เรี่ยวแรงอะไรก็หามีไม่ ไหนเลยจะหักกระดูกของแม่นางที่มีวรยุทธ์สูงส่งเช่นนั้นได้เล่าขอรับ”

“บังอาจนักนี่เจ้าหาว่าข้าโกหกเช่นนั้นหรือ” ชูหลินเฝ่ยตวาดเสียงดังใส่อย่างลืมตัว หลังจากที่ได้เห็นท่าทางของหลิวมู่เหยียนกระทำออกมา นางจึงหยัดกายยืนหลังตรง ใบหน้าสวยหวานพลันหม่นคล้ำลงหลายส่วน ก่อนจะทำทีเป็นสำรวมกิริยา เมื่อเห็นแววตาไม่พึงใจของหลิวซูหยวนมองมาที่ตน ในครานั้นนางจึงระลึกขึ้นมาได้ว่าตนเองมิได้อยู่ที่แห่งนี้เพียงลำพัง

จากนั้นจึงทำทีมาวนรอบกายของหลิวมู่เหยียนที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง ทว่าถ้อยคำที่กล่าวออกมานั้นล้วนกล่าวหาเขาอย่างมิต้องขบคิดใดๆ “หลักฐานคาตาเช่นนี้ เหตุใดเจ้ายังมิยอมรับว่าเป็นคนทำเล่าอาเหยียน โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”

ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงทำทีเป็นเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อต่อออกมาว่า “แม่รองขอรับ ข้าเข้าใจนะขอรับว่าท่านอยากหาคนรับผิดชอบเรื่องแขนของแม่นางผู้นี้” แล้วหันไปสบมองที่ร่างของไป๋หลิวอย่างช้าๆ ก่อนจะหันไปมองยังหญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาคนที่สองของบิดา แล้วยกยิ้มที่มุมปากออกมา “แต่ตอนที่นางแขนหักนั้นท่านเห็นหรือขอรับว่าข้าทำ ไยต้องใส่ความข้าเช่นนี้เล่า”

ยามได้ยินคำเอ่ยที่พรั่งพรูจากริมฝีปากของบุรุษร่างกายผ่ายผอม ไป๋หลิวที่นอนอยู่บนแคร่ก็มิอาจระงับโทสะในใจตนได้อีก นางจึงตวาดเสียงดังใส่ “เจ้าลูกนอกคอก ไยเจ้าเป็นคนปลิ้นปล้อนเช่นนี้” ก่อนจะพยายามหยัดกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก จนชูหลินเฝ่ยต้องรีบถลันเข้าไปประคองอีกฝ่ายอย่างเบามือ เมื่อถูกพี่สาวร่วมสาบานค่อยๆ ประคองท่อนแขนของตนขึ้นมา ไป๋หลิวจึงเอ่ยเสียงด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ออกไปว่า “เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าหักแขนข้า ซ้ำยังไปอ้อนคุณชายใหญ่ให้ลงโทษข้า เจ้ามันมารร้ายยิ่งนัก”

‘ก็รู้ดีนี่ว่าข้ามันมารร้าย

จ้าวเสี่ยวหมิงเย้ยหยันภายในใจ ยามได้ยินคำกล่าวหาออกมาจากปากของสาวใช้ผู้นี้ ก่อนจะปรายหางตามองไปยังสตรีที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนแคร่อย่างระอา แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง “คำก็ลูกนอกคอกสองคำก็ลูกนอกคอก ข้าขอถามท่านสักคำเถอะ ตอนมารดาข้าเสพสังวาสกับบุรุษที่ท่านหาว่าเป็นชายชู้ท่านเห็นหรือขอรับ” ก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน แล้วบิดร่างกายไปมา “ท่านนี่ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”

“เจ้าว่าข้ารึ”

ไม่รอให้ไป๋หลิวให้ได้เอ่ยคำใดต่อ จ้าวเสี่ยวหมิงก็ชิงเอ่ยประโยคขึ้นเสียก่อนว่า “หรือท่านคิดว่า แค่เพียงมารดาของข้าจับมือถือแขนกับบุรุษผู้นั้น มารดาของข้าก็ตั้งครรภ์ได้แล้วหรือขอรับ” กล่าวเพียงแค่นั้นบุรุษหนุ่มจึงค่อยๆ เยื้องย่างเข้าไปหาไป๋หลิวด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย แล้วเอ่ยเสียงเรียบทว่ากลับแฝงไปด้วยความเยียบเย็นอยู่ภายใน “ว่าเช่นไรเล่าขอรับ ตอนที่มารดาข้าตั้งครรภ์ ท่านเห็นมารดาข้าเสพสังวาสกับชายอื่นหรือขอรับ”

“นี่เจ้า”

ทว่ายังมิทันได้ทำสิ่งใดต่อ หลิวซูหยวนที่นั่งฟังอยู่ก็ตบโต๊ะเสียงดัง 'ปึง!' แล้วเอ่ยอย่างระอา “พอ” หลังจากได้เห็นกิริยาของสาวใช้ในกระทำออกมา จากนั้นจึงผินใบหน้าหันไปสบมองบุตรชายคนที่สามของตนด้วยสายตามิอาจคาดเดา

เพราะเมื่อครู่นี้ยามได้ยินสิ่งที่หลิวมู่เหยียนกล่าวออกมานั้น ใจที่เคยเกลียดชังพลันคลายลงหลายส่วน ราวกับว่าบางอย่างที่ดูคล้ายเคยผูกมัดปิดกั้นความคิดของตนเอาไว้เริ่มมลายหายลงไป จิตใจที่เคยฟุ้งซ่านคอยแต่จะรังเกียจบุตรชายคนที่สามของตนเริ่มแปรเปลี่ยนไป แต่กระนั้นเขาก็มิอาจกระทำออกมาได้อย่างเปิดเผยดั่งใจคิด

ด้วยความที่ว่า แม้ตนเองจะดูคล้ายกับต้องมนตร์สะกดแต่กลับรับรู้ทุกอย่างได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ดูคล้ายกับคนอารมณ์ไม่นิ่งเสียอย่างนั้น ประเดี๋ยวคุ้มดีประเดี๋ยวคุ้มร้ายจนมิอาจควบคุมจิตใจของตนได้ 

บุรุษวัยกลางคนจึงกล่าวเสียงเข้มกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนไป “ข้าให้พวกเจ้ามาที่นี่ มิได้ให้มาเอ่ยเรื่องเหลวไหล ไหนเจ้าเอาหลักฐานที่ว่าเจ้าสามหักแขนเจ้ามาว่ามีพยานรู้เห็นหรือไม่ ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ต้องมา แต่ไหนแต่ไรเจ้าสามก็ไร้วรยุทธ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกเจ้ายังหาเรื่องรังแกเขาอีกหรืออย่างไร”

“นายท่าน เหตุใดท่านมิเชื่อข้า” ชูหลินเฝ่ยเอ่ยออกมาเพียงแค่นั้น ก่อนสายตาจะสำรวจเรือนกายของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี ก็เห็นบางอย่างที่ตนเคยพ่นใส่เอาไว้เริ่มมลายหายไป นางจึงตระหนักได้ว่าหากปล่อยไว้คงมิใช่เรื่องดี

และก่อนที่นางจะได้ทำสิ่งใดต่อหลิวชูหยวนก็เอ่ยเสียงเบาออกมาเสียก่อนว่า “ข้ามิได้มิเชื่อเจ้าเฝ่ยเอ๋อ” ก่อนจะผินใบหน้าหันไปมองบ่าวรับใช้ข้างกายภรรยารองของตน “แต่ข้ามิเชื่อคำพูดของนางผู้นั้น”

ในครานั้นเองชูหลินเฝ่ยก็ตระหนักได้ว่า พิษไอปีศาจผูกพันที่ตนพ่นไว้ จู่ๆ ก็เริ่มมลาย นางจึงค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปหาบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีตน แล้วเป่าไอปีศาจผูกพันเข้าใส่อีกหน

ทว่าในยามนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงพึงตระหนักและรู้ตัวได้ทันเสียก่อน ว่าสตรีผู้นี้ต้องการจะทำสิ่งใด เขาจึงทำทีเป็นสั่นกลัวแล้ววิ่งพล่านเข้าไปหาชูหลินเฝ่ยที่กำลังยืนอยู่ข้างกายผู้เป็นบิดาเจ้าของร่าง แล้วแสร้งทำเป็นโหวกเหวกโวยวายเสียงดังลั่นออกไปว่า “เหตุใดท่านถึงมิเชื่อข้าขอรับแม่รอง” ก่อนจะแกล้งเป็นสะดุดขาตัวเองล้มไปใส่สตรีนางนั้นเสียก่อนที่จะทันได้ทำอันใด

“ไอ้หยา...แย่แล้ว”

เป็นเหตุให้ชูหลินเฝ่ยที่กำลังจะพ่นไอปีศาจผูกพันออกไป พลันสะดุ้งตกใจ จนละสายตาจากหลิวชูหยวนหันมาทางหลิวมู่เหยียนเสีย ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “เจ้าทำอันใดข้า” จากนั้นจึงก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว เพื่อหลบบุรุษที่กำลังพุ่งเข้าใส่ แต่ก็มิอาจหลบพ้นได้ แขนทั้งสองข้างจำต้องยกขึ้นมารับร่างผอมบางของบุรุษตรงหน้าเสียอย่างนั้น

ในยามนั้นเองจ้าวเสี่ยวหมิงจึงเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแหะๆ ออกมา ก่อนจะกระซิบเสียงเบาให้ได้ยินเพียงแค่สองคนว่า “ข้าเห็นนะขอรับว่าท่านกำลังทำการอันใด อย่าดีกว่าน่า” กล่าวจบเขาก็แสร้งทำตัวสั่น พลันตะโกนเสียงดังอย่างหวาดกลัว “ขะ...ข้าขอโทษท่าน ขอโทษท่าน เจ้าขามันไม่รักดี มันพาข้าล้มใส่ท่าน” เอ่ยเพียงแค่นั้นจ้าวเสี่ยวหมิงก็ยกมือขึ้นมาตีขาตนเองจนบังเกิดเสียงดัง

ครานั้นเองชูหลินเฝ่ยจึงได้คืนสติกลับมา เจ้าตัวจึงค่อยๆ หันไปมองบุรุษร่างกายซูบผอมอย่างช้าๆ ใบหน้าสวยหวานก็พลันหม่นคล้ำลงหลายส่วน ยามตระหนักถึงสิ่งที่หลิวมู่เหยียนกล่าวออกมาให้ได้ยินเมื่อครู่นี้

เจ้าลูกสุนัขนั่นเอ่ยถึงสิ่งใดกัน หรือว่ามันรู้ว่าข้าคือใคร

ชูหลินเฝ่ยผรุสวาทอยู่ภายในใจ นางประสานมือเข้าหากัน ก่อนจะใช้เล็บบนหัวแม่มือทั้งสองข้างสะกิดกันไปมาอย่างใช้ความคิด ด้วยความที่ว่าจู่ๆ หลิวมู่เหยียนก็เอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมาในยามที่ตนกำลังพ่นพิษไอปีศาจผูกพันเข้าใส่ผู้เป็นสามี ราวกับจงใจเข้ามาขัดขวางนางในฉากสำคัญเพราะรู้ตัวตนของนางหรือไม่ หรือด้วยเหตุอันใดที่ทำให้คนไร้วรยุทธ์เช่นนั้นมาขวางตน 

เมื่อมิอาจเข้าใจในความคิดของตน นางจึงลอบมองบุรุษร่างบอบบางนั่นอีกเพียงครั้ง ก็เห็นเพียงแต่การกระทำที่ไม่ต่างจากลูกกวางตัวน้อยกำลังหวาดกลัวยามอยู่ต่อหน้าพญาราชสีห์

ในยามนั้นชูหลินเฝ่ยจึงเบนสายตาหันกลับไปมองยังบุรุษวัยกลางคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี ภาพที่เห็นมีเพียงหลิวชูหยวนกำลังนั่งมองหลิวมู่เหยียนด้วยสายตาระอาใจ นางจึงรีบกล่าวออกไปด้วยวาจาสุภาพอ่อนโยน “เรื่องนี้ข้าขอเป็นผู้จัดการเองได้หรือไม่เจ้าคะ อาเหยียนเพียงแค่เข้าใจผิดคิดว่าข้าคงจะลงโทษเขากระมัง”

“รบกวนเจ้าแล้ว” 

“ขอบพระคุณนายท่านที่เมตตา”

ชูหลินเฝ่ยเอ่ยด้วยคำหวานนุ่มหูชวนฟัง ก่อนจะก้มศีรษะน้อยๆ ลงอย่างสำรวมกิริยา หลังจากที่ได้รับอนุญาตจากผู้เป็นสามีให้มาจัดการเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนนี้ จากนั้นนางจึงหันหน้าไปจ้องมองบุรุษร่างผอมบางอย่างพินิจอีกครั้ง

ภาพที่เห็นมีเพียงบุรุษหนุ่มร่างซูบผอม สวมใส่อาภรณ์สีเทาซีดกำลังนั่งตีขาตนอยู่เพียงลำพัง ไร้สง่าราศีไม่ต่างจากวณิพกข้างถนน ครานั้นชูหลินเฝ่ยจึงฝืนยกยิ้มที่มุมปากอย่างบางเบา ก่อนจะเปล่งวาจานุ่มนวลชวนฟังออกมาว่า “พอเถิดมันหาใช่ความผิดของเจ้าไม่...อาเหยียน” กล่าวจบนางจึงค่อยๆ เยื้องย่างเข้าไปประคองหลิวมู่เหยียนที่นั่งตีขาตนเองอย่างเบามือ

ก่อนจะก้มใบหน้าเพียงเล็กน้อยแล้วกระซิบเสียงเบาๆ ข้างหูให้ได้ยินแค่สองคน “เจ้าเป็นใคร” เอ่ยเพียงแค่นั้นชูหลินเฝ่ยก็ออกแรงบีบท่อนแขนของหลิวมู่เหยียนด้วยพละกำลังที่เกินกว่าเรี่ยวแรงของสตรีพึงจะมี นัยน์ตาสีน้ำตาลจากเคยอ่อนโยนดุจสายน้ำไหล บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนไปเป็นแข็งกระด้างดั่งหินผา กำลังจ้องเขม็งมองคนข้างกายอย่างคาดคั้น ไม่หลงเหลือความสำรวมกิริยา แล้วรีบกล่าวเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “ห้ามร้องเสียงดัง มิเช่นนั้นข้าจะหักแขนเจ้าเสีย”

ในยามนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงรับรู้แรงที่ถาโถมใส่ลงมา เขาชะงักการกระทำของตนเพียงแค่นั้น แล้วค่อยๆ หันไปสบมองผู้เป็นอนุภรรยาของบิดา ก่อนจะก้มมองดูท่อนแขนของตนที่ถูกสตรีข้างกายบีบด้วยแรงราวกับจะป่นกระดูกท่อนนี้ให้แหลกลาญ

ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นฉิวขึ้นมาจนมิอาจห้าม ใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิงในขณะนี้จึงเรียบเฉยไร้อารมณ์ไม่แย้มยิ้มเฉกเช่นทุกครั้ง เพราะความทรมานนั้นทำให้เขาไม่อาจฝืนใบหน้าของตนไว้ได้

แต่กระนั้นแม้จะเจ็บปวดจนมิอาจระงับสีหน้าเอาไว้ ทว่านัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็ยังคงพราวระยับทอประกายอย่างนึกสนุก ก่อนเจ้าตัวจะทำทีเป็นฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ แล้วหันใบหน้าไปสบมองผู้เป็นอนุภรรยาของบิดา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจว่า “จริงๆ นะขอรับท่านไม่ถือโทษโกรธข้านะขอรับ”

จากนั้นเขาจึงยื่นใบหน้าเข้าไปหาชูหลินเฝ่ยเพียงเล็กน้อย แล้วทำทีเข้าไปกระซิบกระซาบเสียงเบาข้างหูของนางว่า “ข้าก็เป็นเพียงหลิวมู่เหยียนนี่แหละขอรับ ท่านคิดว่าข้าคือใครหรือขอรับ”

“เจ้าคิดจะกวนโทสะข้าเช่นนั้นรึ”

“หามิได้นะขอรับ”

“แล้วสิ่งที่เจ้าเอ่ยกับข้าเมื่อครู่นี้เล่า” ชูหลินเฝ่ยเอ่ยเสียงเข้ม ฝ่ามือพลันเพิ่มแรงบีบลงไป ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวด้วยแรงโทสะมิอาจระงับไว้ “เจ้าหมายความอย่างไร”

“ขะ…ข้าเปล่ากวนโทสะท่านนะขอรับ เพียงแต่ข้าแค่บังเอิญเห็นแม่รองจะพ่นน้ำลายใส่บิดาข้า ข้าเลยเข้าไปห้ามไว้เท่านั้นเองขอรับ มิได้คิดที่จะกวนโทสะท่านเลยขอรับ” จ้าวเสี่ยวหมิงทำทีเป็นเอ่ยออกมาอย่างร้อนรน ก่อนจะแสร้งทำสีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดจนมิอาจระงับ แล้วรีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนสายตาซุกซนพราวระยับของตนไว้ จากนั้นจึงกล่าวเสียงที่แสร้งให้สั่นออกไป “หากเป็นเช่นนั้น ขะ…ข้าก็ขออภัย” จบคำเขาก็พยายามโขกศีรษะตนลงบนพื้นอย่างไม่สงวนท่าที

เป็นเหตุให้ชูหลินเฝ่ยต้องรีบจับร่างกายซูบผอมนั่นเอาไว้เสียก่อน ที่ศีรษะของหลิวมู่เหยียนจะทันได้สัมผัสพื้นสกปรกเบื้องล่าง พลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าหาได้โทษเจ้าไม่ อาเหยียนมิต้องลงโทษตนเองเช่นนั้นหรอก” กล่าวจบนางก็ลดระดับเสียงตนจนกลายเป็นเสียงกระซิบ แล้วเอ่ยทวนประโยคของหลิวมู่เหยียนซ้ำอีกครั้งว่า “เจ้าเห็นข้าพ่นน้ำลายเช่นนั้นหรือ”

“ใช่ขอรับ” จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยเสียงเบาออกมา พลางพยักหน้าขึ้นลงอยู่หลายครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มปรายหางตามองสตรีที่อยู่ข้างกัน ภาพที่เห็นมีเพียงสตรีผู้หนึ่งที่กำลังมองมาที่ตนด้วยสีหน้าเรียบตึง มือข้างที่บีบท่อนแขนของเขาเอาไว้ด้วยแรงมหาศาลพลันคลายลงหลายส่วน

จ้าวเสี่ยวหมิงจึงรีบชิงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงหมองหม่นอย่างตัดพ้อ “หรือท่านคิดว่าข้าเห็นท่านทำสิ่งใดหรือขอรับ ข้ามันมีตาหามีแววไม่ทำให้ท่านอับอายขายขี้หน้า” ก่อนจะตีสีหน้าเศร้าสร้อยปานจะขาดใจ “ข้าควรตบปากตัวเองเพื่อให้ท่านสบายใจ” กล่าวจบก็พยายามยกฝ่ามือขึ้นมาตีหน้าตนอย่างไม่ลังเล

เป็นเหตุให้ชูหลินเฝ่ยต้องรีบจับมือผอมบางคู่นั้นเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “มะ…ไม่เลย แม่รองหาได้คิดเช่นนั้นไม่” กล่าวจบนางจึงผินใบหน้าหันไปมองยังพ่อบ้านชูที่ยืนอยู่ไม่ไกล ภาพที่เห็นมีเพียงการพยักหน้าลงมาอย่างเข้าใจจากบุรุษวัยกลางคน

จากนั้นชูหลินเฝ่ยจึงละสายตาหันไปมองผู้เป็นสามีตน แล้วผินใบหน้ากลับมา เมื่อละครฉากนี้มิได้ถูกหลิวซูหยวนใส่ใจมากนัก นางก็หยัดกายลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปหาบ่าวรับใช้ในเรือนตน “แต่เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องที่ไป๋หลิวแขนหักก็ส่วนเรื่องนี้ ไหนจะเรื่องที่เจ้าเข้าไปเล่นซุกซนในโรงครัวเป็นเหตุให้โรงครัวเสียหายนั่นอีกเล่า…เจ้ามีสิ่งใดมาแก้ต่างหรือไม่”

เปลี่ยนเรื่องไวจริงนางปีศาจผู้นี้

จ้าวเสี่ยวหมิงสบถภายในใจ ก่อนจะกลอกสายตาขึ้นลงอย่างระอา แล้วแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “ขะ...ข้าหาได้ทำไม่ขอรับ” ก่อนจะโคลงศีรษะไปมา แล้วยกนิ้วชี้ของตัวเองชี้ไปทางสตรีร่างอวบอ้วนที่นั่งก้มหน้าอยู่อีกฟากหนึ่งของผนัง “ที่โรงครัวเป็นเช่นนั้นเพราะพี่สาวผู้นั้น ปีนขึ้นไปบนโต๊ะจนมันหักเองนะขอรับ ข้าหาได้ทำไม่”

“จริงหรือไม่” ชูหลินเฝ่ยกล่าวเสียงเรียบออกไป ก่อนจะผินใบหน้ามองไปยังแม่ครัวทั้งสองที่นั่งตัวสั่นงกๆ เงิ่นๆ อย่างระอา

“จะ…จริงเจ้าค่ะ ตะ…แต่ต้นเหตุทั้งหมดมาจากคุณชายสามนะเจ้าคะ เพราะคุณชายสามมาแอบหยิบหมั่นโถวในสำรับ ที่พวกข้าจัดเอาไว้ให้ท่านเจ้าสำนักหยางเจียน ท่านหยางซิวอวี่ แขกของนายท่านนะเจ้าค่ะ”

“เป็นเช่นนั้นจริงหรืออาเหยียน” ชูหลินเฝ่ยเอ่ยอย่างใจเย็น ยามได้เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของแม่ครัวทั้งสอง ก่อนเจ้าตัวจะผินใบหน้าหันกลับมามองหลิวมู่เหยียนอย่างคาดคั้นอีกหน

“หามิได้ขอรับข้าหาได้แอบเอาหมั่นโถวเหล่านั้นไป” แต่ข้าหยิบมาเลยต่างหากเล่า จ้าวเสี่ยวหมิงต่อความในใจ ก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อซ่อนสีหน้าระรื่นของตน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายอย่างซุกซน จากนั้นจึงโป้ปดคำโตออกมา “ข้าแค่เดินผ่านโรงครัว แล้วเข้าไปหาของกิน แต่ก็เห็นพี่สาวคนนั้นยืนอยู่บนโต๊ะพร้อมยกสำรับอาหารร่ายรำไปมาแล้วนะขอรับ”

“มิใช่นะเจ้าคะ คุณชายสามเข้ามาขโมยหมั่นโถวไปจริงๆ”

“พอ”

หลิวชูหยวนเอ่ยอย่างระอา หลังจากได้ยินการโต้เถียงในเรื่องไม่เป็นเรื่อง บุรุษหนุ่มวัยกลางคนผินใบหน้าหันไปสบมองผู้เป็นภรรยารอง ก่อนจะหันไปหาอีกบุรุษหนุ่มรูปร่างผอมบางที่ขึ้นชื่อว่าบุตรนอกไส้ของตน แล้วกล่าวเสียงเข้มอย่างมิชอบใจ “ข้าให้พวกเจ้าเข้ามาในนี้หาใช่ให้มายืนโต้เถียงกัน”

“ขออภัยเจ้าค่ะนายท่าน”

แต่ทว่ายังมิทันที่จะได้ทำการใดต่อ ก็มีเสียงของบุรุษดังอยู่หน้าเรือนว่า “นายท่านขอรับ ท่านหยางซิวอวี่เดินทางมาถึงแล้วขอรับ”

“เช่นนั้นรึ”

หลิวชูหยวนเอ่ยเสียงเบา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองผู้คนภายในห้องอีกเพียงครั้ง แล้วกล่าวออกมา “เรื่องวันนี้พอแค่นี้ก่อน”

“แต่”

หลิวชูหยวนตบโต๊ะเสียงดัง 'ปึง!' หลังจากได้ยินเสียงคัดค้านจากผู้เป็นอนุภรรยา ก่อนจะกวาดสายตาไปมามองบ่าวรับใช้ที่ก่อปัญหา แล้วเอ่ยเสียงเข้มออกมาอย่างมิใคร่พอใจว่า “หากพวกเจ้าหาข้อยืนยันมามิได้ว่าเจ้าสามเป็นผู้กระทำก็ไม่ต้องมาอีก ออกไปได้แล้ว”

จากนั้นเพียงครู่เดียวบ่าวรับใช้ทั้งหมดที่อยู่ในห้องจึงรีบพากันออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะหากชักช้าอาจถูกลงโทษตามกฎของตระกูล

 บ่าวรับใช้พาออกไปกันแล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงแค่อนุภรรยาชูหลินเฝ่ยและลูกนอกไส้ของตน หลิวชูหยวนจึงหันไปสบมองหลิวมู่เหยียนด้วยสายตาเรียบเฉยไร้อารมณ์ใดๆ ก่อนจะทอดถอนลมหายใจอย่างระอา “วันนี้เจ้ามีนัดกับเจ้าสองที่ลานฝึกยุทธ์ไยยังมิไปเล่า”

“งั้นข้าขอลานะขอรับท่านพ่อ” จ้าวเสี่ยวหมิงรับคำเบาๆ ก่อนเดินออกไป 

[1]ยามอู่ (午时)คือเวลา 11.00 น.-12.59 น.

[2]เมล็ดซิ่งคือเมล็ดอัลมอนด์

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 33 สงบสุขหวนคืน

    “คุณชายใหญ่มาทางนี้”เสียงสะท้อนในอกดังก้องในมโนสำนึกตน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า ก็เห็นเป็นภาพในอดีตเมื่อครั้งยังเยาว์วัย กำลังวิ่งเล่นรอบแปลงดอกโบตั๋นกับดรุณีน้อยนางหนึ่ง เพราะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ชวนให้คิดถึงมารดาผู้ถูกเหล่าเซียนทั้งหลายรังแกจนจากไปเหม๋ยตงหม่าคือนามของเขา ผู้ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ตระกูลเหม๋ย ส่วนเหม๋ยยี่เถียนนั้นเกิดจากอนุภรรยาผู้ที่เคยเป็นบ่าวรับใช้ ที่แสนจะต่ำต้อยแต่ทว่าเหม๋ยยี่เถียนนั้นกลับมีร่างกายแข็งแรงกว่าดรุณีทั่วไป ด้วยพละกำลังอันมหาศาลนี้ จึงต้องวิ่งร่ามาปกป้องตนเองเสมอมา ส่วนตนเองนั้นที่อ่อนแอกว่า จึงต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองของน้องสาวผู้นี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งๆ ที่เป็นคุณชายใหญ่ของสกุลกลับถูกดูแคลนว่าไร้ซึ่งความสามารถไม่หยุดหย่อน ทั้งจากบิดา ถูกติฉินนินทาแม้กระทั่งบ่าวรับใช้ภายในเรือน แต่กระนั้นเขากลับได้รับความรักจากน้องสาวต่างมารดาผู้นี้เสมอมา มีเพียงเขาเท่านั้นที่คิดว่าเหม๋ยยี่เถียนเสแสร้งมาเอาใจและแล้วภาพเบื้องหน้าจะแปรเปลี่ยนไป เป็นภาพของเหม๋ยยี่เถียนผู้เป็นน้องสาวต่างมารดา กำลังกางมือเข้าปกป้องตนเองจากเหล่า

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 32 ศึกสุดท้าย

    “ไม่ได้ขอรับ ต่อให้เป็นอาจารย์ ต่อให้ข้าขึ้นชื่อว่าอกตัญญู ข้าก็มิอาจปลดตรวนให้ท่านได้”เสียงของหลิวห้าวเหลียงยังคงดังก้องในมโนสำนึกของตนไม่จางหาย หลังจากที่กลับออกมาเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนฟูกนอนในเรือนตน ตรวนสองสายยังคงพันวนอยู่รอบกายมิได้ถูกปลดออกไป ด้วยเหตุที่ว่าราวหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา เมื่อตนเองเดินทางกลับมาถึงสำนักหลิวสุ่ย ก็เร่งฝีเท้าเดินทางมุ่งหน้ามาหาหลิวห้าวเหลียงโดยมิได้กระทำสิ่งอื่นใด เพื่อให้ช่วยปลดโซ่ตรวนที่พันอยู่รอบกาย ทว่ากลับถูกลูกศิษย์ของตนปฏิเสธเสียอย่างนั้น ซ้ำยังถูกห้ามมิให้ออกไปไหน ถูกบ่าวไพร่คอยจับตามองในเมื่อร้องขอก็แล้ว อ้อนวอนก็ทำไปแล้ว หรือแม้แต่ออกคำสั่ง สุดท้ายหลิวห้าวเหลียงก็มิยอมปลดปล่อยตนออกไป จ้าวเสี่ยวหมิงจึงนั่งนิ่งคิดอย่างใคร่ครวญอยู่หลายตลบ แล้วเอ่ยพึมพำออกมา “เจ้าเด็กเหลือขอพวกนี้เล่นพิเรนทร์อะไร มิรู้หรืออย่างไรว่าผลที่ตามมามันจะเป็นเช่นไร” เอ่ยเพียงแค่นั้นก็คว้าเอาเยวี่ยกวงขึ้นมาไว้ในมือ จากนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วลอบออกไป ไปหาหลิวซูหยวน ผู้เป็นบิดาเจ้าของร่างนี้แทนเมื่อเข้าไปถึงเรือนของหลิวซูหยวน จ้าวเสี่ยวหมิงก็ไม่รอช้าที่เ

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 31 ตามติด

    รัชศกเสวียนหลีที่ 77 ปีวอกธาตุทอง ไป๋ลู่[1]กลางป่าอั้นฉิงรอยต่อระหว่างเขาหัวซานและที่ตั้งของสำนักหานเสียงเกือกม้ากระทบกับผืนดิน จ้าวเสี่ยวหมิงกุมบังเหียนม้าพ่วงพีตัวใหญ่ควบตะบึงติดตาม หยางหยุนเหลียง ที่ยังคงควบม้าอยู่ไม่ไกล แล้วร้องตะโกนออกมา “พี่หยางท่านหยุดบัดเดี๋ยวนี้รู้หรือไม่ว่าข้าตามหาท่านมานานเพียงใดแล้ว” ก่อนจะใช้ขาหนีบท้องม้า แล้วควบทะยานเข้าไปอย่างรวดเร็วหลายเดือนมานี้จ้าวเสี่ยวหมิงไล่ตามติดหยางหยุนเหลียงไม่หยุดหย่อน พอเข้าใกล้ตัวทีไร หยางหยุนเหลียงก็จะเตลิดหนีหายไปเสียทุกครั้ง ราวกับหลอกล่อให้วิ่งไล่จับ แต่พอใกล้ถึงตัวกลับหนีหายไปจ้าวเสี่ยวหมิงควบม้าพ่วงพีตัวใหญ่ เข้ามาในเขตป่าอั้นฉิง ตามหนทางราบเรียบราวกับมีคนมาถอนหญ้าคอยท่าไว้ ตามผืนดินเต็มไปด้วยเศษดินแห้งๆ แต่ทว่ากลับละเอียดราวกับเม็ดทราย แวดล้อมไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณเขาควบม้าไล่ตามหยางหยุนเหลียงเข้ามาได้เพียงครู่เดียว ก็พบกับม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งถูกล่ามขวางหนทางไว้ จ้าวเสี่ยวหมิงจึงชะลอฝีเท้าม้าลง ก่อนจะกระโดดลงมาจากหลังม้าแต่รู้เสียที่ไหนว่าหยางหยุนเหลียงที่คอยจังหวะนี้ ใช้ดัชนีวายุร่อนระบำ ดีดลูกหินใส่หลังม้าของจ้

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 30 วิญญาณดวงสุดท้าย

    กล่าวมาถึงชิงเสี่ยวหม่าเมื่อต้องล่าถอยกลับมายังวังมาร ก็เจ็บหนักอยู่มิใช่น้อย จำต้องใช้เวลานอนพักรักษากายอยู่ราวสามวัน อาการจึงทุเลาลง และในวันนี้เมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติ เขาจึงนั่งมองคนโทเก็บวิญญาณที่ได้ไปรวบรวมวิญญาณของผู้บำเพ็ญตนในพิธีไล่ล่า ที่ตั้งอยู่อย่างสงบนิ่ง ภายในห้องสูบวิญญาณมาหลายวัน ด้วยแววตาเรียบเฉยทว่ากลับมีความพลุ่งพล่านร้อนรนอยู่ภายในด้วยเหตุที่ว่าชิงเสี่ยวหม่า มิอาจสูบวิญญาณเหล่านี้เข้าไปกายตนได้ เพราะต้องรอให้ได้ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องไปไล่ล่ามาให้ครบเสียก่อนดวงวิญญาณที่มีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ของสกุลในตำนานเท่านั้นที่จะต้องเฟ้นหามา สายเลือดของสกุลหยางผู้มีสายปราณหยางวิ่งวนอยู่ภายในร่างกาย ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องช่วงชิงมา และเวลาที่จักต้องดึงดวงวิญญาณนี้ออกมา คือในคืนวันเพ็ญเดือนแปดที่กำลังจะย่างกรายเข้ามาในอีกไม่ถึงหนึ่งขวบปีอีกทั้งยังมียังมีสิ่งที่ตนต้องตามหา นั่นคือหน้าสุดท้ายของคัมภีร์เดียรถีย์วิชาที่ขาดหายไป ไม่ว่าจะพลิกแผ่นดินหาเพียงใดก็ยังมิอาจพบเจอ เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะต้องสืบเสาะให้ได้เสียก่อนพิธีกรรมการสูบดวงวิญญาณครั้งสุดท้ายจะเริ่มต

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 29 หยินหยางประสานกาย

    หยางหยุนเหลียงเหยียบเวหาก้าวทะยานไปยังทิศทางที่จ้าวเสี่ยวหมิงหนีไป นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดมองไปมาจนทั่ว ภาพที่สะท้อนให้เห็นมีเพียงยอดไม้นานาพรรณ แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมทั่วทั้งผืนป่าทว่าหากได้เพ่งมองดูอย่างถ้วนถี่ลึกลงไปถึงผืนแผ่นดิน ก็จะเห็นซากศพของนักพรตที่เพิ่งจะฝึกฝนระดับขั้นต้น ต้องมาสังเวยชีวิตให้กับเหล่าปีศาจจากวังมาร ทุกๆ ร่างต่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติ่งอย่างเดียวดาย มีเพียงผู้เหลือรอดค่อยๆ ออกตามหาร่างไร้ชีวิตของสหายตนเมื่อพบหนึ่งศพหยางหยุนเหลียงก็จุดพลุไฟบอกตำแหน่งเสียหนึ่งลูก ก่อนจะก้าวทะยานตามหาหลิวมู่เหยียนต่อไป เขาค้นหาทั้งผืนป่ากว้างใหญ่จนทั่ว แต่ก็ยังไม่เจอแม้เพียงเศษเส้นผมผ่านนานจนดวงตะวันคล้ายจะลาลับขอบฟ้า หิมะจึงค่อยๆ โปรยปรายลงมาอย่างบางเบา ในครานั้นเองสายตาของหยางหยุนเหลียงก็ไปสะดุดอยู่ตรงผาน้ำตก ที่มีไอเย็นแผ่ปกคลุมออกมา ด้วยเหตุที่เขาจำได้ว่าในยามเช้าตอนตนผ่านหนทางเส้นนี้มา น้ำตกสายนี้ยังไหลอย่างเอื่อยเฉื่อย มีไอความอบอุ่นคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นยามช่วงต้นเหมันต์ฤดู ที่มีหิมะโปรยปรายลงมาปกคลุม ยังมิอาจแช่แข็งน้ำตกสายนี้ได้ทว่าในยามนี้กลับมีไอเย็นจัดแผ่ปกคลุมอยู่

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 28 ปะทะ

    หลังจากวันนั้นผ่านไปเพียงแค่สองวันหลิวเยี่ยเฟยก็มาขอเดินทางกลับไปยังสำนักหลิว เมื่อเห็นว่ามิมีส่วนใดเสียหาย หยางซิวอวี่ที่เพิ่งเดินทางกลับมา จึงอนุญาตให้กลับไปอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ ด้วยความที่ว่าการบุกเข้ามาช่วงชิงกระบี่เยวี่ยกวงในวันนั้น มิมีผู้ใดปริปากบอกเจ้าสำนักหยางสักครึ่งคำ เมื่อหลิวเยี่ยเฟยเดินทางกลับไป วันเวลาก็ยังดำเนินต่อไปไม่มีหยุดพัก จากวันคือเปลี่ยนผันเป็นเดือน จากเดือนล่วงเลยเป็นแรมปี จ้าวเสี่ยวหมิงยังคงพำนักอยู่ที่สำนักหยางเจียนแห่งนี้ แม้จะมีผู้คนลอบเข้ามาแย่งชิงกระบี่ ก็จะถูกหยางซิวอวี่หรือหยางหยุนเหลียงไล่กลับไป โดยที่จ้าวเสี่ยวหมิงมิได้ออกแรงเสียเท่าไรจนกระทั่งสามปีพ้นผ่านไป ไร้ซึ่งผู้รุกรานใดๆ ย่างกรายเข้ามา แม้กระทั่งจอมมารฝูหมิงก็ยังมิยื่นมือเข้ามาช่วงชิงกระบี่คืนกลับไป ความสัมพันธ์ฉันท์สหายของหลิวมู่เหยียนและหยางหยุนเหลียงนั้นก็ยังคงดำเนินไปอย่างมิเป็นระเบียบ ดูคลายลิ้นกับฟันที่จะบังเอิญกระทบกันยามใด ย่อมมิอาจเลี่ยงการปะทะคารมเป็นครั้งคราวผ่านมาสามขวบปี ตบะฌานของหยางหยุนเหลียงก็ก้าวกระโดดไปไกลถึงระดับเจ็ด ไร้ซึ่งผู้ใดยากจะต่อกร ส่วนทางด้านจ้าวเสี่ยวหมิงนั้น ด

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status