ยามซวี[1]
ดวงตะวันคล้อยลาลับ แสงแดดสีแดงอมส้มทอประกายในยามเย็น โลมเลียท้องนภาให้กลายเป็นสีแดงเพลิง ลมหนาวทิ้งทวนช่วงปลายเหมันต์เพื่อย่างเข้าสู่ต้นวสันต์โบกพัดอย่างเอื่อยเฉื่อยพร้อมกับหิมะโปรยปรายลงมาอย่างบางเบา เสียงผู้คนทั้งนายบ่าวในสกุลหลิวต่างพากันทำหน้าที่ของตนอย่างรีบเร่ง ไม่มีใครสนใจใคร เป็นเหตุให้มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่ายังมีบุคคลสามคนกำลังหารือกันอย่างลับๆ ภายในเรือนหลินเฝ่ย
“เหตุใดเจ้าถึงได้นิ่งเฉยเช่นนั้น” ชูเจียหงเอ่ยเสียงเข้มอย่างมิใคร่พอใจ ขณะที่เจ้าตัวนั้นกำลังยืนอยู่ภายในเรือนของชูหลินเฝ่ยในยามนี้ หูทั้งสองก็มิลืมที่จะจับคลื่นเสียงแปลกปลอมที่แอบลักลอบอย่างระวัง ใบหน้าร่วงโรยบิดเบี้ยวตามแรงโทสะมิยอมคลาย เขาปรายหางตามองสตรีที่นอนอยู่บนแคร่ด้วยสายตาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ในใจกลับลุกโชนไปด้วยเพลิงร้อนที่สั่งสมราวกับจะระเบิดออกมา “น้องสามเจ็บตัวเช่นนี้ไยเจ้ามิรีบจัดการ”
“หากข้าทำได้ ข้าคงทำไปแล้วพี่ใหญ่” ชูหลินเฝ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ใบหน้าสวยหวานพลันหม่นคล้ำลงหลายส่วน นัยน์ตาสีน้ำตาลปรายตามองไปยังบุรุษวัยกลางคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานตนอย่างเฉยชา “ท่านเองก็เห็นมิใช่หรือว่าเจ้าลูกสุนัขนั่นมันทำอย่างไรกับข้า”
“แล้วเหตุใดเจ้ามิพ่นไอปีศาจผูกพันใส่เจ้าสุนัขหลิวในทันทีเล่า เพียงเท่านี้เราก็สามารถกันคนผู้นั้นให้ออกไปได้พักหนึ่ง”
“ข้าทำได้แต่แรกข้าคงทำไปแล้ว” ชูหลินเฝ่ยเอ่ยเสียงเข้มออกมา มือทั้งสองข้างกำแน่นสลับคลาย นัยน์ตาสีน้ำตาลทอประกายหรี่ลงแล้วเพ่งมองไปทางเรือนของหลิวมู่เหยียนฉายแววชิงชังอย่างไม่ปิดบัง “แต่ไอ้ลูกสุนัขนั่นก็พุ่งเข้ามาขัดจังหวะข้าเสียก่อน”
“ขัดจังหวะเจ้าหมายถึงเช่นไร”
“ก็มันสะดุดขาตัวเองแล้วล้มลงมาใส่ข้าอย่างไรเล่า ซ้ำยังเอ่ยวาจาราวกับรู้ด้วยว่าข้าจะทำอันใด” ชูหลินเฝ่ยกล่าวอย่างไม่พึงใจ มือข้างหนึ่งตบลงบนโต๊ะเสียงดัง “จนข้าต้องชะงักแล้วเข้าไปไถ่ถามมันอย่างที่ท่านเห็นอย่างไรเล่า”
“มันจะเป็นไปได้อย่างไร”
“แต่มันก็เป็นไปแล้วพี่ใหญ่ กว่าข้าจะหาโอกาสพ่นไอปีศาจผูกพันใส่เจ้าสุนัขหลิวนั่นได้ก็นานโข จนทุกๆ อย่างก็ไร้การไต่สวนเสียแล้ว”
“หรือว่ามันจะรู้ว่าพวกเราเป็นใคร” ไป๋หลิวที่นอนเงียบอยู่บนแคร่เอ่ยออกมาตระหนก ยามที่ได้ยินทั้งสองคุยกัน นางหลุบตามองมายังแขนข้างที่หักของตนอย่างใช้ความคิด แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “หรือญาณทิพย์ของมันที่พี่ใหญ่ทำลายไปเมื่อสิบปีก่อนจะกลับคืนมา”
ได้ยินเช่นนั้นชูเจียหงก็ผินใบหน้าหันไปสบสายตากับชูหลินเฝ่ยครู่หนึ่ง ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความกังวลใดๆ ออกมา “เรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้กระมัง แม้มารดาของมันจะเป็นผู้ที่สามารถจับกลิ่นไอปีศาจได้อย่างแม่นยำและเป็นผู้ฝึกตนอยู่ในขั้นกลางระดับหกก็ตาม แต่ข้าก็ได้ทำลายจุดรวมลมปราณของมันไปแล้ว จึงมิอาจรวบรวมตันเถียนในกายได้ ต่อให้ได้ตาเฒ่าหวงมารักษาก็มิมีทางกลับมาเป็นดังเดิม เจ้าลูกสุนัขนั่นจึงไม่อาจมาจับผิดใครได้หรอก เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“แล้วเหตุใด…”
“มันคงแค่บังเอิญจริงๆ กระมัง เพราะเวลาข้าไปสอบถามเจ้าลูกสุนัขนั่น มันก็บอกเพียงว่ามันเห็นข้ากำลังถ่มน้ำลายใส่เจ้าสุนัขหลิว” ชูหลินเฝ่ยชิงเอ่ยเสียงเรียบเสียก่อนที่ไป๋หลิวจะได้ทันกล่าวอันใด นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ลงมองมือที่กำแน่นสลับคลาย คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นราวกับคิดบางอย่างอยู่ภายใน “ข้าคงจะระแวงเกินไปกระมัง”
“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็เบาใจพี่รอง” ไป๋หลิวเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะฟุบหน้าลงบนแคร่ไม้ไผ่อย่างอ่อนแรง แม้นางจะเป็นปีศาจจำแลงกายมา ก็ใช่ว่าโดนโบยด้วยพลังปราณในสำนักแล้วจะเจ็บไม่เป็น “อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้าคิดได้ว่าที่เขาหักแขนข้าคงเป็นเรื่องบังเอิญที่ข้าใส่แรงกับมันมากเกินไป”
“เรื่องนั้นช่างมันเถิด น้องสาม” ชูเจียหงเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปสบสายตาของชูหลินเฝ่ย แล้วกล่าวออกมาว่า “คืนนี้เป็นวันจันทร์ดับ นายท่านสั่งให้พวกเราเก็บดวงวิญญาณเพิ่มกว่าคราวที่แล้วอีกเท่าตัว”
“มันไม่มากเกินไปหรือพี่ใหญ่ ผู้คนบริสุทธิ์ต้องมาล้มตายมากมายเกินไปเช่นนี้ ถึงพวกเราจะเป็นเผ่าปีศาจก็ใช่ว่าจะสังหารผู้คนบริสุทธิ์พร่ำเพรื่อเสียเมื่อไหร่ หากสังหารมากไปตบะฌานที่สั่งสมก็เป็นอันต้องถดถอยเช่นกัน”
“นั่นสินะ…กี่ขวบปีแล้วที่พวกเรามาอยู่ในสกุลนี้ คอยเก็บดวงวิญญาณผู้คนบริสุทธิ์ในคืนจันทร์ดับมานับไม่ถ้วน” ชูเจียหงกล่าวรำพึงเสียงสั่น “แต่พวกเราก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเราคงลำบากมิใช่น้อย”
“เพราะเป็นเช่นนี้ข้าถึงได้เกลียดมนุษย์ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ฝึกตน กล่าวอ้างว่าละกิเลสทั้งหมดทั้งมวลได้แต่สุดท้ายก็ถวิลหาความเป็นใหญ่” ไป๋หลิวเอ่ยเสียงเข้มอย่างคับแค้นใจ ก่อนจะใช้มือข้างที่ไม่หักทุบลงบนแคร่ไม้ไผ่อย่างแรง
“แค้นแล้วอย่างไร ไม่แค้นแล้วอย่างไร พวกเราเผ่าแมงมุมมิอาจต่อสู้คนผู้นี้ได้ ก็ต้องทำตามที่เขาสั่งการอยู่ดี” ชูหลินเฝ่ยเอ่ยเสียงเบา นางผินใบหน้าสบมองพี่น้องร่วมสาบานของตนด้วยแววตาไหวสั่น แม้จะคับแค้นใจสุดกำลังก็มิอาจทำสิ่งใดได้อย่างใจหวัง
“เอาเถอะเดี๋ยวน้องรองไปเตรียมตัวเถิด คืนนี้ยังอีกยาวไกล ยิ่งไม่มีน้องสามด้วยเช่นนี้คงต้องลำบากแล้ว”
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” ชูหลินเฝ่ยเอ่ยเสียงเบาก่อนจะรินน้ำชาขึ้นมาจิบเพียงครั้ง แล้วหยัดกายลุกขึ้นยืนก่อนจะถอดผิวหนังมนุษย์ที่ใช้สวมให้ออกไป แล้วเผยร่างจริงออกมา
ในขณะเดียวกันทางด้านจ้าวเสี่ยวหมิงภาย หลังจากที่ถูกเฮาหนี่กล่าวต่อว่าเพียงไม่นาน ฉืออ้ายก็พาไท่จูเข้ามาหาตน และกว่าจะได้พูดคุยและมอบหน้าที่ต่างๆ ให้ ก็กินเวลาไปถึงหนึ่งชั่วยามเต็ม
เมื่อจัดการธุระทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จ้าวเสี่ยวหมิงจึงลอบกระโดดขึ้นมาเยื้องย่างชมวิวเล่นอยู่บนหลังคา เขาเดินทอดน่องอย่างเกียจคร้าน ก่อนหูจะไปได้ยินเสียงพูดคุยบางอย่างอยู่ไม่ไกล
จากนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลงอย่างเงียบเชียบราวกับแมวเดิน เพียงไม่กี่ย่างก้าวก็ไปถึงวงสนทนา ภาพที่เห็นมีเพียงบุรุษสองคนที่เขาเพิ่งเจอเมื่อบ่ายนี้กำลังยืนคุยกันอยู่ด้านหน้าของประตูใหญ่
“เหตุใดท่านปู่ถึงให้หลานดูแลเขาขอรับ” หยางหยุนเหลียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความไม่พอใจ ก่อนจะปรายหางตามองเข้าไปภายในรั้วอย่างระอา
“ข้าเพียงอยากให้เจ้าหาอย่างอื่นทำนอกจากตรากตรำฝึกวิชาอย่างเอาเป็นเอาตาย”
“มันไม่ดีหรืออย่างไรขอรับ” หยางหยุนเหลียงกล่าวแย้งเสียงเรียบออกมา นัยน์ตาสีดำสบมองผู้เป็นปู่อย่างฉงน แต่กระนั้นมันก็แฝงไปด้วยความกังวล “ข้าฝึกปรือวิชาเพื่อก้าวข้ามขีดความสามารถกว่ารุ่นเดียวกันได้เช่นนี้”
“เจ้าแน่ใจแล้วหรืออาเหลียงเอ๋ย...ที่เจ้าเอ่ยเช่นนี้ นั่นคือความต้องการของเจ้าทั้งหมด” หยางซิวอวี่เอ่ยอย่างใจเย็น มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบเคราสีขาวอย่างช้าๆ นัยน์ตาสีดำทอประกายหรี่ลงจ้องใบหน้าหลานในไส้อย่างจับผิด “มิใช่ที่เจ้าฝึกหนักเช่นนี้เพียงเพราะเจ้าอยากพบคนคนหนึ่งหรอกหรือ”
“…”
“ข้าอยากให้เจ้าเลิกล้มความคิดนั้นเสีย มารร้ายเช่นนั้นมิสมควรอย่างยิ่งที่เจ้าจะไปคอยรับใช้ใกล้ชิดให้เสียเวลา” หยางซิวอวี่เอ่ยอย่างอารมณ์ดี เขาผินหน้าหันไปมองใบหน้าหยางหยุนเหลียงด้วยสีหน้ายิ้มเหมือนไม่ยิ้มแล้วกล่าวเสียงเข้มออกมา “เอาล่ะประเดี๋ยวข้าต้องออกเดินทางก่อนจะค่ำมืดไปมากกว่านี้” จบคำชายชราก็ร่ายมือไปมา เพียงครู่เดียวปุยเมฆสีขาวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ก่อนเจ้าตัวจะกระโดดขึ้นไป แล้วหันมาสบมองผู้เป็นหลานในไส้อีกหน “เรื่องทางนี้ฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน” ว่าจบปุยเมฆสีขาวลูกนั้นก็ค่อยๆ ลอยจากไป
“ขอรับ” หยางหยุนเหลียงอ้อมแอ้มตอบเสียงเบา นัยน์ตาสีดำหลุบมองฝ่ามือของตนเอาไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับเสียงกระซิบว่า “แม้ท่านจะรังเกียจจอมมารฝูหมิงเพียงใด แต่คนเช่นเขาที่เคยช่วยชีวิตข้าไว้เมื่อครั้งวัยเยาว์มิใช่มารร้ายหรอกขอรับท่านปู่”
ส่วนทางด้านจ้าวเสี่ยวหมิงที่ได้บังเอิญมาเห็นการสนทนาของคนทั้งคู่อยู่นั้น พลันแนบตัวลงไปกับแผ่นกระเบื้องสีขุ่น แล้วพึมพำเสียงเบาว่า “พวกเขาคงกำลังนินทาเรื่องของข้าอยู่กระมัง ดูสายตาของคุณชายสามหยางนั่นสิ เหลียวมองเข้าไปในเรือนของสกุลหลิวช่างเย็นชาเสียจริง แต่พวกเขาพูดอันใดกันข้ามิเห็นจะได้ยินเลยสักนิด” กล่าวจบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็ทอประกายอย่างซุกซน ยามที่ได้เห็นกิริยาของทั้งสองที่กระทำออกมา แต่เป็นเพราะว่าน้ำเสียงที่ทั้งสองกล่าวกันออกมานั้นเบาเกินไป เป็นเหตุให้บุรุษรูปร่างผอมบางที่พยายามเงี่ยหูฟังอย่างใคร่รู้อยู่นั้นหาได้ยินไม่ จ้าวเสี่ยวหมิงขยับร่างกายเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อจับใจความในประโยคสนทนา
เมื่อเข้าไปใกล้ทั้งสองคนนั้น เสียงที่ได้ยินก็ดังไม่ต่างจากเสียงหวีดหวิวของลมที่พัดผ่าน เขาจึงกล่าวออกมาอย่างเริงร่าว่า “ขยับเข้าไปใกล้อีกนิดดีกว่ากระมัง” กล่าวจบริมฝีปากบางก็ผุดรอยยิ้มร้ายกาจอย่างแผ่วเบา เขาขยับร่างของตนที่อยู่บนหลังคาให้เข้าไปใกล้อีกเพียงนิด ก็เห็นหยางซิวอวี่ขี่เมฆลอยขึ้นมา ดวงตาหยีเล็กมองมายังตนแล้วหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ มาถึงตรงนี้จ้าวเสี่ยวหมิงถึงกับหน้ากระตุกอย่างตระหนก เพราะเกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้ ทว่าหยางซิวอวี่มิได้กล่าวโทษอันใด นอกจากหัวเราะชอบใจแล้วลอยหายไปพร้อมเมฆา
ทว่าในขณะที่ตนกำลังจะหยัดกายยืนขึ้นมานั้น อาจเป็นเพราะชะตากลั่นแกล้งหรือฟ้ากำหนดมิอาจรู้ได้ หลังคาที่รับน้ำหนักอยู่นั้นก็เกิดลั่นเสียงดัง ‘เปรี๊ยะ’ ก่อนจะปริแตกขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล เป็นเหตุให้จ้าวเสี่ยวหมิงพลันร่วงหล่นตกลงไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
เมื่อได้ยินเสียงกระเบื้องหลังคาปริร้าว หยางหยุนเหลียงที่ยืนอยู่ด้านล่างก็แหงนหน้ามองขึ้นไปตามเสียงลั่นของกระเบื้องด้านบน ภาพที่เห็นคือร่างของบุรุษผู้หนึ่งกำลังร่วงหล่นลงมา
พอเห็นเช่นนั้นหยางหยุนเหลียงจึงขยับกายก้าวถอยหลังออกไปเพียงหนึ่งก้าว ร่างกายซูบผอมราวกับไม้เสียบผีร่างนั้นก็ร่วงหล่นผ่านหน้าตนลงมากองกับพื้นสกปรกแบบฉิวเฉียด นัยน์ตาสีดำสนิททอประกายสว่างวาบเพียงวูบเดียวยามได้เห็นว่าคนที่ร่วงลงมากองตรงหน้านั่นคือผู้ใด
“เหตุใดเจ้าถึงมากองตรงนี้ได้” หยางหยุนเหลียงเอ่ยเสียงเข้มอย่างมิใคร่พอใจ เขาปรายหางตามองใบหน้าของหลิวมู่เหยียนที่นอนกองกับพื้นอย่างฉายแววเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆ แล้วกล่าวเสียงเย็น “เจ้ามาแอบฟังพวกข้าคุยกันรึ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มพลันเบิกโพลงอย่างตกใจ ยามได้เห็นสายตาของคนตรงหน้าส่งมาให้ในใจพลันสบถว่าแย่แล้วออกมาอย่างคร้ามครั่น
จากนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงรีบหยัดกายลุกขึ้นนั่ง พลางส่ายศีรษะไปมาอย่างจ้าละหวั่น แล้วทำทีเป็นกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แบบร้อนรนออกไปว่า “มะ…มิใช่ขอรับ พอดีข้าลองวิชาตัวเบาอยู่ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุอันใดข้าถึงร่วงลงจากหลังคามาได้ก็ไม่รู้” พูดจบกล่าวจ้าวเสี่ยวหมิงก็หัวเราะแหะๆ ออกมา “บังเอิญจังนะขอรับที่ได้มาเจอพี่สามหยางที่นี่”
ได้ยินเช่นนั้นหยางหยุนเหลียงแค่นหัวเราะออกมาเสียงดัง ‘เหอะ’ อย่างระอา นัยน์ตาสีดำสนิทสบมองใบหน้าขาวซีดฉายแววมิใคร่พอใจ ก่อนจะหันกายแล้วยืนหันหลังให้ จากนั้นจึงกล่าวเสียงเข้มใส่ว่า “ข้ามาส่งท่านปู่น่ะ”
“ช่วยด้วย...”
ทว่าในขณะที่อยู่ในสถานการณ์เคร่งตึงอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงร้องครวญครางของสตรีและบุรุษหลายคนดังแว่วเข้ามาในรูหู ได้ยินเช่นนั้นหยางหยุนเหลียงก็ยกมือขึ้นมาสัมผัสกระบี่คู่กายตนตามสัญชาตญาณเตรียมต่อสู้ ก่อนจะหันหน้ามาสบมองหลิวมู่เหยียนที่กำลังนั่งนิ่งราวกับกำลังใช้ความคิดบางอย่างอยู่ภายใน แล้วเอ่ยเสียงเข้มหนักแน่นออกมาว่า “เจ้ารีบไปตามคนมาเร็ว ศัตรูน่าจะมากันหลายคน”
“ขอรับ”
จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยเพียงเท่านี้เขาก็หยัดกายลุกขึ้นยืน แล้วกระโดดขึ้นมาบนหลังคาอย่างคล่องแคล่ว แต่ทว่ายามได้มองเข้าไปด้านในของรั้วกำแพงใหญ่ ภาพที่เห็นมีเพียงเหล่าบุรุษและสตรีที่เมื่อครู่นี้ยังเห็นเดินเตร็ดเตร่อยู่นอกชานเรือนไปมาต่างพากันหลับใหลเสียอย่างนั้น ความเงียบสงัดปกคลุมราวถูกสะกดด้วยบางอย่างที่ไม่ถูกไม่ควร
เพียงเท่านี้จ้าวเสี่ยวหมิงจึงตระหนักได้ทันทีว่าคนในสกุลนี้คงโดนบางอย่างสะกดให้หลับใหลอย่างไม่ต้องคาดเดาใดๆ อีก และคงต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วยามกว่าคนพวกนี้จะรู้สึกตัวแล้วฟื้นจากห้วงนิทรา
จ้าวเสี่ยวหมิงจึงยกมือขึ้นมาแล้วเท้าเอวหลวมๆ เอาไว้ จากนั้นจึงกวาดสายตามองผู้คนที่นอนกองกระจายกันเป็นหย่อมๆ เหล่านั้นอย่างใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพึมพำออกมาว่า “ช่วยไม่ได้ข้าไปเองก็แล้วกัน” กล่าวจบเขาก็จัดการรวบผมที่ยาวสยายของตนขึ้นแล้วมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา พลางเอาเศษผ้าที่คาดเอวศิษย์ในสำนักผู้หนึ่งแถวๆ นั้น ขึ้นมาพันกรอบหน้าเพื่อปกปิดใบหน้าของตนอีกที
หลังจากนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงก็ก้าวขากระโดดไปตามทิศทางของเสียงครวญครางนั้นอย่างรีบเร่ง เมื่อมาถึงภาพที่เห็นคือหยางหยุนเหลียงกำลังต่อสู้กับปีศาจอยู่เพียงตนเดียว แขนข้างหนึ่งถูกใยแมงมุมสีขาวตรึงเอาไว้ กำลังกวัดแกว่งกระบี่และร่ายคาถาอย่างยากลำบาก ร่างกายทุกส่วนเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเพราะเริ่มอ่อนล้าและสิ้นกำลัง
ในยามนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงกวาดสายตาไปมาอีกเพียงครั้ง ก็เห็นปีศาจแมงมุมอีกตนหนึ่งอยู่ไม่ไกล ขาทั้งแปดหยุบหยับเกี่ยวกระหวัดรัดร่างของมนุษย์เอาไว้ แล้วกำลังใช้คนโทสีดำสนิทสูบเอาดวงวิญญาณสีขาวบริสุทธิ์เข้าไป
“แม้จะห้าวหาญแต่พลังของเจ้าไหนเลยจะสู้ปีศาจที่พลังปราณเหนือกว่าเพียงลำพังได้เล่าเจ้าหนู” จ้าวเสี่ยวหมิงพึมพำออกมายามได้เห็นหยางหยุนเหลียงพุ่งเข้าฟาดฟันปีศาจเหล่านั้นอย่างมิยำเกรงสิ่งใด เขาจึงได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างระอา “รนหาที่ตายเสียจริง”
กล่าวจบจ้าวเสี่ยวหมิงก็ยกมือขึ้นมา แล้วเดินพลังปราณภายในทั้งหมดที่เค้นมาได้ในยามนี้ บุรุษหนุ่มหลุบตามองริ้วปราณสายสีดำบนฝ่ามือตนด้วยแววตาสังเวชแฝงความสมเพชอยู่ภายใน ดังว่าตนนั้นมิสามารถเค้นพลังปราณออกมาได้อย่างที่ใจปรารถนา เพราะถ้าหากฝืนเกินไปร่างๆ นี้คงแหลกเป็นเสี่ยงเสียก่อนจะทันได้สู้รบตบมือกับใคร
ยามได้เห็นพลังปราณบนฝ่ามือของตน จ้าวเสี่ยวหมิงจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมาอย่างระอา ก่อนจะเงยหน้ามองภาพเบื้องหน้าอีกหน แล้วพึมพำเสียงเบาว่า “สามในสิบส่วน…จะไหวหรือไม่…แค่ไล่ไปก็พอกระมัง” กล่าวจบเขาก็กดฝ่ามือตนลงไปยังพื้นดินแตกระแหงอย่างไม่ลังเล
ด้วยพลังปราณของผู้ฝึกปราณระดับสิบ แม้จะใช้เพียงน้อยนิดแต่ก็ถือว่ามีแรงปะทะมหาศาลพอดู ยามเมื่อฝ่ามือได้สัมผัสกับพื้นดินอย่างตั้งใจ เป็นเหตุให้แผ่นดินในละแวกใกล้ไหวสั่นอย่างรุนแรง
ผืนพิภพสั่นไหวราวกับแผ่นดินจะแยก ฝุ่นควันมากมายตลบอบอวลกระจายอยู่ทุกพื้นที่ในละแวกใกล้ เป็นเหตุให้ทั้งสามคนที่ยืนอยู่ตรงนี้พลันชะงักค้างการปะทะอยู่ไปเสียครู่ใหญ่
เพียงไม่นานหยางหยุนเหลียงก็พลันได้สติคืนกลับมา เขาก็ยกมือขึ้นกุมหน้าอกตนที่โดนฝ่าเท้าอัดกระแทกเข้าใส่ ก่อนจะก้าวร่นถอยหลังมาตั้งหลักไว้ยามที่แผ่นดินเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง นัยน์ตาสีดำสนิทก็กวาดมองไปมาอย่างระวัง มือข้างหนึ่งกระชับกระบี่คู่กายของตนเอาไว้อย่างมาดมั่นมิยอมคลาย
ส่วนปีศาจสองตนพอรับรู้ได้ถึงภยันตรายต่างคนก็ต่างหลุบสายตามองมายังพื้นดิน ก่อนปีศาจตนหนึ่งจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วทิ้งร่างของมนุษย์ไว้ตรงนั้น จากนั้นจึงปรี่เข้ามารวมกลุ่มกับปีศาจอีกตนที่ยืนตั้งท่าอยู่ไม่ไกล พลางเอ่ยกระซิบเสียงเบาว่า “เมื่อครู่พี่ใหญ่ทำหรือเจ้าคะ” ก่อนนางจะหันสบสายตาบุรุษผู้สวมแพรพรรณสีขาวสะอาดตาตรงหน้าที่ยืนตั้งท่าอยู่ไม่ไกล “หรือจะเป็นคนในสำนักหลิว”
“มิใช่ข้า” ชูเจียหงกล่าวเพียงแค่นั้นก็ส่ายศีรษะไปมา เขากวาดสายตาไปมาอย่างระวัง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ร่างของหยางหยุนเหลียงเพียงวูบเดียว แล้วหันกลับมาสบมองพี่น้องร่วมสาบานตน “และก็คงไม่ใช่คนในสำนักหลิวหรอกกระมัง เพราะผู้คนในสำนักหลิวฝั่งตะวันตกนั้น บุคคลที่มีระดับปราณสูงส่งมีเพียงหลิวซูหยวนและหลิวห้าวเหลียงเพียงแค่นั้น แต่ทั้งสองก็ถูกคำเชิญลวงที่ข้าส่งไปหลอกเข้าเต็มเปาป่านนี้คงเดินทางไปยังสำนักหลิวทางฝั่งตะวันออกตั้งแต่เมื่อยามซวี[2] แล้วกระมัง” ชูเจียหงกล่าวออกมาอย่างใจเย็น “ส่วนคนที่เหลือในสำนักก็เป็นเพียงผู้ฝึกปราณขั้นต้น ที่ล้วนถูกข้าวางยาเมิ่งเซียง[3]
ที่ท่านผู้นั้นมอบให้ใส่ไว้ในถ้วยน้ำแกงเฉกเช่นที่ผ่านมาทุกครั้ง คนที่เหลือที่ไม่ได้กินน้ำแกงนั้น ข้าก็สะกดด้วยวิชาห้วงฝันอีกที มิมีทางที่คนในสำนักจะออกมาเพ่นพ่านอย่างแน่นอน”“แล้วเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะพี่ใหญ่” ชูหลินเฝ่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไหวสั่น นัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นกวาดมองไปมาอย่างระแวง
“รอดูไปก่อน” ชูเจียหงเอ่ยเสียงเรียบออกมา แม้ใบหน้าแฝงไปด้วยความกังวล “ถึงจะทำให้แผ่นดินไหวสั่นได้ แต่คนผู้นี้คงมีเพียงคนเดียว มิเช่นนั้นคงปรากฏตัวออกมาแล้วกระมัง”
ในระหว่างนั้นเองหยางหยุนเหลียงก็ปลดใยแมงมุมที่พันธนาการตนเอาไว้ออกมาได้ จึงเดินลมปราณเต็มสิบส่วนบนฝ่ามือข้างซ้ายของตน จากนั้นจึงใช้มือข้างขวายกกระบี่ขึ้นมาตั้งกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปรี่เข้าไปหาปีศาจทั้งสองตนอย่างมิยำเกรงสิ่งใด
เป็นเหตุให้จ้าวเสี่ยวหมิงที่ลอบมองอยู่ไม่ไกลถึงกับสบถออกมา “ช่างดื้อด้านเสียจริงเจ้าหนูผู้นี้ รู้ทั้งรู้สู้ไปก็เสียแรงเปล่า ไยต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า”
ยามได้เห็นกิริยาของหยางหยุนเหลียงที่พุ่งเข้าใส่ปีศาจทั้งสองแบบระห่ำเกินพอดี บุรุษหนุ่มจึงยกมือขึ้นเท้าเอวเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็เกาศีรษะไปมาอย่างมิชอบใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปมาอย่างใช้ความคิดบางอย่างอยู่ภายใน
ก่อนจะพึมพำ “หากยังฝืนเช่นนี้อยู่ มีหวังเจ้าหนูผู้นี้คงไม่รอดเป็นแน่” กล่าวจบก็ยกมือขึ้นมาสัมผัสกับใบหน้าที่มีผ้าพันทับเอาไว้ แล้วทอดถอนลมหายใจอย่างระอาเต็มทน
จ้าวเสี่ยวหมิงกัดฟันอดทนยืนมองได้เพียงไม่นานก็สบถออกมาอีกหน “แค่ไล่ไปเท่านั้น แค่ไล่ ถ้าหากต้องถึงกับประมือด้วยร่างนี้คงเจ็บหนัก” กล่าวจบเขาก็ส่ายศีรษะไปมาอย่างปลงๆ แล้วกระโดดขึ้นไปต้นไม้ใหญ่เพื่อรอจังหวะแทรกมือเข้าไป
ในยามนั้นเองชูเจียหงที่ได้เห็นท่าทีของหยางหยุนเหลียง กำลังตั้งท่าเตรียมดาหน้าเข้ามาฟาดฟันใส่ก็เอ่ยออกมาอย่างระอาใจ “ไอ้หนูผู้นี้ช่างไม่กลัวตายเสียจริง” ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากอย่างบางเบา เมื่อเห็นว่าการกระทำนั้นช่างเสียแรงเปล่าเสียนี่กระไร
จากนั้นจึงตั้งท่าเตรียมรับเพลงกระบี่ของหยางหยุนเหลียงที่พุ่งเข้ามาอย่างมิหวั่นเกรงสิ่งใด ยามเมื่อได้ปะทะกันไม่ว่าจะเป็นเพลงกระบี่ กระบวนท่าที่เข้าห้ำหั่น หรือการเตะอัดที่ซัดกระแทกเข้ามา ชูเจียหงที่ฝีมือเหนือกว่าถึงสามขั้นก็รับกระบวนท่าเหล่านั้นได้อย่างไม่มีบิดพลิ้ว
ผ่านไปเพียงแค่เจ็ดกระบวนท่า หยางหยุนเหลียงที่บอบช้ำภายในเป็นทุนเดิม ก็เริ่มอ่อนกำลังลง เหงื่อเย็นชื้นผุดขึ้นมาแล้วไหลซึมตามหน้าผากและไรผม เขาจึงใช้กระบี่ในมือตนปักลงพื้นเพื่อพยุงร่างกาย นัยน์ตาสีดำสนิททอประกายอย่างไม่ยอมแพ้ฉายชัดออกมาเป็นเหตุให้ชูเจียหงเห็นช่องว่างในจุดนั้น เขาจึงฉวยโอกาสซัดฝ่ามือเข้าใส่แผงอกของหยางหยุนเหลียงแบบไม่ให้เสียเวลาอย่างทันท่วงที
ทว่าในยามนั้นหยางหยุนเหลียงก็เตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ เขาจึงเบี่ยงกายหลบหลีกฝ่ามือพิฆาตนี้เพื่อมิให้ปะทะร่างกาย แต่ด้วยความเร็วของปีศาจที่ฝึกฌานมาถึงระดับหก เป็นเหตุให้หยางหยุนเหลียงที่ฝึกฝนบำเพ็ญตนมาถึงเพียงแค่ระดับสามมิอาจหลบฝ่ามือนั้นพ้น ยอดอกของเขาจึงถูกสันมือกระแทกเฉียดผิวหนังไป
แต่ด้วยพลังภายในที่ฝึกมาถึงระดับหก แม้จะมิใช่ระดับขั้นที่สูงมากมายเพียงใด แต่ก็ถือว่ายังสูงกว่าหยางหยุนเหลียงถึงสามขั้นอยู่ดี แม้จะโดนเพียงแค่เสี้ยวผิวหนังก็เป็นเหตุให้ร่างของบุรุษหนุ่มผู้สวมแพรพรรณสีขาวสะอาดตาถึงกับกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่อย่างแรงก่อนเจ้าตัวจะกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ
เมื่อเห็นว่าหยางหยุนเหลียงกำลังพลาดท่าเสียที จ้าวเสี่ยวหมิงที่ลอบมองดูเหตุการณ์อยู่บนต้นไม้ใหญ่อย่างเงียบเชียบจึงต้องจำใจกระโจนลงมาขวางทั้งสองเอาไว้ แล้วกดฝ่ามือลงบนผืนดินด้วยพลังปราณเพียงน้อยนิดของตน
แรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นบังเกิดขึ้นอีกหน เป็นเหตุให้ชูเจียหงที่กำลังถลาเข้ามาหมายจะซ้ำหยางหยุนเหลียงให้แหลกลาญต้องชะงักฝีเท้า นัยน์ตาสีดำขลับทอประกายวาบผ่านเพียงวูบเดียว แล้วสบมองหลิวมู่เหยียนในคราบบุรุษหนุ่มผู้ปกปิดใบหน้าอย่างมิใคร่พอใจก่อนสายตาจะมาหยุดอยู่ตรงฝ่ามือของหลิวมู่เหยียนที่กำลังเดินลมปราณเพียงแค่สามส่วนมิทันคลาย แม้จะเป็นคืนเดือนดับ แต่ด้วยเพราะแสงไฟจากโคมตามบ้านเรือนส่องสว่างให้เห็นเป็นหย่อมๆ บวกกับสายตาของปีศาจเช่นเขา ทำให้แยกสีของปราณได้ไม่ยากเสียเท่าไร
ภาพที่เห็นคือริ้วพลังปราณสีดำเข้ม สายปราณหยินที่หาได้ยากยิ่งกำลังพันรอบฝ่ามือข้างขวาของหลิวมู่เหยียนอย่างบางเบา ในยามนั้นเลือดในกายที่เคยพลุ่งพล่านด้วยแรงโทสะมากมายพลันเย็นเฉียบราวกับกลายเป็นน้ำแข็งอย่างไม่มีที่มา ก่อนเจ้าตัวจะเผลอก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว
ทว่าชูหลินเฝ่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับหาได้มองเห็นเช่นนั้นไม่ ยามได้เห็นบุรุษนิรนามกระโจนลงมาพร้อมอัดกระแทกฝ่ามือลงไปยังพื้นพิภพ ก็บังเกิดโทสะขึ้นมาอย่างมิอาจกลั้นไหว นางจึงถลาเข้าไปหมายจะกระชากร่างชายที่สวมผ้าปกปิดใบหน้าไว้ให้กระเด็นไปไกลๆ เสียให้พ้นเหตุที่บังอาจเข้ามาขวางทางตนเก็บดวงวิญญาณ แต่ก้าวเข้าไปไม่ถึงครึ่งก้าวก็ถูกชูเจียหงยกมือปรามเสียก่อนจะได้ทำอันใด “สงบใจก่อนน้องรอง คนผู้นี้มีพลังปราณสูงส่งข้าไม่อาจเดาได้เลยว่าอยู่ในระดับไหนกัน”
“แต่ท่านพี่ คนผู้นี้ทำเพียงผืนแผ่นดินสั่นสะเทือนเองนะเจ้าคะ เหตุใดท่านถึงคิดว่าเขาแข็งแกร่งเล่า”
“สงบใจก่อนน้องรองข้ารู้ว่าเจ้ารีบร้อน” ชูเจียหงกล่าวอย่างใจเย็น ก่อนจะยกนิ้วชี้ของตัวเองชี้ไปยังฝ่ามือของบุรุษที่ใช้ผ้าพันหน้าไว้ “เจ้าลองมองสีปราณของคนผู้นี้ด้วยตาของเจ้าให้ดีๆ สิ”
ด้วยอาการของชูเจียหงที่กระทำออกมาเป็นเหตุให้ชูหลินเฝ่ยต้องมองตามนิ้วชี้ข้างนั้นไปอย่างจำใจ แต่พอได้เพ่งมองฝ่าความมืดมิดที่มีเพียงโคมไฟตามบ้านเรือนส่องสว่างบ้างประปราย ภาพที่เห็นคือริ้วปราณคลื่นสีดำเข้มพันรอบฝ่ามืออีกฝ่ายเอาไว้อย่างบางเบา นางจึงอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “ปราณสีดำหรือว่านี่จะเป็น...” ก่อนจะหันหน้าไปสบมองพี่น้องร่วมสาบานตน เลือดในกายพลันเย็นเฉียบราวกับถูกแช่น้ำแข็งไว้ ร่างกายเริ่มอ่อนแรงเสียอย่างนั้น
“อย่าเพิ่งตื่นตูมไป แม้เจ้าจะคิดว่าปราณสีดำมืดเช่นนั้นจะเป็นผู้ใด แต่ก็คงมิใช่คนผู้นั้นหรอกกระมัง สีปราณเช่นนี้คงจะมีเพียงราชนิกุลเผ่ามาร ปีศาจบางตนที่บรรลุฌานระดับสูงและจอมมารฝูหมิงเท่านั้นที่ใช้ได้” ชูเจียหงเอ่ยเสียงเบา เขาปรายหางตาไปสบมองพี่น้องร่วมสาบานของตนด้วยแววตาที่แฝงความกังวล “แต่จอมมารฝูหมิงก็มิอาจมาปรากฏกายมาขวางทางพวกเราได้หรอกกระมัง เพราะเหตุใดเรื่องนั้นเจ้าย่อมรู้ดี ข้าว่าคนผู้นี้คงเป็นปีศาจระดับสูงฝึกเดียรถีย์วิชาเสียมากกว่ากระมัง”
“แล้วเราจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
“ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปพูดคุยเอง เขาอาจเป็นมิตรหาใช่ศัตรูไม่” ชูเจียหงเอ่ยเพียงแค่นั้น เขาก็เบนสายตาหันกลับมามองบุรุษภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำสนิทผู้นั้นอีกหน แล้วกล่าวเสียงเข้มหนักแน่นอย่างใจเย็นว่า “ท่านเป็นใคร เหตุใดจึงสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้เล่า หรือว่าข้าไปขัดขวางทางล่าดวงวิญญาณของท่านบอกได้หรือไม่”
“…”
ไร้เสียงตอบกลับจากจ้าวเสี่ยวหมิงแม้เพียงครึ่งคำ ชูเจียหงจึงรีบกล่าวออกไปอย่างร้อนรนแฝงไปด้วยความกังวลว่า “หากท่านมาที่นี่เพื่อมาล่าดวงวิญญาณ ข้าคิดว่าข้าแบ่งให้ท่านได้นะขอรับ”
“...”
แม้จะเอ่ยออกไปเช่นไร ก็ยังไร้เสียงตอบรับกลับมาเช่นเดิม สิ่งที่จ้าวเสี่ยวหมิงตอบกลับไป มีเพียงการยกฝ่ามือขึ้นมา แล้วเดินลมปราณใส่มือตนอีกครา ริ้วปราณสีดำเข้มสายหนึ่งพันวนไปรอบๆ ฝ่ามืออย่างบางเบาเพื่อบ่งบอกให้ปีศาจทั้งสองตนได้รู้ว่าตัวเขานั้นหาใช่เป็นมิตรไม่ แต่เป็นเพียงศัตรูที่หมายจะทำลายชีวิตหากย่างก้าวเข้ามา ก่อนเจ้าตัวจะทำทีเป็นเยื้องย่างเข้าไปหาชูเจียหงอย่างเยือกเย็น
เป็นเหตุให้ชูเจียหงพึงตระหนักได้ว่าคนผู้นี้หาได้มาผูกมิตรกับตน เขาจึงยืนมือไปจับท่อนแขนของพี่น้องร่วมสาบานเอาไว้ แล้วเอ่ยเสียงเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบว่า “ถอยก่อนคนผู้นี้ต้องการชีวิตเรา” กล่าวจบก็ร่นถอยหลังอย่างช้าๆ นัยน์ตาสีดำขลับจ้องเขม็งไปที่ร่างกายของหลิวมู่เหยียนภายใต้ผ้าคลุมหน้าอย่างระวัง
“ไยท่านพี่มิสู้กับมันดูเจ้าคะ”
“เจ้ามิมีตารึ สีปราณเช่นนั้นไหนเลยพวกเราปีศาจที่ฝึกฌานถึงเพียงขั้นกลางจะต่อกรด้วยได้ สู้ไปก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง” ชูเจียหงกล่าวเสียงเข้มอย่างมิใคร่พอใจ จากนั้นก็รีบร่นถอยหลังเมื่อเห็นว่าจ้าวเสี่ยวหมิงกำลังย่างก้าวอย่างคุกคามเข้ามา
แต่ทว่าในขณะที่ชูเจียหงกำลังก้าวร่นถอยหลังอยู่นั้น ชูหลินเฝ่ยที่ยืนอยู่ข้างกันก็กระตุกข้อมือของพี่น้องร่วมสาบานเอาไว้ ก่อนจะกระซิบเสียงเบาว่า “ให้ข้าใช้ไอปีศาจผูกพันที่ท่านผู้นั้นมอบให้มาเถิดพี่ใหญ่เราจะเสียดวงวิญญาณที่หามาในคืนนี้มิได้”
“ช้าก่อนน้องรอง คนผู้นี้วรยุทธ์สูงส่งนักซ้ำยังมีปราณสีดำเข้มแฝงด้วยพลังหยินที่ร้ายกาจ ข้าว่าแม้แต่พิษไอปีศาจผูกพันที่ท่านผู้นั้นมอบให้เจ้าไว้เพื่อใช้สะกดรองเจ้าสำนักหลิว หลิวซูหยวนผู้ที่บำเพ็ญตบะฌานถึงระดับแปดก็ตาม แต่ก็มิอาจสะกดคนผู้นี้ได้” ชูเจียหงเอ่ยเสียงเข้มแต่แฝงไปด้วยความกังวล นัยน์ตาสีดำขลับจับจ้องอยู่ที่ร่างของชายนิรนามไม่ยอมคลาย ก่อนจะบีบมือเรียวเล็กของสตรีข้างกายเพื่อเรียกสติเอาไว้ “เรารีบหาทางไปจากที่นี่เถอะ”
“แต่...”
“เชื่อข้าเถอะน้องรอง วิญญาณบริสุทธิ์เหล่านี้หากเราหนีจากที่นี่ไปได้ ย่อมหาทางเก็บได้อีก” ชูเจียหงเอ่ยอย่างร้อนรน เขาเหลียวใบหน้าหันมาสบมองพี่น้องร่วมสาบานของตนด้วยแววตาแฝงไปด้วยความกังวลอยู่ภายใน ถึงแม้เขาจะเกรงกลัวผู้เป็นนายเหนือหัวของตนมากเพียงใด แต่คนผู้นี้กลับมีความกดดันที่แฝงไปด้วยภยันตรายมากกว่าคนผู้นั้นเป็นทบทวี
“ถ้าหากเราตายเสียตรงนี้ก็มิอาจหาทางเก็บดวงวิญญาณได้อีกเป็นแน่”
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่ข้าเข้าใจแล้ว”
ชูหลินเฝ่ยเอ่ยออกมาเพียงแค่นั้น ทั้งสองก็พากันก้าวร่นถอยหลัง เพื่อหลีกหนีการคุกคามของจ้าวเสี่ยวหมิงที่เยื้องย่างเข้าหาอย่างช้าๆ และพอสบโอกาสก็กระโจนหนีไป
เมื่อเป็นเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงก็มิได้คิดที่จะตามต่อไป เขาทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหลุบมองฝ่ามือของตนที่ริ้วปราณสายสีดำค่อยๆ จางหายไป แล้วพึมพำด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ว่า “เกือบไป…เกือบไป…ดีนะที่เจ้าปีศาจโง่นั้นไม่เข้ามาปะทะตรงๆ หาไม่คงรู้ไปแล้วว่าข้าผู้นี้ใช้ปราณได้เพียงสามในสิบส่วน” กล่าวจบก็แค่นหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยันแล้วฝืนรั้งความรู้สึกชวนสมเพชให้อยู่แต่ภายใน ก่อนจะยกมือขึ้นมาเท้าเอวหลวมๆ เอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปมาด้วยท่าทีที่สงบนิ่งอย่างชั่งใจ “ถ้าหากเจ้าปีศาจพวกนั้นรู้ว่าข้าใช้พลังได้ไม่เต็มทีละก็เกรงว่าข้าคงโดนเจ้าปีศาจพวกนั้นฉีกเนื้อเถือหนังออกมาเล่นเป็นแน่” กล่าวจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมิอาจกลั้น ก่อนจะเหลือบสายตาหันไปมองบุรุษหนุ่มผู้สวมแพรพรรณสีขาวสะอาดตาอีกหน
ภาพที่เห็นคือสีหน้าไม่สู้ดีของหยางหยุนเหลียงกำลังสบมองมาที่ตนด้วยสายตาคลางแคลงใจ มุมปากบางมีหยาดโลหิตสีแดงสดไหลซึมออกมา เขาพยายามขยับร่างกายพิงต้นไม้ใหญ่อย่างยากลำบาก ไม่ลืมที่จะเอ่ยวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงข่มไม่ให้สั่นว่า “ท่านเป็นใคร เหตุใดถึงแทรกมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้”
ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงที่สิงสู่อยู่ในร่างของหลิวมู่เหยียนก็เยื้องย่างไปหยิบคนโทสีดำสนิทที่ชูหลินเฝ่ยมิได้เก็บกลับไป ก่อนจะหันกลับมาสบมองหยางหยุนเหลียงด้วยแววตาเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงแสร้งให้เคร่งขรึมเข้าไว้ “ตัวข้านั้นไร้นาม เป็นเพียงคนพเนจรผ่านมาแล้วเห็นเจ้าเดือดร้อนเลยอดมิได้ที่จะช่วยเหลือ”
สิ้นคำของจ้าวเสี่ยวหมิงหยางหยุนเหลียงจึงเอ่ยถามต่ออย่างอดไม่ได้ เมื่อได้เห็นปราณสายสีดำที่มีเพียงราชนิกุลเผ่ามารและปีศาจระดับสูงที่ใช้ได้มาปรากฏบนฝ่ามือของคนผู้นี้ “แล้วเหตุใดท่านจึงมีปราณสีดำได้ ท่านมิใช่พวกเดียวกับพวกมันหรอกหรือ”
‘ฝึกฌานได้เพียงระดับสาม แต่กลับแยกแยะสีปราณของข้าออกถือว่ามีฝีมือพอตัว’
จ้าวเสี่ยวหมิงชื่นชมบุรุษตรงหน้าอยู่ในใจ เขายกมือขึ้นมาอีกเพียงครั้งแล้วเดินลมปราณมาที่ฝ่ามือตน ริ้วคลื่นสีดำสายหนึ่งก็ปรากฏออกมาอย่างบางเบา ก่อนจะค่อยๆ พันรอบฝ่ามือขาวซีดนั้นอีกหน จ้าวเสี่ยวหมิงหันหน้าไปสบมองคู่สนทนาตน แล้วเอื้อนเอ่ยด้วยประโยคราบเรียบกังวานดุจสายน้ำไหลว่า
“ไม่ว่าจะมีสายปราณสีไหนหากใช้ในทางที่เหมาะสมล้วนเป็นคุณทั้งสิ้น จะมารก็ดี จะปีศาจก็ดี หรือเป็นมนุษย์ผู้ฝึกตนก็ดี สิ่งเหล่านี้ดีเลววัดกันที่ใดเล่า” กล่าวจบจ้าวเสี่ยวหมิงก็ใช้ฝ่ามือที่เดินลมปราณเอาไว้มาเปิดฝาคนโทอย่างเชื่องช้า เพียงครู่เดียวสายสีขาวบางๆ ของดวงวิญญาณบริสุทธิ์หลายสิบดวงต่างพากันยื้อแย่งกันออกมา
จ้าวเสี่ยวหมิงได้แต่จ้องมองไอสีขาวที่พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องนภาเหล่านั้นด้วยแววตาเรียบเฉย “เพราะเป็นมารหรือถึงเลว เพราะเป็นปีศาจหรือถึงเลว หรือจะต้องมีเพียงแค่มนุษย์ที่บำเพ็ญเพียรหมั่นฝึกฝนเท่านั้นถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนดีเล่า ทุกสิ่งนั้นล้วนอยู่ที่การกระทำทั้งสิ้น และสุดท้ายต่อให้ดีหรือเลวก็ต้องกลายเป็นวิญญาณอยู่ดี”
ยามเมื่อได้ยินประโยคที่ชายนิรนามเอื้อนเอ่ยออกมา ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายพลันกระตุกแรงๆ ขึ้นอีกหน คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่เขาล้วนเคยได้ยินมาแล้วเมื่อครั้งยังเยาว์วัย คำพูดที่แสนจะเสียดแทงหัวใจคนของบุรุษที่ถูกตราหน้าว่าเป็นจอมมาร แม้จะคล้ายแต่รูปร่างนั้นกลับหาใช่ไม่ บุรุษหนุ่มจึงสะบัดศีรษะไปมาเพื่อขับไล่ความคิดดังกล่าวนั้นให้ออกไป
จากนั้นเขาจึงเบนสายตาหันไปมองที่มือของบุรุษตรงหน้า ภาพที่เห็นมีเพียงบุรุษหนุ่มผู้ปกปิดใบหน้าเอาไว้กำลังทำบางอย่างกับคนโทบรรจุดวงวิญญาณ เป็นเหตุให้หยางหยุนเหลียงที่เห็นการกระทำดังกล่าวรีบเอ่ยออกมาว่า “นั่นท่านจะทำอันใด...อึก” แล้วพยายามหยัดกายลุกขึ้นยืน หมายจะเข้าไปห้ามด้วยความยากลำบาก มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมากุมหน้าอกของตนเอาไว้แล้วได้แต่พิงต้นไม้ใหญ่มองการกระทำเหล่านั้นโดยที่ไม่สามารถยื้อแย่งสิ่งที่อยู่ในมือของชายนิรนามมาได้
เมื่อเห็นเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ดวงวิญญาณเหล่านี้ถูกดูดออกมาจากกายหยาบแล้วมิอาจกลับไปยังร่างของตนได้อีกต่อไป เรื่องนี้เจ้าย่อมรู้ใช่หรือไม่” ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังทิศที่ไอสีขาวบางๆ พุ่งไปยังท้องนภาที่มืดมิดอีกหน “สิ่งที่ข้าทำได้คือปลดปล่อยให้พวกเขาไปยังที่ที่ควรไป”
“…”
หลังจากนั้นเพียงไม่นานไอสีขาวที่พวยพุ่งขึ้นไปก็ค่อยๆ เลือนหาย ไปกับความว่างเปล่าของสายลม จ้าวเสี่ยวหมิงจึงปิดฝาคนโทด้วยพลังปราณของตน ก่อนจะหันหน้ามาสบมองหยางหยุนเหลียงแล้วเอ่ยออกมา “อีกไม่นานคนของสกุลหลิวก็คงฟื้นขึ้นมาจากการหลับใหล ในยามนั้นคงมีคนออกมาช่วยเจ้าเช่นกัน” จบคำจ้าวเสี่ยวหมิงก็กระโจนขึ้นต้นไม้ใหญ่ ไม่ตอบรับเสียงตะโกนของหยางหยุนเหลียงที่เอ่ยรั้งตนไว้ แล้วเร้นกายหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นานจ้าวเสี่ยวหมิงในคราบของหลิวมู่เหยียนก็ปรากฏกายวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา พร้อมกับตะโกนด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “ยะ… แย่แล้วขอรับคนในสำนักต่างพากันหลับใหล เรียกเท่าใดก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมาเลยขอรับ” กล่าวจบบุรุษรูปร่างผอมบางก็หันไปเห็นหยางหยุนเหลียงยืนพิงต้นไม้ใหญ่ด้วยท่าทางที่อ่อนแรง
ใบหน้าขาวซีดซีดลงกว่าเก่าอีกเป็นเท่าตัว ยามได้เห็นสภาพร่างกายของคนสกุลหยางที่แม้แต่จะหยัดกายยืนขึ้นมาก็มิอาจจะทานทนไหว จ้าวเสี่ยวหมิงจึงรีบปรี่เข้าไปช่วยพยุงร่างที่กำลังจะล้มลงเอาไว้ แล้วรีบเอ่ยอย่างร้อนรน “เกิดเหตุอันใดขึ้นขอรับ เหตุใดพี่สามหยางถึงได้เป็นเช่นนี้”
“เรื่องนี้ดรุณน้อยเช่นเจ้ามิควรรู้หรอก” หยางหยุนเหลียงเอ่ยเสียงเข้มเพื่อกลบเกลื่อนความสั่นไหวเอาไว้ แล้วพยายามผลักร่างของหลิวมู่เหยียนให้ออกห่างตน “ออกไปไม่จำเป็นที่เจ้าต้องมาช่วยข้า ข้าไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขาให้เจ้ามาช่วยเหลือ”
เห…เจ้าหนูผู้นี้หยิ่งยโสนัก แต่เอาเถอะขืนข้าไม่ช่วยแล้วเจ้าจะไปถึงสำนักหลิวยามใดเล่า
จ้าวเสี่ยวหมิงสบถในใจอย่างนึกขัน เขาส่ายศีรษะไปมาแล้วเอ่ยออกมาว่า “ข้ารู้นะว่าท่านมิได้ชอบข้าเท่าไรนัก หากมีคนเช่นข้าคอยช่วยเหลือท่านคงไม่ชอบใจ แต่พี่สามหยางขอรับ ท่านรู้หรือไม่ถ้าหากข้าไม่ช่วยท่าน ข้าคงถูกครหาว่าแล้งน้ำใจเช่นกัน คำขอร้องของท่านข้าคงไม่อาจทำตามได้ขอรับ” กล่าวจบบุรุษร่างกายผอมบางก็ขยับโอบเอวของหยางหยุนเหลียงให้กระชับขึ้นอีกนิด แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “คิดเสียว่าการช่วยเหลือในครั้งนี้ของข้าทำเพื่อตอบแทนท่านที่ช่วยเหลือข้าเมื่อเช้านั้นก็แล้วกันนะขอรับ”
[1]ยามซวี (戌时) คือเวลา19.00 น. -20.59 น.
[2]ยามซวี(戌时)คือเวลา 19.00 น. -20.59 น.
[3]เมิ่งเซียง แปลว่าห้วงหลับฝัน
“คุณชายใหญ่มาทางนี้”เสียงสะท้อนในอกดังก้องในมโนสำนึกตน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า ก็เห็นเป็นภาพในอดีตเมื่อครั้งยังเยาว์วัย กำลังวิ่งเล่นรอบแปลงดอกโบตั๋นกับดรุณีน้อยนางหนึ่ง เพราะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ชวนให้คิดถึงมารดาผู้ถูกเหล่าเซียนทั้งหลายรังแกจนจากไปเหม๋ยตงหม่าคือนามของเขา ผู้ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ตระกูลเหม๋ย ส่วนเหม๋ยยี่เถียนนั้นเกิดจากอนุภรรยาผู้ที่เคยเป็นบ่าวรับใช้ ที่แสนจะต่ำต้อยแต่ทว่าเหม๋ยยี่เถียนนั้นกลับมีร่างกายแข็งแรงกว่าดรุณีทั่วไป ด้วยพละกำลังอันมหาศาลนี้ จึงต้องวิ่งร่ามาปกป้องตนเองเสมอมา ส่วนตนเองนั้นที่อ่อนแอกว่า จึงต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองของน้องสาวผู้นี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งๆ ที่เป็นคุณชายใหญ่ของสกุลกลับถูกดูแคลนว่าไร้ซึ่งความสามารถไม่หยุดหย่อน ทั้งจากบิดา ถูกติฉินนินทาแม้กระทั่งบ่าวรับใช้ภายในเรือน แต่กระนั้นเขากลับได้รับความรักจากน้องสาวต่างมารดาผู้นี้เสมอมา มีเพียงเขาเท่านั้นที่คิดว่าเหม๋ยยี่เถียนเสแสร้งมาเอาใจและแล้วภาพเบื้องหน้าจะแปรเปลี่ยนไป เป็นภาพของเหม๋ยยี่เถียนผู้เป็นน้องสาวต่างมารดา กำลังกางมือเข้าปกป้องตนเองจากเหล่า
“ไม่ได้ขอรับ ต่อให้เป็นอาจารย์ ต่อให้ข้าขึ้นชื่อว่าอกตัญญู ข้าก็มิอาจปลดตรวนให้ท่านได้”เสียงของหลิวห้าวเหลียงยังคงดังก้องในมโนสำนึกของตนไม่จางหาย หลังจากที่กลับออกมาเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนฟูกนอนในเรือนตน ตรวนสองสายยังคงพันวนอยู่รอบกายมิได้ถูกปลดออกไป ด้วยเหตุที่ว่าราวหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา เมื่อตนเองเดินทางกลับมาถึงสำนักหลิวสุ่ย ก็เร่งฝีเท้าเดินทางมุ่งหน้ามาหาหลิวห้าวเหลียงโดยมิได้กระทำสิ่งอื่นใด เพื่อให้ช่วยปลดโซ่ตรวนที่พันอยู่รอบกาย ทว่ากลับถูกลูกศิษย์ของตนปฏิเสธเสียอย่างนั้น ซ้ำยังถูกห้ามมิให้ออกไปไหน ถูกบ่าวไพร่คอยจับตามองในเมื่อร้องขอก็แล้ว อ้อนวอนก็ทำไปแล้ว หรือแม้แต่ออกคำสั่ง สุดท้ายหลิวห้าวเหลียงก็มิยอมปลดปล่อยตนออกไป จ้าวเสี่ยวหมิงจึงนั่งนิ่งคิดอย่างใคร่ครวญอยู่หลายตลบ แล้วเอ่ยพึมพำออกมา “เจ้าเด็กเหลือขอพวกนี้เล่นพิเรนทร์อะไร มิรู้หรืออย่างไรว่าผลที่ตามมามันจะเป็นเช่นไร” เอ่ยเพียงแค่นั้นก็คว้าเอาเยวี่ยกวงขึ้นมาไว้ในมือ จากนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วลอบออกไป ไปหาหลิวซูหยวน ผู้เป็นบิดาเจ้าของร่างนี้แทนเมื่อเข้าไปถึงเรือนของหลิวซูหยวน จ้าวเสี่ยวหมิงก็ไม่รอช้าที่เ
รัชศกเสวียนหลีที่ 77 ปีวอกธาตุทอง ไป๋ลู่[1]กลางป่าอั้นฉิงรอยต่อระหว่างเขาหัวซานและที่ตั้งของสำนักหานเสียงเกือกม้ากระทบกับผืนดิน จ้าวเสี่ยวหมิงกุมบังเหียนม้าพ่วงพีตัวใหญ่ควบตะบึงติดตาม หยางหยุนเหลียง ที่ยังคงควบม้าอยู่ไม่ไกล แล้วร้องตะโกนออกมา “พี่หยางท่านหยุดบัดเดี๋ยวนี้รู้หรือไม่ว่าข้าตามหาท่านมานานเพียงใดแล้ว” ก่อนจะใช้ขาหนีบท้องม้า แล้วควบทะยานเข้าไปอย่างรวดเร็วหลายเดือนมานี้จ้าวเสี่ยวหมิงไล่ตามติดหยางหยุนเหลียงไม่หยุดหย่อน พอเข้าใกล้ตัวทีไร หยางหยุนเหลียงก็จะเตลิดหนีหายไปเสียทุกครั้ง ราวกับหลอกล่อให้วิ่งไล่จับ แต่พอใกล้ถึงตัวกลับหนีหายไปจ้าวเสี่ยวหมิงควบม้าพ่วงพีตัวใหญ่ เข้ามาในเขตป่าอั้นฉิง ตามหนทางราบเรียบราวกับมีคนมาถอนหญ้าคอยท่าไว้ ตามผืนดินเต็มไปด้วยเศษดินแห้งๆ แต่ทว่ากลับละเอียดราวกับเม็ดทราย แวดล้อมไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณเขาควบม้าไล่ตามหยางหยุนเหลียงเข้ามาได้เพียงครู่เดียว ก็พบกับม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งถูกล่ามขวางหนทางไว้ จ้าวเสี่ยวหมิงจึงชะลอฝีเท้าม้าลง ก่อนจะกระโดดลงมาจากหลังม้าแต่รู้เสียที่ไหนว่าหยางหยุนเหลียงที่คอยจังหวะนี้ ใช้ดัชนีวายุร่อนระบำ ดีดลูกหินใส่หลังม้าของจ้
กล่าวมาถึงชิงเสี่ยวหม่าเมื่อต้องล่าถอยกลับมายังวังมาร ก็เจ็บหนักอยู่มิใช่น้อย จำต้องใช้เวลานอนพักรักษากายอยู่ราวสามวัน อาการจึงทุเลาลง และในวันนี้เมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติ เขาจึงนั่งมองคนโทเก็บวิญญาณที่ได้ไปรวบรวมวิญญาณของผู้บำเพ็ญตนในพิธีไล่ล่า ที่ตั้งอยู่อย่างสงบนิ่ง ภายในห้องสูบวิญญาณมาหลายวัน ด้วยแววตาเรียบเฉยทว่ากลับมีความพลุ่งพล่านร้อนรนอยู่ภายในด้วยเหตุที่ว่าชิงเสี่ยวหม่า มิอาจสูบวิญญาณเหล่านี้เข้าไปกายตนได้ เพราะต้องรอให้ได้ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องไปไล่ล่ามาให้ครบเสียก่อนดวงวิญญาณที่มีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ของสกุลในตำนานเท่านั้นที่จะต้องเฟ้นหามา สายเลือดของสกุลหยางผู้มีสายปราณหยางวิ่งวนอยู่ภายในร่างกาย ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องช่วงชิงมา และเวลาที่จักต้องดึงดวงวิญญาณนี้ออกมา คือในคืนวันเพ็ญเดือนแปดที่กำลังจะย่างกรายเข้ามาในอีกไม่ถึงหนึ่งขวบปีอีกทั้งยังมียังมีสิ่งที่ตนต้องตามหา นั่นคือหน้าสุดท้ายของคัมภีร์เดียรถีย์วิชาที่ขาดหายไป ไม่ว่าจะพลิกแผ่นดินหาเพียงใดก็ยังมิอาจพบเจอ เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะต้องสืบเสาะให้ได้เสียก่อนพิธีกรรมการสูบดวงวิญญาณครั้งสุดท้ายจะเริ่มต
หยางหยุนเหลียงเหยียบเวหาก้าวทะยานไปยังทิศทางที่จ้าวเสี่ยวหมิงหนีไป นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดมองไปมาจนทั่ว ภาพที่สะท้อนให้เห็นมีเพียงยอดไม้นานาพรรณ แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมทั่วทั้งผืนป่าทว่าหากได้เพ่งมองดูอย่างถ้วนถี่ลึกลงไปถึงผืนแผ่นดิน ก็จะเห็นซากศพของนักพรตที่เพิ่งจะฝึกฝนระดับขั้นต้น ต้องมาสังเวยชีวิตให้กับเหล่าปีศาจจากวังมาร ทุกๆ ร่างต่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติ่งอย่างเดียวดาย มีเพียงผู้เหลือรอดค่อยๆ ออกตามหาร่างไร้ชีวิตของสหายตนเมื่อพบหนึ่งศพหยางหยุนเหลียงก็จุดพลุไฟบอกตำแหน่งเสียหนึ่งลูก ก่อนจะก้าวทะยานตามหาหลิวมู่เหยียนต่อไป เขาค้นหาทั้งผืนป่ากว้างใหญ่จนทั่ว แต่ก็ยังไม่เจอแม้เพียงเศษเส้นผมผ่านนานจนดวงตะวันคล้ายจะลาลับขอบฟ้า หิมะจึงค่อยๆ โปรยปรายลงมาอย่างบางเบา ในครานั้นเองสายตาของหยางหยุนเหลียงก็ไปสะดุดอยู่ตรงผาน้ำตก ที่มีไอเย็นแผ่ปกคลุมออกมา ด้วยเหตุที่เขาจำได้ว่าในยามเช้าตอนตนผ่านหนทางเส้นนี้มา น้ำตกสายนี้ยังไหลอย่างเอื่อยเฉื่อย มีไอความอบอุ่นคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นยามช่วงต้นเหมันต์ฤดู ที่มีหิมะโปรยปรายลงมาปกคลุม ยังมิอาจแช่แข็งน้ำตกสายนี้ได้ทว่าในยามนี้กลับมีไอเย็นจัดแผ่ปกคลุมอยู่
หลังจากวันนั้นผ่านไปเพียงแค่สองวันหลิวเยี่ยเฟยก็มาขอเดินทางกลับไปยังสำนักหลิว เมื่อเห็นว่ามิมีส่วนใดเสียหาย หยางซิวอวี่ที่เพิ่งเดินทางกลับมา จึงอนุญาตให้กลับไปอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ ด้วยความที่ว่าการบุกเข้ามาช่วงชิงกระบี่เยวี่ยกวงในวันนั้น มิมีผู้ใดปริปากบอกเจ้าสำนักหยางสักครึ่งคำ เมื่อหลิวเยี่ยเฟยเดินทางกลับไป วันเวลาก็ยังดำเนินต่อไปไม่มีหยุดพัก จากวันคือเปลี่ยนผันเป็นเดือน จากเดือนล่วงเลยเป็นแรมปี จ้าวเสี่ยวหมิงยังคงพำนักอยู่ที่สำนักหยางเจียนแห่งนี้ แม้จะมีผู้คนลอบเข้ามาแย่งชิงกระบี่ ก็จะถูกหยางซิวอวี่หรือหยางหยุนเหลียงไล่กลับไป โดยที่จ้าวเสี่ยวหมิงมิได้ออกแรงเสียเท่าไรจนกระทั่งสามปีพ้นผ่านไป ไร้ซึ่งผู้รุกรานใดๆ ย่างกรายเข้ามา แม้กระทั่งจอมมารฝูหมิงก็ยังมิยื่นมือเข้ามาช่วงชิงกระบี่คืนกลับไป ความสัมพันธ์ฉันท์สหายของหลิวมู่เหยียนและหยางหยุนเหลียงนั้นก็ยังคงดำเนินไปอย่างมิเป็นระเบียบ ดูคลายลิ้นกับฟันที่จะบังเอิญกระทบกันยามใด ย่อมมิอาจเลี่ยงการปะทะคารมเป็นครั้งคราวผ่านมาสามขวบปี ตบะฌานของหยางหยุนเหลียงก็ก้าวกระโดดไปไกลถึงระดับเจ็ด ไร้ซึ่งผู้ใดยากจะต่อกร ส่วนทางด้านจ้าวเสี่ยวหมิงนั้น ด