Accueil / วาย / ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi) / บทนำ ความตายที่ปรารถนา

Share

ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)
ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)
Auteur: นารา ร้อยเล่ห์

บทนำ ความตายที่ปรารถนา

last update Dernière mise à jour: 2025-08-24 13:31:38

รัชศกเสวียนหลี[1] ที่ 72 ปีเถาะธาตุไม้

ความตาย

แท้จริงแล้วก็มีเพียงเท่านี้

จ้าวเสี่ยวหมิงยืนมองร่างของตนเอง ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนฟูกกลางเตียงสี่เสา ท่ามกลางเปลวไฟสีดำทะมึน ลามเลียแผดเผาทีละนิด อย่างเหนื่อยหน่าย

ด้วยเหตุที่ว่าตนเองนั้น จงใจปลิดชีพด้วยการถอดดวงจิตออกมา เพื่อเดินทางไปยังปรโลกเพียงลำพัง เพราะมันเป็นหนทางเดียว ที่จะให้ตัวตนของเขาที่อยู่เหนือวัฏสงสาร ได้ดับสูญไปอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ

เขายืนมองร่างของตนที่นอนแน่นิ่งอย่างระอา ก่อนจะพึมพำออกมาอย่างอ่อนใจว่า “ยิ่งใหญ่แล้วอย่างไร เป็นที่หนึ่งในใต้หล้าแล้วอย่างไร สุดท้ายก็แทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้เชยชม”

ด้วยความที่ตัวของเขานั้น คงอยู่บนผืนพิภพมาร่วมสามสิบเจ็ดหนาว มองเห็นการแก่งแย่งช่วงชิงความเป็นหนึ่งมาอย่างยาวนาน ทั้งๆ ที่เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลาย เคยกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ฝึกตน ต่างหลุดพ้นจากทุกสรรพสิ่ง

ทว่ากลับหาได้มีผู้ใดปล่อยวางอย่างที่เคยเอื้อนเอ่ยประโยคออกมาแม้เพียงครึ่งคำ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงความเป็นใหญ่ในใต้หล้า รวมไปถึงการอยากครอบครองข้าทาสบริวาร ราวกับหมาล่าเนื้อ ไล่ตะครุบเหยื่ออย่างหิวกระหาย

จ้าวเสี่ยวหมิงยืนมองร่างของตนอีกเพียงครู่ ก็เยื้องย่างออกไปยังชานระเบียง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองโดยรอบบริเวณยอดเขาหวงซาน ท่ามกลางเวิ้งฟ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยม่านสีดำ มีเพียงเกล็ดหิมะสีใสโปรยปรายลงมาสะท้อนให้เห็นรางๆ สายลมเย็นอ่อนๆ ยามต้นเหมันต์ฤดูแผ่ปกคลุมทุกหย่อมหญ้าแต่ก็มิอาจรับรู้ได้

เสียงของฝีเท้าของคนนับพันคู่รายล้อมยอดเขา เปลวไฟบรรลัยกัลป์โหมกระพือ โลมเลียอาคารที่ตั้งตระหง่านสีขาวดุจหิมะให้กลายเป็นสีดำทะมึน บุรุษวัยกลางคนนับสิบชีวิต ต่างพยายามฝ่าเขตอาคมที่จ้าวเสี่ยวหมิงร่ายไว้ เพื่อให้ตนเองได้รุกล้ำเข้ามาด้านในที่พำนักแห่งนี้ให้จงได้ แต่กระนั้นไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไร้ผล เพราะอาคมที่ร่ายไว้เป็นเกราะป้องกันผู้รุกรานเข้ามานั้น แข็งแกร่งเกินไป

จ้าวเสี่ยวหมิงทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่อยู่เพียงลำพัง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองออกไปยังลานกว้างนอกชานระเบียงด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ก็เห็นเพียงแต่เหล่าบรรดาผู้คนที่มิเจียมตน กำลังดาหน้าเข้ามาในกองเพลิง หมายจะให้ตัวเขานั้นยอมศิโรราบแต่โดยดี

เมื่อเห็นภาพต่างๆ ฉายเข้ามาในคลองจักษุ เขาก็แค่นเสียงในลำคอออกมาดัง ‘เฮอะ’ เสียหนึ่งที แล้วเอ่ยพึมพำเสียงเบาต่อว่า “ไม่ว่าใครก็อยากให้ข้าตาย” ก่อนจะหลุบตามองไปยังผู้คนนับพันที่อยู่เบื้องล่าง ก็อดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะในลำคออีกหน

ยามได้เห็นหลายสิบชีวิตตรงเบื้องล่าง ซึ่งครั้งเก่าก่อนนั้นเคยเป็นศิษย์ที่เขาสอนสั่งมาเองกับมือ และบุรุษอีกหลายสิบชีวิตล้วนเคยเป็นสหายที่เขาเคยช่วยเหลือในยามทุกยากลำบากหนักหนา อีกทั้งยังมีหลายต่อหลายคนที่เขาเคยให้ความสำคัญ

‘รสชาติยามถูกคนที่เคยเชื่อใจทรยศหักหลัง…มันช่างเจ็บปวดบาดลึกเสียยิ่งกว่าตายหลายเท่านัก

จ้าวเสี่ยวหมิงผรุสวาทออกมาภายในใจ ก่อนจะส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา เมื่อได้เห็นการกระทำที่เรียกได้ว่า ไร้ประโยชน์ต่อหน้าตน เขาจึงเอ่ยพึมพำด้วยความรู้สึกที่สุดจะทน “ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหตุใดถึงอยากให้ข้าศิโรราบนัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางทำได้” กล่าวเพียงแค่นั้น จ้าวเสี่ยวหมิงก็หมุนตัวกลับ ก่อนจะเยื้องย่างเข้ามาด้านใน จากนั้นร่างโปร่งแสงก็ค่อยๆ เลือนหายไป

เพียงไม่นานหลังจากนั้น ร่างโปร่งใสก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่

ดวงวิญญาณมากมาย ค่อยๆ ทยอยเข้าไปด้านในอย่างเชื่องช้า จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเงยหน้ามองไปยังปราการตรงหน้า แล้วทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่อีกหนอย่างอ่อนใจ

“ข้าเลือกหนทางนี้เอง จะห่วงหาอาทรสิ่งใดบนพื้นพิภพเล่า”

จบคำเขาก็เดินไปยังประตูบานใหญ่ ทว่าดวงวิญญาณยังไม่ทันจะก้าวข้ามธรณีประตูไปยังอีกฟากหนึ่งแต่อย่างใด ก็มีบุรุษร่างสูงใหญ่ร่างกายเป็นสีแดงชาดทั่วทั้งร่าง ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเสียก่อน

เมื่อเห็นเช่นนั้น จ้าวเสี่ยวหมิงก็พลันชะงักค้างฝีเท้าไว้ ก่อนจะเบนสายตามองไปยังบุรุษร่างใหญ่ตรงหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพและแผ่วเบา “ท่านคือเฮาหนี่[2] ใช่หรือไม่”

“ย่อมใช่” บุรุษร่างสูงใหญ่กล่าวตอบเพียงประโยคสั้นๆ นัยน์ตาสีแดงฉานสบมองมายังใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิงฉายแววเรียบเฉยไร้อารมณ์ “เจ้าเข้าใจถูกแล้วจอมมารฝูหมิง ข้าผู้นี้มีนามว่าเฮาหนี่ เป็นผู้ช่วยดูแลเหล่าดวงวิญญาณที่เข้าออกปรโลกแห่งนี้”

‘หากเป็นเช่นนั้นไยต้องขวางทางข้ากันเล่า มิเห็นหรอกหรือว่ามีผู้คนรอคอยเข้าไปอยู่มากเพียงใด

จ้าวเสี่ยวหมิงสบถด่าอยู่ในใจ หลังจากได้ยินคำเอ่ยออกมาจากปากบุรุษร่างสูงใหญ่ หนำซ้ำยังไม่ยอมถอยห่างให้เขาก้าวเข้าไปอีกฝั่ง เอาแต่ยืนขวางทางเสียอย่างนั้น

ทว่ายังไม่ทันที่จะเอื้อนเอ่ยประโยคคำใดออกมา บุรุษตรงหน้าก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่า “ข้าหาได้ขวางทางเจ้าไม่ จอมมารฝูหมิง”

“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่ให้ข้าข้ามไปฝั่งนั้นเสียทีเล่า มิเห็นหรือว่ามีคนต่อแถวรอข้าอยู่ข้างหลังอีกมาก”

“เพราะเหตุใดนั้นน่ะหรือ เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกรึจอมมารฝูหมิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากเจ้าถอดจิตเพื่อจะทำลายชีวิตตน ต้องมีผู้คนอีกเท่าไร เดือดร้อนด้วยเรื่องที่เจ้าทำเช่นนี้ลงไป หนำซ้ำยังมีคนอีกคนคอยเรียกหาเจ้าอยู่นั่นอีก” เฮาหนี่ยังเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มอย่างมิพึงใจ เขามองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาเอือมระอาเต็มทน

เมื่อเห็นว่าจ้าวเสี่ยวหมิงหาได้รู้สึกสะทกสะท้านในสิ่งที่เอื้อนเอ่ยออกมาไม่ สุดท้ายมิอาจทานทนเฮาหนี่จึงตวาดเสียงดังใส่อีกหน “ความวุ่นวายทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้น ล้วนต้องขอบใจเจ้า”

ยามได้ยินประโยคที่กล่าวออกมาจากปากของเฮาหนี่ จ้าวเสี่ยวหมิงก็มิอาจกลั้นหัวเราะได้อีก จนหลุดขำเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แล้วกล่าวต่อทั้งน้ำตา “ท่านเอาสิ่งใดมาเอ่ย ข้าถอดจิตเพื่อดับชีวิตของตนเองเนี่ยนะ ถึงกับทำให้ผู้คนเป็นต้องเดือดร้อน” ก่อนจะยกมือทั้งสองกุมท้องของตนเอง พลางหัวเราะร่วนจนตัวงออย่างชอบใจ

จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อย่างมิอาจกลั้นไหว “แล้วยังมีคนคอยเรียกหาข้าอีกนั่นเล่า คนสารเลวชั่วช้าเช่นข้าเนี่ยน่ะหรือ จะมีใครอยากให้ฟื้นขึ้นมาก่อความวุ่นวายกัน”

ในครานั้นเองเฮาหนี่ก็มิอาจจะข่มโทสะภายในใจได้อีกต่อไป เขาจึงกระทืบเท้าลงพื้นอย่างแรง แล้วยกนิ้วชี้ของตัวเองชี้ไปยังใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิงด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่นใส่ “บ๊ะ…เจ้าจอมมารไร้สำนึก เจ้าเอ่ยมาได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไป จะไม่มีผู้อื่นเดือดร้อนกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่า บัดนี้มีผู้ไม่ประสงค์ดีได้ช่วงชิงร่างของเจ้าไปใช้ในทางที่มิชอบเสียแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ไอ้ผู้นั้นมันใช้ร่างของเจ้าสังหารผู้คนบริสุทธิ์มากมายเพียงใด เจ้ายังคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อีกหรือ” 

เมื่อถูกชี้หน้าด้วยเพลิงโทสะ จ้าวเสี่ยวหมิงถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ เรียวคิ้วกระตุกยิกไปเสียหลายหน แล้วร้องอุทานออกมาเสียงดัง “อึ๋ย!” ยามถูกเฮาหนี่กล่าวหาด้วยน้ำเสียงดังลั่น 

ด้วยเหตุที่ว่าเขาถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ทำสิ่งใดผิด แม้ตนเองจะพยายามขบคิดอยู่หลายตลบ เพื่อหาข้อแก้ต่างให้กับตน แต่ท้ายที่สุดก็ระลึกได้ว่าก่อนที่จะถอดดวงจิตออกมา ตัวเขานั้นได้จุดเพลิงโลกันตร์ไว้รอบกายเองกับมือ

และด้วยเหตุนี้คงไม่มีสรรพสิ่งไหนรอดพ้นจากเพลิงโลกันตร์นี้ไปได้ ยามนี้ร่างกายคงไม่แคล้วแหลกเหลวไม่เหลือรูปร่างให้ผู้ใดได้มาสิงสู่ได้อีกต่อไป

พอคิดมาถึงตรงนี้จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเอ่ยแย้งออกไปว่า “ช้าก่อนท่านเฮาหนี่ ท่านเอาสิ่งใดมาเอ่ย ในเมื่อในยามนี้ร่างกายของข้า คงมอดไหม้ด้วยเพลิงโลกันตร์ไปแล้วกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจะมีผู้ใดอีกเล่า ที่จะมาช่วงชิงร่างของข้าไปใช้ได้อีก”

ได้ยินเช่นนั้นเฮาหนี่ถึงกับตวาดด้วยเพลิงโทสะที่สะสมเป็นทบทวี “เจ้าคิดว่าร่างตนเองเป็นอะไร เป็นหุ่นไม้ไผ่รึ ถึงได้มอดไหม้ด้วยเพลิงโลกันตร์” เมื่อจ้าวเสี่ยวหมิงไม่ได้ระวังเรื่องเหล่านี้ให้รอบคอบเอาเสียเลย

ด้วยความที่ตัวตนของบุรุษผู้นี้ เป็นถึงครึ่งมารครึ่งเซียน ซ้ำยังบำเพ็ญฌานจนบรรลุระดับสูงสุดไปแล้ว ร่างทั้งร่างจึงแข็งแกร่งหาได้มีสิ่งใดทำลายได้ง่ายๆ สักเท่าไร

เพียงแค่เพลิงโลกันตร์ที่ร่ายเอาไว้รอบกาย ก็ไม่อาจทำลายร่างของคนคนนี้ให้มอดไหม้ได้อย่างไรกัน

หากต้องการจะทำลายร่างอย่างแท้จริงแล้ว จักต้องจ้วงทะลวงออกมาจากด้านใน หาไม่แล้วก็ไม่ต่างจากการเอาเปลวเพลิงลนเล่นบนฝ่ามือ

ทว่ายามได้มองใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิง เฮาหนี่ก็ทำได้เพียงทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่ออกมาอย่างระอา แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่า “เพราะคิดเช่นนี้อย่างไรเล่า เรื่องราวจึงบานปลายถึงเพียงนี้”

“แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า ในเมื่อข้าไม่ได้รู้เลยสักนิด ว่าจะมีผู้ที่คิดจะชิงร่างของข้าถึงเพียงนี้”

สิ้นคำของจ้าวเสี่ยวหมิง เฮ่าหนี่ก็สบมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่ใส แล้วอดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจออกมาอีกหน ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ข้าจะส่งเจ้ากลับไป เพื่อให้เจ้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำ”

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงร้องเสียงดังลั่นออกมาว่า “เดี๋ยวๆ แล้วข้าจะกลับไปได้อย่างไร ในเมื่อมีคนแย่งร่างของข้าไปแล้ว”

“ใครว่าข้าจะส่งเจ้ากลับไปร่างเดิมของเจ้ากัน” เฮาหนี่เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนสิ่งใด “แล้วก็เลิกซักไซ้ข้าเสียที เรื่องทางโลก ข้าไม่อาจยุ่งไปมากกว่านี้ หากจะโทษก็โทษที่ตัวเจ้าไร้ความรอบคอบเถอะ” กล่าวจบบุรุษร่างใหญ่ก็ง้างฝ่าเท้าขึ้นมา ก่อนจะประเคนใส่ยอดอกของจ้าวเสี่ยวหมิง อย่างไม่รั้งรอ

ส่งผลให้ร่างกายโปร่งแสง ที่ถูกฝ่าเท้าข้างนั้นกระแทกอย่างจัง พลันกระเด็นกลับมายังพื้นพิภพอย่างรวดเร็ว

[1] หลีนำมาจากคำว่า หลีโอหรืออีกนามหนึ่งคือ เล่าจื้อ ผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า

[2] เฮาหนี่ ผู้ช่วยของไทซานฝู่จวินเทพเจ้าผู้ควบคุมโลกวิญญาณ

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 33 สงบสุขหวนคืน

    “คุณชายใหญ่มาทางนี้”เสียงสะท้อนในอกดังก้องในมโนสำนึกตน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า ก็เห็นเป็นภาพในอดีตเมื่อครั้งยังเยาว์วัย กำลังวิ่งเล่นรอบแปลงดอกโบตั๋นกับดรุณีน้อยนางหนึ่ง เพราะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ชวนให้คิดถึงมารดาผู้ถูกเหล่าเซียนทั้งหลายรังแกจนจากไปเหม๋ยตงหม่าคือนามของเขา ผู้ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ตระกูลเหม๋ย ส่วนเหม๋ยยี่เถียนนั้นเกิดจากอนุภรรยาผู้ที่เคยเป็นบ่าวรับใช้ ที่แสนจะต่ำต้อยแต่ทว่าเหม๋ยยี่เถียนนั้นกลับมีร่างกายแข็งแรงกว่าดรุณีทั่วไป ด้วยพละกำลังอันมหาศาลนี้ จึงต้องวิ่งร่ามาปกป้องตนเองเสมอมา ส่วนตนเองนั้นที่อ่อนแอกว่า จึงต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองของน้องสาวผู้นี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งๆ ที่เป็นคุณชายใหญ่ของสกุลกลับถูกดูแคลนว่าไร้ซึ่งความสามารถไม่หยุดหย่อน ทั้งจากบิดา ถูกติฉินนินทาแม้กระทั่งบ่าวรับใช้ภายในเรือน แต่กระนั้นเขากลับได้รับความรักจากน้องสาวต่างมารดาผู้นี้เสมอมา มีเพียงเขาเท่านั้นที่คิดว่าเหม๋ยยี่เถียนเสแสร้งมาเอาใจและแล้วภาพเบื้องหน้าจะแปรเปลี่ยนไป เป็นภาพของเหม๋ยยี่เถียนผู้เป็นน้องสาวต่างมารดา กำลังกางมือเข้าปกป้องตนเองจากเหล่า

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 32 ศึกสุดท้าย

    “ไม่ได้ขอรับ ต่อให้เป็นอาจารย์ ต่อให้ข้าขึ้นชื่อว่าอกตัญญู ข้าก็มิอาจปลดตรวนให้ท่านได้”เสียงของหลิวห้าวเหลียงยังคงดังก้องในมโนสำนึกของตนไม่จางหาย หลังจากที่กลับออกมาเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนฟูกนอนในเรือนตน ตรวนสองสายยังคงพันวนอยู่รอบกายมิได้ถูกปลดออกไป ด้วยเหตุที่ว่าราวหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา เมื่อตนเองเดินทางกลับมาถึงสำนักหลิวสุ่ย ก็เร่งฝีเท้าเดินทางมุ่งหน้ามาหาหลิวห้าวเหลียงโดยมิได้กระทำสิ่งอื่นใด เพื่อให้ช่วยปลดโซ่ตรวนที่พันอยู่รอบกาย ทว่ากลับถูกลูกศิษย์ของตนปฏิเสธเสียอย่างนั้น ซ้ำยังถูกห้ามมิให้ออกไปไหน ถูกบ่าวไพร่คอยจับตามองในเมื่อร้องขอก็แล้ว อ้อนวอนก็ทำไปแล้ว หรือแม้แต่ออกคำสั่ง สุดท้ายหลิวห้าวเหลียงก็มิยอมปลดปล่อยตนออกไป จ้าวเสี่ยวหมิงจึงนั่งนิ่งคิดอย่างใคร่ครวญอยู่หลายตลบ แล้วเอ่ยพึมพำออกมา “เจ้าเด็กเหลือขอพวกนี้เล่นพิเรนทร์อะไร มิรู้หรืออย่างไรว่าผลที่ตามมามันจะเป็นเช่นไร” เอ่ยเพียงแค่นั้นก็คว้าเอาเยวี่ยกวงขึ้นมาไว้ในมือ จากนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วลอบออกไป ไปหาหลิวซูหยวน ผู้เป็นบิดาเจ้าของร่างนี้แทนเมื่อเข้าไปถึงเรือนของหลิวซูหยวน จ้าวเสี่ยวหมิงก็ไม่รอช้าที่เ

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 31 ตามติด

    รัชศกเสวียนหลีที่ 77 ปีวอกธาตุทอง ไป๋ลู่[1]กลางป่าอั้นฉิงรอยต่อระหว่างเขาหัวซานและที่ตั้งของสำนักหานเสียงเกือกม้ากระทบกับผืนดิน จ้าวเสี่ยวหมิงกุมบังเหียนม้าพ่วงพีตัวใหญ่ควบตะบึงติดตาม หยางหยุนเหลียง ที่ยังคงควบม้าอยู่ไม่ไกล แล้วร้องตะโกนออกมา “พี่หยางท่านหยุดบัดเดี๋ยวนี้รู้หรือไม่ว่าข้าตามหาท่านมานานเพียงใดแล้ว” ก่อนจะใช้ขาหนีบท้องม้า แล้วควบทะยานเข้าไปอย่างรวดเร็วหลายเดือนมานี้จ้าวเสี่ยวหมิงไล่ตามติดหยางหยุนเหลียงไม่หยุดหย่อน พอเข้าใกล้ตัวทีไร หยางหยุนเหลียงก็จะเตลิดหนีหายไปเสียทุกครั้ง ราวกับหลอกล่อให้วิ่งไล่จับ แต่พอใกล้ถึงตัวกลับหนีหายไปจ้าวเสี่ยวหมิงควบม้าพ่วงพีตัวใหญ่ เข้ามาในเขตป่าอั้นฉิง ตามหนทางราบเรียบราวกับมีคนมาถอนหญ้าคอยท่าไว้ ตามผืนดินเต็มไปด้วยเศษดินแห้งๆ แต่ทว่ากลับละเอียดราวกับเม็ดทราย แวดล้อมไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณเขาควบม้าไล่ตามหยางหยุนเหลียงเข้ามาได้เพียงครู่เดียว ก็พบกับม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งถูกล่ามขวางหนทางไว้ จ้าวเสี่ยวหมิงจึงชะลอฝีเท้าม้าลง ก่อนจะกระโดดลงมาจากหลังม้าแต่รู้เสียที่ไหนว่าหยางหยุนเหลียงที่คอยจังหวะนี้ ใช้ดัชนีวายุร่อนระบำ ดีดลูกหินใส่หลังม้าของจ้

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 30 วิญญาณดวงสุดท้าย

    กล่าวมาถึงชิงเสี่ยวหม่าเมื่อต้องล่าถอยกลับมายังวังมาร ก็เจ็บหนักอยู่มิใช่น้อย จำต้องใช้เวลานอนพักรักษากายอยู่ราวสามวัน อาการจึงทุเลาลง และในวันนี้เมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติ เขาจึงนั่งมองคนโทเก็บวิญญาณที่ได้ไปรวบรวมวิญญาณของผู้บำเพ็ญตนในพิธีไล่ล่า ที่ตั้งอยู่อย่างสงบนิ่ง ภายในห้องสูบวิญญาณมาหลายวัน ด้วยแววตาเรียบเฉยทว่ากลับมีความพลุ่งพล่านร้อนรนอยู่ภายในด้วยเหตุที่ว่าชิงเสี่ยวหม่า มิอาจสูบวิญญาณเหล่านี้เข้าไปกายตนได้ เพราะต้องรอให้ได้ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องไปไล่ล่ามาให้ครบเสียก่อนดวงวิญญาณที่มีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ของสกุลในตำนานเท่านั้นที่จะต้องเฟ้นหามา สายเลือดของสกุลหยางผู้มีสายปราณหยางวิ่งวนอยู่ภายในร่างกาย ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องช่วงชิงมา และเวลาที่จักต้องดึงดวงวิญญาณนี้ออกมา คือในคืนวันเพ็ญเดือนแปดที่กำลังจะย่างกรายเข้ามาในอีกไม่ถึงหนึ่งขวบปีอีกทั้งยังมียังมีสิ่งที่ตนต้องตามหา นั่นคือหน้าสุดท้ายของคัมภีร์เดียรถีย์วิชาที่ขาดหายไป ไม่ว่าจะพลิกแผ่นดินหาเพียงใดก็ยังมิอาจพบเจอ เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะต้องสืบเสาะให้ได้เสียก่อนพิธีกรรมการสูบดวงวิญญาณครั้งสุดท้ายจะเริ่มต

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 29 หยินหยางประสานกาย

    หยางหยุนเหลียงเหยียบเวหาก้าวทะยานไปยังทิศทางที่จ้าวเสี่ยวหมิงหนีไป นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดมองไปมาจนทั่ว ภาพที่สะท้อนให้เห็นมีเพียงยอดไม้นานาพรรณ แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมทั่วทั้งผืนป่าทว่าหากได้เพ่งมองดูอย่างถ้วนถี่ลึกลงไปถึงผืนแผ่นดิน ก็จะเห็นซากศพของนักพรตที่เพิ่งจะฝึกฝนระดับขั้นต้น ต้องมาสังเวยชีวิตให้กับเหล่าปีศาจจากวังมาร ทุกๆ ร่างต่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติ่งอย่างเดียวดาย มีเพียงผู้เหลือรอดค่อยๆ ออกตามหาร่างไร้ชีวิตของสหายตนเมื่อพบหนึ่งศพหยางหยุนเหลียงก็จุดพลุไฟบอกตำแหน่งเสียหนึ่งลูก ก่อนจะก้าวทะยานตามหาหลิวมู่เหยียนต่อไป เขาค้นหาทั้งผืนป่ากว้างใหญ่จนทั่ว แต่ก็ยังไม่เจอแม้เพียงเศษเส้นผมผ่านนานจนดวงตะวันคล้ายจะลาลับขอบฟ้า หิมะจึงค่อยๆ โปรยปรายลงมาอย่างบางเบา ในครานั้นเองสายตาของหยางหยุนเหลียงก็ไปสะดุดอยู่ตรงผาน้ำตก ที่มีไอเย็นแผ่ปกคลุมออกมา ด้วยเหตุที่เขาจำได้ว่าในยามเช้าตอนตนผ่านหนทางเส้นนี้มา น้ำตกสายนี้ยังไหลอย่างเอื่อยเฉื่อย มีไอความอบอุ่นคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นยามช่วงต้นเหมันต์ฤดู ที่มีหิมะโปรยปรายลงมาปกคลุม ยังมิอาจแช่แข็งน้ำตกสายนี้ได้ทว่าในยามนี้กลับมีไอเย็นจัดแผ่ปกคลุมอยู่

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 28 ปะทะ

    หลังจากวันนั้นผ่านไปเพียงแค่สองวันหลิวเยี่ยเฟยก็มาขอเดินทางกลับไปยังสำนักหลิว เมื่อเห็นว่ามิมีส่วนใดเสียหาย หยางซิวอวี่ที่เพิ่งเดินทางกลับมา จึงอนุญาตให้กลับไปอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ ด้วยความที่ว่าการบุกเข้ามาช่วงชิงกระบี่เยวี่ยกวงในวันนั้น มิมีผู้ใดปริปากบอกเจ้าสำนักหยางสักครึ่งคำ เมื่อหลิวเยี่ยเฟยเดินทางกลับไป วันเวลาก็ยังดำเนินต่อไปไม่มีหยุดพัก จากวันคือเปลี่ยนผันเป็นเดือน จากเดือนล่วงเลยเป็นแรมปี จ้าวเสี่ยวหมิงยังคงพำนักอยู่ที่สำนักหยางเจียนแห่งนี้ แม้จะมีผู้คนลอบเข้ามาแย่งชิงกระบี่ ก็จะถูกหยางซิวอวี่หรือหยางหยุนเหลียงไล่กลับไป โดยที่จ้าวเสี่ยวหมิงมิได้ออกแรงเสียเท่าไรจนกระทั่งสามปีพ้นผ่านไป ไร้ซึ่งผู้รุกรานใดๆ ย่างกรายเข้ามา แม้กระทั่งจอมมารฝูหมิงก็ยังมิยื่นมือเข้ามาช่วงชิงกระบี่คืนกลับไป ความสัมพันธ์ฉันท์สหายของหลิวมู่เหยียนและหยางหยุนเหลียงนั้นก็ยังคงดำเนินไปอย่างมิเป็นระเบียบ ดูคลายลิ้นกับฟันที่จะบังเอิญกระทบกันยามใด ย่อมมิอาจเลี่ยงการปะทะคารมเป็นครั้งคราวผ่านมาสามขวบปี ตบะฌานของหยางหยุนเหลียงก็ก้าวกระโดดไปไกลถึงระดับเจ็ด ไร้ซึ่งผู้ใดยากจะต่อกร ส่วนทางด้านจ้าวเสี่ยวหมิงนั้น ด

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status