สายตาเย็นเยือกนั้นกวาดมาที่สองแม่ลูกที่นั่งตัวลีบอยู่ที่โต๊ะอาหาร ปากที่ซีดอยู่แล้วเพราะบาดเจ็บในตอนนี้แทบจะไร้ความรู้สึกอีกครั้ง ท่านอ๋องเดินกลับมาที่โต๊ะอาหารที่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้อง “ส่งผ้าขาดๆไปให้ สั่งลงโทษล้างห้องน้ำ ให้กินหมั่นโถววันละชิ้น หึ เป็นถึงฮูหยินจวนแม่ทัพเจ้าดูแลคนเช่นนี้งั้นหรือ บอกข้ามาสิฟ่างฮูหยินคนอย่างเจ้ามันสมควรถูกลงโทษเช่นไร”“ทะ…ท่านอ๋องเพคะ….หมะ…หม่อม……”“หุบปากเจ้าไปข้าไม่อยากฟัง”แม่ทัพฟ่างทรุดตัวนั่งลงที่โต๊ะพลันหันไปมองหน้าชิงเยี่ยนที่กำมือแน่นบนโต๊ะ ราวกับทุกเหตุการณ์นั้นกลับมาอีกครั้งทั้งๆที่นางพยายามลืมแต่เมื่อถูกพูดถึงอีกครั้ง ครานี้นางก็ไม่มีเหตุผลจะต้องช่วยเหลือผู้ใดอีก ท่านอ๋องตรัสได้ถูกต้องแล้ว นางควรจะลงโทษเสียบ้าง“พระชายาเพคะ…”“ข้าไม่เป็นไร”จงลี่และอู่ผิงเข้ามาคุกเข่ากอดแขนนางเอาไว้พร้อมกับร้องไห้ไปกับนาง พวกนางนึกไม่ถึงว่าพระชายาก่อนหน้านี้จะเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้มาก่อน บัดนี้ผู้ที่แทบจะนั่งไม่ติดที่คือฟ่างฝูเยว่ นางกำลังคิดว่าหากเป็นลมตอนนี้ นางก็คงจะไม่ต้องรับรู้สิ่งใดอีก“หากพวกเจ้าสองคนฟังเรื่องนี้แล้วเกิดเป็นลม และคิดว่าข้าจะ
“จื่อหนาน เจ้ากับท่านอ๋องจะออกเดินทางเมื่อใด”“น่าจะอีกห้าวันขอรับ”“เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ”“พี่ใหญ่ ท่านอ๋องคงอยากไหว้วานท่านเรื่องพระชายา”“อืม เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว มีข้าอยู่จะไม่มีทางให้พระชายาเป็นอันตรายได้ เจ้ากับท่านอ๋องอย่าได้ห่วงมากไปเลย”“ข้ามิได้ห่วงท่านกับชิงเยี่ยนแต่ว่าข้า…”"หึ หากว่าพวกนางหาเรื่องอีก ข้าก็เตือนไปแล้ว ครั้งหน้าข้าคงรั้งชีวิตพวกนางเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว"“ท่านพ่อ…”“หลิงเทียน หลายปีที่ผ่านมาแม้ว่าพ่อจะทำไม่สนใจน้องเจ้าและให้เจ้าสองคนดูแลนางแทนเพื่อมิให้ฮูหยินระแวงและรังแกนางมากขึ้น แต่ดูแล้ว คงจะไม่ได้ผล เช่นนั้นหลังจากนี้หากว่านางกล้ายุ่งกับชิงเยี่ยนอีก ข้าก็จะถือเสียว่า…นางรนหาที่เอง”“แต่ลูกคิดว่าน้องรองกับท่านแม่คงจะ…”“พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ยินนางพูดเมื่อครู่หรือ ขอเพียงแค่นางรู้ว่าท่านอ๋องออกจากซูโจวไป ชิงเยี่ยนจะไม่ปลอดภัยเป็นแน่ซึ่งท่านอ๋องทรงทราบดี ครั้งนี้ท่านอ๋องจะเอาถึงตายหากพวกนางยังกล้าแตะต้องชิงเยี่ยน”“ท่านอ๋องไม่คิดจะปล่อยท่านแม่กับ….”“ท่านเคยเห็นมีผู้ใดรอดชีวิตไปบ้างงั้นหรือหากว่ามีเรื่องกับอ๋องโลหิตผู้นั้น”“น้อง..น้องสาม…”“เช่นนั้นข้าจึงฝากท่
“สมน้ำหน้า แกล้งเป็นลมดีนักแทนที่จะได้พักกลับถูกเพิ่มโทษ เอาพวกเรามาดูน้ำหน้าคนใจร้ายเร็วทำร้ายผู้อื่นแล้วยังกล้ามาขอความเห็นใจอีก”ฟ่างฮูหยินและฟ่างฝูเยว่ไม่เคยรู้สึกอัปยศและอับอายเช่นนี้มาก่อนในชีวิตนี้ แม้แต่แค่คิดก็ไม่เคยว่าจะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ฝูเยว่ในตอนนี้อย่าว่าแต่กลับไปใช้ชีวิตปกติเลย ข่าวที่แพร่ออกไปในยามนี้จะมีบุรุษใดกล้ามาสู่ขอนางอีกหรือไม่“ขะ…ข้าจะ..ฆ่ามัน…ข้าอยากจะฆ่ามัน..ให้ตายคามือ”“ฝูเยว่ เจ้าหุบปากก่อน”“ท่านแม่…ข้า…เจ็บใจ”“รอให้พวกมันกลับไปก่อน…”เสียงก่นด่าพวกนางดังอย่างไม่หยุดหย่อน บรรดาสาวใช้เองก็เริ่มทนพิษบาดแผลจากการโบยและถูกขว้างปาสิ่งของไม่ไหวก็ทยอยล้มลงแต่มิได้มีผู้ใดถูกน้ำสาดเหมือนสองแม่ลูกสกุลฟ่างจนครบกำหนดเวลา ทหารจึงเดินมาโอบรอบบริเวณหน้าจวนเอาไว้และให้คนพาพวกนางเข้าไป“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ได้เวลากลับแล้ว แม่ทัพฟ่าง ขอบคุณที่ให้การรับรองข้าและพระชายาเป็นอย่างดี”“เอ่อ ท่านอ๋องจะเสด็จกลับเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”“พระชายาข้าไม่ค่อยอยากจะอยู่ที่นี่นานเท่าใดนัก เอาเป็นว่าข้า…จะมาเยี่ยมท่านบ่อยๆเมื่อมีโอกาสก็แล้วกัน”“น้อมส่งเสด็จท่านอ๋องและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”“ท่าน
“แต่ว่าชิงเยี่ยน…”“ไม่นึกว่าแม้แต่ชิงเยี่ยนท่านพ่อก็ไม่กล้าบอก”“เจ้ากำลังจะบอกว่า หลุมศพที่ตั้งบนภูเขานั่น มิได้มี…”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อกระหม่อมนำร่างแม่รองไปฝังที่สุสานบรรพชนสกุลฟ่างโดยมิได้บอกให้ผู้ใดทราบ มีเพียงกระหม่อมที่ทราบเพราะจัดการเรื่องนี้ลับๆ ส่วนหลุมศพบนเขานั่น ก็มีเอาไว้หลอกท่านแม่เท่านั้น แต่นึกไม่ถึงจริงๆว่านางจะกล้าบุกไปทำลาย ท่านพ่อคาดการณ์เอาไว้แม่นยำนัก”“เหตุใดแม่ทัพฟ่าง…จึงไม่บอกเรื่องนี้กับชิงเยี่ยน”“ท่านพ่อนำแม่รองไปฝังเอาไว้โดยมิได้แจ้งชื่อบนหลุมศพ มีเพียงที่นั่นที่จะพ้นข้อสงสัย ท่านแม่ก็จะไม่ตามไปทำลายได้ ท่านพ่อช่างรอบคอบยิ่งนักเพราะเรื่องนี้ พระองค์จึงได้…”“ใช่ ข้าไม่รู้ว่า….”“เรื่องนั้นช่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ สกุลฝางหลายปีมานี้ก็ใช่ว่าจะสะอาดนัก พวกเขาแอบทำการค้าผิดกฎหมายเพราะอ้างจวนแม่ทัพอยู่หลายครั้งแต่ท่านพ่อกลับยังทำสิ่งใดไม่ได้ ไฟไหม้คลังสินค้าครานี้คงได้สอบสวนกันอีกยาว”“เรื่องนี้เจ้าควรบอกชิงเยี่ยน”“กระหม่อมมาที่นี่ก็เพื่อจะบอกนางเรื่องนี้ แต่ดูแล้ว…ให้พระองค์บอกนางเองจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อที่ทำห่างเหินกับนางเพราะเหตุผลนี้ ท่านแม่ข้าเกลียดแม่ของนาง
ชิงเยี่ยนลุกขึ้นมามองหน้าท่านอ๋องที่นอนตะแคงคุยกับนางอยู่และลุกนั่งข้างๆนางพร้อมกับจับมือเอาไว้“ท่านพ่อเจ้ารู้ว่าฟ่างฮูหยินต้องคิดไม่ดีกับหลุมศพนั้น เขาจึงสั่งให้จื่อหนานย้ายศพแม่เจ้าออก ที่หลุมศพที่ถูกทำลายนั่น มิได้มีร่างผู้ใดอยู่แต่แรกแล้ว”“เช่น…เช่นนั้น….แม่ของข้า…”“พ่อเจ้านำร่างแม่ของเจ้าไปฝังที่สุสานสกุลฟ่างโดยมิได้บอกให้ฮูหยินทราบ เจ้าไม่ต้องห่วงแม่ทัพฟ่างมิใช่ผู้ที่ทำสิ่งใดไม่มีเหตุผลการที่เขาส่งเจ้ามาที่นี่ก็เช่นกัน”“พระองค์ทรงหมายความว่าท่านพ่อ…”“นี่เป็นวิธีเดียวที่จะปกป้องเจ้า ในฐานะพ่อที่เขาพึงจะทำได้ เขาตระหนักรู้ดีว่าเจ้าถูกรังแก จึงหาทางให้เจ้าออกจากจวนนั้นมา เดิมทีคิดว่าสกุลจางจะพึ่งพาได้แต่เพราะเรื่องของข้าเลยทำให้แม่ทัพฟ่างส่งเจ้ามาที่นี่”“แต่ท่านพ่อ..ข่าวลือนั่น..”“เขารู้ดีว่าข่าวลือเป็นเพียงข่าวลือ เขารู้อีกว่าหากข้ากับเจ้าอยู่ร่วมกันไม่ได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป พระสนมคนก่อนออกจากตำหนักนี้ไปเพราะข้าให้นางแฝงตัวไปกับกองทัพแม่ทัพฟ่างบิดาของเจ้าน่ะ เขารู้เรื่องนี้ดีเพราะทหารคนรักของนาง อยู่ในกองทัพของบิดาเจ้า”“ที่แท้….มิได้มีเพียงพี่ใหญ่และพี่สาม…”“พี่ใหญ่เจ้าทำ
สองชั่วยามผ่านไป หมอหลวงรีบกลับมาแจ้งอาการให้พระชายาทรงทราบว่าบัดนี้แม่ทัพฟ่างมีอาการเหมือนถูกพิษ และเป็นพิษที่ไม่สามารถรักษาได้ และเหลือเวลาอีกไม่นานเท่าใดแล้ว หากว่าพระชายาไปเยี่ยมได้ ในยามนี้ก็ควรจะรีบไปก่อนจะสายเกินแก้“พระชายาเพคะ เช่นนั้น…”“เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ ไม่ต้องนำขบวนติดตามไปมากเกรงว่าชาวบ้านจะแตกตื่น”“เพคะ”ป้าเจาให้สาวใช้สองคนและทหารองครักษ์สิบคนติดตามพระชายาไปเท่านั้นตามคำสั่งนาง ชิงเยี่ยนเดินขึ้นรถม้าและออกเดินทางไปยังสกุลฟ่างในทันทีจวนสกุลฟ่าง“ฮูหยิน พระชายาเสด็จมาแล้วเพคะ”“มาแล้วสินะ เช่นนั้นเราก็ควรจะไปรับเสด็จนางหน่อยนะฝูเยว่”“ได้สิเจ้าคะ ลูกก็รอรับนางอยู่เช่นกัน”สองแม่ลูกเดินออกไปที่หน้าจวนเพื่อรอรถม้าของพระชายาท่านอ๋องมาจอด เมื่อชิงเยี่ยนเดินลงจากรถม้า ฮูหยินที่ยืนรออยู่ก็เดินเข้ามาหานางทันที“เจ้ามาได้เสียทีสินะ”“บังอาจ เห็นพระชายาแล้วยังไม่รีบคุกเข่าอีก”“จงลี่ ไม่ต้องเกรงว่าคนของที่นี่เป็นไม้แก่ที่ดัดยากเสียแล้ว คงลืมรถแส้ที่ฟาดลงหลังและไม้โบยไปแล้วกระมัง”“นัง…”“ฝูเยว่ ระวังกิริยาเจ้าด้วยพระชายาเสด็จมาเยี่ยมอาการท่านพ่อ เราก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกั
ฟ่างฮูหยินสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้ว่าเป็นผู้ใดที่พึ่งก้าวเข้ามา แม้ว่าตาจะมองไม่เห็น แต่ความอำมหิตนี้กลับแผ่กระจายจนนางรู้สึกได้ ฝูเยว่ในยามนี้ทรุดตัวลงกับพื้น ไม่ร้องโวยวายอีกแล้วแม้ว่านิ้วก้อยที่ขาดไปจะเจ็บปางตายเช่นไร “ท่านพี่…ท่าน..”“ชิงเยี่ยน”ท่านอ๋องเดินไปและดึงนางมากอดท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารทั้งกองและฟ่างฝูเยว่ที่ได้แต่มองตามเขาไป เหตุใดจึงไม่ใช่นางเหตุใดต้องเป็นฟ่างชิงเยี่ยน…..“ข้าเตือนเจ้าแล้วว่า…”"ข้าดูแลตัวเองดี ไม่บาดเจ็บเพคะแต่ว่าจงลี่ กับ…“เจ้าคิดหรือว่าสาวใช้ในตำหนักอ๋องจะเป็นแค่สาวใช้ธรรมดา พวกนางล้วนฝึกวรยุทธ์และเป็นทหารกล้าที่พร้อมรบได้ทุกเมื่อ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะส่งสาวใช้ธรรมดามาอยู่ข้างกายคนที่ข้ารักที่สุด”“พระองค์ปลอดภัย ช่างดียิ่งนัก”“จัดการขยะที่นี่ก่อน กลับตำหนักแล้วค่อยคุยกัน”“เพคะ”“ฟ่างฮูหยิน ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่ได้จดจำเลยสินะถึงได้กล้าลอบสังหารพระชายาของข้าอีก”“มะ…ไม่นะเพคะท่านอ๋อง นาง…นางต่างหากที่พาคนมา…”“หุบปาก!! ฟ่างฝูเยว่เจ้าคิดว่าโง่ที่จะเชื่อคำพูดปลิ้นปล้อนของเจ้าที่พ่นออกมางั้นหรือ ปากสุนัข!!”“ท่านอ๋องเพคะ!!”“หึ เจ้าคิดว่าการที่ข้ามิได
ตำหนักท่านอ๋อง“พวกเจ้าไปทำแผลก่อนเถอะ”“พระชายาเพคะ นี่…พวกเจ้าบาดเจ็บมางั้นหรือ พระชายาเล่า”“พระชายาปลอดภัยดี”“ป้าเจา พาพวกนางไปทำแผล ข้าจะพาชิงเยี่ยนกลับห้องแล้ว”“ทะ…ท่านอ๋อง…พะ..พระองค์มาทันเวลา ขอบคุณสวรรค์”“ชิงเยี่ยน ข้าอุ้มเจ้าไปนะ”ชิงเยี่ยนมิได้พูดสิ่งใดแต่ก็ยอมให้ท่านอ๋องอุ้มนางขึ้นไปเงียบเงียบๆ จนนางเข้ามาในห้องกับท่านอ๋อง เขาพานางไปนั่งที่เตียงและนั่งลงข้างๆกาย“ชิงเยี่ยน เจ้า….เป็นอย่างไรบ้าง”“ทุกอย่าง…จบแล้วสินะเพคะท่านแม่ตายตาหลับเสียที”“มันจบแล้ว ชิงเยี่ยนจากนี้ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว แม่ทัพฟ่างจะให้คนนำป้ายวิญญาณแม่เจ้าไปที่สุสานบรรพชนสกุลฟ่างในวันพรุ่งนี้ หากว่าเจ้าอยากจะไปเคารพศพนาง ข้าจะพาเจ้าไป”“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงจัดการเรื่องทุกอย่างนี้แทนหม่อมฉันนะเพคะ”“เจ้าเป็นพระชายาของข้า เรื่องที่เจ้าไม่สบายใจข้าผู้เป็นพระสวามีย่อมมีหน้าที่ดูแลเจ้า ข้าอยากให้เจ้ายิ้มเหมือนครั้งที่…ในตอนที่เจ้า…”“พระองค์คิดถึงนางสินะเพคะ นางที่จำพระองค์ไม่ได้ และเอาแต่ทำตัวเหมือนเด็กอยู่ข้างๆพระองค์”“ไม่ใช่นะชิงเยี่ยน เจ้า…”“หม่อมฉันอยากแช่น้ำอุ่นเสียหน่อยเพคะ”
“เรื่องของข้างั้นหรือ เรื่องใดกัน”“เหตุใดสามในสี่ของยอดบุรุษหนุ่มแห่งต้าเฉิน จึงไม่มีสมญานาม มีเพียงท่านที่ผู้คนเรียกว่าท่านอ๋องโลหิตเพคะ”“เรื่องนี้…น่าจะมาจากประวัติการแต่งงานที่ล้มเหลวของข้า ไม่สิ ต้องบอกว่าเพียงเพราะครั้งที่เจ็ด ที่ข้าลงมือฆ่านางเอง”“มีคนรู้เรื่องนี้มากหรือเพคะ”“ใช่ ข้า…ฆ่านางตายที่หน้าตำหนัก ผู้คนพบเห็นมากมายแต่ในตอนนั้นข้าสวมหน้ากากน่ะ”“หน้ากากอันนั้น!!”“ใช่ เพราะนางข้าเลยสั่งทำหน้ากากมาเพื่อป้องกันตัว เพราะรู้แน่ว่านางมิใช่สตรีธรรมดาและเมื่อสืบรู้ว่านางเป็นกบฏของซุนหวง จวินอ๋องจึงเสด็จมาที่นี่เพื่อช่วยข้าจับนาง แต่ผู้คนที่นี่มิได้้มีผู้ใดรู้จักจวินอ๋อง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าข้าฆ่าสตรีผู้นั้น พวกเขาจึงได้เรียกข้าว่าอ๋องโลหิต ฆ่าคนหน้าตายไร้ความรู้สึก”“แต่พวกเขามิได้รู้เลยว่าหากพระองค์ไม่ฆ่านางในวันนั้น นางจะสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านและแผ่นดินมากเพียงใด ผู้คนต่างชอบตัดสินคนจากสิ่งที่เห็นในครั้งแรกเสมอโดยมิได้ไตร่ตรอง”“แล้วเจ้าเล่าชิงเยี่ยน เจ้าเองก็กลัวข้ามิใช่หรือ”“เมื่อเทียบกับนรกบนดินที่สกุลฟ่าง หม่อมฉันในตอนนั้นตัดสินใจมาตายเอาดาบหน้าเพคะ หม่อมฉันเลยล
“ท่านอ๋องเพคะ ไม่คิดว่านี่จะ…”“ไม่ดึกเกินไปหรอก ข้าจะไม่รบกวนเจ้านานและจะนิ่มนวลที่สุด อย่าห่วงเลยนะ”ท่านอ๋องพรมจูบไปทั่วจนมาหยุดที่ริมฝีปากของชิงเยี่ยน เขาเริ่มยั่วยวนเบาๆและเร่งจังหวะจูบมากขึ้นเป็นเร่าร้อน ชิงเยี่ยนบีบแขนเขาแน่นเพื่อเตือนไม่ให้เขารุกเร็วเกินไป ท่านอ๋องตั้งสติได้จึงค่อยๆปลดชุดนางออกทีละชิ้น ลิ้นของเขายังคงละเมียดอย่างช้าๆบนเรือนร่างที่น่าเย้ายวนตรงหน้า “ดูเหมือนว่า หน้าอกของเจ้ามันจะ….”ใช่ มันใหญ่ขึ้นและเต่งตึงมากขึ้นทุกครั้งที่เขาเห็น มิใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตแต่เขาพยายามหักห้ามใจเพราะเห็นว่านางตั้งครรภ์อยู่ แต่เมื่อถอดออกจนหมดเช่นนี้ มันยากจะหักห้ามใจเสียยิ่งนัก“อาาา ชิงเยี่ยน เหตุใดเจ้าช่าง….”“อื้ออ ท่านพี่…อ๊าาา หม่อมฉันร้อนมากเพคะ ช่วยด้วย”“ข้ามาแล้ว รอเดี๋ยวนะ…”ลิ้นและนิ้วของเขาทำงานประสานกันอย่างดีโดยที่นางไม่ต้องบอก เขารู้ว่านางชอบให้เขาทำสิ่งใดและสัมผัสนางตรงไหนถึงจะเรียกเสียงครางที่ร้องขอสัมผัสจากเขามากขึ้น ร่างนางเอนแอ่นขึ้นตามสัมผัสจากลิ้นหนานั้นเมื่อมันเริ่มล้วงเข้าไปจนสุดด้านในร่องชื้นจนเกิดเสียง“อ๊าา ไม่ไหวแล้วเพคะ อ๊าา…”น้ำบางอย่างไหลออกมาสมทบ
สี่เดือนผ่านไป / ตำหนักท่านอ๋อง“ชิงเยี่ยน!! ข้าบอกว่าให้เจ้าหยุดปักผ้าเสียที”“แต่หม่อมฉันยังปักชุดลูกยังไม่เสร็จนี่เพคะ”“ข้าบอกให้เก็บเดี๋ยวนี้ เหตุใดเจ้าถึงได้ดื้อนักหากยังไม่หยุดมือ…”“โอ๊ย!!”“นั่นอย่างไร เร็วเข้า ส่งผ้ามามาให้ข้า!!”ท่านอ๋องรีบคว้าผ้าและพุ่งเข้าไปหาพระชายาที่ถูกเข็มปักนิ้วมืออีกครั้ง“ข้าบอกแล้วเห็นหรือไม่ นิ้วเจ้าแทบจะไม่มีที่เหลือแล้ว พอเถอะนะชิงเยี่ยนถือว่าข้าขอร้อง เจ้าเจ็บถึงเพียงนี้…ข้าปวดใจนะ”“ท่านพี่เพคะ หม่อมฉันสัญญาว่า…ผืนนี้จะเป็นชุดสุดท้าย…”“เจ้าบอกข้ามากี่ครั้งแล้ว เจ้าว่าลูกเราจะสวมหมดนั่นจริงๆน่ะหรือ เจ้าไม่เผื่อให้เขาได้โตบ้างเลยหรือ”ท่านอ๋องตรัสพลางให้นางหันไปดูชุดที่นางปักเสร็จและถูกพับเก็บเอาไว้เกือบสี่ตะกร้าใหญ่ๆ ด้านในนั้นมีทั้งชุดสวม หมวก ถุงมือถุงเท้าและรองเท้าสำหรับเด็กอีกหนึ่งตะกร้า ทั้งสี่ตะกร้านั้นล้วนเป็นฝีมือการตัดเย็บของนางทั้งสิ้น“แต่ว่า…”“หากเจ้ายังดื้อเช่นนี้ ข้าคงต้องให้คนนำสิ่งพวกนี้ทิ้งไปเสีย หากเจ้ายังมิฟังต่อไปผ้า เข็มและด้ายจะเป็นสิ่งต้องห้ามในตำหนักของพวกเรา”“ท่านพี่เพคะ ทำเช่นนั้นออกจะเกินไปเพคะ หม่อมฉันหยุดก็ได้เพ
“ท่านพี่เพคะ แต่นี่มัน….”“อย่าร้องไห้สิ จะเป็นแม่คนอยู่แล้วนะ”“แต่ว่า…”“ข้าไหวน่า อาการเช่นนี้เป็นกันแค่ชั่วคราวเท่านั้น ใช่ว่าข้าจะเป็นตลอดจนเจ้าคลอดเสียเมื่อไหร่กันเล่า”“เช่นนั้นตอนนี้พระองค์…”“อืมม พอได้กอดแล้วก็หอมเจ้าเช่นนี้ เหมือนกับว่าอาการเหล่านั้นจะเบาบางลงเลย”“งั้นหรือเพคะ เช่นนั้น….”“เจ้าก็กอดแล้วเข้ามาคลอเคลียข้าบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่มีโอกาส เช่นนี้ข้าก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”“เพคะ”วันถัดมา“เอ่อ…ป้าเจา พวกเราบอกให้ท่านอ๋องเพลาๆลงบ้างดีหรือไม่ มิเช่นนั้นจะเสาะท้องเอานะเจ้าคะ”“อาการคนแพ้ท้องก็เป็นเช่นนี้ เจ้ากล้าเข้าไปทูลหรือไม่เล่าอู่ผิง”“ไม่เจ้าค่ะ แต่พระชายา…”“ท่านพี่เพคะ เอาแต่เสวยของหมักของดองกับผลไม้เชื่อมเช่นนี้มิได้นะเพคะ ดื่มน้ำแกงนี่หน่อยเพคะ”“ข้า…หยุดไม่ได้น่ะ เจ้าลองหน่อยหรือไม่”“ไม่เอาละเพคะ แค่เห็นก็เข็ดฟันแล้วเพคะ”“แต่ว่าข้าไม่นึกเลยนะว่ามันจะอร่อยมากถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยลิ้มลองเลย”“อย่ากินมากเพคะ เอาแต่พอดี”“แต่พอกินของพวกนี้แล้วข้าก็ไม่คลื่นไส้อาเจียนอีกเลยนะ”“เฮ้อ…..อ้าวจางจื่อ มีสิ่งใดงั้นหรือ….เอ่อ เช่นนั้นข้า…”นางทำท่าจะลุกเมื่อเห็นว่าม
ความตกใจและความโกลาหลเริ่มต้นขึ้นนับบัดนั้น ท่านอ๋องเอาแต่อาเจียนไม่หยุด จางจื่อสรุปได้ว่าท่านอ๋องคงเร่งขี่ม้าจากเฉินตูเพื่อกลับมาที่ซูโจวจึงทำให้พักผ่อนน้อย ส่วนชิงเยี่ยนเอาแต่โทษตัวเองเพราะคิดว่าท่านอ๋องคงใช้แรงหนักเพราะเรื่องเมื่อตอนบ่ายจนถึงช่วงเย็น ป้าเจาเองก็คิดว่าอาหารที่ทำมามีปัญหาจนจงลี่ต้องเป็นผู้ให้คนไปตามหมอหลวงเข้ามาดูอาการท่านอ๋อง“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ทูลพระชายา…กระหม่อมคิดว่า….เอ่อชีพจรเต้นหนักแน่นมั่นคง ลมหายใจมิได้มีสิ่งผิดปกติ ร่างกายมิได้ถูกพิษ ทุกอย่างปกติดีแต่ว่าเพราะเหตุใดจึงได้เป็นเช่นนี้….”แม้แต่ท่านหมอก็มิอาจวินิจฉัยอาการแปลกประหลาดนี้ได้ ทั้งตำหนักพากันวุ่นวาย ท่านหมอทำได้เพียงระบุอาการว่าท่านอ๋องอาจจะเพลียสะสมจากการเดินทางและพักผ่อนน้อยจึงทำให้ปรับสภาพร่างกายยังไม่ดีพอจึงให้ต้มยาบำรุงให้ดื่ม แต่เมื่อสาวใช้นำยานั้นมาให้ ท่านอ๋องกลับเริ่มอาเจียนอีกครั้ง จนคราวนี้ท่านหมอถึงกับกุมขมับเพราะไม่สามารถวินิจฉัยได้“ท่านหมอเจ้าคะ…”“ท่านป้าแม่นม ข้าเป็นหมอมายี่สิบกว่าปียังไม่เคยพบเห็นอาการเช่นนี้มาก่อน สุขภาพภายนอกมิได้มีอันใดผิดปกติเลย เช่นนี้ข้าจะ..”“มิใช่เ
ท่านอ๋องคว้าร่างของพระชายาขึ้นมาอุ้มและพาเดินขึ้นไปที่ห้องบรรทมทันที เมื่อเขาวางร่างของพระชายาลงถึงเตียงทั้งคู่ก็แทบจะไม่ห่างกันแต่ละคนเริ่มสาละวนกับการดึงทึ้งชุดเสื้อผ้าที่เกะกะออก ปากของทั้งคู่แทบจะไม่ห่างกันจนถึงตอนนี้ เมื่อสองร่างไร้ซึ่งสิ่งปิดบังท่านอ๋องเองก็ไม่รั้งรอที่จะเข้าครอบครองนางด้วยลิ้นทันที“อื้ออ ท่านพี่….เบาหน่อยเพคะ”“เบางั้นหรือ เจ้าทำให้ข้าแทบบ้าเมื่อคืนผู้ใดปล่อยให้ข้านอนคนเดียว”“อ๊าา เดี๋ยวก่อน อ๊าา …”ไม่ทันที่นางจะห้ามแต่เขากลับสอดลิ้นเข้ามาในร่องกลีบชื้นของนางและเริ่มใช้มือบดขยี้ปลายยอดปทุมสีสดนั้นอย่างมันมือ ทั้งเร่งเร้าและร้อนเร่าดุจพยัคฆ์ที่หิวโหยมาแสนนาน ร่างของพระชายาสั่นเกร็งไปชั่วขณะเมื่อเขาเริ่มเร่งกระตุ้น เสียงครางที่ดังขึ้นทำเอาพระทัยท่านอ๋องแตกกระเจิง“อ๊าา…จุก อื้อ…อย่าเร็วนักเพคะ หม่อมฉัน อ๊าา …”เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ฟังคำร้องขอใดๆ อย่างที่เตือนนางเอาไว้เมื่อครู่ เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงครางที่ดังขึ้นเรื่อยๆของทั้งคู่และเสียงกล้ามเนื้อที่กระทบกันและเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อทั้งสองจะถึงปลายทาง…..“พระองค์จะเกินไปแล้วนะเพคะ”“เจ้ายังมีแรงต่อว่าข้าอย
“เช่นนั้น….เป็นเช่นนั้นจริงๆ…”“แต่ข้ากับเหล่าท่านอ๋องมิได้แตะต้องพวกนาง”ชิงเยี่ยนชะงักลงเมื่อกำลังจะเดินออกจากประตู ท่านอ๋องดึงแขนนางไว้ แต่ไม่ได้ดึงแรงหรือกระชากเช่นก่อนหน้านี้“หมายความว่าอย่างไรเพคะ”ท่านอ๋องดูท่าทีของนางและน้ำเสียงที่สับสนเล็กน้อยเขาจึงตัดสินใจค่อยๆเดินเข้าไปหานางและดึงนางให้หันมาพร้อมกับจับมือนางเอาไว้ น้ำตายังคงไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของนางด้วยความน้อยใจเขาก่อนหน้านี้เมื่อเขาเอื้อมมือไปเช็ดให้นาง“เป็นปกติธรรมเนียมปฏิบัติที่ฝ่าบาทจะทรงประทานสตรีมาปรนนิบัติพวกเราเวลาที่เข้าเฝ้าเพื่อดูแลและเพื่อให้สกุลอ๋องแต่ละเมืองได้มีทายาทสืบทอด ข้าซึ่งเป็นท่านอ๋องเพียงคนเดียว หนึ่งในสี่ของอ๋องที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทที่มีเพียงพระชายาแต่ยังไม่มีบุตร ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงประทานสตรีมาให้ถึงสามคนด้วยกัน”เขารู้ว่าชิงเยี่ยนกำลังจะถอยหนีเพราะคำกล่าวนี้ สตรีถึงสามคนที่ร่วมกันปรนนิบัติพระสวามีในยามที่นางไม่อยู่ แค่ได้ฟังก็คงเจ็บใจแล้วแต่เขาไม่ยอมให้นางมีโอกาสหนี วันนี้นางต้องฟังเขาให้จบ“แต่ข้า….ท่านอ๋องทั้งสามเองก็ทราบดี แม้ว่าชิงอ๋องและเฟิ่งอ๋องจะมีบุตรแล้ว จวินอ๋องแม้จะยังไม่มีบุตรแต่พระชาย
จางลู่หยวนเดินเข้าไปหานางพร้อมกับมือที่สั่นเทาเมื่อค่อยๆเดินเข้ามาสวมกอดนาง กลิ่นกายนางช่างหอมนัก แม้ว่าเขาจะไม่เคยได้สัมผัสเลยก็ตาม ครั้งนี้จะเป็นเพียงครั้งเดียวที่เขาจะมีโอกาสได้ทำเช่นนี้ เขาค่อยๆคลายอ้อมกอดนั้นออกอย่างมีมารยาทพร้อมกับส่งยิ้มให้นางอย่างรู้สึกขอบคุณ“ขอบใจเจ้ามากชิงเยี่ยน จากนี้ขอให้เจ้าโชคดีเช่นกัน”“วันเดินทาง ข้าจะไปส่งท่านนะ”“ไม่ต้องหรอก เกรงว่า…ท่านอ๋องคงไม่ปล่อยให้เจ้าไป”“แต่พวกท่านก็เป็นกองทัพของเขาเช่นกัน”“ชิงเยี่ยน เจ้าคงไม่รู้ว่าในตอนนี้ทั่วทั้งซูโจวต่างกล่าวขานเรื่องท่านอ๋องที่ทรงหวงพระชายาราวจงอางหวงไข่ อย่าได้ทำให้พระองค์ระคายพระทัยเลย ท่านอ๋องเป็นคนดี พระองค์จะปกป้องเจ้าและรักเจ้าไปทั้งชีวิต สายพระเนตรของพระองค์ที่มองเจ้าข้าเข้าใจได้ดี”"ขอบคุณพี่ลู่หยวนเจ้าค่ะ"“เช่นนั้นข้าขอลาก่อน”“เจ้าค่ะ แล้วพบกันใหม่”“แล้วพบกันใหม่”ชิงเยี่ยนยืนส่งเขาที่หน้าห้องโถง จางลู่หยวนเดินออกมา เขาเงยหน้าและกะพริบตาถี่ๆเพื่อไล่บางอย่างออกไป พระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นมากกว่าตอนที่เขามาถึง “แสบตายิ่งนัก”มือของเขาปาดไปที่ดวงตาที่มีน้ำรื้นผุดออกมา ครั้งนี้เขาจะไม่ได้พบเจอช
ท่านอ๋องมีท่าทีโมโหทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้ เขาหันไปมองหน้าชิงเยี่ยนที่เพียงแค่ยกผ้ามาเช็ดปากและวางลงไป ชิงเยี่ยนเองก็ตกใจแต่นางรักษาท่าทีได้ดีกว่าท่านอ๋อง แต่ในใจนางนั้นกังวลอยู่ไม่น้อย แต่นางก็ใคร่รู้ว่าเหตุใดจางลู่หยวนจึงเลือกมาพบนางในวันนี้“พระชายาเพคะ…ให้หม่อมฉัน…”“ไปบอกเขาให้รอข้าสักครู่ อีกเดี๋ยวข้าจะไปพบเขา”ท่านอ๋องตกใจและหันมามองหน้านาง เขาไม่คิดว่านางจะกล้าไปพบจางลู่หยวนอีกในเมื่อนางรับปากกับเขามั่นเหมาะแล้วก่อนหน้านี้“พระชายา นี่เจ้าจะ….”“หม่อมฉันอิ่มแล้วเชิญท่านอ๋องเสวยเถิดต่อเพคะ”มีหรือที่เขาจะกินลงได้อีก ท่านอ๋องลุกขึ้นและดึงแขนนางเอาไว้ จนชิงเยี่ยนทำหน้ามุ่ยด้วยความเจ็บแต่นางก็มิได้ร้องออกมา ท่านอ๋องเองก็พอจะรู้ตัวว่าทำรุนแรงเกินไปจึงรีบคลายออกแต่ยังไม่ยอมปล่อย“เจ้าจะไปพบเขาเช่นนั้นหรือ”ชิงเยี่ยนหันมามองพระพักตร์ท่านอ๋องสายตาของนางในตอนนี้เขาไม่อาจเดาได้เลยว่านางคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ เขาทั้งไม่แน่ใจ หวาดระแวง และกลัวไปหมดเรื่องเมื่อคืนที่เขากับนางทะเลาะกันก็ยังมิได้ปรับความเข้าใจ นี่นางยังไปพบกับศัตรูหัวใจอันดับหนึ่งที่เป็นดั่งหนามยอกอกเขาและยิ่งกว่านั้นคือเขากล้า