สาวใช้ถอยหลังพร้อมก้มหน้า ชิงเยี่ยนเองก็เริ่มทำตัวไม่ถูก นางจึงลุกขึ้นด้วยพร้อมกับยืนรอเขาในห้อง ขายาวนั้นก้าวเข้้ามาในห้องเสวยและหันมามองนาง แต่ว่า….เหตุใดวันนี้เขาจึงสวมหน้ากากครึ่งหน้าเช่นนั้นกันนะ!!
""ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ""
ชิงเยี่ยนก็ก้มคำนับเขาเช่นกัน ลั่วอ๋องหันมามองนางที่ยืนก้มหน้าและหันไปที่สาวใช้ เขานึกขำในใจที่นางคงทำตัวไม่ถูก แม้ว่าจะอยู่ในสกุลฟ่างแต่ดูเหมือนว่านางจะมิค่อยได้ออกงานทางการเท่าใดนัก
“ตามสบายเถิด พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ไม่ต้องเฝ้าพวกข้า”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
ชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหันหาความช่วยเหลือแต่ไม่มีผู้ใดสบตานางเลยสักคน พวกเขารีบพากันออกไปจนหมด บัดนี้เหลือเพียงนางกับท่านอ๋องที่สวมเพียงหน้ากากสีเงินตรงหน้าเท่านั้น
“พระชายา เจ้าไม่กินข้าวงั้นหรือ นั่งลงสิ ข้าหิวแล้ว”
“เพคะ หม่อมฉันก็หิวแล้ว รอนานแล้วด้วยเช่นกัน พระองค์มาสายนะเพคะ อาหารจะเย็นหมดแล้ว”
“หุบปาก!!”
ชิงเยี่ยนหยุดพูดทันที เมื่อใดที่นางตื่นเต้นนางมักจะพูดมากเกินความจำเป็น ไม่นึกว่าพอออกมาจากจวนสกุลฟ่างแล้วนางกลับรู้สึกว่าที่นี่ดูเป็นบ้านมากกว่าที่สกุลฟ่าง ขาดแต่เพียงว่า…
คนตรงหน้านี้ เหตุใดจึงดุดันเช่นนี้กันนะ ท่านอ๋องหันมามองนางที่นั่งตัวลีบแต่มิได้แสดงออกว่ากลัวเขา แต่แค่รู้สึกทำตัวไม่ถูกเท่านั้น เขาไม่เคยเห็นผู้ใดเป็นเช่นนี้มาก่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ส่วนใหญ่จะกลัวเขามากกว่าจะกล้ามานั่งร่วมโต๊ะเช่นนี้
“เงียบแล้วกินข้าว”
“หม่อมฉันกินได้แล้วใช่หรือไม่เพคะ”
“กินสิ ผู้ใดผูกปากเจ้าไว้เล่า”
ชิงเยี่ยนหันมาค้อนให้เขาเล็กน้อย แต่สายตาดุดันนั่นทำเอานางหลับตาหลบได้อย่างรวดเร็ว ยังเร็วเกินไปที่จะต่อกลอนกับเขาในตอนนี้
นางพยายามทำตัวให้ร่าเริงเข้าไว้ เพื่อให้ดูเหมือนว่าไม่กลัวเขามากนัก ใจดีสู้เสืออาจจะทำให้นางรอดพ้นความตายไปได้
“กินก็ได้เพคะ”
นางหยิบหมั่นโถวมาในจานและตักน้ำแกงมาพร้อมกับตักหมูแดงใส่จานเล็กๆมา ท่านอ๋องกินเพียงข้าวต้มและมองนางกินเงียบๆ
นางกำลังแบ่งหมั่นโถวออกมาและใช้หมูแดงราดลงไปและหยิบเข้าปากไปพร้อมกับทำหน้าราวกับว่านี่คืออาหารที่รอคอยมานานแสนนาน
“อื้ม อร่อยมาก นี่สิหมูแดงของแท้”
ท่านอ๋องไม่เอ่ยสิ่งใด ตอนนี้ชิงเยี่ยนหยิบผักมาวางที่จานพร้อมกับตักหมูแดงนั้นไปวางบนผัดสดและห่อเป็นคำเล็กๆและลองกินดู ลั่วอ๋องไม่เคยเห็นผู้ใดกินอาหารได้แปลกเช่นนางมาก่อนเลย
“นี่เจ้า…..เหตุใดจึงกินแบบแปลกๆ”
“แปลกงั้นหรือเพคะ อ่อ ไม่แปลกหรอกเพคะ ก่อนหน้านั้น…”
ชิงเยี่ยนลืมตัวไป นางจะบอกเรื่องที่นางอยู่อย่างอดอยากที่สกุลเฟิ่งหาได้ไม่ เพราะที่นั่นกว่าจะมีหมั่นโถวสักชิ้นที่แอบขโมยจากห้องครัวมา
หรือผัดหมูแดง ผัดผักสักจาน ก็ต้องนำมากินกับผักที่นางแอบปลูกเอง สีหน้าของนางเมื่อนึกถึงวันเก่าๆนั้นทำให้ท่านอ๋องรู้สึกสงสัยยิ่งนัก
“เหตุใดจึงเงียบไป”
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่…ชอบกินเช่นนี้เท่านั้น”
แม้ว่าจะตอบไปแล้ว แต่ชิงเยี่ยนก็เลี่ยงที่จะทำเช่นเดิม นางยกเพียงข้าวต้มเช่นเดียวกับเขามากินเงียบๆ ไม่พูดสิ่งใดต่อ ลั่วหมิงจ้านรู้สึกว่าตนพูดผิดจังหวะทั้งๆที่กำลังมองนางกินด้วยความเพลิน ไม่น่าไปขัดจังหวะนาง แต่ดูเหมือนพระชายาของเขาผู้นี้มีความลับซ่อนอยู่ไม่น้อยจนเขานึกสนใจยิ่งนัก
“วันนี้…เจ้าจะทำสิ่งใด”
“หม่อมฉัน…ขออนุญาตออกไปข้างนอกได้หรือไม่เพคะ”
ช้อนในมือชะงักลง เขาไม่ได้มองมาที่นาง แต่มองที่ชามข้าวต้มที่ถืออยู่ นางก็ไม่ต่างกับคนอื่นๆ ที่แต่งเข้ามาแล้วอยากหาทางที่จะหนีออกไปจากตำหนักนี้เช่นกัน
“เจ้าจะไปที่ใด หาลู่ทางงั้นหรือ”
“อะไรนะเพคะ พระองค์ทรงตรัสอะไรนะเพคะหม่อมฉันหาได้ยินไม่ คือว่าหม่อมฉันรับปากกับจงลี่และอู่ผิงไว้ว่าจะสอนพวกนางปักผ้าเพคะ ก็เลยอยากไปเลือกซื้อผ้าสักหน่อยเพคะ หากว่าพระองค์จะทรง…อนุญาต”
หัวใจของท่านอ๋องรู้สึกราวกับว่าได้ตากแดดอุ่นๆในยามเช้า เหตุผลที่นางอยากออกไปมีเพียงเท่านี้เองน่ะหรือ หรือเขาจะคิดมากเกินไป แต่ท่าทางของนางที่นั่งกินข้าวอยู่ก็มิได้เหมือนคนโกหก
“เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปเถิด ข้าจะให้ป้าเจาจัดการเป็นธุระให้ แต่เจ้าต้อง…”
“หม่อมฉันจะปกปิดฐานะและมิให้ผู้อื่นทราบเพคะ พระองค์อย่าได้ทรงกังวล หม่อมฉันทราบว่าต้องทำเช่นไรเพคะ”
“ดี เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”
“เย้ ขอบพระทัยเพคะพระสวามี”
ท่านอ๋องตกใจแต่กลับนิ่งชะงักไป หูอื้อตาลายเพราะคำกล่าวนั้นทันที เมื่อครู่นี้นางเรียกเขาว่า “พระสวามี” เช่นนั้นหรือ เขามิได้หูฝาดสินะ นี่นางนอกจากจะไม่เกรงกลัวเขา แต่ยังทำตัวตามสบายต่อหน้าเขาอีกด้วยงั้นหรือ
“อืม”
ชิงเยี่ยนยิ้มด้วยความอารมณ์ดีเมื่อได้รับอนุญาต นางเริ่มกินข้าวได้มากขึ้นและทำตัวตามสบายแม้ว่าจะเกร็งไปบ้างแต่เพราะท่านอ๋องที่นั่งนิ่งราวขอนไม้และกินไปเงียบๆทำให้นางไม่รู้สึกกดดันมานัก
ลั่วอ๋องเองก็แอบมองนางที่กินอย่างอารมณ์ดีตรงหน้าจนลืมตัว เขาไม่เคยกินข้าวได้มากขนาดนี้มาก่อน และไม่อยากลุกจากโต๊ะอาหารนี้ด้วยเมื่อมีนางนั่งอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะกินข้าวได้มากขึ้น
“หม่อมฉันอิ่มแล้วเพคะ เช่นนั้นขอตัวไปเตรียมตัวก่อนนะเพคะ”
“อืม”
ชิงเยี่ยนคำนับให้เขาและเดินออกจากห้องเสวยไปพร้อมกับสาวใช้สองคนที่รอนางอยู่ พร้อมกับกระซิบบางอย่างบอกพวกนางและพากันดีใจจนเกิดเสียงดังขึ้น เสียงนั้นดังจนท่านอ๋องได้ยิน มุมปากของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย นี่คงเป็นยิ้มแรกในรอบสิบปีเลยก็ได้กระมัง
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ทรงอนุญาตให้พระชายา…”
“อืม ให้คนตามอารักขานางเงียบๆ ดูท่าทีและอย่าลืมเรื่องที่ให้สืบ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จางจื่อเงยหน้าขึ้นมามองที่โต๊ะอาหาร ซึ่งพบว่าอาหารบนโต๊ะหมดไปเกือบทุกอย่าง รวมถึงข้าวต้มของท่านอ๋องด้วยที่กินไปถึงสองชาม เขาไม่เคยเห็นท่านอ๋องเสวยมากเช่นนี้มาก่อนเลย พระชายาคงมิใช่สตรีธรรมดาแน่แล้ว
“ท่านอ๋อง พระองค์….”
“ข้าอิ่มแล้ว ให้คนมาเก็บได้ อ่อ บอกให้ห้องเครื่องเพิ่มหมูแดงกับหมั่นโถวในทุกๆมื้อด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องลุกขึ้นพร้อมกับหันมามองจานหมั่นโถวและหมูแดงที่เกือบหมดเกลี้ยงเพราะฟ่างชิงเยี่ยนที่ดูเหมือนจะชอบอาหารนี้ เขายิ้มน้อยๆและเดินออกไปทันที จางจื่อคิดว่ามองไม่ผิดแน่ เมื่อครู่นี้ ท่านอ๋องโลหิตผู้นั้น “กำลังแย้มพระสรวล!!”
ตลาดเมืองซูโจว
“พระชายาเพคะ ลายนี้ก็งามนะเพคะ”
“ป้าเจา มาดูนี่เจ้าค่ะ”
“พระชายาเพคะ”
“เอ๊ะ พวกท่านนี่นะ บอกไม่จำ ข้างนอกนี่ให้เรียกว่าอะไร”
“เอ่อ คุณหนูเพ…เจ้าคะ คือว่า…”
“ป้าเจา คุณชายให้ท่านมาดูแลข้า เอาน่า เราแค่มาซื้อผ้าและของใช้นิดหน่อยเอง ท่าน..ท่านพี่ไม่ว่าอะไรข้าหรอกเจ้าค่ะ จ่ายเงินเถิดป้าเจา”
“เจ้าค่ะๆ คุณหนูจะซื้อผ้านี้ไปทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
“จะสอนพวกนางเย็บหมอนและปักถุงหอมเจ้าค่ะ”
“คุณหนูจะทำให้ท่าน…เอ่อ คุณชายงั้นหรือเจ้าคะ”
“ป้าเจา…ข้าก็แค่….”“คุณชายคงดีใจที่คุณหนูจะทำให้นะเจ้าคะ”“รีบไปจ่ายเงินเถอะเจ้าค่ะ ยังมีอีกหลายร้านที่ต้องไปแวะ”“เจ้าค่ะๆ”“จงลี่ อู่ผิง ได้หรือยัง”“ได้แล้วเจ้าค่ะ งามหรือไม่เจ้าคะ”“อืม สีนี้ไม่สดไปหน่อยหรือ เจ้าเป็นสาวเป็นนางเหตุใดเลือกสีแสบตาเช่นนี้กัน”“คุณหนูเจ้าคะ ดูนี่สิเจ้าคะ ผ้าแพรผืนนี้สีเดียวกับชุดของคุณชายที่สวมวันนี้เลยเจ้าค่ะ”พวกนางหมายถึงฉลองพระองค์ของท่านอ๋องเมื่อเช้านี้ ชิงเยี่ยนหยิบผ้าแพรสีดำนั้นมามองดูพร้อมกับยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็เอาผืนนี้ด้วย”“คุณหนูจะซื้อไปทำสิ่งใดให้คุณชายหรือเจ้าคะ”“ผ้าที่งดงามเช่นนี้ หากว่าเสริมด้วยผ้าไหมสีทองแล้วปักลวดลายด้วยดิ้นสีเงินสลับทองคงงดงามนัก ข้าจะปักเสื้อคลุมให้ท่านพี่”“แค่พูดก็นึกอยากเห็นแล้วเจ้าค่ะ”“จงลี่ เจ้ามัวแต่พูด เลือกได้หรือยังจะได้เอาไปรวมให้ป้าเจาจ่ายเงิน”“ได้แล้วเจ้าค่ะ”“ไปกันได้แล้ว ยังมีร้านเข็มกับด้ายอีกไหนจะต้องแวะซื้อกรรไกรกับเครื่องมืออื่นอีก เร็วๆเข้า”พวกนางเดินไปแล้ว เมื่อป้าเจาจ่ายเงินเสร็จก็พากันออกจากร้านไป บ่าวผู้ชายก็นำกองผ้าที่พระชายาซื้อไปที่รถม้าเพื่อรอพวกนางซื้อของร้านต่อไปผู้ที่ยืนอยู่นอกร
ฟ่างชิงเยี่ยนตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถูกด่ารุนแรงถึงเพียงนี้มาก่อน ไม่นึกว่าแค่เรื่องเข้าใจผิดนี่จะทำให้เขาถึงกับ…..“ท่านอ๋อง…เมื่อครู่พระองค์…”“สตรีมักมากหลายใจเช่นเจ้า มีสิ่งใดให้ข้าลุ่มหลงกัน”“หึ ชิงเยี่ยนเจ้าเห็นหรือยังว่าเขาเลือดเย็นเพียงใด คนเช่นนี้หรือที่เจ้้าอยากอยู่ร่วมกับเขา ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าอยู่ร่วมกับเขาเป็นอันขาด การแต่งงานนี้ ข้าไม่มีทางยอมรับ!!”“เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู ว่าจะสามารถแย่งนางไปจากตำหนักอ๋องของข้าด้วยวิธีใด ข้าก็อยากจะเห็นเช่นกัน”ท่านอ๋องดันเขาไปจนติดกำแพงสุดแรงและหันมาฉุดฟ่างชิงเยี่ยนที่ยืนอยู่อีกด้านมากับเขา นางแน่นิ่งและสะบัดมือเขาออกเช่นกัน“เจ้าจะทำสิ่งใด จะไปกับมันงั้นหรือ”“ข้าไม่ไปที่ใดกับผู้ใดทั้งสิ้น ในเมื่อไม่นานก็ต้องตาย สู้ตายตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า”ชิงเยี่ยนวิ่งสุดแรงเพื่อจะใช้ศีรษะชนกำแพงพร้อมกับเสียงร้องห้ามของจางลู่หยวน แต่ท่านอ๋องรวบเอวนางขึ้นมาได้ทันและจับนางพาดบ่าทันที“ชิงเยี่ยน!!”“อย่าได้ให้ข้าเห็นว่าเจ้ากล้าเข้ามาใกล้นางอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้จะมิใช่แค่บาดเจ็บแต่ข้าจะตัดหัวเจ้าแทน!!”“ปล่อยข้านะ”“เงียบ!!”“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ฆ่าข
สองชั่วยามผ่านไป“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าเรียกข้ามาเก้าครั้งแล้ว หากว่าเจ้าเป็นห่วงนางนัก…”เขาพูดไม่ทันจบ เสียงฝนด้านนอกก็ตกลงมา ชิงเยี่ยนที่ยังนั่งอยู่ลานกลางตำหนักมองดูสิ่งที่สู้อุตส่าห์ซื้อมาจากตลาด หวังจะมาตัดชุดให้เขา กลับถูกเผาด้วยมือเขาเอง ในตอนนี้ฝนยังกระหน่ำตกลงมาราวกับจะบอกนางว่าคงถึงเวลาที่นางจะต้องตายแล้ว จึงส่งฝนมาช่วยให้นางได้ตายเร็วขึ้น“หึ แม้แต่สวรรค์ยังรู้เลยว่าไม่อยากอยู่แล้ว”ฟ่างชิงเยี่ยนหัวเราะให้กับโชคชะตาของตนเอง เดิมทีท่านพ่อนางตกลงยกนางให้หมั้นหมายกับจางลู่หยวน เพื่อนในวัยเด็กและเป็นบุตรของรองแม่ทัพของเขาเองจางลู่หยวนนั้นมีใจให้กับฟ่างชิงเยี่ยนมาตั้งแต่เด็กแม้ว่านางจะอยากแต่งกับเขาเพียงเพราะอยากจะออกจากสกุลฟ่างเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่าชะตาชีวิตเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้จากต้องแต่งเข้าสกุลจาง เพียงแค่ราชโองการฉบับเดียว และพี่สาวคนรองที่หนีเอาตัวรอดจากการแต่งงาน บิดาของนางจึงส่งนางมาตายแทนที่พี่รองนางที่นี่ “ที่สุดแล้วอยากให้ข้าตายไปให้พ้นๆนี่เองสินะ”สายตานางพร่าเลือนไปทีละนิด นางไม่รู้ว่ายามใดแล้วเมื่อตานางเริ่มปิด และเห็นเพียงลางๆว่ามีคนวิ่งมาทางนี้ สัม
“พระชายา เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้”“พวกเขาบอกข้าว่า…”“บอกว่าอย่างไร”“พวกเขาบอกว่า ท่าน…รักข้าและเป็นห่วงข้ามาก ที่ข้าไม่สบายเพราะตากฝนจนจับไข้ ท่านก็มาเฝ้าข้าทุกวัน หาหมอมารักษาจนข้าฟื้นขึ้นมาเป็นเรื่องจริงหรือ”“จริง….ข้าดีใจที่เจ้าฟื้น”“เช่นนั้น..เราก็รักกันมาสินะเจ้าคะ…เพคะ…เอ่อ…”“ช่างเถอะ เจ้าถนัดพูดเช่นไรก็พูดเช่นนั้น”“เช่นนั้น ข้าชื่อว่า..ลั่วชิงเยี่ยนงั้นหรือเจ้าคะพวกนางบอกข้ามา”คำว่า “ลั่วชิงเยี่ยน” ทำให้เขายิ้มออกมาได้อย่างอบอุ่นใจ แม้นางจะยังจำเขาไม่ได้แต่เขาก็รู้สึกดีใจที่นางพูดขึ้นมา นั่นเท่ากับว่านางยอมรับเขาแล้วครึ่งหนึ่ง นางยอมใช้แซ่ของเขา “ใช่แล้วชิงเยี่ยน เจ้าคือพระชายาที่ข้ารักมากที่สุด เป็นพระชายาอภิเษกเข้ามาในตำหนักนี้ ข้ารักและห่วง หวงเจ้าเป็นที่สุด ยามเจ้าหมดสติอยู่บนเตียงนั่นทำเอาหัวใจข้าแทบขาด เจ้าไม่เพียงทำให้ข้าเป็นห่วงยังทำให้ทุกคนในตำหนักนี้เป็นห่วงเจ้าด้วย”“ท่านพี่”นางเรียกเขาโดยไม่ตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด ท่านอ๋องไม่เคยรู้สึกว่าต้องการสิ่งใดมากขนาดนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าสามในสี่ยอดบุรุษหนุ่มแห่งต้าเฉินนั้นเหตุใดจึงยอมให้สตรีในดวงใจ นั่นเพราะยอดบุรุษหนุ่
“ในเมื่อสกุลฟ่างมิใช่ที่ที่นางสมควรอยู่ ทั้งที่ถูกทารุณถึงเพียงนั้น เหตุใดนางถึงยังทนอยู่”“เพื่อสืบเรื่องการตายของมารดา นางสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของฮูหยินใหญ่พ่ะย่ะค่ะ นางจึงพยายามหาหลักฐาน แต่ว่า….”“นางตัวคนเดียว อีกทั้งยังถูกกลั่นแกล้งเพียงนั้น จะเอาแรงที่ไหนสืบเรื่องนี้กัน”“พ่ะย่ะค่ะ เมื่อแม่ทัพฟ่างสั่งให้นางมาสมรสกับพระองค์ นางจึงคิดว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะหลุดออกจากสกุลฟ่างได้ เพียงแต่ เมื่อฟางลู่หยวนกลับมา เขารู้ข่าวการสมรส เขาจึงไม่ยอมเมื่อทราบว่าพระชายาออกนอกตำหนัก เขาจึงได้ไปดักพบนางพ่ะย่ะค่ะ”“ที่แท้ข้าเข้าใจนางผิดมาตลอด นางมิได้ชอบเจ้านั่น แค่อยากใช้ประโยชน์ในการแต่งงานครั้งนั้นหนีออกมาจากสกุลฟ่าง เรื่องเลวร้ายเช่นนี้นางเป็นเพียงสตรีตัวคนเดียว เหตุใดจึงทนมาได้ถึงขนาดนี้”“นางมีฟ่างหลิงเทียนคอยดูแลพ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพฟ่าง และคุณชายฟ่างจื่อหนาน เป็นพี่สามของนาง ซึ่งพวกเขารักและเอ็นดูนางราวกับน้องสาวแท้ๆ ฮูหยินใหญ่จะทารุณนางมากก็เกรงว่าบุตรชายจะเกลียดชัง นางจึงอยู่ที่นั่นมาได้พ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าส่งคนของเรา แทรกซึมเข้าสกุลฟ่าง จับตาดูทุกคนในนั้นและสืบเรื่อ
ชิงเยี่ยนล้มลงในอ้อมกอดของท่านอ๋องอีกครั้ง นางมองไปยังลานที่ว่างเปล่าตรงหน้าด้วยหัวที่หนักอึ้งก่อนจะหมดสติไปอีกครั้งพร้อมกับเสียงร้องเรียกที่นางคุ้นเคย“ชิงเยี่ยน!!”ห้องบรรทมท่านอ๋องชิงเยี่ยนค่อยๆลืมตาขึ้นมา ท่านอ๋องนั่งอยู่ข้างๆ นางเมื่อเห็นนางฟื้น“ชิงเยี่ยน เป็นเช่นไรบ้าง”“ข้า….เป็นอะไรไปเจ้าคะ”“เจ้าสะดุดล้มน่ะ แล้วก็สลบไปตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”“หม่อมฉันสลบไปหรือเจ้าคะ แล้ว…ท่านพี่ ว่าวหม่อมฉันเล่าเจ้าคะ”ท่านอ๋องมองนางอย่างนึกแปลกใจ นางไม่ถามเรื่องบาดแผลบนตัวนางด้วยซ้ำแต่กลับถามหาว่าวที่ปลิวไปแล้ว“ข้าให้คนเก็บเอาไว้ให้เจ้าแล้ว แต่ตอนนี้เจ้ายังไปเล่นไม่ได้นะ เพราะยังบาดเจ็บอยู่”“เสียดายจัง กำลังเล่นสนุกเลย”“เอาไว้วันหลังค่อยเล่น”“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีสิ่งใด”“จดหมายเชิญจากกรมพิธีการ เรียนเชิญท่านอ๋องและพระชายาเสด็จเปิดงานเทศกาลโคมไฟในเมืองพ่ะย่ะค่ะ”“เทศกาลโคมไฟ ข้าอยากไป!! ท่านพี่ เราไปได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”ท่านอ๋องหันไปมองหน้าจางจื่อพร้อมกับหันมามองหน้านางอีกครั้ง“ย่อมได้ แต่เจ้าต้องรักษาตัวให้หายอย่าได้เล่นซนเป็นเด็กๆอีก และ…ต้องเปลี่ยนคำพูดที่เป็นทางการหากเราต้องออกไปง
“ข้าบอกให้เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น!!”ชิงเยี่ยนหยุดเดินแต่ก็ไม่ได้หันมาหาเขา ท่านอ๋องเดินมาดึงแขนนาง“กลับไปนอน”“ไม่เพคะ หม่อมฉันจะกลับไปที่เรือนหลังของหม่อมฉัน”“พระชายา ข้าสั่งให้เจ้ากลับไปนอน”“ไม่ พระองค์กลับไปเถิดเพคะคืนนี้หม่อมฉัน…”ท่านอ๋องก้มลงอุ้มนางขึ้นมาและไปวางที่เตียง นางจะลุกขึ้นแต่ถูกเขากดเอาไว้“ปล่อยนะเพคะ หากพระองค์ไม่อยากทำเช่นนี้ก็อย่าได้ฝืนพระทัย”“นี่เจ้า..ความทรงจำเจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่”“จะกลับหรือไม่กลับต่างกันอย่างไรในเมื่อความรู้สึกของพระองค์ก็มิได้เปลี่ยนไป ยังเย็นชาเช่นเดิมปล่อยข้านะ”“เฮ้อ ชิงเยี่ยนเจ้าฟังข้าก่อนเจ้ามาอยู่ที่นี่ร่วมเดือนหากจู่ๆกลับไปคนจะสงสัยเอาได้”“เช่นนั้นคืนนี้หม่อมฉันจะนอนที่นี่ก็ได้ แต่วันพรุ่งนี้หม่อมฉันจะกลับไปเรือนหลังตามพระบัญชาของท่านอ๋อง”“เหตุใดเจ้าจึงไม่มีเหตุผลถึงเพียงนี้”“ก็เพราะเหตุใดพระองค์จึงไม่แสดงความรักกับหม่อมฉันบ้างเล่าเพคะ!!”ท่านอ๋องถึงกับตกใจ นี่นางยังใช่ฟ่างชิงเยี่ยนอยู่หรือไม่ นางกำลังกล่าวต่อว่าเขา ที่เขา…ไม่..“เจ้า…ว่าอย่างไรนะ”“ป้าเจากับคนอื่นๆบอกข้าว่า สามีภรรยาก็ต้องนอนด้วยกัน จูบกันแล้วก็ทำลูกกันแต่ท่าน
ป้าเจาและสาวใช้แม้จะอยากช่วยพระชายาแต่ก็หาได้มีผู้ใดกล้าไม่เพราะตอนนี้อารมณ์ท่านอ๋องแม้จะขุ่นเคืองแต่ใบหน้าของชิงเยี่ยนกลับไม่รู้สึกถึงความโหดร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามา“ข้าถามเจ้า เหตุใดจึงไม่ตอบ ทำไมตื่นไม่รอข้า”“อยากลุกก็ลุก จะตื่นก่อนตื่นหลังมันต่างกันตรงไหนเล่าเพคะ อย่างไรแล้ว…”“นี่เจ้ากำลังยั่วโมโหข้าอยู่ ข้าถามเจ้าดีๆ”“หม่อมฉันก็กำลังจะตอบดีๆเช่นกัน”“ชิงเยี่ยน เรื่องที่เจ้าพูดเมื่อคืน....”“อ๋อ ขอนไม้แข็งกระด้างไร้ชีวิตหรือเพคะ”“ชิงเยี่ยน!!”“รีบกินข้าวเถอะเพคะ หม่อมฉันจะรีบไป..ว๊าย ท่านพี่จะทำอะไร ไปไหนเพคะ ท่านอ๋องปล่อยหม่อมฉันนะ”“ตามข้ามานี่!!”ในเมื่อกล้ายั่วโมโหเขาเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าเขาไม่ปรานีนางเช่นกัน มีวิธีเดียวที่จะปราบคนเช่นนางได้ เขาเปิดห้องบรรทมและลงกลอนแน่นก่อนจะลากนางมาที่เตียงและโยนลงไป“ท่านพี่นี่ท่านทำสิ่งใด”“เจ้าอยากให้ข้าทำมิใช่หรือ อยากให้กอดเจ้า จูบเจ้า และร่วมหลับนอนมิใช่หรือ”“นี่ท่าน..อย่าเข้ามานะ ข้ามิได้ต้องการเช่นนี้ไม่เอานะ ออกไปนะคนบ้า”“แควก!!”“ท่านอ๋องอย่านะอย่าทำบ้าๆนะ”เขาฉีกชุดที่นางสวมอยู่จนขาด บัดนี้เหลือเพียงชุดชั้นในอีกเพียงชั้นเดีย
“เรื่องของข้างั้นหรือ เรื่องใดกัน”“เหตุใดสามในสี่ของยอดบุรุษหนุ่มแห่งต้าเฉิน จึงไม่มีสมญานาม มีเพียงท่านที่ผู้คนเรียกว่าท่านอ๋องโลหิตเพคะ”“เรื่องนี้…น่าจะมาจากประวัติการแต่งงานที่ล้มเหลวของข้า ไม่สิ ต้องบอกว่าเพียงเพราะครั้งที่เจ็ด ที่ข้าลงมือฆ่านางเอง”“มีคนรู้เรื่องนี้มากหรือเพคะ”“ใช่ ข้า…ฆ่านางตายที่หน้าตำหนัก ผู้คนพบเห็นมากมายแต่ในตอนนั้นข้าสวมหน้ากากน่ะ”“หน้ากากอันนั้น!!”“ใช่ เพราะนางข้าเลยสั่งทำหน้ากากมาเพื่อป้องกันตัว เพราะรู้แน่ว่านางมิใช่สตรีธรรมดาและเมื่อสืบรู้ว่านางเป็นกบฏของซุนหวง จวินอ๋องจึงเสด็จมาที่นี่เพื่อช่วยข้าจับนาง แต่ผู้คนที่นี่มิได้้มีผู้ใดรู้จักจวินอ๋อง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าข้าฆ่าสตรีผู้นั้น พวกเขาจึงได้เรียกข้าว่าอ๋องโลหิต ฆ่าคนหน้าตายไร้ความรู้สึก”“แต่พวกเขามิได้รู้เลยว่าหากพระองค์ไม่ฆ่านางในวันนั้น นางจะสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านและแผ่นดินมากเพียงใด ผู้คนต่างชอบตัดสินคนจากสิ่งที่เห็นในครั้งแรกเสมอโดยมิได้ไตร่ตรอง”“แล้วเจ้าเล่าชิงเยี่ยน เจ้าเองก็กลัวข้ามิใช่หรือ”“เมื่อเทียบกับนรกบนดินที่สกุลฟ่าง หม่อมฉันในตอนนั้นตัดสินใจมาตายเอาดาบหน้าเพคะ หม่อมฉันเลยล
“ท่านอ๋องเพคะ ไม่คิดว่านี่จะ…”“ไม่ดึกเกินไปหรอก ข้าจะไม่รบกวนเจ้านานและจะนิ่มนวลที่สุด อย่าห่วงเลยนะ”ท่านอ๋องพรมจูบไปทั่วจนมาหยุดที่ริมฝีปากของชิงเยี่ยน เขาเริ่มยั่วยวนเบาๆและเร่งจังหวะจูบมากขึ้นเป็นเร่าร้อน ชิงเยี่ยนบีบแขนเขาแน่นเพื่อเตือนไม่ให้เขารุกเร็วเกินไป ท่านอ๋องตั้งสติได้จึงค่อยๆปลดชุดนางออกทีละชิ้น ลิ้นของเขายังคงละเมียดอย่างช้าๆบนเรือนร่างที่น่าเย้ายวนตรงหน้า “ดูเหมือนว่า หน้าอกของเจ้ามันจะ….”ใช่ มันใหญ่ขึ้นและเต่งตึงมากขึ้นทุกครั้งที่เขาเห็น มิใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตแต่เขาพยายามหักห้ามใจเพราะเห็นว่านางตั้งครรภ์อยู่ แต่เมื่อถอดออกจนหมดเช่นนี้ มันยากจะหักห้ามใจเสียยิ่งนัก“อาาา ชิงเยี่ยน เหตุใดเจ้าช่าง….”“อื้ออ ท่านพี่…อ๊าาา หม่อมฉันร้อนมากเพคะ ช่วยด้วย”“ข้ามาแล้ว รอเดี๋ยวนะ…”ลิ้นและนิ้วของเขาทำงานประสานกันอย่างดีโดยที่นางไม่ต้องบอก เขารู้ว่านางชอบให้เขาทำสิ่งใดและสัมผัสนางตรงไหนถึงจะเรียกเสียงครางที่ร้องขอสัมผัสจากเขามากขึ้น ร่างนางเอนแอ่นขึ้นตามสัมผัสจากลิ้นหนานั้นเมื่อมันเริ่มล้วงเข้าไปจนสุดด้านในร่องชื้นจนเกิดเสียง“อ๊าา ไม่ไหวแล้วเพคะ อ๊าา…”น้ำบางอย่างไหลออกมาสมทบ
สี่เดือนผ่านไป / ตำหนักท่านอ๋อง“ชิงเยี่ยน!! ข้าบอกว่าให้เจ้าหยุดปักผ้าเสียที”“แต่หม่อมฉันยังปักชุดลูกยังไม่เสร็จนี่เพคะ”“ข้าบอกให้เก็บเดี๋ยวนี้ เหตุใดเจ้าถึงได้ดื้อนักหากยังไม่หยุดมือ…”“โอ๊ย!!”“นั่นอย่างไร เร็วเข้า ส่งผ้ามามาให้ข้า!!”ท่านอ๋องรีบคว้าผ้าและพุ่งเข้าไปหาพระชายาที่ถูกเข็มปักนิ้วมืออีกครั้ง“ข้าบอกแล้วเห็นหรือไม่ นิ้วเจ้าแทบจะไม่มีที่เหลือแล้ว พอเถอะนะชิงเยี่ยนถือว่าข้าขอร้อง เจ้าเจ็บถึงเพียงนี้…ข้าปวดใจนะ”“ท่านพี่เพคะ หม่อมฉันสัญญาว่า…ผืนนี้จะเป็นชุดสุดท้าย…”“เจ้าบอกข้ามากี่ครั้งแล้ว เจ้าว่าลูกเราจะสวมหมดนั่นจริงๆน่ะหรือ เจ้าไม่เผื่อให้เขาได้โตบ้างเลยหรือ”ท่านอ๋องตรัสพลางให้นางหันไปดูชุดที่นางปักเสร็จและถูกพับเก็บเอาไว้เกือบสี่ตะกร้าใหญ่ๆ ด้านในนั้นมีทั้งชุดสวม หมวก ถุงมือถุงเท้าและรองเท้าสำหรับเด็กอีกหนึ่งตะกร้า ทั้งสี่ตะกร้านั้นล้วนเป็นฝีมือการตัดเย็บของนางทั้งสิ้น“แต่ว่า…”“หากเจ้ายังดื้อเช่นนี้ ข้าคงต้องให้คนนำสิ่งพวกนี้ทิ้งไปเสีย หากเจ้ายังมิฟังต่อไปผ้า เข็มและด้ายจะเป็นสิ่งต้องห้ามในตำหนักของพวกเรา”“ท่านพี่เพคะ ทำเช่นนั้นออกจะเกินไปเพคะ หม่อมฉันหยุดก็ได้เพ
“ท่านพี่เพคะ แต่นี่มัน….”“อย่าร้องไห้สิ จะเป็นแม่คนอยู่แล้วนะ”“แต่ว่า…”“ข้าไหวน่า อาการเช่นนี้เป็นกันแค่ชั่วคราวเท่านั้น ใช่ว่าข้าจะเป็นตลอดจนเจ้าคลอดเสียเมื่อไหร่กันเล่า”“เช่นนั้นตอนนี้พระองค์…”“อืมม พอได้กอดแล้วก็หอมเจ้าเช่นนี้ เหมือนกับว่าอาการเหล่านั้นจะเบาบางลงเลย”“งั้นหรือเพคะ เช่นนั้น….”“เจ้าก็กอดแล้วเข้ามาคลอเคลียข้าบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่มีโอกาส เช่นนี้ข้าก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”“เพคะ”วันถัดมา“เอ่อ…ป้าเจา พวกเราบอกให้ท่านอ๋องเพลาๆลงบ้างดีหรือไม่ มิเช่นนั้นจะเสาะท้องเอานะเจ้าคะ”“อาการคนแพ้ท้องก็เป็นเช่นนี้ เจ้ากล้าเข้าไปทูลหรือไม่เล่าอู่ผิง”“ไม่เจ้าค่ะ แต่พระชายา…”“ท่านพี่เพคะ เอาแต่เสวยของหมักของดองกับผลไม้เชื่อมเช่นนี้มิได้นะเพคะ ดื่มน้ำแกงนี่หน่อยเพคะ”“ข้า…หยุดไม่ได้น่ะ เจ้าลองหน่อยหรือไม่”“ไม่เอาละเพคะ แค่เห็นก็เข็ดฟันแล้วเพคะ”“แต่ว่าข้าไม่นึกเลยนะว่ามันจะอร่อยมากถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยลิ้มลองเลย”“อย่ากินมากเพคะ เอาแต่พอดี”“แต่พอกินของพวกนี้แล้วข้าก็ไม่คลื่นไส้อาเจียนอีกเลยนะ”“เฮ้อ…..อ้าวจางจื่อ มีสิ่งใดงั้นหรือ….เอ่อ เช่นนั้นข้า…”นางทำท่าจะลุกเมื่อเห็นว่าม
ความตกใจและความโกลาหลเริ่มต้นขึ้นนับบัดนั้น ท่านอ๋องเอาแต่อาเจียนไม่หยุด จางจื่อสรุปได้ว่าท่านอ๋องคงเร่งขี่ม้าจากเฉินตูเพื่อกลับมาที่ซูโจวจึงทำให้พักผ่อนน้อย ส่วนชิงเยี่ยนเอาแต่โทษตัวเองเพราะคิดว่าท่านอ๋องคงใช้แรงหนักเพราะเรื่องเมื่อตอนบ่ายจนถึงช่วงเย็น ป้าเจาเองก็คิดว่าอาหารที่ทำมามีปัญหาจนจงลี่ต้องเป็นผู้ให้คนไปตามหมอหลวงเข้ามาดูอาการท่านอ๋อง“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ทูลพระชายา…กระหม่อมคิดว่า….เอ่อชีพจรเต้นหนักแน่นมั่นคง ลมหายใจมิได้มีสิ่งผิดปกติ ร่างกายมิได้ถูกพิษ ทุกอย่างปกติดีแต่ว่าเพราะเหตุใดจึงได้เป็นเช่นนี้….”แม้แต่ท่านหมอก็มิอาจวินิจฉัยอาการแปลกประหลาดนี้ได้ ทั้งตำหนักพากันวุ่นวาย ท่านหมอทำได้เพียงระบุอาการว่าท่านอ๋องอาจจะเพลียสะสมจากการเดินทางและพักผ่อนน้อยจึงทำให้ปรับสภาพร่างกายยังไม่ดีพอจึงให้ต้มยาบำรุงให้ดื่ม แต่เมื่อสาวใช้นำยานั้นมาให้ ท่านอ๋องกลับเริ่มอาเจียนอีกครั้ง จนคราวนี้ท่านหมอถึงกับกุมขมับเพราะไม่สามารถวินิจฉัยได้“ท่านหมอเจ้าคะ…”“ท่านป้าแม่นม ข้าเป็นหมอมายี่สิบกว่าปียังไม่เคยพบเห็นอาการเช่นนี้มาก่อน สุขภาพภายนอกมิได้มีอันใดผิดปกติเลย เช่นนี้ข้าจะ..”“มิใช่เ
ท่านอ๋องคว้าร่างของพระชายาขึ้นมาอุ้มและพาเดินขึ้นไปที่ห้องบรรทมทันที เมื่อเขาวางร่างของพระชายาลงถึงเตียงทั้งคู่ก็แทบจะไม่ห่างกันแต่ละคนเริ่มสาละวนกับการดึงทึ้งชุดเสื้อผ้าที่เกะกะออก ปากของทั้งคู่แทบจะไม่ห่างกันจนถึงตอนนี้ เมื่อสองร่างไร้ซึ่งสิ่งปิดบังท่านอ๋องเองก็ไม่รั้งรอที่จะเข้าครอบครองนางด้วยลิ้นทันที“อื้ออ ท่านพี่….เบาหน่อยเพคะ”“เบางั้นหรือ เจ้าทำให้ข้าแทบบ้าเมื่อคืนผู้ใดปล่อยให้ข้านอนคนเดียว”“อ๊าา เดี๋ยวก่อน อ๊าา …”ไม่ทันที่นางจะห้ามแต่เขากลับสอดลิ้นเข้ามาในร่องกลีบชื้นของนางและเริ่มใช้มือบดขยี้ปลายยอดปทุมสีสดนั้นอย่างมันมือ ทั้งเร่งเร้าและร้อนเร่าดุจพยัคฆ์ที่หิวโหยมาแสนนาน ร่างของพระชายาสั่นเกร็งไปชั่วขณะเมื่อเขาเริ่มเร่งกระตุ้น เสียงครางที่ดังขึ้นทำเอาพระทัยท่านอ๋องแตกกระเจิง“อ๊าา…จุก อื้อ…อย่าเร็วนักเพคะ หม่อมฉัน อ๊าา …”เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ฟังคำร้องขอใดๆ อย่างที่เตือนนางเอาไว้เมื่อครู่ เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงครางที่ดังขึ้นเรื่อยๆของทั้งคู่และเสียงกล้ามเนื้อที่กระทบกันและเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อทั้งสองจะถึงปลายทาง…..“พระองค์จะเกินไปแล้วนะเพคะ”“เจ้ายังมีแรงต่อว่าข้าอย
“เช่นนั้น….เป็นเช่นนั้นจริงๆ…”“แต่ข้ากับเหล่าท่านอ๋องมิได้แตะต้องพวกนาง”ชิงเยี่ยนชะงักลงเมื่อกำลังจะเดินออกจากประตู ท่านอ๋องดึงแขนนางไว้ แต่ไม่ได้ดึงแรงหรือกระชากเช่นก่อนหน้านี้“หมายความว่าอย่างไรเพคะ”ท่านอ๋องดูท่าทีของนางและน้ำเสียงที่สับสนเล็กน้อยเขาจึงตัดสินใจค่อยๆเดินเข้าไปหานางและดึงนางให้หันมาพร้อมกับจับมือนางเอาไว้ น้ำตายังคงไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของนางด้วยความน้อยใจเขาก่อนหน้านี้เมื่อเขาเอื้อมมือไปเช็ดให้นาง“เป็นปกติธรรมเนียมปฏิบัติที่ฝ่าบาทจะทรงประทานสตรีมาปรนนิบัติพวกเราเวลาที่เข้าเฝ้าเพื่อดูแลและเพื่อให้สกุลอ๋องแต่ละเมืองได้มีทายาทสืบทอด ข้าซึ่งเป็นท่านอ๋องเพียงคนเดียว หนึ่งในสี่ของอ๋องที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทที่มีเพียงพระชายาแต่ยังไม่มีบุตร ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงประทานสตรีมาให้ถึงสามคนด้วยกัน”เขารู้ว่าชิงเยี่ยนกำลังจะถอยหนีเพราะคำกล่าวนี้ สตรีถึงสามคนที่ร่วมกันปรนนิบัติพระสวามีในยามที่นางไม่อยู่ แค่ได้ฟังก็คงเจ็บใจแล้วแต่เขาไม่ยอมให้นางมีโอกาสหนี วันนี้นางต้องฟังเขาให้จบ“แต่ข้า….ท่านอ๋องทั้งสามเองก็ทราบดี แม้ว่าชิงอ๋องและเฟิ่งอ๋องจะมีบุตรแล้ว จวินอ๋องแม้จะยังไม่มีบุตรแต่พระชาย
จางลู่หยวนเดินเข้าไปหานางพร้อมกับมือที่สั่นเทาเมื่อค่อยๆเดินเข้ามาสวมกอดนาง กลิ่นกายนางช่างหอมนัก แม้ว่าเขาจะไม่เคยได้สัมผัสเลยก็ตาม ครั้งนี้จะเป็นเพียงครั้งเดียวที่เขาจะมีโอกาสได้ทำเช่นนี้ เขาค่อยๆคลายอ้อมกอดนั้นออกอย่างมีมารยาทพร้อมกับส่งยิ้มให้นางอย่างรู้สึกขอบคุณ“ขอบใจเจ้ามากชิงเยี่ยน จากนี้ขอให้เจ้าโชคดีเช่นกัน”“วันเดินทาง ข้าจะไปส่งท่านนะ”“ไม่ต้องหรอก เกรงว่า…ท่านอ๋องคงไม่ปล่อยให้เจ้าไป”“แต่พวกท่านก็เป็นกองทัพของเขาเช่นกัน”“ชิงเยี่ยน เจ้าคงไม่รู้ว่าในตอนนี้ทั่วทั้งซูโจวต่างกล่าวขานเรื่องท่านอ๋องที่ทรงหวงพระชายาราวจงอางหวงไข่ อย่าได้ทำให้พระองค์ระคายพระทัยเลย ท่านอ๋องเป็นคนดี พระองค์จะปกป้องเจ้าและรักเจ้าไปทั้งชีวิต สายพระเนตรของพระองค์ที่มองเจ้าข้าเข้าใจได้ดี”"ขอบคุณพี่ลู่หยวนเจ้าค่ะ"“เช่นนั้นข้าขอลาก่อน”“เจ้าค่ะ แล้วพบกันใหม่”“แล้วพบกันใหม่”ชิงเยี่ยนยืนส่งเขาที่หน้าห้องโถง จางลู่หยวนเดินออกมา เขาเงยหน้าและกะพริบตาถี่ๆเพื่อไล่บางอย่างออกไป พระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นมากกว่าตอนที่เขามาถึง “แสบตายิ่งนัก”มือของเขาปาดไปที่ดวงตาที่มีน้ำรื้นผุดออกมา ครั้งนี้เขาจะไม่ได้พบเจอช
ท่านอ๋องมีท่าทีโมโหทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้ เขาหันไปมองหน้าชิงเยี่ยนที่เพียงแค่ยกผ้ามาเช็ดปากและวางลงไป ชิงเยี่ยนเองก็ตกใจแต่นางรักษาท่าทีได้ดีกว่าท่านอ๋อง แต่ในใจนางนั้นกังวลอยู่ไม่น้อย แต่นางก็ใคร่รู้ว่าเหตุใดจางลู่หยวนจึงเลือกมาพบนางในวันนี้“พระชายาเพคะ…ให้หม่อมฉัน…”“ไปบอกเขาให้รอข้าสักครู่ อีกเดี๋ยวข้าจะไปพบเขา”ท่านอ๋องตกใจและหันมามองหน้านาง เขาไม่คิดว่านางจะกล้าไปพบจางลู่หยวนอีกในเมื่อนางรับปากกับเขามั่นเหมาะแล้วก่อนหน้านี้“พระชายา นี่เจ้าจะ….”“หม่อมฉันอิ่มแล้วเชิญท่านอ๋องเสวยเถิดต่อเพคะ”มีหรือที่เขาจะกินลงได้อีก ท่านอ๋องลุกขึ้นและดึงแขนนางเอาไว้ จนชิงเยี่ยนทำหน้ามุ่ยด้วยความเจ็บแต่นางก็มิได้ร้องออกมา ท่านอ๋องเองก็พอจะรู้ตัวว่าทำรุนแรงเกินไปจึงรีบคลายออกแต่ยังไม่ยอมปล่อย“เจ้าจะไปพบเขาเช่นนั้นหรือ”ชิงเยี่ยนหันมามองพระพักตร์ท่านอ๋องสายตาของนางในตอนนี้เขาไม่อาจเดาได้เลยว่านางคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ เขาทั้งไม่แน่ใจ หวาดระแวง และกลัวไปหมดเรื่องเมื่อคืนที่เขากับนางทะเลาะกันก็ยังมิได้ปรับความเข้าใจ นี่นางยังไปพบกับศัตรูหัวใจอันดับหนึ่งที่เป็นดั่งหนามยอกอกเขาและยิ่งกว่านั้นคือเขากล้า