“ข้ายังไม่รู้แน่ชัด เจ้ารีบให้คนของเราไปสืบดู ได้เรื่องแล้วรีบมารายงานข้า”
“เอ่อ…แล้วเรื่องอีกสามเดือนจากนี้…”
“รอสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยคิดกันต่อ ไปได้แล้ว”
“แล้วพระองค์..”
“ในตัวข้ายังหลงเหลือพิษอยู่ ข้าจะไปใช้ปราณขับออก ห้ามผู้ใดรบกวน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ จางจื่อ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ไปบอกแม่นมว่า…หาสาวใช้มาคอยรับใช้นางด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ลั่วหมิงจ้านเดินกลับไปยังห้องบรรทมของตนเองทิ้งให้องครักษ์หนุ่มยืนยิ้มอย่างนึกพอใจ ในที่สุดภูเขาน้ำแข็งเช่นลั่วอ๋องก็เริ่มละลายแล้วสินะ
ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะเคยรับสนมเข้ามาหลายคน แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะสั่งให้คนเอาใจใส่ดั่งที่ทำกับพระชายา
วันถัดมา
ชิงเยี่ยนขยับตัวด้วยความเมื่อยล้าเต็มที เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าชุดที่สวมอยู่ไม่ใช่ชุดเจ้าสาว
“นี่มัน!!….หรือว่า…”
นางเริ่มลูบๆคลำๆตามตัวพร้อมกับรู้สึกว่ามิได้เจ็บปวดตรงที่ใด มีเพียงรอยจูบสองสามรอยที่เกิดขึ้นแต่รู้ทันทีว่าเมื่อคืนนี้ไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น แล้ว…
“ท่านอ๋องโลหิตนั่น….หน้าตาเป็นเช่นไรแล้วนะ”
นางจำหน้าตาเขาไม่ได้เพราะเพียงเห็นแค่แวบเดียวและรู้สึกว่าจะทำเครื่องประดับติดกับเข็มกลัดที่อกของเขาจนเสียเวลาดึงออกเสียนาน และ………..
ความทรงจำเมื่อคืนนี้เริ่มผุดขึ้นมา ทั้งเรื่องที่นางจู่โจม ผลักเขาลงบนเตียง จูบเขาและมัดเขาเอาไว้ และยัง....
“กรี๊ด!!……….”
“พระชายาเพคะ!! เกิดสิ่งใดขึ้นเพคะ”
สาวใช้สองคนรีบวิ่งเข้ามาในห้องของนางทันทีเมื่อได้ยินเสียงชิงเยี่ยนกรีดร้อง เสียงนางดังไปถึงห้องทรงงานท่านอ๋องจนเขาต้องเงยหน้าขึ้นพร้อมกับจางจื่อที่หันออกไปมองด้านนอก
“นางคงตื่นแล้วกระมัง”
“ให้กระหม่อมไปดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง คนของเรายังไม่กลับจากสกุลฟ่างอีกงั้นหรือ”
“ยังเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วจดหมายจากฟ่างจื่อหนานเล่า มาหรือยัง”
“ยังเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าให้เวลาอีกสามวันต้องได้จดหมายจากจื่อหนานและภายในครึ่งเช้านี้ต้องรู้ความคืบหน้าของสกุลฟ่าง มิเช่นนั้นข้าไม่เก็บคนไม่มีประโยชน์เอาไว้ เข้าใจหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
ห้องพระชายา
“พระชายาเพคะ เกิดอะไรขึ้นเพคะ”
ชิงเยี่ยนตกใจเมื่อสาวใช้สองคนวิ่งพรวดพราดเข้ามา นางจึงหันไปมองหน้าทั้งสองด้วยความตกใจเล็กน้อย
“คือว่า…เอ่อ ไม่มีอะไร พวกเจ้า…”
“ทูลพระชายา หม่อมฉันชื่อว่าจงลี่เพคะ ส่วนนางคือน้องสาวชื่ออู่ผิง พวกเรามีหน้าที่คอยรับใช้พระชายาตามคำสั่งท่านอ๋องเพคะ”
“รับใช้…ข้างั้นหรือ”
“เพคะ ท่านจำเป็นต้องมีสาวใช้เพื่อรับใช้อย่างน้อยสี่คนเพคะ แต่ว่าอีกสองคนคอยดูแลเรื่องซักล้างและเตรียมอาหาร พวกข้าดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายและเป็นสาวใช้ส่วนพระองค์เพคะ”
“เหตุใดคนคนเดียวจึงมีสาวใช้มากมายถึงเพียงนี้เชียว”
นางรำพึงกับตัวเองเพราะนึกถึงตัวเองก่อนหน้านั้นที่ไม่มีแม้แต่สาวใช้ประจำกายเลยสักคนทั้งๆที่พี่รองของนางก็มีสาวใช้ข้างกายถึงสองคนเช่นกัน ไม่นึกว่าพอแต่งงานนางก็จะมีสาวใช้กับเขาบ้างแล้ว
“บางที การแต่งงานกับเจ้าอ๋องบ้าเลือดนั่นก็ไม่ขาดทุนละนะ”
“พระชายาเพคะ ตรัสเบาๆเพคะ หากมีผู้ใดได้ยินเข้า…”
“ข้าพูดสิ่งใดผิดงั้นหรือ เอาเถอะๆ ดูจากสีหน้าพวกเจ้าก็พอจะรู้แล้ว เช่นนั้นข้าต้องทำสิ่งใดบ้างเล่าในตอนนี้”
“อาบน้ำ ขัดตัวก่อนนะเพคะ หม่อมฉันให้คนเตรียมน้ำร้อนเอาไว้แล้ว อีกเดี๋ยวมาทำผมผัดหน้าและสวมฉลองพระองค์เพื่อรอเสวยอาหารเช้ากับท่านอ๋องเพคะ”
“เรื่องพวกนี้ข้าทำเองก็ได้”
""ไม่ได้เพคะ""
พวกนางพูดขึ้นพร้อมกัน สีหน้าที่แสดงถึงความกลัวนั้นออกมาอย่างชัดเจน ท่านอ๋องผู้นี่จะโหดเหี้ยมและน่ากลัวถึงขนาดไหนกันนะถึงทำให้พวกนางเกรงกลัวจนไม่กล้าขัดคำสั่งถึงเพียงนี้
“ก็ได้ๆ เช่นนั้นรบกวนพวกเจ้าด้วยเช่นกัน”
“เพคะ”
ฟ่างชิงเยี่ยนปล่อยให้พวกนางจัดการกับร่างกายของนางตามที่ได้รับคำสั่งมา นางพบว่าทั้งสองมิได้ฝืนใจอีกทั้งยังเป็นคนคุยง่ายและทำให้นางรู้สึกว่ามีเพื่อนคุย
“พระชายาเพคะ จริงหรือเพคะที่จะสอนหม่อมฉันปักผ้า”
“จริงสิ หากว่าเจ้าหาเครื่องมือให้ข้าได้นะ”
“ได้แน่นอนเพคะ หม่อมฉันจะได้มีถุงหอมงามๆกับเขาบ้าง”
“เรื่องนี้ไม่ยาก ข้ามีผ้าลายสวยๆมากมายเอาไว้เรามานั่งทำกัน ว่าแต่ท่านอ๋องของพวกเจ้า โหดเหี้ยมถึงขนาดนั้นเลยงั้นหรือ เรื่องข่าวลือนั่น…”
“เรื่องนั้น พวกหม่อมฉันอยู่เรือนหลังนี้มานาน เคยพบท่านอ๋องน้อยมากเพคะ พระองค์จะเสด็จก็ต่อเมื่อ….”
“ต่อเมื่ออะไร รีบบอกมา”
“เอ่อ…ต่อเมื่อพระสนม…สิ้นพระชนม์เพคะ ท่านอ๋องจะมาดูก่อนจะส่ง…ร่างของพระสนมออกจากตำหนักด้านหลังเพื่อส่งกลับสกุลเดิมของพวกนางเพคะ”
“เช่นนั้น พวกเราก็สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างอิสระ โดยที่เขาไม่ต้องแวะมาบ่อยๆ เช่นนั้นใช่หรือไม่”
“เพคะ เป็นเช่นนั้นเพคะ”
“ยอดเยี่ยม เอาล่ะการเป็นพระชายาก็ไม่ได้แย่อย่างที่ข้าคิดขนาดนั้น แม้ว่าจะต้องนับถอยหลังชีวิตที่เหลืออยู่อีกไม่กี่เดือนก็เถอะ”
“พระชายาทรงตรัสเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรเพคะ”
“อ้าว ก็เรื่อง….พระสนมที่ผ่านมานั่น ล้วนตายเพราะ….ถูกท่านอ๋องโลหิตนั่นฆ่ามิใช่หรอกหรือ”
“ไม่นะเพคะ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่เพคะ”
สาวใช้ทั้งสองหันมาบอกนางด้วยท่าทีตกใจ แต่ไม่แปลกเพราะคนด้านในตำหนักไม่เคยพูดออกไปด้านนอก พวกเขาถูกสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ให้ยุ่งเรื่องข่าวลือนั่น
“อ้าว แล้วที่พระสนมทั้งเจ็ดนั่นสิ้นใจในตำหนัก เพราะเรื่องใดกัน”
“ส่วนใหญ่สิ้นพระชนม์ด้วยยาพิษ หรือไม่ก็ ตายอย่างไม่ทราบสาเหตุเพคะ”
“เป็นไปได้เช่นไรกัน”
“พระชายาเพคะ รีบไปเถิิดเพคะท่านอ๋องคงรอเสวยแล้วเพคะ”
“ข้าต้องร่วมโต๊ะอาหารกับเขาด้วยงั้นหรือ”
“เพคะ”
“แล้วก่อนหน้านี้….”
“พวกนางเป็นพระสนม มิต้องเสวยร่วมโต๊ะกับท่านอ๋องได้ แต่พระองค์เป็นพระชายา ต้อง…”
“เข้าใจแล้วๆ เช่นนั้นก็รีบไปเถิด จะน่ากลัวสักแค่ไหนกันเชียว เมื่อคืนก็จัดการมาได้แล้วนี่”
""จัดการ""
สองสาวใช้หันหน้ามามองพระชายาด้วยความตกใจกึ่งเลื่อมใส ชิงเยี่ยนหันมามองหน้าพวกนางทั้งสองพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจจนทำให้ทั้งคู่ยิ้มตามนางไปด้วย
โต๊ะเสวย
“โอ้โห เหตุใดอาหารจึงมากถึงเพียงนี้ นี่กินสองคนจริงๆหรือ”
ชิงเยี่ยนเอ่ยถามเมื่อเห็นอาหารที่เต็มโต๊ะ มีตั้งแต่หมั่นโถว ซาลาเปา โจ๊ก ข้าวต้มและผัดผักพร้อมกับกับข้าวอีกหลายอย่างที่นางนึกไม่ถึงว่านี่คืออาหารเช้างั้นหรือ
“พระชายาประทับตรงนี้เถิดเพคะ อีกสักครู่ท่านอ๋องจะเสด็จแล้วเพคะ”
ชิงเยี่ยนทำตามที่จงลี่และอู่ผิงแนะนำ นางตัดสินใจแล้วจากที่นึกย้อนไปเมื่อคืนนี้ ท่านอ๋องผู้นั้น แม้ว่านางจะไม่เห็นหน้าเขาชัดเจนนัก แต่นางก็จำได้ว่าเขามิใช่คนเลวร้ายถึงขนาดนั้น
หากนางทำตัวดีๆและเอาใจเขามากหน่อย นางคงจะรอดชีวิตและอาศัยอยู่ที่ตำหนักอ๋องแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัยจนกว่าจะหาลู่ทางหนีออกไปได้
“ไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ลองดูสักทีจะเป็นไรไป อย่างมากก็แค่ตายเอาดาบหน้า รอดพ้นจากสกุลฟ่างมาได้ แค่เขาคนเดียวคงทำอะไรไม่ได้มากหรอก”
“พระชายาเพคะ ท่านอ๋องมาแล้วเพคะ”
ชิงเยี่ยนลอบมองออกไปด้านนอก เห็นเพียงชายชุดสีดำเดินมาแต่ไกล แม้นางจะจดจำใบหน้าของเขาไม่ได้เลย แต่นางก็จดจำสายตาดุจพยัคฆ์ที่โดดเดี่ยวนั้นได้เป็นอย่างดี เขาเดินเข้ามาถึงโต๊ะแล้ว
“ท่านอ๋องเสด็จ”
สาวใช้ถอยหลังพร้อมก้มหน้า ชิงเยี่ยนเองก็เริ่มทำตัวไม่ถูก นางจึงลุกขึ้นด้วยพร้อมกับยืนรอเขาในห้อง ขายาวนั้นก้าวเข้้ามาในห้องเสวยและหันมามองนาง แต่ว่า….เหตุใดวันนี้เขาจึงสวมหน้ากากครึ่งหน้าเช่นนั้นกันนะ!!""ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ""ชิงเยี่ยนก็ก้มคำนับเขาเช่นกัน ลั่วอ๋องหันมามองนางที่ยืนก้มหน้าและหันไปที่สาวใช้ เขานึกขำในใจที่นางคงทำตัวไม่ถูก แม้ว่าจะอยู่ในสกุลฟ่างแต่ดูเหมือนว่านางจะมิค่อยได้ออกงานทางการเท่าใดนัก“ตามสบายเถิด พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ไม่ต้องเฝ้าพวกข้า”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”ชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหันหาความช่วยเหลือแต่ไม่มีผู้ใดสบตานางเลยสักคน พวกเขารีบพากันออกไปจนหมด บัดนี้เหลือเพียงนางกับท่านอ๋องที่สวมเพียงหน้ากากสีเงินตรงหน้าเท่านั้น“พระชายา เจ้าไม่กินข้าวงั้นหรือ นั่งลงสิ ข้าหิวแล้ว”“เพคะ หม่อมฉันก็หิวแล้ว รอนานแล้วด้วยเช่นกัน พระองค์มาสายนะเพคะ อาหารจะเย็นหมดแล้ว”“หุบปาก!!”ชิงเยี่ยนหยุดพูดทันที เมื่อใดที่นางตื่นเต้นนางมักจะพูดมากเกินความจำเป็น ไม่นึกว่าพอออกมาจากจวนสกุลฟ่างแล้วนางกลับรู้สึกว่าที่นี่ดูเป็นบ้านมากกว่าที่สกุลฟ่าง ขาดแต่เพียงว่า…คนตรงหน้านี้
“ป้าเจา…ข้าก็แค่….”“คุณชายคงดีใจที่คุณหนูจะทำให้นะเจ้าคะ”“รีบไปจ่ายเงินเถอะเจ้าค่ะ ยังมีอีกหลายร้านที่ต้องไปแวะ”“เจ้าค่ะๆ”“จงลี่ อู่ผิง ได้หรือยัง”“ได้แล้วเจ้าค่ะ งามหรือไม่เจ้าคะ”“อืม สีนี้ไม่สดไปหน่อยหรือ เจ้าเป็นสาวเป็นนางเหตุใดเลือกสีแสบตาเช่นนี้กัน”“คุณหนูเจ้าคะ ดูนี่สิเจ้าคะ ผ้าแพรผืนนี้สีเดียวกับชุดของคุณชายที่สวมวันนี้เลยเจ้าค่ะ”พวกนางหมายถึงฉลองพระองค์ของท่านอ๋องเมื่อเช้านี้ ชิงเยี่ยนหยิบผ้าแพรสีดำนั้นมามองดูพร้อมกับยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็เอาผืนนี้ด้วย”“คุณหนูจะซื้อไปทำสิ่งใดให้คุณชายหรือเจ้าคะ”“ผ้าที่งดงามเช่นนี้ หากว่าเสริมด้วยผ้าไหมสีทองแล้วปักลวดลายด้วยดิ้นสีเงินสลับทองคงงดงามนัก ข้าจะปักเสื้อคลุมให้ท่านพี่”“แค่พูดก็นึกอยากเห็นแล้วเจ้าค่ะ”“จงลี่ เจ้ามัวแต่พูด เลือกได้หรือยังจะได้เอาไปรวมให้ป้าเจาจ่ายเงิน”“ได้แล้วเจ้าค่ะ”“ไปกันได้แล้ว ยังมีร้านเข็มกับด้ายอีกไหนจะต้องแวะซื้อกรรไกรกับเครื่องมืออื่นอีก เร็วๆเข้า”พวกนางเดินไปแล้ว เมื่อป้าเจาจ่ายเงินเสร็จก็พากันออกจากร้านไป บ่าวผู้ชายก็นำกองผ้าที่พระชายาซื้อไปที่รถม้าเพื่อรอพวกนางซื้อของร้านต่อไปผู้ที่ยืนอยู่นอกร
ฟ่างชิงเยี่ยนตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถูกด่ารุนแรงถึงเพียงนี้มาก่อน ไม่นึกว่าแค่เรื่องเข้าใจผิดนี่จะทำให้เขาถึงกับ…..“ท่านอ๋อง…เมื่อครู่พระองค์…”“สตรีมักมากหลายใจเช่นเจ้า มีสิ่งใดให้ข้าลุ่มหลงกัน”“หึ ชิงเยี่ยนเจ้าเห็นหรือยังว่าเขาเลือดเย็นเพียงใด คนเช่นนี้หรือที่เจ้้าอยากอยู่ร่วมกับเขา ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าอยู่ร่วมกับเขาเป็นอันขาด การแต่งงานนี้ ข้าไม่มีทางยอมรับ!!”“เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู ว่าจะสามารถแย่งนางไปจากตำหนักอ๋องของข้าด้วยวิธีใด ข้าก็อยากจะเห็นเช่นกัน”ท่านอ๋องดันเขาไปจนติดกำแพงสุดแรงและหันมาฉุดฟ่างชิงเยี่ยนที่ยืนอยู่อีกด้านมากับเขา นางแน่นิ่งและสะบัดมือเขาออกเช่นกัน“เจ้าจะทำสิ่งใด จะไปกับมันงั้นหรือ”“ข้าไม่ไปที่ใดกับผู้ใดทั้งสิ้น ในเมื่อไม่นานก็ต้องตาย สู้ตายตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า”ชิงเยี่ยนวิ่งสุดแรงเพื่อจะใช้ศีรษะชนกำแพงพร้อมกับเสียงร้องห้ามของจางลู่หยวน แต่ท่านอ๋องรวบเอวนางขึ้นมาได้ทันและจับนางพาดบ่าทันที“ชิงเยี่ยน!!”“อย่าได้ให้ข้าเห็นว่าเจ้ากล้าเข้ามาใกล้นางอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้จะมิใช่แค่บาดเจ็บแต่ข้าจะตัดหัวเจ้าแทน!!”“ปล่อยข้านะ”“เงียบ!!”“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ฆ่าข
สองชั่วยามผ่านไป“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าเรียกข้ามาเก้าครั้งแล้ว หากว่าเจ้าเป็นห่วงนางนัก…”เขาพูดไม่ทันจบ เสียงฝนด้านนอกก็ตกลงมา ชิงเยี่ยนที่ยังนั่งอยู่ลานกลางตำหนักมองดูสิ่งที่สู้อุตส่าห์ซื้อมาจากตลาด หวังจะมาตัดชุดให้เขา กลับถูกเผาด้วยมือเขาเอง ในตอนนี้ฝนยังกระหน่ำตกลงมาราวกับจะบอกนางว่าคงถึงเวลาที่นางจะต้องตายแล้ว จึงส่งฝนมาช่วยให้นางได้ตายเร็วขึ้น“หึ แม้แต่สวรรค์ยังรู้เลยว่าไม่อยากอยู่แล้ว”ฟ่างชิงเยี่ยนหัวเราะให้กับโชคชะตาของตนเอง เดิมทีท่านพ่อนางตกลงยกนางให้หมั้นหมายกับจางลู่หยวน เพื่อนในวัยเด็กและเป็นบุตรของรองแม่ทัพของเขาเองจางลู่หยวนนั้นมีใจให้กับฟ่างชิงเยี่ยนมาตั้งแต่เด็กแม้ว่านางจะอยากแต่งกับเขาเพียงเพราะอยากจะออกจากสกุลฟ่างเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่าชะตาชีวิตเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้จากต้องแต่งเข้าสกุลจาง เพียงแค่ราชโองการฉบับเดียว และพี่สาวคนรองที่หนีเอาตัวรอดจากการแต่งงาน บิดาของนางจึงส่งนางมาตายแทนที่พี่รองนางที่นี่ “ที่สุดแล้วอยากให้ข้าตายไปให้พ้นๆนี่เองสินะ”สายตานางพร่าเลือนไปทีละนิด นางไม่รู้ว่ายามใดแล้วเมื่อตานางเริ่มปิด และเห็นเพียงลางๆว่ามีคนวิ่งมาทางนี้ สัม
“พระชายา เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้”“พวกเขาบอกข้าว่า…”“บอกว่าอย่างไร”“พวกเขาบอกว่า ท่าน…รักข้าและเป็นห่วงข้ามาก ที่ข้าไม่สบายเพราะตากฝนจนจับไข้ ท่านก็มาเฝ้าข้าทุกวัน หาหมอมารักษาจนข้าฟื้นขึ้นมาเป็นเรื่องจริงหรือ”“จริง….ข้าดีใจที่เจ้าฟื้น”“เช่นนั้น..เราก็รักกันมาสินะเจ้าคะ…เพคะ…เอ่อ…”“ช่างเถอะ เจ้าถนัดพูดเช่นไรก็พูดเช่นนั้น”“เช่นนั้น ข้าชื่อว่า..ลั่วชิงเยี่ยนงั้นหรือเจ้าคะพวกนางบอกข้ามา”คำว่า “ลั่วชิงเยี่ยน” ทำให้เขายิ้มออกมาได้อย่างอบอุ่นใจ แม้นางจะยังจำเขาไม่ได้แต่เขาก็รู้สึกดีใจที่นางพูดขึ้นมา นั่นเท่ากับว่านางยอมรับเขาแล้วครึ่งหนึ่ง นางยอมใช้แซ่ของเขา “ใช่แล้วชิงเยี่ยน เจ้าคือพระชายาที่ข้ารักมากที่สุด เป็นพระชายาอภิเษกเข้ามาในตำหนักนี้ ข้ารักและห่วง หวงเจ้าเป็นที่สุด ยามเจ้าหมดสติอยู่บนเตียงนั่นทำเอาหัวใจข้าแทบขาด เจ้าไม่เพียงทำให้ข้าเป็นห่วงยังทำให้ทุกคนในตำหนักนี้เป็นห่วงเจ้าด้วย”“ท่านพี่”นางเรียกเขาโดยไม่ตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด ท่านอ๋องไม่เคยรู้สึกว่าต้องการสิ่งใดมากขนาดนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าสามในสี่ยอดบุรุษหนุ่มแห่งต้าเฉินนั้นเหตุใดจึงยอมให้สตรีในดวงใจ นั่นเพราะยอดบุรุษหนุ่
“ในเมื่อสกุลฟ่างมิใช่ที่ที่นางสมควรอยู่ ทั้งที่ถูกทารุณถึงเพียงนั้น เหตุใดนางถึงยังทนอยู่”“เพื่อสืบเรื่องการตายของมารดา นางสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของฮูหยินใหญ่พ่ะย่ะค่ะ นางจึงพยายามหาหลักฐาน แต่ว่า….”“นางตัวคนเดียว อีกทั้งยังถูกกลั่นแกล้งเพียงนั้น จะเอาแรงที่ไหนสืบเรื่องนี้กัน”“พ่ะย่ะค่ะ เมื่อแม่ทัพฟ่างสั่งให้นางมาสมรสกับพระองค์ นางจึงคิดว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะหลุดออกจากสกุลฟ่างได้ เพียงแต่ เมื่อฟางลู่หยวนกลับมา เขารู้ข่าวการสมรส เขาจึงไม่ยอมเมื่อทราบว่าพระชายาออกนอกตำหนัก เขาจึงได้ไปดักพบนางพ่ะย่ะค่ะ”“ที่แท้ข้าเข้าใจนางผิดมาตลอด นางมิได้ชอบเจ้านั่น แค่อยากใช้ประโยชน์ในการแต่งงานครั้งนั้นหนีออกมาจากสกุลฟ่าง เรื่องเลวร้ายเช่นนี้นางเป็นเพียงสตรีตัวคนเดียว เหตุใดจึงทนมาได้ถึงขนาดนี้”“นางมีฟ่างหลิงเทียนคอยดูแลพ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพฟ่าง และคุณชายฟ่างจื่อหนาน เป็นพี่สามของนาง ซึ่งพวกเขารักและเอ็นดูนางราวกับน้องสาวแท้ๆ ฮูหยินใหญ่จะทารุณนางมากก็เกรงว่าบุตรชายจะเกลียดชัง นางจึงอยู่ที่นั่นมาได้พ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าส่งคนของเรา แทรกซึมเข้าสกุลฟ่าง จับตาดูทุกคนในนั้นและสืบเรื่อ
ชิงเยี่ยนล้มลงในอ้อมกอดของท่านอ๋องอีกครั้ง นางมองไปยังลานที่ว่างเปล่าตรงหน้าด้วยหัวที่หนักอึ้งก่อนจะหมดสติไปอีกครั้งพร้อมกับเสียงร้องเรียกที่นางคุ้นเคย“ชิงเยี่ยน!!”ห้องบรรทมท่านอ๋องชิงเยี่ยนค่อยๆลืมตาขึ้นมา ท่านอ๋องนั่งอยู่ข้างๆ นางเมื่อเห็นนางฟื้น“ชิงเยี่ยน เป็นเช่นไรบ้าง”“ข้า….เป็นอะไรไปเจ้าคะ”“เจ้าสะดุดล้มน่ะ แล้วก็สลบไปตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”“หม่อมฉันสลบไปหรือเจ้าคะ แล้ว…ท่านพี่ ว่าวหม่อมฉันเล่าเจ้าคะ”ท่านอ๋องมองนางอย่างนึกแปลกใจ นางไม่ถามเรื่องบาดแผลบนตัวนางด้วยซ้ำแต่กลับถามหาว่าวที่ปลิวไปแล้ว“ข้าให้คนเก็บเอาไว้ให้เจ้าแล้ว แต่ตอนนี้เจ้ายังไปเล่นไม่ได้นะ เพราะยังบาดเจ็บอยู่”“เสียดายจัง กำลังเล่นสนุกเลย”“เอาไว้วันหลังค่อยเล่น”“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีสิ่งใด”“จดหมายเชิญจากกรมพิธีการ เรียนเชิญท่านอ๋องและพระชายาเสด็จเปิดงานเทศกาลโคมไฟในเมืองพ่ะย่ะค่ะ”“เทศกาลโคมไฟ ข้าอยากไป!! ท่านพี่ เราไปได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”ท่านอ๋องหันไปมองหน้าจางจื่อพร้อมกับหันมามองหน้านางอีกครั้ง“ย่อมได้ แต่เจ้าต้องรักษาตัวให้หายอย่าได้เล่นซนเป็นเด็กๆอีก และ…ต้องเปลี่ยนคำพูดที่เป็นทางการหากเราต้องออกไปง
“ข้าบอกให้เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น!!”ชิงเยี่ยนหยุดเดินแต่ก็ไม่ได้หันมาหาเขา ท่านอ๋องเดินมาดึงแขนนาง“กลับไปนอน”“ไม่เพคะ หม่อมฉันจะกลับไปที่เรือนหลังของหม่อมฉัน”“พระชายา ข้าสั่งให้เจ้ากลับไปนอน”“ไม่ พระองค์กลับไปเถิดเพคะคืนนี้หม่อมฉัน…”ท่านอ๋องก้มลงอุ้มนางขึ้นมาและไปวางที่เตียง นางจะลุกขึ้นแต่ถูกเขากดเอาไว้“ปล่อยนะเพคะ หากพระองค์ไม่อยากทำเช่นนี้ก็อย่าได้ฝืนพระทัย”“นี่เจ้า..ความทรงจำเจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่”“จะกลับหรือไม่กลับต่างกันอย่างไรในเมื่อความรู้สึกของพระองค์ก็มิได้เปลี่ยนไป ยังเย็นชาเช่นเดิมปล่อยข้านะ”“เฮ้อ ชิงเยี่ยนเจ้าฟังข้าก่อนเจ้ามาอยู่ที่นี่ร่วมเดือนหากจู่ๆกลับไปคนจะสงสัยเอาได้”“เช่นนั้นคืนนี้หม่อมฉันจะนอนที่นี่ก็ได้ แต่วันพรุ่งนี้หม่อมฉันจะกลับไปเรือนหลังตามพระบัญชาของท่านอ๋อง”“เหตุใดเจ้าจึงไม่มีเหตุผลถึงเพียงนี้”“ก็เพราะเหตุใดพระองค์จึงไม่แสดงความรักกับหม่อมฉันบ้างเล่าเพคะ!!”ท่านอ๋องถึงกับตกใจ นี่นางยังใช่ฟ่างชิงเยี่ยนอยู่หรือไม่ นางกำลังกล่าวต่อว่าเขา ที่เขา…ไม่..“เจ้า…ว่าอย่างไรนะ”“ป้าเจากับคนอื่นๆบอกข้าว่า สามีภรรยาก็ต้องนอนด้วยกัน จูบกันแล้วก็ทำลูกกันแต่ท่าน
“เรื่องของข้างั้นหรือ เรื่องใดกัน”“เหตุใดสามในสี่ของยอดบุรุษหนุ่มแห่งต้าเฉิน จึงไม่มีสมญานาม มีเพียงท่านที่ผู้คนเรียกว่าท่านอ๋องโลหิตเพคะ”“เรื่องนี้…น่าจะมาจากประวัติการแต่งงานที่ล้มเหลวของข้า ไม่สิ ต้องบอกว่าเพียงเพราะครั้งที่เจ็ด ที่ข้าลงมือฆ่านางเอง”“มีคนรู้เรื่องนี้มากหรือเพคะ”“ใช่ ข้า…ฆ่านางตายที่หน้าตำหนัก ผู้คนพบเห็นมากมายแต่ในตอนนั้นข้าสวมหน้ากากน่ะ”“หน้ากากอันนั้น!!”“ใช่ เพราะนางข้าเลยสั่งทำหน้ากากมาเพื่อป้องกันตัว เพราะรู้แน่ว่านางมิใช่สตรีธรรมดาและเมื่อสืบรู้ว่านางเป็นกบฏของซุนหวง จวินอ๋องจึงเสด็จมาที่นี่เพื่อช่วยข้าจับนาง แต่ผู้คนที่นี่มิได้้มีผู้ใดรู้จักจวินอ๋อง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าข้าฆ่าสตรีผู้นั้น พวกเขาจึงได้เรียกข้าว่าอ๋องโลหิต ฆ่าคนหน้าตายไร้ความรู้สึก”“แต่พวกเขามิได้รู้เลยว่าหากพระองค์ไม่ฆ่านางในวันนั้น นางจะสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านและแผ่นดินมากเพียงใด ผู้คนต่างชอบตัดสินคนจากสิ่งที่เห็นในครั้งแรกเสมอโดยมิได้ไตร่ตรอง”“แล้วเจ้าเล่าชิงเยี่ยน เจ้าเองก็กลัวข้ามิใช่หรือ”“เมื่อเทียบกับนรกบนดินที่สกุลฟ่าง หม่อมฉันในตอนนั้นตัดสินใจมาตายเอาดาบหน้าเพคะ หม่อมฉันเลยล
“ท่านอ๋องเพคะ ไม่คิดว่านี่จะ…”“ไม่ดึกเกินไปหรอก ข้าจะไม่รบกวนเจ้านานและจะนิ่มนวลที่สุด อย่าห่วงเลยนะ”ท่านอ๋องพรมจูบไปทั่วจนมาหยุดที่ริมฝีปากของชิงเยี่ยน เขาเริ่มยั่วยวนเบาๆและเร่งจังหวะจูบมากขึ้นเป็นเร่าร้อน ชิงเยี่ยนบีบแขนเขาแน่นเพื่อเตือนไม่ให้เขารุกเร็วเกินไป ท่านอ๋องตั้งสติได้จึงค่อยๆปลดชุดนางออกทีละชิ้น ลิ้นของเขายังคงละเมียดอย่างช้าๆบนเรือนร่างที่น่าเย้ายวนตรงหน้า “ดูเหมือนว่า หน้าอกของเจ้ามันจะ….”ใช่ มันใหญ่ขึ้นและเต่งตึงมากขึ้นทุกครั้งที่เขาเห็น มิใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตแต่เขาพยายามหักห้ามใจเพราะเห็นว่านางตั้งครรภ์อยู่ แต่เมื่อถอดออกจนหมดเช่นนี้ มันยากจะหักห้ามใจเสียยิ่งนัก“อาาา ชิงเยี่ยน เหตุใดเจ้าช่าง….”“อื้ออ ท่านพี่…อ๊าาา หม่อมฉันร้อนมากเพคะ ช่วยด้วย”“ข้ามาแล้ว รอเดี๋ยวนะ…”ลิ้นและนิ้วของเขาทำงานประสานกันอย่างดีโดยที่นางไม่ต้องบอก เขารู้ว่านางชอบให้เขาทำสิ่งใดและสัมผัสนางตรงไหนถึงจะเรียกเสียงครางที่ร้องขอสัมผัสจากเขามากขึ้น ร่างนางเอนแอ่นขึ้นตามสัมผัสจากลิ้นหนานั้นเมื่อมันเริ่มล้วงเข้าไปจนสุดด้านในร่องชื้นจนเกิดเสียง“อ๊าา ไม่ไหวแล้วเพคะ อ๊าา…”น้ำบางอย่างไหลออกมาสมทบ
สี่เดือนผ่านไป / ตำหนักท่านอ๋อง“ชิงเยี่ยน!! ข้าบอกว่าให้เจ้าหยุดปักผ้าเสียที”“แต่หม่อมฉันยังปักชุดลูกยังไม่เสร็จนี่เพคะ”“ข้าบอกให้เก็บเดี๋ยวนี้ เหตุใดเจ้าถึงได้ดื้อนักหากยังไม่หยุดมือ…”“โอ๊ย!!”“นั่นอย่างไร เร็วเข้า ส่งผ้ามามาให้ข้า!!”ท่านอ๋องรีบคว้าผ้าและพุ่งเข้าไปหาพระชายาที่ถูกเข็มปักนิ้วมืออีกครั้ง“ข้าบอกแล้วเห็นหรือไม่ นิ้วเจ้าแทบจะไม่มีที่เหลือแล้ว พอเถอะนะชิงเยี่ยนถือว่าข้าขอร้อง เจ้าเจ็บถึงเพียงนี้…ข้าปวดใจนะ”“ท่านพี่เพคะ หม่อมฉันสัญญาว่า…ผืนนี้จะเป็นชุดสุดท้าย…”“เจ้าบอกข้ามากี่ครั้งแล้ว เจ้าว่าลูกเราจะสวมหมดนั่นจริงๆน่ะหรือ เจ้าไม่เผื่อให้เขาได้โตบ้างเลยหรือ”ท่านอ๋องตรัสพลางให้นางหันไปดูชุดที่นางปักเสร็จและถูกพับเก็บเอาไว้เกือบสี่ตะกร้าใหญ่ๆ ด้านในนั้นมีทั้งชุดสวม หมวก ถุงมือถุงเท้าและรองเท้าสำหรับเด็กอีกหนึ่งตะกร้า ทั้งสี่ตะกร้านั้นล้วนเป็นฝีมือการตัดเย็บของนางทั้งสิ้น“แต่ว่า…”“หากเจ้ายังดื้อเช่นนี้ ข้าคงต้องให้คนนำสิ่งพวกนี้ทิ้งไปเสีย หากเจ้ายังมิฟังต่อไปผ้า เข็มและด้ายจะเป็นสิ่งต้องห้ามในตำหนักของพวกเรา”“ท่านพี่เพคะ ทำเช่นนั้นออกจะเกินไปเพคะ หม่อมฉันหยุดก็ได้เพ
“ท่านพี่เพคะ แต่นี่มัน….”“อย่าร้องไห้สิ จะเป็นแม่คนอยู่แล้วนะ”“แต่ว่า…”“ข้าไหวน่า อาการเช่นนี้เป็นกันแค่ชั่วคราวเท่านั้น ใช่ว่าข้าจะเป็นตลอดจนเจ้าคลอดเสียเมื่อไหร่กันเล่า”“เช่นนั้นตอนนี้พระองค์…”“อืมม พอได้กอดแล้วก็หอมเจ้าเช่นนี้ เหมือนกับว่าอาการเหล่านั้นจะเบาบางลงเลย”“งั้นหรือเพคะ เช่นนั้น….”“เจ้าก็กอดแล้วเข้ามาคลอเคลียข้าบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่มีโอกาส เช่นนี้ข้าก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”“เพคะ”วันถัดมา“เอ่อ…ป้าเจา พวกเราบอกให้ท่านอ๋องเพลาๆลงบ้างดีหรือไม่ มิเช่นนั้นจะเสาะท้องเอานะเจ้าคะ”“อาการคนแพ้ท้องก็เป็นเช่นนี้ เจ้ากล้าเข้าไปทูลหรือไม่เล่าอู่ผิง”“ไม่เจ้าค่ะ แต่พระชายา…”“ท่านพี่เพคะ เอาแต่เสวยของหมักของดองกับผลไม้เชื่อมเช่นนี้มิได้นะเพคะ ดื่มน้ำแกงนี่หน่อยเพคะ”“ข้า…หยุดไม่ได้น่ะ เจ้าลองหน่อยหรือไม่”“ไม่เอาละเพคะ แค่เห็นก็เข็ดฟันแล้วเพคะ”“แต่ว่าข้าไม่นึกเลยนะว่ามันจะอร่อยมากถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยลิ้มลองเลย”“อย่ากินมากเพคะ เอาแต่พอดี”“แต่พอกินของพวกนี้แล้วข้าก็ไม่คลื่นไส้อาเจียนอีกเลยนะ”“เฮ้อ…..อ้าวจางจื่อ มีสิ่งใดงั้นหรือ….เอ่อ เช่นนั้นข้า…”นางทำท่าจะลุกเมื่อเห็นว่าม
ความตกใจและความโกลาหลเริ่มต้นขึ้นนับบัดนั้น ท่านอ๋องเอาแต่อาเจียนไม่หยุด จางจื่อสรุปได้ว่าท่านอ๋องคงเร่งขี่ม้าจากเฉินตูเพื่อกลับมาที่ซูโจวจึงทำให้พักผ่อนน้อย ส่วนชิงเยี่ยนเอาแต่โทษตัวเองเพราะคิดว่าท่านอ๋องคงใช้แรงหนักเพราะเรื่องเมื่อตอนบ่ายจนถึงช่วงเย็น ป้าเจาเองก็คิดว่าอาหารที่ทำมามีปัญหาจนจงลี่ต้องเป็นผู้ให้คนไปตามหมอหลวงเข้ามาดูอาการท่านอ๋อง“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ทูลพระชายา…กระหม่อมคิดว่า….เอ่อชีพจรเต้นหนักแน่นมั่นคง ลมหายใจมิได้มีสิ่งผิดปกติ ร่างกายมิได้ถูกพิษ ทุกอย่างปกติดีแต่ว่าเพราะเหตุใดจึงได้เป็นเช่นนี้….”แม้แต่ท่านหมอก็มิอาจวินิจฉัยอาการแปลกประหลาดนี้ได้ ทั้งตำหนักพากันวุ่นวาย ท่านหมอทำได้เพียงระบุอาการว่าท่านอ๋องอาจจะเพลียสะสมจากการเดินทางและพักผ่อนน้อยจึงทำให้ปรับสภาพร่างกายยังไม่ดีพอจึงให้ต้มยาบำรุงให้ดื่ม แต่เมื่อสาวใช้นำยานั้นมาให้ ท่านอ๋องกลับเริ่มอาเจียนอีกครั้ง จนคราวนี้ท่านหมอถึงกับกุมขมับเพราะไม่สามารถวินิจฉัยได้“ท่านหมอเจ้าคะ…”“ท่านป้าแม่นม ข้าเป็นหมอมายี่สิบกว่าปียังไม่เคยพบเห็นอาการเช่นนี้มาก่อน สุขภาพภายนอกมิได้มีอันใดผิดปกติเลย เช่นนี้ข้าจะ..”“มิใช่เ
ท่านอ๋องคว้าร่างของพระชายาขึ้นมาอุ้มและพาเดินขึ้นไปที่ห้องบรรทมทันที เมื่อเขาวางร่างของพระชายาลงถึงเตียงทั้งคู่ก็แทบจะไม่ห่างกันแต่ละคนเริ่มสาละวนกับการดึงทึ้งชุดเสื้อผ้าที่เกะกะออก ปากของทั้งคู่แทบจะไม่ห่างกันจนถึงตอนนี้ เมื่อสองร่างไร้ซึ่งสิ่งปิดบังท่านอ๋องเองก็ไม่รั้งรอที่จะเข้าครอบครองนางด้วยลิ้นทันที“อื้ออ ท่านพี่….เบาหน่อยเพคะ”“เบางั้นหรือ เจ้าทำให้ข้าแทบบ้าเมื่อคืนผู้ใดปล่อยให้ข้านอนคนเดียว”“อ๊าา เดี๋ยวก่อน อ๊าา …”ไม่ทันที่นางจะห้ามแต่เขากลับสอดลิ้นเข้ามาในร่องกลีบชื้นของนางและเริ่มใช้มือบดขยี้ปลายยอดปทุมสีสดนั้นอย่างมันมือ ทั้งเร่งเร้าและร้อนเร่าดุจพยัคฆ์ที่หิวโหยมาแสนนาน ร่างของพระชายาสั่นเกร็งไปชั่วขณะเมื่อเขาเริ่มเร่งกระตุ้น เสียงครางที่ดังขึ้นทำเอาพระทัยท่านอ๋องแตกกระเจิง“อ๊าา…จุก อื้อ…อย่าเร็วนักเพคะ หม่อมฉัน อ๊าา …”เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ฟังคำร้องขอใดๆ อย่างที่เตือนนางเอาไว้เมื่อครู่ เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงครางที่ดังขึ้นเรื่อยๆของทั้งคู่และเสียงกล้ามเนื้อที่กระทบกันและเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อทั้งสองจะถึงปลายทาง…..“พระองค์จะเกินไปแล้วนะเพคะ”“เจ้ายังมีแรงต่อว่าข้าอย
“เช่นนั้น….เป็นเช่นนั้นจริงๆ…”“แต่ข้ากับเหล่าท่านอ๋องมิได้แตะต้องพวกนาง”ชิงเยี่ยนชะงักลงเมื่อกำลังจะเดินออกจากประตู ท่านอ๋องดึงแขนนางไว้ แต่ไม่ได้ดึงแรงหรือกระชากเช่นก่อนหน้านี้“หมายความว่าอย่างไรเพคะ”ท่านอ๋องดูท่าทีของนางและน้ำเสียงที่สับสนเล็กน้อยเขาจึงตัดสินใจค่อยๆเดินเข้าไปหานางและดึงนางให้หันมาพร้อมกับจับมือนางเอาไว้ น้ำตายังคงไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของนางด้วยความน้อยใจเขาก่อนหน้านี้เมื่อเขาเอื้อมมือไปเช็ดให้นาง“เป็นปกติธรรมเนียมปฏิบัติที่ฝ่าบาทจะทรงประทานสตรีมาปรนนิบัติพวกเราเวลาที่เข้าเฝ้าเพื่อดูแลและเพื่อให้สกุลอ๋องแต่ละเมืองได้มีทายาทสืบทอด ข้าซึ่งเป็นท่านอ๋องเพียงคนเดียว หนึ่งในสี่ของอ๋องที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทที่มีเพียงพระชายาแต่ยังไม่มีบุตร ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงประทานสตรีมาให้ถึงสามคนด้วยกัน”เขารู้ว่าชิงเยี่ยนกำลังจะถอยหนีเพราะคำกล่าวนี้ สตรีถึงสามคนที่ร่วมกันปรนนิบัติพระสวามีในยามที่นางไม่อยู่ แค่ได้ฟังก็คงเจ็บใจแล้วแต่เขาไม่ยอมให้นางมีโอกาสหนี วันนี้นางต้องฟังเขาให้จบ“แต่ข้า….ท่านอ๋องทั้งสามเองก็ทราบดี แม้ว่าชิงอ๋องและเฟิ่งอ๋องจะมีบุตรแล้ว จวินอ๋องแม้จะยังไม่มีบุตรแต่พระชาย
จางลู่หยวนเดินเข้าไปหานางพร้อมกับมือที่สั่นเทาเมื่อค่อยๆเดินเข้ามาสวมกอดนาง กลิ่นกายนางช่างหอมนัก แม้ว่าเขาจะไม่เคยได้สัมผัสเลยก็ตาม ครั้งนี้จะเป็นเพียงครั้งเดียวที่เขาจะมีโอกาสได้ทำเช่นนี้ เขาค่อยๆคลายอ้อมกอดนั้นออกอย่างมีมารยาทพร้อมกับส่งยิ้มให้นางอย่างรู้สึกขอบคุณ“ขอบใจเจ้ามากชิงเยี่ยน จากนี้ขอให้เจ้าโชคดีเช่นกัน”“วันเดินทาง ข้าจะไปส่งท่านนะ”“ไม่ต้องหรอก เกรงว่า…ท่านอ๋องคงไม่ปล่อยให้เจ้าไป”“แต่พวกท่านก็เป็นกองทัพของเขาเช่นกัน”“ชิงเยี่ยน เจ้าคงไม่รู้ว่าในตอนนี้ทั่วทั้งซูโจวต่างกล่าวขานเรื่องท่านอ๋องที่ทรงหวงพระชายาราวจงอางหวงไข่ อย่าได้ทำให้พระองค์ระคายพระทัยเลย ท่านอ๋องเป็นคนดี พระองค์จะปกป้องเจ้าและรักเจ้าไปทั้งชีวิต สายพระเนตรของพระองค์ที่มองเจ้าข้าเข้าใจได้ดี”"ขอบคุณพี่ลู่หยวนเจ้าค่ะ"“เช่นนั้นข้าขอลาก่อน”“เจ้าค่ะ แล้วพบกันใหม่”“แล้วพบกันใหม่”ชิงเยี่ยนยืนส่งเขาที่หน้าห้องโถง จางลู่หยวนเดินออกมา เขาเงยหน้าและกะพริบตาถี่ๆเพื่อไล่บางอย่างออกไป พระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นมากกว่าตอนที่เขามาถึง “แสบตายิ่งนัก”มือของเขาปาดไปที่ดวงตาที่มีน้ำรื้นผุดออกมา ครั้งนี้เขาจะไม่ได้พบเจอช
ท่านอ๋องมีท่าทีโมโหทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้ เขาหันไปมองหน้าชิงเยี่ยนที่เพียงแค่ยกผ้ามาเช็ดปากและวางลงไป ชิงเยี่ยนเองก็ตกใจแต่นางรักษาท่าทีได้ดีกว่าท่านอ๋อง แต่ในใจนางนั้นกังวลอยู่ไม่น้อย แต่นางก็ใคร่รู้ว่าเหตุใดจางลู่หยวนจึงเลือกมาพบนางในวันนี้“พระชายาเพคะ…ให้หม่อมฉัน…”“ไปบอกเขาให้รอข้าสักครู่ อีกเดี๋ยวข้าจะไปพบเขา”ท่านอ๋องตกใจและหันมามองหน้านาง เขาไม่คิดว่านางจะกล้าไปพบจางลู่หยวนอีกในเมื่อนางรับปากกับเขามั่นเหมาะแล้วก่อนหน้านี้“พระชายา นี่เจ้าจะ….”“หม่อมฉันอิ่มแล้วเชิญท่านอ๋องเสวยเถิดต่อเพคะ”มีหรือที่เขาจะกินลงได้อีก ท่านอ๋องลุกขึ้นและดึงแขนนางเอาไว้ จนชิงเยี่ยนทำหน้ามุ่ยด้วยความเจ็บแต่นางก็มิได้ร้องออกมา ท่านอ๋องเองก็พอจะรู้ตัวว่าทำรุนแรงเกินไปจึงรีบคลายออกแต่ยังไม่ยอมปล่อย“เจ้าจะไปพบเขาเช่นนั้นหรือ”ชิงเยี่ยนหันมามองพระพักตร์ท่านอ๋องสายตาของนางในตอนนี้เขาไม่อาจเดาได้เลยว่านางคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ เขาทั้งไม่แน่ใจ หวาดระแวง และกลัวไปหมดเรื่องเมื่อคืนที่เขากับนางทะเลาะกันก็ยังมิได้ปรับความเข้าใจ นี่นางยังไปพบกับศัตรูหัวใจอันดับหนึ่งที่เป็นดั่งหนามยอกอกเขาและยิ่งกว่านั้นคือเขากล้า