“ข้ายังไม่รู้แน่ชัด เจ้ารีบให้คนของเราไปสืบดู ได้เรื่องแล้วรีบมารายงานข้า”
“เอ่อ…แล้วเรื่องอีกสามเดือนจากนี้…”
“รอสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยคิดกันต่อ ไปได้แล้ว”
“แล้วพระองค์..”
“ในตัวข้ายังหลงเหลือพิษอยู่ ข้าจะไปใช้ปราณขับออก ห้ามผู้ใดรบกวน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ จางจื่อ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ไปบอกแม่นมว่า…หาสาวใช้มาคอยรับใช้นางด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ลั่วหมิงจ้านเดินกลับไปยังห้องบรรทมของตนเองทิ้งให้องครักษ์หนุ่มยืนยิ้มอย่างนึกพอใจ ในที่สุดภูเขาน้ำแข็งเช่นลั่วอ๋องก็เริ่มละลายแล้วสินะ
ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะเคยรับสนมเข้ามาหลายคน แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะสั่งให้คนเอาใจใส่ดั่งที่ทำกับพระชายา
วันถัดมา
ชิงเยี่ยนขยับตัวด้วยความเมื่อยล้าเต็มที เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าชุดที่สวมอยู่ไม่ใช่ชุดเจ้าสาว
“นี่มัน!!….หรือว่า…”
นางเริ่มลูบๆคลำๆตามตัวพร้อมกับรู้สึกว่ามิได้เจ็บปวดตรงที่ใด มีเพียงรอยจูบสองสามรอยที่เกิดขึ้นแต่รู้ทันทีว่าเมื่อคืนนี้ไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น แล้ว…
“ท่านอ๋องโลหิตนั่น….หน้าตาเป็นเช่นไรแล้วนะ”
นางจำหน้าตาเขาไม่ได้เพราะเพียงเห็นแค่แวบเดียวและรู้สึกว่าจะทำเครื่องประดับติดกับเข็มกลัดที่อกของเขาจนเสียเวลาดึงออกเสียนาน และ………..
ความทรงจำเมื่อคืนนี้เริ่มผุดขึ้นมา ทั้งเรื่องที่นางจู่โจม ผลักเขาลงบนเตียง จูบเขาและมัดเขาเอาไว้ และยัง....
“กรี๊ด!!……….”
“พระชายาเพคะ!! เกิดสิ่งใดขึ้นเพคะ”
สาวใช้สองคนรีบวิ่งเข้ามาในห้องของนางทันทีเมื่อได้ยินเสียงชิงเยี่ยนกรีดร้อง เสียงนางดังไปถึงห้องทรงงานท่านอ๋องจนเขาต้องเงยหน้าขึ้นพร้อมกับจางจื่อที่หันออกไปมองด้านนอก
“นางคงตื่นแล้วกระมัง”
“ให้กระหม่อมไปดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง คนของเรายังไม่กลับจากสกุลฟ่างอีกงั้นหรือ”
“ยังเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วจดหมายจากฟ่างจื่อหนานเล่า มาหรือยัง”
“ยังเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าให้เวลาอีกสามวันต้องได้จดหมายจากจื่อหนานและภายในครึ่งเช้านี้ต้องรู้ความคืบหน้าของสกุลฟ่าง มิเช่นนั้นข้าไม่เก็บคนไม่มีประโยชน์เอาไว้ เข้าใจหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
ห้องพระชายา
“พระชายาเพคะ เกิดอะไรขึ้นเพคะ”
ชิงเยี่ยนตกใจเมื่อสาวใช้สองคนวิ่งพรวดพราดเข้ามา นางจึงหันไปมองหน้าทั้งสองด้วยความตกใจเล็กน้อย
“คือว่า…เอ่อ ไม่มีอะไร พวกเจ้า…”
“ทูลพระชายา หม่อมฉันชื่อว่าจงลี่เพคะ ส่วนนางคือน้องสาวชื่ออู่ผิง พวกเรามีหน้าที่คอยรับใช้พระชายาตามคำสั่งท่านอ๋องเพคะ”
“รับใช้…ข้างั้นหรือ”
“เพคะ ท่านจำเป็นต้องมีสาวใช้เพื่อรับใช้อย่างน้อยสี่คนเพคะ แต่ว่าอีกสองคนคอยดูแลเรื่องซักล้างและเตรียมอาหาร พวกข้าดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายและเป็นสาวใช้ส่วนพระองค์เพคะ”
“เหตุใดคนคนเดียวจึงมีสาวใช้มากมายถึงเพียงนี้เชียว”
นางรำพึงกับตัวเองเพราะนึกถึงตัวเองก่อนหน้านั้นที่ไม่มีแม้แต่สาวใช้ประจำกายเลยสักคนทั้งๆที่พี่รองของนางก็มีสาวใช้ข้างกายถึงสองคนเช่นกัน ไม่นึกว่าพอแต่งงานนางก็จะมีสาวใช้กับเขาบ้างแล้ว
“บางที การแต่งงานกับเจ้าอ๋องบ้าเลือดนั่นก็ไม่ขาดทุนละนะ”
“พระชายาเพคะ ตรัสเบาๆเพคะ หากมีผู้ใดได้ยินเข้า…”
“ข้าพูดสิ่งใดผิดงั้นหรือ เอาเถอะๆ ดูจากสีหน้าพวกเจ้าก็พอจะรู้แล้ว เช่นนั้นข้าต้องทำสิ่งใดบ้างเล่าในตอนนี้”
“อาบน้ำ ขัดตัวก่อนนะเพคะ หม่อมฉันให้คนเตรียมน้ำร้อนเอาไว้แล้ว อีกเดี๋ยวมาทำผมผัดหน้าและสวมฉลองพระองค์เพื่อรอเสวยอาหารเช้ากับท่านอ๋องเพคะ”
“เรื่องพวกนี้ข้าทำเองก็ได้”
""ไม่ได้เพคะ""
พวกนางพูดขึ้นพร้อมกัน สีหน้าที่แสดงถึงความกลัวนั้นออกมาอย่างชัดเจน ท่านอ๋องผู้นี่จะโหดเหี้ยมและน่ากลัวถึงขนาดไหนกันนะถึงทำให้พวกนางเกรงกลัวจนไม่กล้าขัดคำสั่งถึงเพียงนี้
“ก็ได้ๆ เช่นนั้นรบกวนพวกเจ้าด้วยเช่นกัน”
“เพคะ”
ฟ่างชิงเยี่ยนปล่อยให้พวกนางจัดการกับร่างกายของนางตามที่ได้รับคำสั่งมา นางพบว่าทั้งสองมิได้ฝืนใจอีกทั้งยังเป็นคนคุยง่ายและทำให้นางรู้สึกว่ามีเพื่อนคุย
“พระชายาเพคะ จริงหรือเพคะที่จะสอนหม่อมฉันปักผ้า”
“จริงสิ หากว่าเจ้าหาเครื่องมือให้ข้าได้นะ”
“ได้แน่นอนเพคะ หม่อมฉันจะได้มีถุงหอมงามๆกับเขาบ้าง”
“เรื่องนี้ไม่ยาก ข้ามีผ้าลายสวยๆมากมายเอาไว้เรามานั่งทำกัน ว่าแต่ท่านอ๋องของพวกเจ้า โหดเหี้ยมถึงขนาดนั้นเลยงั้นหรือ เรื่องข่าวลือนั่น…”
“เรื่องนั้น พวกหม่อมฉันอยู่เรือนหลังนี้มานาน เคยพบท่านอ๋องน้อยมากเพคะ พระองค์จะเสด็จก็ต่อเมื่อ….”
“ต่อเมื่ออะไร รีบบอกมา”
“เอ่อ…ต่อเมื่อพระสนม…สิ้นพระชนม์เพคะ ท่านอ๋องจะมาดูก่อนจะส่ง…ร่างของพระสนมออกจากตำหนักด้านหลังเพื่อส่งกลับสกุลเดิมของพวกนางเพคะ”
“เช่นนั้น พวกเราก็สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างอิสระ โดยที่เขาไม่ต้องแวะมาบ่อยๆ เช่นนั้นใช่หรือไม่”
“เพคะ เป็นเช่นนั้นเพคะ”
“ยอดเยี่ยม เอาล่ะการเป็นพระชายาก็ไม่ได้แย่อย่างที่ข้าคิดขนาดนั้น แม้ว่าจะต้องนับถอยหลังชีวิตที่เหลืออยู่อีกไม่กี่เดือนก็เถอะ”
“พระชายาทรงตรัสเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรเพคะ”
“อ้าว ก็เรื่อง….พระสนมที่ผ่านมานั่น ล้วนตายเพราะ….ถูกท่านอ๋องโลหิตนั่นฆ่ามิใช่หรอกหรือ”
“ไม่นะเพคะ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่เพคะ”
สาวใช้ทั้งสองหันมาบอกนางด้วยท่าทีตกใจ แต่ไม่แปลกเพราะคนด้านในตำหนักไม่เคยพูดออกไปด้านนอก พวกเขาถูกสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ให้ยุ่งเรื่องข่าวลือนั่น
“อ้าว แล้วที่พระสนมทั้งเจ็ดนั่นสิ้นใจในตำหนัก เพราะเรื่องใดกัน”
“ส่วนใหญ่สิ้นพระชนม์ด้วยยาพิษ หรือไม่ก็ ตายอย่างไม่ทราบสาเหตุเพคะ”
“เป็นไปได้เช่นไรกัน”
“พระชายาเพคะ รีบไปเถิิดเพคะท่านอ๋องคงรอเสวยแล้วเพคะ”
“ข้าต้องร่วมโต๊ะอาหารกับเขาด้วยงั้นหรือ”
“เพคะ”
“แล้วก่อนหน้านี้….”
“พวกนางเป็นพระสนม มิต้องเสวยร่วมโต๊ะกับท่านอ๋องได้ แต่พระองค์เป็นพระชายา ต้อง…”
“เข้าใจแล้วๆ เช่นนั้นก็รีบไปเถิด จะน่ากลัวสักแค่ไหนกันเชียว เมื่อคืนก็จัดการมาได้แล้วนี่”
""จัดการ""
สองสาวใช้หันหน้ามามองพระชายาด้วยความตกใจกึ่งเลื่อมใส ชิงเยี่ยนหันมามองหน้าพวกนางทั้งสองพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจจนทำให้ทั้งคู่ยิ้มตามนางไปด้วย
โต๊ะเสวย
“โอ้โห เหตุใดอาหารจึงมากถึงเพียงนี้ นี่กินสองคนจริงๆหรือ”
ชิงเยี่ยนเอ่ยถามเมื่อเห็นอาหารที่เต็มโต๊ะ มีตั้งแต่หมั่นโถว ซาลาเปา โจ๊ก ข้าวต้มและผัดผักพร้อมกับกับข้าวอีกหลายอย่างที่นางนึกไม่ถึงว่านี่คืออาหารเช้างั้นหรือ
“พระชายาประทับตรงนี้เถิดเพคะ อีกสักครู่ท่านอ๋องจะเสด็จแล้วเพคะ”
ชิงเยี่ยนทำตามที่จงลี่และอู่ผิงแนะนำ นางตัดสินใจแล้วจากที่นึกย้อนไปเมื่อคืนนี้ ท่านอ๋องผู้นั้น แม้ว่านางจะไม่เห็นหน้าเขาชัดเจนนัก แต่นางก็จำได้ว่าเขามิใช่คนเลวร้ายถึงขนาดนั้น
หากนางทำตัวดีๆและเอาใจเขามากหน่อย นางคงจะรอดชีวิตและอาศัยอยู่ที่ตำหนักอ๋องแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัยจนกว่าจะหาลู่ทางหนีออกไปได้
“ไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ลองดูสักทีจะเป็นไรไป อย่างมากก็แค่ตายเอาดาบหน้า รอดพ้นจากสกุลฟ่างมาได้ แค่เขาคนเดียวคงทำอะไรไม่ได้มากหรอก”
“พระชายาเพคะ ท่านอ๋องมาแล้วเพคะ”
ชิงเยี่ยนลอบมองออกไปด้านนอก เห็นเพียงชายชุดสีดำเดินมาแต่ไกล แม้นางจะจดจำใบหน้าของเขาไม่ได้เลย แต่นางก็จดจำสายตาดุจพยัคฆ์ที่โดดเดี่ยวนั้นได้เป็นอย่างดี เขาเดินเข้ามาถึงโต๊ะแล้ว
“ท่านอ๋องเสด็จ”
“เรื่องของข้างั้นหรือ เรื่องใดกัน”“เหตุใดสามในสี่ของยอดบุรุษหนุ่มแห่งต้าเฉิน จึงไม่มีสมญานาม มีเพียงท่านที่ผู้คนเรียกว่าท่านอ๋องโลหิตเพคะ”“เรื่องนี้…น่าจะมาจากประวัติการแต่งงานที่ล้มเหลวของข้า ไม่สิ ต้องบอกว่าเพียงเพราะครั้งที่เจ็ด ที่ข้าลงมือฆ่านางเอง”“มีคนรู้เรื่องนี้มากหรือเพคะ”“ใช่ ข้า…ฆ่านางตายที่หน้าตำหนัก ผู้คนพบเห็นมากมายแต่ในตอนนั้นข้าสวมหน้ากากน่ะ”“หน้ากากอันนั้น!!”“ใช่ เพราะนางข้าเลยสั่งทำหน้ากากมาเพื่อป้องกันตัว เพราะรู้แน่ว่านางมิใช่สตรีธรรมดาและเมื่อสืบรู้ว่านางเป็นกบฏของซุนหวง จวินอ๋องจึงเสด็จมาที่นี่เพื่อช่วยข้าจับนาง แต่ผู้คนที่นี่มิได้้มีผู้ใดรู้จักจวินอ๋อง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าข้าฆ่าสตรีผู้นั้น พวกเขาจึงได้เรียกข้าว่าอ๋องโลหิต ฆ่าคนหน้าตายไร้ความรู้สึก”“แต่พวกเขามิได้รู้เลยว่าหากพระองค์ไม่ฆ่านางในวันนั้น นางจะสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านและแผ่นดินมากเพียงใด ผู้คนต่างชอบตัดสินคนจากสิ่งที่เห็นในครั้งแรกเสมอโดยมิได้ไตร่ตรอง”“แล้วเจ้าเล่าชิงเยี่ยน เจ้าเองก็กลัวข้ามิใช่หรือ”“เมื่อเทียบกับนรกบนดินที่สกุลฟ่าง หม่อมฉันในตอนนั้นตัดสินใจมาตายเอาดาบหน้าเพคะ หม่อมฉันเลยล
“ท่านอ๋องเพคะ ไม่คิดว่านี่จะ…”“ไม่ดึกเกินไปหรอก ข้าจะไม่รบกวนเจ้านานและจะนิ่มนวลที่สุด อย่าห่วงเลยนะ”ท่านอ๋องพรมจูบไปทั่วจนมาหยุดที่ริมฝีปากของชิงเยี่ยน เขาเริ่มยั่วยวนเบาๆและเร่งจังหวะจูบมากขึ้นเป็นเร่าร้อน ชิงเยี่ยนบีบแขนเขาแน่นเพื่อเตือนไม่ให้เขารุกเร็วเกินไป ท่านอ๋องตั้งสติได้จึงค่อยๆปลดชุดนางออกทีละชิ้น ลิ้นของเขายังคงละเมียดอย่างช้าๆบนเรือนร่างที่น่าเย้ายวนตรงหน้า “ดูเหมือนว่า หน้าอกของเจ้ามันจะ….”ใช่ มันใหญ่ขึ้นและเต่งตึงมากขึ้นทุกครั้งที่เขาเห็น มิใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตแต่เขาพยายามหักห้ามใจเพราะเห็นว่านางตั้งครรภ์อยู่ แต่เมื่อถอดออกจนหมดเช่นนี้ มันยากจะหักห้ามใจเสียยิ่งนัก“อาาา ชิงเยี่ยน เหตุใดเจ้าช่าง….”“อื้ออ ท่านพี่…อ๊าาา หม่อมฉันร้อนมากเพคะ ช่วยด้วย”“ข้ามาแล้ว รอเดี๋ยวนะ…”ลิ้นและนิ้วของเขาทำงานประสานกันอย่างดีโดยที่นางไม่ต้องบอก เขารู้ว่านางชอบให้เขาทำสิ่งใดและสัมผัสนางตรงไหนถึงจะเรียกเสียงครางที่ร้องขอสัมผัสจากเขามากขึ้น ร่างนางเอนแอ่นขึ้นตามสัมผัสจากลิ้นหนานั้นเมื่อมันเริ่มล้วงเข้าไปจนสุดด้านในร่องชื้นจนเกิดเสียง“อ๊าา ไม่ไหวแล้วเพคะ อ๊าา…”น้ำบางอย่างไหลออกมาสมทบ
สี่เดือนผ่านไป / ตำหนักท่านอ๋อง“ชิงเยี่ยน!! ข้าบอกว่าให้เจ้าหยุดปักผ้าเสียที”“แต่หม่อมฉันยังปักชุดลูกยังไม่เสร็จนี่เพคะ”“ข้าบอกให้เก็บเดี๋ยวนี้ เหตุใดเจ้าถึงได้ดื้อนักหากยังไม่หยุดมือ…”“โอ๊ย!!”“นั่นอย่างไร เร็วเข้า ส่งผ้ามามาให้ข้า!!”ท่านอ๋องรีบคว้าผ้าและพุ่งเข้าไปหาพระชายาที่ถูกเข็มปักนิ้วมืออีกครั้ง“ข้าบอกแล้วเห็นหรือไม่ นิ้วเจ้าแทบจะไม่มีที่เหลือแล้ว พอเถอะนะชิงเยี่ยนถือว่าข้าขอร้อง เจ้าเจ็บถึงเพียงนี้…ข้าปวดใจนะ”“ท่านพี่เพคะ หม่อมฉันสัญญาว่า…ผืนนี้จะเป็นชุดสุดท้าย…”“เจ้าบอกข้ามากี่ครั้งแล้ว เจ้าว่าลูกเราจะสวมหมดนั่นจริงๆน่ะหรือ เจ้าไม่เผื่อให้เขาได้โตบ้างเลยหรือ”ท่านอ๋องตรัสพลางให้นางหันไปดูชุดที่นางปักเสร็จและถูกพับเก็บเอาไว้เกือบสี่ตะกร้าใหญ่ๆ ด้านในนั้นมีทั้งชุดสวม หมวก ถุงมือถุงเท้าและรองเท้าสำหรับเด็กอีกหนึ่งตะกร้า ทั้งสี่ตะกร้านั้นล้วนเป็นฝีมือการตัดเย็บของนางทั้งสิ้น“แต่ว่า…”“หากเจ้ายังดื้อเช่นนี้ ข้าคงต้องให้คนนำสิ่งพวกนี้ทิ้งไปเสีย หากเจ้ายังมิฟังต่อไปผ้า เข็มและด้ายจะเป็นสิ่งต้องห้ามในตำหนักของพวกเรา”“ท่านพี่เพคะ ทำเช่นนั้นออกจะเกินไปเพคะ หม่อมฉันหยุดก็ได้เพ
“ท่านพี่เพคะ แต่นี่มัน….”“อย่าร้องไห้สิ จะเป็นแม่คนอยู่แล้วนะ”“แต่ว่า…”“ข้าไหวน่า อาการเช่นนี้เป็นกันแค่ชั่วคราวเท่านั้น ใช่ว่าข้าจะเป็นตลอดจนเจ้าคลอดเสียเมื่อไหร่กันเล่า”“เช่นนั้นตอนนี้พระองค์…”“อืมม พอได้กอดแล้วก็หอมเจ้าเช่นนี้ เหมือนกับว่าอาการเหล่านั้นจะเบาบางลงเลย”“งั้นหรือเพคะ เช่นนั้น….”“เจ้าก็กอดแล้วเข้ามาคลอเคลียข้าบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่มีโอกาส เช่นนี้ข้าก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”“เพคะ”วันถัดมา“เอ่อ…ป้าเจา พวกเราบอกให้ท่านอ๋องเพลาๆลงบ้างดีหรือไม่ มิเช่นนั้นจะเสาะท้องเอานะเจ้าคะ”“อาการคนแพ้ท้องก็เป็นเช่นนี้ เจ้ากล้าเข้าไปทูลหรือไม่เล่าอู่ผิง”“ไม่เจ้าค่ะ แต่พระชายา…”“ท่านพี่เพคะ เอาแต่เสวยของหมักของดองกับผลไม้เชื่อมเช่นนี้มิได้นะเพคะ ดื่มน้ำแกงนี่หน่อยเพคะ”“ข้า…หยุดไม่ได้น่ะ เจ้าลองหน่อยหรือไม่”“ไม่เอาละเพคะ แค่เห็นก็เข็ดฟันแล้วเพคะ”“แต่ว่าข้าไม่นึกเลยนะว่ามันจะอร่อยมากถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยลิ้มลองเลย”“อย่ากินมากเพคะ เอาแต่พอดี”“แต่พอกินของพวกนี้แล้วข้าก็ไม่คลื่นไส้อาเจียนอีกเลยนะ”“เฮ้อ…..อ้าวจางจื่อ มีสิ่งใดงั้นหรือ….เอ่อ เช่นนั้นข้า…”นางทำท่าจะลุกเมื่อเห็นว่าม
ความตกใจและความโกลาหลเริ่มต้นขึ้นนับบัดนั้น ท่านอ๋องเอาแต่อาเจียนไม่หยุด จางจื่อสรุปได้ว่าท่านอ๋องคงเร่งขี่ม้าจากเฉินตูเพื่อกลับมาที่ซูโจวจึงทำให้พักผ่อนน้อย ส่วนชิงเยี่ยนเอาแต่โทษตัวเองเพราะคิดว่าท่านอ๋องคงใช้แรงหนักเพราะเรื่องเมื่อตอนบ่ายจนถึงช่วงเย็น ป้าเจาเองก็คิดว่าอาหารที่ทำมามีปัญหาจนจงลี่ต้องเป็นผู้ให้คนไปตามหมอหลวงเข้ามาดูอาการท่านอ๋อง“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ทูลพระชายา…กระหม่อมคิดว่า….เอ่อชีพจรเต้นหนักแน่นมั่นคง ลมหายใจมิได้มีสิ่งผิดปกติ ร่างกายมิได้ถูกพิษ ทุกอย่างปกติดีแต่ว่าเพราะเหตุใดจึงได้เป็นเช่นนี้….”แม้แต่ท่านหมอก็มิอาจวินิจฉัยอาการแปลกประหลาดนี้ได้ ทั้งตำหนักพากันวุ่นวาย ท่านหมอทำได้เพียงระบุอาการว่าท่านอ๋องอาจจะเพลียสะสมจากการเดินทางและพักผ่อนน้อยจึงทำให้ปรับสภาพร่างกายยังไม่ดีพอจึงให้ต้มยาบำรุงให้ดื่ม แต่เมื่อสาวใช้นำยานั้นมาให้ ท่านอ๋องกลับเริ่มอาเจียนอีกครั้ง จนคราวนี้ท่านหมอถึงกับกุมขมับเพราะไม่สามารถวินิจฉัยได้“ท่านหมอเจ้าคะ…”“ท่านป้าแม่นม ข้าเป็นหมอมายี่สิบกว่าปียังไม่เคยพบเห็นอาการเช่นนี้มาก่อน สุขภาพภายนอกมิได้มีอันใดผิดปกติเลย เช่นนี้ข้าจะ..”“มิใช่เ
ท่านอ๋องคว้าร่างของพระชายาขึ้นมาอุ้มและพาเดินขึ้นไปที่ห้องบรรทมทันที เมื่อเขาวางร่างของพระชายาลงถึงเตียงทั้งคู่ก็แทบจะไม่ห่างกันแต่ละคนเริ่มสาละวนกับการดึงทึ้งชุดเสื้อผ้าที่เกะกะออก ปากของทั้งคู่แทบจะไม่ห่างกันจนถึงตอนนี้ เมื่อสองร่างไร้ซึ่งสิ่งปิดบังท่านอ๋องเองก็ไม่รั้งรอที่จะเข้าครอบครองนางด้วยลิ้นทันที“อื้ออ ท่านพี่….เบาหน่อยเพคะ”“เบางั้นหรือ เจ้าทำให้ข้าแทบบ้าเมื่อคืนผู้ใดปล่อยให้ข้านอนคนเดียว”“อ๊าา เดี๋ยวก่อน อ๊าา …”ไม่ทันที่นางจะห้ามแต่เขากลับสอดลิ้นเข้ามาในร่องกลีบชื้นของนางและเริ่มใช้มือบดขยี้ปลายยอดปทุมสีสดนั้นอย่างมันมือ ทั้งเร่งเร้าและร้อนเร่าดุจพยัคฆ์ที่หิวโหยมาแสนนาน ร่างของพระชายาสั่นเกร็งไปชั่วขณะเมื่อเขาเริ่มเร่งกระตุ้น เสียงครางที่ดังขึ้นทำเอาพระทัยท่านอ๋องแตกกระเจิง“อ๊าา…จุก อื้อ…อย่าเร็วนักเพคะ หม่อมฉัน อ๊าา …”เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ฟังคำร้องขอใดๆ อย่างที่เตือนนางเอาไว้เมื่อครู่ เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงครางที่ดังขึ้นเรื่อยๆของทั้งคู่และเสียงกล้ามเนื้อที่กระทบกันและเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อทั้งสองจะถึงปลายทาง…..“พระองค์จะเกินไปแล้วนะเพคะ”“เจ้ายังมีแรงต่อว่าข้าอย