10
รักกันจริงหรือแค่ข่าวลือ
ในระหว่างที่นางครุ่นคิดไป คีบข้าวเข้าปากไปนั้น จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกก่อนที่หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีจะเดินเข้ามาด้านใน
“ชิงหนี่ว์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เจิ้งเข่อชิงรีบปรี่เข้าใกล้สหายทันที แต่ยังไม่ทันถึงตัวนาง บุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยกมือขึ้นมากีดกันเสียก่อน
“ข้าไม่เป็นอันใด เจ้าเล่าปลอดภัยดีหรือไม่” คำกล่าวของสตรีทั้งสองทำให้บุรุษสูงศักดิ์ทั้งสองมองหน้ากัน
คำกล่าวของพวกนางช่างทำให้เขาสองคนกลายเป็นบุรุษกักขฬะอันตราย ถูกมองไม่ดี
“ข้าไม่เป็นอันใด ข้าขอนั่งกับเจ้านะ” คุณหนูเจิ้งกล่าวก่อนจะเดินไปยกเก้าอี้แล้วเอามาวางแทรกกลางระหว่างนางและชินอ๋องซื่อจื่อ
“ที่ตรงนั้นคับแคบ อย่าไปนั่งเบียดพวกเขาเลย เจ้ามานั่งกับข้าตรงนี้เถิด” กล่าวจบองค์รัชทายาทเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะโอบรั้งเอวคู่หมายตนให้ไปนั่งอีกฝั่ง โดยจับให้เจิ้งเข่อชิงนั่งข้างหลิวเมิ่ง ส่วนตนเองนั่งข้างคุณชายหลิว
“ไม่เอา ข้าอยากนั่งข้างสหายตน”
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ดื้อรั้น” นัยน์ตาดำของชายสูงศักดิ์จับจ้องริมฝีปากคู่หมายอย่างมีนัย
‘อย่าบอกนะว่าเมื่อครู่ทั้งสองจุมพิตกัน’ หลักฐานสำคัญที่จะใช้ยืนยันเรื่องนี้ก็คงจะเป็นริมฝีปากของเจิ้งเข่อชิงที่บวมแดงเล็กน้อย
เป็นบุรุษร้ายกาจเอาแต่ใจเสียด้วย พระรองผู้นี้...
“หากไม่อยากโดนเช่นสหาย อย่าได้คิดจับคู่พี่กับสตรีผู้นั้น” เพราะมัวแต่จับจ้องคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งจึงไม่ได้เห็นว่าบุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างโน้มใบหน้าไร้ที่ติเข้ามาใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหูด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน
ลมหายใจที่เป่ารดหูทำให้นางขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
เดี๋ยวก่อน! นางเอกของท่านนั่งอยู่ข้างๆ ท่านอย่าเข้าใจผิดไป ข้าไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นสตรีชาเขียวแย่งบุรุษของผู้อื่นหรอกนะ
ส่วนองค์รัชทายาทที่เพิ่งพาคู่หมายเข้ามาร่วมโต๊ะ ก็เอาแต่คีบอาหารใส่ชามให้คุณหนูเจิ้งที่หน้าบูดบึ้งอย่างไม่ชอบใจ สายตาฉายแววเอือมระอาชัดเจน
ชินอ๋องก็คีบอาหารเข้าปากคำหนึ่ง จ้องมองนางพลางยิ้มคราหนึ่งทำให้นางแทบไม่รู้รสอาหาร
คุณชายหลิวก็นั่งกินอาหารไปมองคนนั้นคนนี้ทีราวกับกำลังชมงิ้ว ครานี้พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตนโดนสหายมองด้วยสายตากรุ่นโกรธในงานเลี้ยงวันนั้น
ส่วนหลิวเมิ่งก็ได้แต่นั่งเม้มริมฝีปากแน่นไม่กล้ากล่าวอันใด แววตาจ้องมองนางที เข่อชิงทีอย่างรู้สึกอึดอัด
และที่จะไม่กล่าวถึงเลยก็ไม่ได้เห็นจะเป็นท่าทีใกล้หลุดจากบทบาทสตรีดอกบัวขาวของคุณหนูสวี่ ดวงหน้าหวานจ้องมองมาที่นางสลับกับเข่อชิงด้วยสายตาริษยา แม้จะพยายามเก็บซ่อนสีหน้าแต่ทว่าแรงริษยาคงมีมากล้นจึงไม่อาจสะกดกลั้นได้
สวี่ลู่ฟางได้แต่มองบุรุษที่ควรจะเป็นของตนเองด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เหตุใดบุรุษที่ควรจะหลงใหลนางจนสามารถทุ่มเททุกอย่างให้ถึงไม่เป็นเช่นนั้น
องค์รัชทายาทมิใช่ควรรักนางจนยอมทำทุกอย่างเพื่อนางหรอกหรือ ส่วนชินอ๋องซื่อจื่อเขาจะเป็นสามีของนาง เขาทั้งรักและหลงใหลนางจนปล่อยให้คู่หมั้นตนเองถูกองค์รัชทายาทแคว้นสือเจ้าที่หลงรักนางเช่นกันสังหาร
หนังสือไร้ชื่อที่นางเคยอ่านมันเป็นเช่นนั้น ในหนังสือเล่มนั้นบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของนางและการเป็นสตรีที่มีชะตาดอกท้อ ลงเอยด้วยการได้ครองคู่กับบุรุษที่รูปงามและเก่งกาจ เป็นฮูหยินของเขาแต่เพียงผู้เดียว
เริ่มแรกนางก็ไม่ได้เชื่อเรื่องเหล่านั้นทั้งหมด หากในหนังสือไร้ชื่อเล่มนั้นไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวการจับพลัดจับผลูได้เป็นหมอหลวงอย่างบังเอิญของบิดา ซึ่งมันเป็นไปดังที่หนังสือบอกไว้จริงๆ ไหนจะซื่อแซ่ของบุคคลที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นนางก็เพิ่งได้รู้จักคนเหล่านั้นตอนที่บิดาเป็นหมอหลวง เพราะเหตุนี้นางจึงเริ่มด้วยการเข้าหาหลิวเมิ่ง คุณหนูจากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาดั่งเช่นที่เคยอ่านมาก
แต่เหตุใดเรื่องราวมันผิดเพี้ยนไปหมด หรือในที่นี้จะมีคนได้อ่านหนังสือไร้ชื่อเฉกเช่นเดียวกับนาง จึงกำลังพยายามฝืนเรื่องราวปรับเปลี่ยนจุดจบของตนเอง
ชินอ๋องซื่อจื่อและองค์รัชทายาทเดิมทีทั้งสองคนนี้ควรจะหลงรักนาง แต่กลับเอาแต่จ้องมองสตรีสองคนนี้ ไม่ผิดแน่ สองคนนี้อาจจะมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนั้นเป็นแน่
“คุณหนูจางชอบอ่านหนังสือหรือไม่เจ้าคะ”
“อ่านบ้างเป็นบางครั้งเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นท่านเคยอ่านหนังสือไร้ชื่อเล่มสีดำหรือไม่เจ้าคะ ญาติผู้พี่ของข้าเคยอ่านนางกล่าวว่าเป็นเรื่องราวลึกลับน่าค้นหา”
“มิเคยเจ้าค่ะ หนังสือที่ข้าเคยอ่านส่วนมากเป็นพวกปรัชญาขงจื้อ”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ” สวี่ลู่ฟางตอบรับพลางเก็บซ่อนสีหน้าคลางแคลงใจ
‘ดูเหมือนข้าจะเข้าใจผิดไปเอง’ หากคนพวกนี้ไม่ได้รู้เรื่องราวในหนังสือแล้ว เหตุใดพวกเขาถึงไม่ตกหลุมรักนางหรือเพราะนางหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนถูกกลั่นแกล้งในงานเลี้ยงแล้วเลือกขึ้นแสดงเป็นคนแรกกัน หรือไม่ก็อาจจะเป็นเรื่องที่นางเผลอตัวกล่าวยุยงหลิวเมิ่งไปก่อนหน้า อีกฝ่ายจึงคิดกลั่นแกล้งคุณหนูจากจวนเสนาบดีแม้ปากจะปฏิเสธบอกไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมีชื่อสตรีผู้นั้นขึ้นแสดง แต่นางมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือหลิวเมิ่งแน่ ที่ทำให้สตรีผู้นั้นได้แสดงความสามารถที่เก็บงำเอาไว้ออกมา ซึ่งหากในหนังสือบรรยายไว้ว่าเจิ้งเข่อชิงมีความสามารถมากถึงเพียงนั้น นางคงไม่เปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถเหนือบุตรสาวหมอหลวงอย่างนางแสดงความสามารถ
ใครจะอยากถูกเปรียบเทียบกับคนที่เก่งกว่าเล่า...
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ