‘วาจาหยอกล้อหรือ ช่างแสร้งใสซื่อได้ไร้ที่ติจริงๆ’ ชิงหนี่ว์คิดแต่ไม่กล่าวอันใด ก่อนจะแสร้งทำสีหน้าโศกเศร้าต่อ
“วาจาหยอกล้อหรือ เช่นนั้นเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เป็นแค่บุตรสาวหมอหลวงแต่บังอาจมาเสนอหน้าร่วมโต๊ะกับองค์รัชทายาทและชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเปิ่นหวาง สมควรแล้วหรือ หากจะกล่าวว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ใครมีเงินก็เข้าได้ เช่นนั้นบุตรสาวหมอหลวงอย่างเจ้าและสหายก็ควรจะย้ายไปนั่งโต๊ะอื่น อย่าได้มาขอนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเปิ่นหวาง ที่ผ่านมาเปิ่นหวางไว้หน้าคุณหนูหลิวเพราะเห็นว่าเป็นน้องสาวของเฟิงเหมียน แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่ไว้หน้าคุณหนูจางที่เปิ่นหวางและองค์รัชทายาทตั้งใจเชิญมาร่วมโต๊ะ เปิ่นหวางก็ไม่คิดจะไว้หน้าพวกเจ้าอีกเช่นกัน” แม้คนเป็นน้องสาวจะโดนว่ากล่าวแต่หลิวเฟิงเหมียนหาได้สนใจไม่ เพราะกำลังตกตะลึงกับสหายที่นานๆ จะกล่าววาจายืดยาวได้
“ขอประทานอภัยเพคะ ที่ทำให้ชินอ๋องซื่อจื่อมีโทสะ ขออภัยคุณหนูจางที่สหายของข้าเอ่ยวาจาไม่ถูกหูท่าน” สวี่ลู่ฟางคุกเข่าลงบนพื้นพลางทำท่าจะโขกหัวให้นางอย่างช้าๆ ราวกับรอจังหวะให้นางเข้าไปห้าม
เอาเถิดข้าจะร่วมเล่นงิ้วกับพวกเจ้าสักฉากก็แล้วกัน แม้จะไม่เข้าใจว่าวันนี้ชินอ๋องซื่อจื่อเป็นอันใดจึงได้บ่นเป็นหมีกินผึ้งเช่นนี้ก็ตาม
“คุณหนูสวี่อย่าได้ทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวใบหน้าจะกลายเป็นรอยแผลลดทอนความงามของท่านนะเจ้าคะ ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบคุณคุณหนูจางที่ให้อภัยเจ้าค่ะ แต่ข้ายังไม่ควรลุกขึ้นหากชินอ๋องยังมีโทสะเช่นนี้”
แปลกดีนักแล คนพ่นวาจาร้ายกาจได้แต่นั่งก้มหน้าไม่ทำอันใด แต่เป็นสตรีดีงามอย่างสวี่ลู่ฟางเองที่ลงทุนคุกเข่าขอโทษแทน ช่างเป็นความสัมพันธ์ฉันท์สหายที่น่าประหลาดใจดี
“ชินอ๋องซื่อจื่อเจ้าขา ท่านคลายโทสะเถิดนะเจ้าคะ คุณหนูสวี่จะได้ลุกขึ้นมากินข้าวต่อ”
“...” โจวอันฉีนั่งหน้านิ่งอย่างไม่สนใจคำร้องขอ
“ชินอ๋องซื่อจื่อ ท่านคลายโทสะเถิดนะเจ้าคะ หากท่านยังโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ ข้าคงกินข้าวไม่ลง”
“พวกเจ้าลุกขึ้น ชิงหนี่ว์มานี่ มานั่งกินข้าวต่อ เจ้าหิวไม่ใช่หรือ”
“ขอบพระทัยชินอ๋องที่ไม่โกรธเคืองหม่อมฉันและสหายเพคะ” สตรีผู้งดงามเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวงปาดน้ำตาที่รื้นขึ้นเพียงเล็กน้อย ท่าทางแช่มช้อยของนางงดงามราวกับภาพวาด
เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่ปกติ เอ่อ...หรือจะไม่ปกติกันนะ เพราะบนโต๊ะสตรีสองคนคีบอาหารเข้าปากน้อยครั้ง คุณชายหลิวก็นั่งกินข้าวด้วยท่าทางสบายราวกับไม่ยุ่งเกี่ยว ส่วนนางก็รีบพุ้ยข้าวจากชามข้าวที่มีอาหารวางอยู่แทบล้น ชินอ๋องซื่อจื่อก็เอาแต่คีบอาหารใส่ชามนางไม่หยุดราวกับกำลังกลั่นแกล้งที่นางไปช่วยสตรีดอกบัวขาวเมื่อครู่
“ชินอ๋องซื่อจื่อเจ้าขา ท่านช่วยคีบไก่องครักษ์ให้หน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ แขนข้าสั้นข้าเอื้อมไม่ถึง”
“อืม” นัยน์ตาดำปราดมองชามข้าวที่มีอาหารวางอยู่เต็มจนแทบไม่เห็นเมล็ดข้าว แม้จะรับรู้ได้ว่าการร้องขอของนางไม่ปกติ แต่เขาก็ยินยอมที่จะทำให้
พอสิ่งที่นางเอ่ยปากขอเข้ามาใกล้นางก็จับมือเขาให้เอื้อมไปวางลงในชามข้าวของคุณหนูสวี่แทน
“คุณหนูสวี่คงอยากกินข้าเห็นนางมองอยู่หลายครั้งแล้ว แต่จนใจที่แขนข้าสั้นจึงได้แต่รบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยคำแก้ตัว
“...” แม้โจวอันฉีจะไม่กล่าวอันใด แต่เขาลอบคาดโทษนางเอาไว้ก่อน
ส่วนจางชิงหนี่ว์พุ้ยข้าวเข้าปากอย่างอารมณ์ดี ดวงหน้าหวานที่แต่งแต้มรอยยิ้มดึงดูดสายตาบุรุษได้เป็นอย่างดี จนหลิวเฟิงเหมียนอดไม่ได้ที่จะหันมามองด้วยแววตาเคลิบเคลิ้ม
“โอ๊ย! อันฉี เจ้าเหยียบเท้าข้าด้วยเหตุใด”
“ข้าไม่เห็น” คำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ของเขาทำให้สหายมองด้วยแววตาแปลกๆ แต่เขาไม่คิดจะสนใจ
“ชินอ๋องซื่อจื่อเจ้าขา รบกวนท่านคีบลูกชิ้นหัวสิงโตให้หน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ในชามเจ้ามีมากถึงสองลูก กินให้หมดก่อน”
“ท่านช่วยคีบให้คุณหนูสวี่ได้หรือไม่เจ้าคะ มันอยู่ไกล นางคงอยากจะกินแต่เอื้อมไม่ถึง”
“หลิวเมิ่ง สหายเจ้าอยากกิน คีบให้นางด้วยสิ” หลิวเฟิงเหมียนที่โดนเหยียบเท้าเป็นรอบที่สองรีบกล่าวขึ้น สหายผู้นี้ช่างอันธพาลยิ่งนัก มีโทสะต่อผู้อื่นแต่มาลงที่เขา
จางชิงหนี่ว์ลอบมองคนนั้นทีคนนี้ทีพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัยใคร่รู้
‘ข้าชักสงสัยแล้วสิ ว่าชินอ๋องซื่อจื่อกับสวี่ลู่ฟางเป็นคนรักกันจริงดังในคำเล่าลือหรือไม่’ เหตุใดถึงได้มึนตึงเย็นชาใส่กันเช่นนี้ หรือบุรุษผู้นี้เป็นพระเอกสายตัวร้ายที่แสดงออกต่อนางเอกร้ายๆ แต่แท้จริงแล้วหลงใหลมาก
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ