“เลิกมองช้าเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้จะเสนอตัวเป็นฮูหยินให้ท่าน แต่ข้ามีสหายเป็นคุณหนูงดงามถึงสองนาง หากท่านสนใจข้าก็ไม่รังเกียจที่เป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยผูกด้ายแดงให้”
“...”
“เงียบเช่นนี้ไม่สนใจสหายของข้าสินะเจ้าคะ”
“อืม”
“เช่นนั้นเป็นใครดีล่ะ อืม...คุณหนูสวี่ลู่ฟาง สาวงามอันดับหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะนางเป็นคนรักของชินอ๋องซื่อจื่ออยู่” กล่าวอ้อมไปอ้อมมาตั้งนาน ได้เวลาเข้าเรื่องเสียที
นัยน์ตาดำที่มองลอดผ่านหน้ากากหนังฉายแววกรุ่นโกรธ ทำให้นางยิ่งมั่นใจว่าบุรุษผู้นี้อาจจะเป็นตัวร้ายผู้นั้น และหากเป็นเช่นนั้นคราวหน้านางจะได้ไม่ต้องกล่าวถึงชินอ๋องซื่อจื่อและสวี่ลู่ฟางอีก
“อ่ะ ท่านอย่าเพิ่งโกรธเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องคิดจะเป็นผู้เฒ่าจันทราให้ข้า เอ้า! เงิน หากเจ้าไม่คิดจะรับไว้ก็นำไปทิ้งซะ” เขากล่าวจบก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดจากไป
‘ช่างร่ำรวยเหลือเกินตัวร้ายผู้นี้’ นางพึมพำก่อนจะก้มเก็บก้อนเงินสี่ทองสามก้อนใส่ถุงเงินของตน
บุรุษผู้มากล้นทรัพย์สมบัติเช่นนี้ น่าเสียดายที่นางเอกผู้นั้นเลือกบุรุษรูปงามแทนแต่หากเป็นนางก็คงเลือกชินอ๋องซื่อจื่อผู้นั้นแทน เพราะขึ้นชื่อว่าองค์รัชทายาทไม่มีทางที่จะมีเมียเดียว ต่างจากชินอ๋องซื่อจื่อที่ให้คำสัตย์สาบานกับมารดาเอาไว้ว่าจะมีฮูหยินเพียงคนเดียวไม่มากรัก
“เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้” วันนี้นางลืมตัวพูดคุยกับเขาดั่งเช่นคนรู้จักมักคุ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาแทบจะเอากระบี่มาปาดคอนางแล้วยังจะข่มขู่นาง แต่จะว่าไปหากมาลองคิดย้อนดูดีๆ เขาก็มีท่าทีเป็นกันเองมากขึ้นยามสนทนากับนาง
เอาเถิดหากนางคุ้นเคยสนิทสนมกับเขาก็ดีไม่น้อย หากบุรุษสวมหน้ากากเป็นตัวร้ายผู้นั้นจริง ตอนนี้นางไม่ได้เป็นคู่หมั้นของชินอ๋องซื่อจื่อแล้ว เขาอาจจะไว้หน้าไม่สังหารนางก็ได้
ในวันนั้นหลังจากบุรุษสวมหน้ากากออกจากเรือนนางไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ บุรุษชุดดำปิดหน้าเหลือเพียงดวงตาที่เป็นลูกน้องก็นำอุปกรณ์วาดภาพและภาพวาดชายงามมาให้นาง
“วันนี้ข้าจะออกไปขายภาพด้วยตนเอง”
“แต่คุณหนูเจ้าคะ เดือนหน้าก็จะถึงงานปักปิ่นแล้ว ท่านให้ข้าไปร้านซือซือแทนดีหรือไม่เจ้าคะ”
“วันนี้ข้าจะไปด้วยตนเอง เพราะข้ามีเรื่องต้องหารือกับพี่สาวหยุนซือ” นางต้องไปดูของที่นางฝากอีกฝ่ายหามาให้เพื่อเป็นของกำนัลให้กับสหายที่จะปักปิ่นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า
“แต่ว่า...”
“ปักปิ่นก็เป็นแค่งานที่จะประกาศให้บุรุษหรือแม่สื่อทราบว่าสตรีผู้นี้พร้อมจะออกเรือนแล้ว ดังนั้นข้าที่คิดจะอยู่เกาะพี่ชาย ท่านลุงและท่านปู่ไปตลอดชีวิต ก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้น”
“คุณหนู...”
“จื่อเป่าออกมา” นางส่งเสียงเรียกผู้คุ้มกัน
“ขอรับคุณหนู”
“พาข้าไปร้านซือซือของพี่สาวหยุนซือ”
“เช่นนั้นขออภัยด้วยนะขอรับคุณหนู” จื่อเป่าตอบรับพลางก้มตัวเพื่อโอบอุ้มคุณหนู
วิชาตัวเบาช่างเป็นสิ่งที่สร้างความสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง จะไปที่ใดไกลๆ ไม่ต้องเดินให้เมื่อย
จางชิงหนี่ว์อมยิ้มเมื่อเห็นก้อนตำลึงในถุงมีมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เพราะได้มาจากบุรุษสวมหน้ากากผู้นั้น
“เรียนคุณหนูคุณชายใหญ่กลับมาแล้วขอรับ” จื่อเหยียนพ่อบ้านเก่าแก่ที่เคยเป็นถึงหัวหน้านายกองในกองทัพประจิมกล่าวรายงานคุณหนู
“อืม”
“วันนี้นายท่านจางจื้อและนายท่านจางเหว่ยจะมารับมื้อเย็นด้วยขอรับ”
“ท่านปู่กับท่านลุงกลับจวนมาพร้อมพี่ใหญ่หรือ”
“ขอรับ”
“เช่นนั้นประเดี๋ยวข้าจะรีบไป”
“ขอรับ” พ่อบ้านเหยียนรับคำก่อนจะกลับไป
“ถามท่านปู่กับท่านลุงเรื่ององค์รัชทายาทแคว้นสือเจ้าดีหรือไม่” นางครุ่นคิดก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับจวนเพื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ดูเรียบร้อยกว่าเดิม
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ