“ข้าไม่ได้คิดอันใดกับคุณหนูสวี่จริงๆ เจ้าอย่าได้คิดยัดเยียดข้าให้ผู้อื่น” แม้อยากจะเร่งรัดให้เกิดงานหมั้นหมาย แต่ทว่าฮ่องเต้และฮองเฮากลับไม่ยินยอม
ทั้งสองพระองค์ต้องการให้เขาจัดการตนเองให้ปราศจากข่าวลือเสียก่อน ซึ่งเขาก็คงต้องรีบลงมือทำ มิเช่นนั้นสตรีผู้นี้ก็คงเข้าใจผิดไม่เลิก
ใครกันบังอาจปล่อยข่าวลือน่ารังเกียจพวกนั้น เขาไม่เคยรักใคร่ไยดีสวี่ลู่ฟางแม้แต่น้อย เหตุใดเรื่องราวถึงใดถูกเล่าลือไปเช่นนั้น
“ปากก็กล่าววาจาหลอกลวง แต่ท่านคงลืมไปแล้วว่าผู้อื่นไม่ได้ตามืดบอดถึงจะมองไม่เห็นว่าท่านนัดเจอและไปไหนมาไหนกับนางอยู่บ่อยครั้ง หากท่านพึงใจนางก็ควรรีบยกเลิกการหมั้นหมายกับข้า” นางจะได้ไปหาวิธีทำให้ตนเองได้อยู่กับสตรีที่ตนพึงใจเช่นกัน
หากสตรีผู้นั้นเป็นชิงหนี่ว์นางก็ยินดีที่จะถูกเล่าลือว่าเป็นหมัวจิ้ง
“ข้าไม่เคยนัดเจอนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว ข้าต้องกล่าวเช่นไรเจ้าถึงจะยอมเชื่อ”
“ไม่ต้องกล่าว ข้าไม่ได้อยากทราบเรื่องราวของท่าน ปล่อยข้าได้แล้ว” นางเริ่มโวยวายอีกครั้งเมื่อเขายังกดตรึงนางไว้กับผนังไม่ยอมถอยห่าง
“เข่อชิง ข้าต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะกลับมารักข้าอีกครั้ง” เขาถอยออกห่างปล่อยนางให้เป็นอิสระ
“ท่านเพียงแค่นิ่งเฉย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับข้าเช่นที่ผ่านมาก็เพียงพอแล้ว” นางกล่าวจบก็ทำท่าจะไปตามหาสหาย
“...” เขาหมดแรงที่จะกล่าวอันใดอีก หากนางไม่เชื่อต่อจากนี้คงได้แต่ทำให้เห็น
ในจังหวะที่นางจะเดินผ่านหน้าไป เขาใช้มือใหญ่สองข้างจับประคองใบหน้านางไว้แล้วตะโบมจุมพิตนางอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยออก นัยน์ตาคมจับจ้องริมฝีปากนางที่บวมแดงขึ้นด้วยแววตาพึงพอใจ
‘ในเมื่อข้ารู้ใจตนเองแล้ว เหตุใดข้าจะต้องเพิกเฉยต่อเจ้าเฉกเช่นที่ผ่านมาด้วย’ เขาคิดแต่ไม่ยอมเอ่ยปาก
“เอาเถิดข้าจะพิสูจน์ตนเองให้เจ้าเห็น” เขาจับมือนางเอาไว้ก่อนจะเอ่ยออกมา สายตาที่จับจ้องดวงหน้าหวานเต็มไปด้วยความจริงจังจนคุณหนูเจิ้งขนลุก
ด้านบุรุษในอาภรณ์สีดำลายพยัคฆ์ปักทองที่พาตัวนางออกมาจากห้องนั้น ก่อนจะปล่อยนางเมื่อพ้นจากห้องนั้นมาไกล
“เหตุใดพวกพระองค์ถึงได้เอาแต่ใจกันเช่นนี้” คนรักของเขาก็อยู่ที่นี่ หากมาเห็นเขาทำเช่นนี้กับตน มิไปเป่าหูบุรุษสวมหน้ากากให้มาสังหารนางหรอกหรือ ชายผู้นั้นเป็นตัวร้ายที่มีภูมิหลังเป็นถึงองค์รัชทายาทแคว้นสือเจ้าเชียวนะ
“องค์รัชทายาทเพียงอยากสนทนากับคู่หมายของตนเป็นการส่วนตัว”
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปรอสหายของหม่อมฉันด้านล่าง”
หมับ มือใหญ่จับข้อมือกลมกลึงเอาไว้ นัยน์ตาดำจ้องมองนางด้วยสายตาห้ามปราม
“พี่บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ให้กล่าววาจากับพี่เช่นไร”
“...”
“เจ้าเพิ่งมาถึงยังไม่ได้กินอันใดใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ แต่มิเป็นไร ข้าค่อยมาครั้งหน้า”
“เสี่ยวเอ้อร์ ด้านบนนี้มีห้องว่างหรือไม่” บุรุษตรงหน้าไม่ตอบนางแต่เขาหันไปถามคนของโรงเตี๊ยมซึ่งกำลังยกอาหารผ่านมาพอดี
“ขออภัยนายท่านขอรับ ห้องส่วนตัวด้านบนตอนนี้เต็มหมดแล้วขอรับ”
“อืม” เมื่อลูกค้าท่าทางสูงศักดิ์พยักหน้า เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นก็ไปทำหน้าที่ของตนต่อ
เดี๋ยวนะ...เหตุใดนางไม่ใช้โอกาสนี้ ช่วยสานสัมพันธ์ผูกวาสนาด้ายแดงให้กับชินอ๋องซื่อจื่อและคุณหนูสวี่ผู้นั้นเล่า
“แม้ข้าจะหิวอยู่บ้าง แต่ในเมื่อไม่มีที่ว่างพอจะให้ข้านั่งกินข้าวได้ ข้าทนหิวอีกนิดแล้วกลับไปกินที่จวนก็ได้เจ้าค่ะ” คุณหนูจางกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ท่าทางน่าสงสารเช่นนี้นางใช้บ่อยยามที่ท่านปู่ ท่านลุง และพี่ชายไม่ยอมให้ทำในสิ่งที่นางต้องการ
“เช่นนั้นพี่จะไปไล่องค์รัชทายาทกับคู่หมายของเขา”
“อย่าทำเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้ล่วงเกินองค์รัชทายาทเลยเจ้าค่ะ”
“แต่เจ้าจะหิว...”
“ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าท่านกำลังกินข้าวกับสหายและคุณหนูสวี่หรือเจ้าคะ หากข้าไปขอร่วมโต๊ะพวกเขาจะรังเกียจข้าหรือไม่” ท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวของนางทำให้มุมปากหยักของเขายกยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะเลือนหายไปราวกับไม่มีมาก่อนยามนางเงยหน้าขึ้นมามอง
“มีพี่อยู่ ใครจะกล้ารังเกียจเจ้า” กล่าวจบเขาที่ยังคงจับข้อมือนางอยู่ รั้งให้นางเดินตาม
เมื่อประตูเปิดออก สองสตรีหนึ่งบุรุษหันมามองในทันที เมื่อเห็นนัยน์ตาดอกท้อของสวี่ลู่ฟางฉายแววกรุ่นโกรธนางจึงรีบบิดข้อมือให้หลุดจากการเกาะกุมในทันที
“คารวะคุณชายหลิว คุณหนูหลิว คุณหนูสวี่เจ้าค่ะ” เนื่องจากนางยังไม่ได้ปักปิ่น จึงต้องเคารพผู้ที่มีอายุมากกว่าตามมารยาท
“คุณหนูจาง เจ้าก็มาหรือ” หลิวเฟิงเหมียนเอ่ยทักทายเพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้เห็นนางและสหายเดินผ่านห้องนี้ไป
“เจ้าค่ะ แท้จริงข้ามากับสหาย แต่นางเอ่อ...มีเรื่องต้องพูดคุยเป็นการส่วนตัว ข้าจึงแยกตัวออกมาเจ้าค่ะ” นางตอบพลางจะทรุดตัวนั่งข้างๆ คุณชายหลิว เพื่อตั้งใจให้ชินอ๋องซื่อจื่อได้นั่งข้างคนรัก
“เจ้าไปนั่งตรงนั้น” โจวอันฉีรั้งชายอาภรณ์นางให้ถอยออกห่างก่อนจะดันตัวให้ไปนั่งข้างนางเอกผู้นั้น ส่วนตัวเองก็นั่งลงระหว่างนางและหลิวเฟิงเหมียนแทน
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ