LOGINแม้ว่าจะไม่สบายใจที่ตัวเองเพิ่งก่อเรื่องร้ายแรงมา ทว่าภริตาก็ไม่ได้มีเวลาให้คิดถึงเรื่องนี้มากนัก เพราะตอนนี้เงินจำนวนสองล้านบาทที่ได้จากการว่าจ้างได้นอนรอในบัญชีเธอเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็แค่นั้น เพราะเจ้าหนี้ของพ่อก็โผล่หน้ามาทวงเงินถึงหน้าบ้าน
“ตกลงเงินที่ติดจำนองฉันจะได้เมื่อไหร่หา ไอ้เกริก! นี่ก็ถึงวันนัดแล้วนะ” เจ้าหนี้บ่นพร้อมชักสีหน้าใส่เกริก
“ใจเย็นซิครับเสี่ยชาติ ผมขอผลัดไปอีกสองอาทิตย์ได้ไหม ช่วงนี้…” ยังไม่ทันจบคำอีกฝ่ายก็สวนกลับทันที
“อีกแล้วเหรอ”
“ผมหาไม่ได้จริงๆ เอาไว้ผมจะรีบหามาใช้คืนเสี่ย”
“เอ็งผลัดมาไม่รู้กี่รอบแล้วไอ้เกริก! ไม่รู้ล่ะ ถ้าวันนี้เอ็งหามาจ่ายคืนไม่ได้ก็ออกไปจากบ้านนี้ซะ ข้าจะปล่อยให้คนอื่นมาเช่า”
“โธ่เสี่ย เห็นใจผมหน่อยเถอะ ถ้าไล่ผมออกแล้วผมกับลูกจะไปอยู่ไหนละครับ”
“นั่นมันเรื่องของเอ็ง จะไปนอนวัดหรือนอนข้างถนนมันก็เรื่องของเอ็ง”
“งั้นผมขอจ่ายวันมะรืนได้ไหมครับ ถือว่าเห็นใจผมเถอะ” เกริกขอผลัดไปอีกสองอาทิตย์ เพราะเงินจำนวนหลายแสน เขาเองก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ไหน
“ใครมากันคะพ่อ”
เสียงโหวกเหวกหน้าบ้านทำให้ภริตาที่ทำกับข้าวอยู่ในครัวหลังบ้านเดินออกมาดู พอเห็นว่าบิดากำลังขอร้องเจ้าหนี้อยู่ เธอก็โพล่งขึ้นอย่างเหลืออด
“พ่อไม่ต้องไปเสียเวลาขอร้องหรอกค่ะ คนที่เห็นแก่เงินอย่างเสี่ย เขาไม่สนใจความทุกข์ของเราหรอกค่ะพ่อ”
ภริตาพูดเพื่อเตือนสติบิดา ทว่าคนที่เหมือนจะเจ็บร้อนไปกับคำพูดของเธอด้วยก็สวนกลับมาทันควัน
“ทำเป็นพูดดีนะไอ้วาด! ถ้าไม่อยากให้กูด่า มึงก็จ่ายเงินกูเสียดีๆ”
“ค่ะเสี่ย วาดจะจ่ายให้ตอนนี้เลย เชิญเสี่ยเอาสัญญามาฉีกได้เลย” หญิงสาวท้า แต่ผู้เป็นบิดากลับตกตะลึง พอได้สติก็รีบวิ่งมาห้ามลูกสาวพัลวัน
“วาดทำไมไปพูดแบบนี้ล่ะ พ่อยังไม่มีเงินคืนเสี่ยเขาหรอกนะ ใจเย็นๆ อย่าหาเรื่องเลยนะ พ่อขอร้อง”
“พ่อไม่มี แต่วาดมีค่ะ” เธอตอบก่อนตวัดดวงตาวับวาวไปยังร่างอ้วนฉุที่อ้าปากมองเธออย่างกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างน่ารังเกลียด
“ตกลงเอาไงห๊ะ จะจ่ายไม่จ่าย ถ้าไม่จ่ายก็ขนของออกมาด้านนอกเลย เสียเวลากูทำมาหากิน!”
“เสี่ยเอาสัญญามาเลย” ภริตาพูดแล้วก็ใส่รองเท้ามายืนตรงหน้าชายแก่หัวเถิกร่างท้วม แบมือขอเอกสารสัญญาเงินกู้ที่จำนองบ้านไว้ อีกฝ่ายถลึงตาก่อนพูดจาจิกกัดตามประสาผู้มีอิทธิพล
“จะไม่เชิญฉันเข้าบ้านรึ ให้ยืนเซ็นกันตรงนี้เหรอไอ้วาด เห็นแก่หน้ากูบ้าง ตอนพ่อมึงมาขอเงินกูแทบจะกราบตีนกูอยู่แล้ว”
“เอาตรงนี้แหละ ขี้เกียจล้างบ้าน” เธอย้อนไปด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากคนตรงหน้า
“หน็อยอีเด็กเวรนี่! พูดจาจะถอนหงอกกูอยู่แล้ว”
“ตกลงเสี่ยจะเอาเงินมั้ย ถ้าไม่เอาฉันจะไปทำงาน”
“เอาไป ดูแล้วก็รีบเอาเงินมาคืนกูเร็วๆ” มือเหี่ยวยื่นเอกสารสัญญาไปตรงหน้าภริตาอย่างไม่พอใจ
แผ่นกระดาษคู่สำเนาถูกยื่นมา ภริตาหยิบมาอ่านแล้วฉีกมันทิ้ง ก่อนจะโอนหนี้ส่วนที่เหลือทั้งหมด
“จบนะคะ เชิญกลับไปได้แล้ว” ภริตาพูดจบก็หันหลังเข้าบ้าน ไม่อยู่รอฟังคำสวดของชายร่างท้วมที่ขนลูกน้องมาหน้าบ้านเธอเป็นโขยง
“หยิ่งนักนะ ถามจริงเงินเยอะขนาดนี้ มึงไปขายตัวในซ่องไหนเร๊อะ นังวาด!”
“เสี่ย เงินผมก็จ่ายไปแล้ว อย่าหาว่าผมขู่เลยนะ ลูกผมไม่ทำงานแบบนั้นหรอก” เกริกพูดทิ้งท้ายอย่างเอือมๆ ก่อนจะเดินเข้าบ้านตามลูกสาวอีกคน
พอจบเรื่องสองพ่อลูกก็มานั่งทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข หากทว่าก็กลับเป็นความสุขครั้งสุดท้ายเมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้น
“พ่อว่าจะย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัดนะ วาดจะไปกับพ่อด้วยกันมั้ย”
ภริตาที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่อย่างมีความสุขที่สามารถจัดการกับปัญหาได้ก็ชะงัก
“ไปที่ไหนคะ”
“แม่ฮ่องสอน”
“ไปเสียไกลเลยพ่อ”
“วาดก็ไปอยู่ด้วยกันนะ เราไปสร้างบ้านกันที่โน่น”
“วาดคงไปด้วยไม่ได้ค่ะ ตอนนี้วาดกำลังรองานอยู่ พ่อล่วงหน้าไปก่อนได้ไหมคะ ถ้าสุดท้ายวาดไม่ได้งานจริงๆวาดจะตามพ่อไป” ผู้เป็นลูกสาวตอบ แต่แววตามีความลังเล
“ทำไมล่ะ แล้วลูกจะอยู่ยังไงคนเดียว”
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ วาดอยู่ที่นี่ได้ พ่อไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยววาดจะไปเช่าห้องอยู่กับเพื่อนจะได้มีคนช่วยหารค่าห้อง ส่วนบ้านเรา เราก็ปล่อยเช่าเอาก็ได้ค่ะ”
“เอางั้นเหรอ”
“ค่ะพ่อ วาดอยากทำงานในสายที่เรียนมา แต่ถ้าไม่ได้จริงๆวาดจะตามพ่อไปนะคะ”
แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่พอได้ยินลูกสาวยืนยันเช่นนั้นคนเป็นพ่อก็ไม่อยากขัดพยักหน้ารับความต้องการของลูกสาวในที่สุด
หลังจากได้คุยและทานข้าวด้วยกันในคืนนั้น รุ่งเช้าสองพ่อลูกจึงต่างแยกย้ายกันในวันต่อมา ภริตาไปส่งบิดาขึ้นรถทัวร์เสร็จก็กลับมาจัดการเรื่องบ้านที่จะเปิดให้คนเช่า กระทั่งจบเรื่องทุกอย่าง หญิงสาวก็ลากกระเป๋าใบเดียว ไปอาศัยอยู่กับปิ่นเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยด้วยกัน
ปิ่นทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งจึงชวนภริตาไปทำงานด้วยระหว่างรอบริษัทที่ไปสมัครเรียกสัมภาษณ์ วันเวลาผ่านไปรวดเร็วจนล่วงมาเกือบสองเดือน จู่ๆ เช้าวันนี้ภริตาก็อาเจียนแต่เช้า
“วาดเป็นไรรึเปล่า” ปิ่นตะโกนถามจากด้านนอก
“ไม่เป็นไร เราไม่เป็นไร แค่โรคกระเพาะกำเริบน่ะ”
“แล้วไหวมั้ย ถ้าไม่ไหว เดี๋ยวลางานกับพี่ต่อให้” ต่อเป็นผู้จัดการร้านอาหารที่ทั้งคู่ทำงานอยู่
“ไหว”
“ไหวแน่นะ”
“อืม”
ภริตาข่มใจลากสังขารที่ไม่พร้อมของตนเองไปทำงาน เพราะไม่อยากลาหยุดพร่ำเพรื่อ แต่ตลอดทั้งวันนั้นอาการพะอืดพะอมก็ยังคงมีอยู่ หารู้ไม่ว่าอาการของเธออยู่ในสายตาของวาธินทร์อยู่ตลอดเวลา
“วาดเป็นอะไรรึเปล่า” วาธินทร์เป็นเจ้าของร้านเขาลงทุนกับเพื่อนอีกสองคนเปิดร้านอาหารนี้ ส่วนปิ่นกับภริตาจึงมาสมัครเป็นพนักงานเสริฟในระหว่างรอสัมภาษณ์งาน
“เราไม่เป็นอะไร ขอบใจนะ” ภริตายิ้มอ่อนปฏิเสธ แต่แล้วเพราะร่างกายฝืนไม่ไหวจึงล้มพับกองไปกับพื้น วาธินทร์ตกใจและรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้ๆทันทีด้วยความเป็นห่วง แต่ข่าวที่ได้รับกลับน่าตกใจยิ่งกว่า
“ดีใจด้วยครับ คนไข้กำลังจะมีน้อง”
“หมอว่าอะไรนะครับ” วาธินทร์เปล่งเสียงถามราวกับคนละเมอ หันไปมองหญิงสาวที่หลับตาพริ้มบนเตียงแล้วก็ไม่เข้าใจ
“คนไข้ตั้งครรภ์ครับ”
หมอจากไปแล้ว แต่คนที่นอนบนเตียงคนไข้หลับตาแน่น ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เธอกังวลจะเกิดขึ้นจริง
“วาด” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น แต่อีกฝ่ายก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง เขาจึงดักคอขึ้น “เรารู้ว่าวาดไม่ได้หลับ”
“ใช่ วาดไม่ได้หลับ แต่เพราะวาดรู้ไงว่าธินทร์จะถามอะไร”
“นั่นสิ ใครกันล่ะวาด ใครเป็นพ่อเด็ก”
“วาดตอบไม่ได้ เพราะเขาได้ตายไปแล้ว” เสียงเบาหวิวตอบ กระนั้นก็หันมาสบตาเพื่อน
“งั้น...เราจะเป็นพ่อให้ลูกของวาดเอง”
“ไม่ได้!” ภริตาปฏิเสธในทันที หากก็เห็นถึงความไม่เข้าใจในสายตาของวาธินทร์ เธอรู้ว่าคนตรงหน้าแอบรักเธอมาตลอด แต่เพราะเรื่องของหัวใจมันห้ามกันไม่ได้ เธอจึงไม่เคยวางให้วาธินทร์อยู่ในตำแหน่งนั้น
“ทำไมล่ะวาด ทำไมถึงไม่ได้ ในเมื่อวาดเองก็ไม่ได้มีคนนั้นแล้ว”
“ธินทร์ไม่เข้าใจหรอก”
“ใช่! เราไม่เข้าใจ” น้ำเสียงของวาธินทร์โต้กลับไปเสียงกร้าว เขาผ่านจุดแบกรับความเสียใจมานับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมแบกมันไว้อีก
ภริตาต้องเป็นของเขา!
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของวาด และวาดจะจัดการเรื่องนี้เอง” ภริตาเอ่ยเสียงเครือ เธอรู้ว่าคนอย่างวาธินทร์ยอมได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครอง ยอมแม้กระทั่งรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเธอยอมไม่ได้
“สุดท้ายแล้ว วาดก็มองเราเป็นคนอื่นอยู่ดี”
“ไม่ใช่! เราไม่ได้คิดแบบนั้น แต่...”
“ช่างเถอะ!! ไม่ว่ายังไงเราจะไม่ยอมให้วาดปฏิเสธอีก"
ภริตาถอนหายใจยาว เครียดเรื่องตัวน้อยๆ อยู่ในห้องไม่พอ ตอนนี้เธอยังต้องมาเครียดกับวาธินทร์อีก เธอไม่รู้จะปฏิเสธวาธินทร์ยังไง ในเมื่อพูดอะไรอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับฟังจะเอาชนะเธออย่างเดียว
3เดือนต่อมาภริตากำลังนั่งถักหมวกเพื่อให้เจ้าตัวเล็กได้สวมใส่ในช่วงหน้าหนาว หรือเวลาที่เอเมอร์พาเธอกับลูกไปเที่ยวที่ต่างประเทศในอนาคต ตอนนี้ลูกน้อยของภริตาได้มีอายุครบหกเดือนเต็มแล้ว แถมยังชอบส่งยิ้มให้ป๊ากับมี๊อีกด้วยเอเมอร์เมื่อเห็นลูกเริ่มเล่นได้ก็เห่อซื้อของขวัญชิ้นโตๆ ให้ลูกมาเป็นโขยง ทั้งที่ของทุกชิ้นลูกก็ยังเล่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ดูท่าคุณพ่อป้ายแดงคงจะเห่อลูกไปอีกนานปรี๊น!ปรี๊น!เสียงแตรรถบีบเรียกให้ภริตารีบออกไปต้อนรับการกลับมาของสามี ร่างบางวางเครื่องมือการถักผ้าลงก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปหาเอเมอร์ที่บริเวรหน้าประตูใหญ่ร่างสูงสวมชุดสูทราคาแพงขึ้นบันไดตรงเข้ามากอดภรรยาคนสวยพร้อมกับหอมอีกสองฟอดภริตาถึงกับต้องตีที่แขนเอเมอร์เป็นเชิงเอ็ดเพราะกลัวว่าคนใช้ในบ้านจะมาเห็นเข้า“เดี๋ยวคนอื่นก็เห็นหรอกค่ะ”“อายทำไม ผัวเมียกอดหอมกันมันเป็นเรื่องธรรมชาตินะวาด”“คุณก็!”“เรารีบเข้าบ้านเถอะ ฉันคิดถึงเธอกับลูกจะแย่แล้วรู้มั้ย”ร่างสูงโอบไหล่ภรรยาสาวและพ
หลังจากที่ผู้หลักผู้ใหญ่ตกลงกันเสร็จสิ้นนัยนาก็รับหน้าที่ไปจัดการเรื่องการ์ดเชิญแขกที่จะมาร่วมงาน ส่วนภาพวาดและเอเมอร์จึงมานั่งคุยกันถึงเรื่องวันงาน“วาดขอจัดงานไม่ต้องใหญ่โตมากนะคะ เราเชิญเฉพาะแค่แขกที่สนิทจริงๆ ก็พอค่ะ”เสียงใสพูดกับสามีด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่เอเมอร์กลับเลิกคิ้วเข้มขึ้นอย่างตั้งคำถาม ฐานะของเขาก็ออกจะใหญ่โตขนาดนี้ทำไมภรรยาถึงอยากให้จัดงานแค่เพียงงานเล็กๆ“ทำไมล่ะ เธอไม่อยากจัดงานใหญ่ๆ ให้ตัวเองมีหน้ามีตาในสังคมงั้นเหรอ”“ไม่หรอกค่ะ วาดอยากจัดแบบอบอุ่นมีแค่คนกันเอง วาดว่ามันดูเรียบง่ายและไม่วุ่นวายดีค่ะ”“งั้นเหรอ”“ค่ะ แล้วอีกอย่างลูกเราก็ยังอายุไม่ถึงหนึ่งขวบเลย ไว้ให้ลูกครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่วาดอยากจะจัดงานอีกรอบ และอยากให้เราสองคนพาลูกเข้าประตูวิวาห์ด้วยค่ะ เพื่อเป็นพยานรักให้กับเราสองคน คุณว่าไงคะ?”ภาพวาดร่ายยาวถึงความตั้งใจของเธอที่อยากมีลูกมาร่วมพิธีด้วย ทำให้เอเมอร์มองหน้าสวยพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู“รู้ตัวมั้ยว่าเธอน่ารักมาก”มือห
“ทำไมต้องเป็นคุณด้วยนา”เสียงทุ้มเอ่ยถามอดีตคนรักเก่าอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าสามีของภาพวาดจะเป็นลูกชายของเธอจริงๆ“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะคะว่าหนูวาดเป็นลูกสาวของคุณ” นัยนาตอบชายหนุ่มไปด้วยความสัตย์จริง เธอเองก็ไม่เคยคิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้“ผม…”เกริกถึงกับพูดอะไรไม่ออก หลายปีมานี้เขาไม่เคยลืมเธอได้เลย แต่โชคชะตากลับเล่นตลกทำให้สองคนวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว เพราะเขาทั้งคู่ต่างคนก็ต่างเริ่มต้นใหม่เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องในอดีตเท่านั้น!“ฉันดีใจนะคะที่คุณเลี้ยงลูกสาวเติบโตมาได้เป็นอย่างดีเลย หนูวาดน่ารักมากๆ ส่วนเรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว”นัยนาส่งยิ้มจริงใจให้เกริกในขณะที่ลูกๆ กำลังพากันงงกับเหตุการณ์เบื้องหน้า แต่ทั้งภาพวาดและเอเมอร์ต่างก็หันมาสบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร เพราะไม่อยากขัดบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสอง เขาทั้งสองฟังอยู่เงียบๆ และปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง“ลูกชายคุณก็หล่อ…น่าจะได้พ่อมาเยอะนะ”เก
หนึ่งเดือนผ่านมาบิดาของภริตาก็ลงมาเยี่ยมหลาน ภริตาดีใจมากที่ได้เจอหน้าพ่อเป็นครั้งแรกในรอบปี ตอนแรกเธอคิดว่าจัดงานเลี้ยงเล็กๆ แต่เอเมอร์กลับเห็นว่าไหนๆ พ่อตาก็ลงมาเจอหน้าหลานทั้งที จึงคิดใช้โอกาสนี้ให้สองครอบครัวมาทำความรู้จักกัน เพราะส่วนหนึ่งเขาก็อยากคุยเรื่องแต่งงานด้วยและแล้วงานเซอร์ไพรส์ก็เกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง จากที่จะเลี้ยงกันเล็กๆ ภายในครอบครัวก็กลายเป็นงานเลี้ยงแบบมีพิธีการย่อมๆ“คุณ” ภริตาสะกิดเรียกสามี เมื่อเห็นอาการของสองพ่อที่มาเจอกันในงาน“หือ”“คุณว่าเขาจะคุยกันยังไงคะ” ภริตาพูดแล้วพลางขยิบตามองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่นั่งร่วมโต๊ะ หากทว่าต่างคนต่างนิ่งเงียบ“ภาษาใบ้ไง” เอเมอร์ตอบกลับ“คุณก็”“ไปเถอะ ปล่อยให้พ่อพ่อเขาคุยกันเถอะ เจ้าอินดี้หิวแล้วล่ะ” เอเมอร์ชวนก่อนจะเดินนำเธอไปหาลูกน้อย ปล่อยให้ชายวัยใกล้หกสิบทั้งสองคนที่เหมือนจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องจ้องหน้ากันเงียบๆคนหนึ่งเป็นคนไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อีกคนเป็นคนต่างชาติที่แม้จะมาอยู่ปร
กลางดึกของวันที่อากาสเย็นเยียบ ภริตาตื่นมาก็สัมผัสกับความเปียกชื้นตรงกลางหว่างขา เธอรีบปลุกร่างใหญ่ที่นอนอยู่ข้างๆ กัน“ที่รัก”“…”เงียบไร้เสียงตอบรับ ภริตาจึงเอื้อมมือมาเขย่าแขนกำยำพร้อมกับปลุกเรียกอีกครั้ง“ที่รักตื่นสิ ฉันปวดท้อง”“หืม?”คำว่าปวดท้องทำให้อดีตมาเฟียหนุ่มกระพือตาเปิด ขยี้เปลือกตาไปมาสักพักเพื่อปรับแสง ก่อนลุกนั่งแล้ววิ่งวุ่นจัดการทุกอย่างให้พร้อมสรรพภริตาเริ่มหน้ายับย่น ความปวดเริ่มกระจายวงกว้าง“ที่รัก...ฉันเจ็บท้อง” เธอร้องบอกสามี“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ได้เห็นหน้าลูกแล้ว”ใบหน้าสวยพยักหน้ารับ ฝืนใจข่มความเจ็บก่อนส่งมือให้ช่วยพยุงพากันลงด้านล่างของเพ้นท์เฮ้าส์ เพราะเป็นเวลาดึกถนนโล่ง เพียงไม่ถึงยี่สิบนาที เอเมอร์ก็พาภริตามาถึงโรงพยาบาล และทันทีที่มาถึงร่างของว่าที่คุณแม่ก็ถูกเข็นเข้าไปด้านในเอเมอร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปลอดโรคตามคุณหมอผู้เป็นเจ้าของไข้ กระทั่งผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง&l
หลังผ่านความวุ่นวายทุกอย่าง เอเมอร์ตัดสินใจพาภริตามารู้จักครอบครัว ด้วยเขาคิดอยากจะสร้างอนาคตร่วมกันและวางแผนสำหรับชีวิตที่กำลังจะมีไอ้ต้าวก้อนออกมาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าภายในรถคันหรู เอเมอร์มีท่าทีสบายๆ แต่ภริตากลับมีสีหน้าเคร่งเครียดจนชายหนุ่มต้องเอ่ยถามขึ้น“เป็นอะไร นั่งนิ่งเชียว”“กลัวค่ะ”“กลัวอะไร”“กลัวคุณแม่คุณ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาติดกังวล แต่คนฟังอย่างเอเมอร์ปล่อยขำออกมาเสียงดัง“ฮ่า ฮ่า ฮ่า กลัวอะไร แม่ฉันไม่ได้มีเขี้ยวงอกออกมาซะหน่อย” มาเฟียหนุ่มเอ่ยขำๆ แต่ภริตาเริ่มเขม่นตามาแบบขวางๆ“คุณก็หัวเราะได้ซิ ไม่รู้หรือไงว่าศึกระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ทำผัวเมียพังมานักต่อนักแล้ว วาดไม่ไปได้มั้ย ขอลงตรงนี้เลย” พูดจบมือเล็กก็เตรียมพร้อมปลดล็อกประตูรถ“ขี้ขลาด!”หญิงสาวที่กำลังจะหนีสะดุ้ง“เรื่องอะไรมาด่าวาดด้วยเล่า”“ไม่ให้ด่าได้ไง เรื่องมันยังไม่ทันเกิด แต่เธอก็กลัวจนหัวหดเสียแล้ว ไม่สมกับเป็นเมียฉ







