“ลั่วอี้ข้าทำอาหารเอาไว้ให้ท่านแล้วรวมไปถึงยาสำหรับลั่วซาน ท่านช่วยป้อนลั่วซานแทนข้าด้วย แล้วก็นี่” เยว่ฉียื่นขวดหยกให้สามี ในนี้บรรจุน้ำแห่งชีวิตผสมเจือจางเอาไว้
ตอนแรกนางตัดสินใจจะผสมเข้ากับน้ำที่ใช้ในการทำอาหาร แต่คิดไปคิดมาอาจจะเห็นผลไม่ดีเท่าที่ควร จึงได้ผสมเจือจางในปริมาณหนึ่งชามเล็กต่อน้ำแห่งชีวิตหนึ่งหยดแล้วบรรจุใส่ขวดให้ทานด้วย
“ต่อจากนี้ท่านต้องดื่มวันละขวด ข้าจะเตรียมให้ท่านทุกเช้า” หานลั่วอี้มองขวดหยก ยื่นมือออกไปจับมาถือไว้ในมือ ก้มมองอย่างสงสัย
“ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่?” นางรู้ว่าเขาสงสัยแต่ก็ยังไม่พร้อมจะบอกความจริงตอนนี้ หวังเพียงว่าเขาจะเชื่อใจนางและไม่เอ่ยถามสิ่งใด หานลั่วอี้เงยหน้ามองภรรยา มองนัยน์ตาดอกท้อที่สะท้อนความจริงใจออกมา
ถึงจะยังสงสัยว่าสิ่งใดกันที่ถูกบรรจุอยู่ในขวดหยก ทว่าเพราะดวงตาที่มองมาและความกังวลบนใบหน้าช่วยให้เขาคลายความสงสัยลงไปหลายส่วน ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอยากจะลองเสี่ยงดู
ลองเสี่ยงดูว่านางจะทำร้ายเขาหรือไม่
“ข้าเชื่อใจเจ้า” น้ำเสียงตอบกลับช่างหนักแน่นในความรู้สึก เยว่ฉีย่อตัวลงตรงหน้าชายหนุ่ม วางมือลงบนหลังมือเขา จ้องหน้าเขม็ง
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” แม้จะไม่รู้ว่าประโยคดังกล่าวหมายถึงสิ่งใด ถึงกระนั้นใบหน้าหานลั่วอี้ก็พยักขึ้นลง มุมปากหยักโค้งขึ้นยากจะสังเกตเห็น
“เช่นนั้นข้าไปก่อน อย่าลืมป้อนยาลั่วซาน” กล่าวย้ำอีกครั้ง
หานลั่วอี้พยักหน้า “ระวังอันตรายด้วย”
“ข้าจะระวัง”
เยว่ฉีออกไปแล้ว หานลั่วอี้มองตามจนแผ่นหลังลับตาไป ก่อนจะถอนสายตากลับมามองของในมือ เปิดจุกออก กลิ่นหอมบริสุทธิ์กำจายออกมาจากปากขวดให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาสูดดมอีกครั้ง หัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากัน ของเหลวที่บรรจุอยู่ด้านในคล้ายสัมผัสได้ถึงพลังชีวิต ร่างกายก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ในตอนที่ตัดสินใจดื่มลงไป ยามของเหลวไหลลงสู่ลำคอกระจายไปทั่วร่างกายแล้วนั้น เขาพลันสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ถูกแช่แข็งมาอย่างยาวนานถูกกระตุ้น
เส้นลมปราณซึ่งเคยเสียหายกำลังถูกซ่อมแซม พลังสายหนึ่งแผ่ขยายไปทั่วเส้นประสาท แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็สัมผัสได้ ตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงหยดน้ำบางเบากำลังเข้าไปเติมเต็มสายน้ำแห้งคอดให้ชุ่มฉ่ำขึ้นมา
ร่างกายพลันอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด
หลังสัมผัสความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ความประหลาดใจพลันปรากฏขึ้นในดวงตา หานลั่วอี้ก้มลงมองขวดหยกในมือเขม็ง
เจ้าสิ่งนี้คือของดี แม้จะไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ แต่ทว่ากลับเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดตอนนี้ ไม่รู้ว่าเยว่ฉีไปได้น้ำวิเศษเช่นนี้มาได้ยังไง
“หรือว่าจะเกี่ยวกับการหายตัวไปเมื่อวาน?” บุรุษหนุ่มได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ในเมื่อเจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่ของอันตรายแถมนางยังหยิบยื่นมาให้ด้วยความเต็มใจ เช่นนั้นเขาก็จะไม่ซักถาม เชื่อมั่นในตัวนางและรอคอยวันที่เยว่ฉีพร้อมจะบอกทุกเรื่องให้เขาได้รู้
และเพราะของเหลวในขวดนี้ทำให้หานลั่วอี้ปลดระวางความกังวลระคนหวาดระแวงที่ว่า เยว่ฉี อาจจะเป็นคนของสตรีผู้นั้นลงไปหลายส่วน ความเชื่อมั่นและไว้ใจที่มีให้เพิ่มพูนขึ้นเท่าตัว จากแต่เดิมที่มีอยู่มากให้มากขึ้นไปอีก
สตรีผู้นั้นไม่มีทางหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เขา นางผู้หวังให้เขาพินาศมากที่สุดมีหรือจะมอบโอกาสในการฟื้นคืนให้เขา
ระหว่างที่ความจริงใจต่อเยว่ฉีของหานลั่วอี้กำลังเพิ่มพูน หญิงสาวก็กำลังยืนพิงกำแพงรอเพื่อนบ้าน
ไม่นานคนทั้งคู่ก็แบกตะกร้าเดินมาหา บนหลังเยว่ฉีมีตะกร้าแบกหลังใบน้อยอยู่หนึ่งใบ ซึ่งได้มาจากครอบครัวเฟิงให้หยิบยืม
ของที่ได้มาจากบ้านเดิมส่วนมากมีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ของสำหรับทำครัวหรือใช้งานในชีวิตประจำวันล้วนไม่มี ยังดีที่บ้านหลังใหม่ยังพอมีของที่ใช้ได้อยู่บ้าง หากต้องซื้อของใหม่ทั้งหมดเกรงว่าเงินหนึ่งตำลึงของพวกเขาคงหมดภายในไม่กี่วัน
“พี่หลัว พี่เฟิงพวกท่านมาแล้ว!!” เสียงทักทายสดใสของเด็กสาวตัวน้อยเรียกรอยยิ้มจากคนอายุมากกว่าทั้งสอง พอได้ทำความรู้จักทำให้ได้รู้ว่าเด็กคนนี้เต็มไปด้วยความสดใสร่าเริงเป็นกันเอง ไม่มีมาดความหยิ่งผยองเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนไม่ได้โง่ที่จะมองไม่ออกว่าเพื่อนบ้านที่พึ่งย้ายเข้ามาใหม่ ก่อนจะมาอยู่อาศัยที่หมู่บ้านชวีซานจะต้องเป็นคนมีฐานะไม่น้อย ดูได้จากเสื้อผ้าที่ทั้งคู่สวมใส่ รวมไปถึงท่าทางการวางตัวของหานลั่วอี้ ล้วนแล้วแต่ดูสูงส่งสง่างาม แม้ร่างกายเขาจะไม่สมบูรณ์แต่ก็ไม่สามารถกลบความสูงส่งรอบกายได้
ในเมื่อหานลั่วอี้เป็นคนมีฐานะเช่นนั้นภรรยาของเขาก็คงไม่ต่างกัน ทว่าเด็กสาวตัวน้อยคนนี้กับเป็นกันเอง พูดจาเก่ง ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ
“น้องเยว่เคยขึ้นเขามาก่อนหรือไม่”
คนถูกถามยิ้มแหย ๆ ยกมือขึ้นเกาท้ายทอย
“ขอบอกอย่างไม่ปิดบัง ข้าไม่เคยขึ้นเขาเลยสักครั้ง”
“เช่นนั้นคงต้องพยายามแล้ว แม้ภูเขาบริเวณหมู่บ้านจะไม่สูงชันมากนัก แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับมือใหม่”
“พี่หลัววางใจได้ ถึงข้าจะไม่เคยขึ้นเขาแต่ก็ไม่ใช่คนหนักไม่เอาเบาไม่สู้” น้ำเสียงมั่นใจของเด็กสาวยังคงทำให้ทั้งสองคนเอ็นดู
จากนั้นคนทั้งสามก็เดินไปพูดคุยกันไปตลอดทาง ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่ตลอด จนกระทั่งเกือบจะเดินออกนอกเขตของหมู่บ้านก็มีหญิงชราท่าทางใจดีคนหนึ่งเอ่ยทักทาย
“เจ้าบ้านเฟิง สะใภ้เฟิงวันนี้ก็ขึ้นเขาอีกหรือ” ชาวบ้านหมู่บ้านชวีซานส่วนมากทำอาชีพปลูกข้าว หรือปลูกพืชผักไปขาย มีเพียงชาวบ้านบางส่วนที่จะทำอาชีพเก็บพืชวิญญาณ เพราะการขึ้นเขาไปหาพืชวิญญาณนั้นมีความเสี่ยงอยู่เล็กน้อย
หากมีโชควาสนาพบเจอพืชวิญญาณระดับสูงอันตรายที่จะตามมาย่อมมากมายตามเงินที่ได้รับ เพราะพืชวิญญาณระดับสูงมักจะมีสัตว์อสูรเฝ้าอยู่ไม่ไกล แต่หากโชคดีมากก็จะพบเพียงพืชวิญญาณไร้กลิ่นอายสัตว์อสูร
ที่หลัวหรูไม่ได้บอกเยว่ฉีถึงอันตรายเกี่ยวกับการเก็บพืชวิญญาณเพราะปกติแล้วเรื่องนี้เป็นความรู้พื้นฐานของทุกคนในดินแดนเฟยฮ่าว
“ขอรับท่านยาย” หญิงชราพยักหน้ายิ้ม ๆ เหลือบสายตาหันมองเยว่ฉีอย่างสำรวจ
ขอถอนคำพูดที่บอกว่าท่าทางใจดี หญิงชราคนนี้แค่ทำท่าทางใจดีเท่านั้นเอง
“ขึ้นเขาก็ระวัง ๆ ด้วยล่ะ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจะไว้ใจมากเกินไปย่อมไม่ดี หากเกิดเรื่องขึ้นมาก็คงมีแต่สวรรค์ที่รู้”
เอ้า!!! สักหมัดไหมยาย
เยว่ฉีอยากจะเอ่ยขึ้นทว่าก็ถูกหลัวหรูห้ามเอาไว้ก่อน นางมองหญิงชรายิ้ม ๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณในความห่วงใยของท่าน ข้ากับพี่เฟิงล้วนจำใส่ใจ ส่วนเรื่องคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจนั้น ข้ากับพี่เฟิงก็หาใช่คนใสซื่อที่จะมองคนไม่ออก ใครดีไม่ดีข้านั้นล้วนรับรู้ได้ ท่านยายไม่ต้องกังวล”
หญิงชราโดนคำพูดหวานระคายหูของหลัวหรูสีหน้าพลันมืดลงไม่เหลือแล้วซึ่งรอยยิ้มอ่อนโยน
“ข้าเพียงเป็นห่วงพวกเจ้า เหตุใดต้องกล่าวหนักถึงเพียงนี้ หากเกิดอันใดขึ้นมาก็อย่าได้มานึกเสียใจทีหลัง!!” หญิงชราส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะสะบัดหน้าหันหลังกลับเข้าบ้านไป
“ขอบคุณในความเป็นห่วงของท่าน เดินดี ๆ นะเจ้าคะ” หลัวหรูกล่าวตามหลังก่อนจะหันมาหาเยว่ฉี
“อย่าได้ใส่ใจคำพูดแกเลย ยายซวงก็เป็นเช่นนี้” เยว่ฉียิ้มกว้าง
ไม่นึกว่าหญิงผู้นี้จะออกตัวปกป้องนาง ถึงขั้นทำให้คนในหมู่บ้านเดียวกันขุ่นเคือง
“พี่หลัวข้าไม่เป็นอันใด จะห่วงก็แต่พวกท่านทำให้คนหมู่บ้านเดียวกันขุ่นเคืองเช่นนี้จะดีหรือ? ตัวข้าพึ่งย้ายมาใหม่ไม่เท่าใดแต่พวกท่านทั้งสองคนเลา”
ทั้งสองมองหน้ากันยิ้ม ๆ เด็กคนนี้ทั้งที่ตนถูกคนพูดไม่ดีใส่ ยังจะเป็นห่วงผู้อื่นอีก
“เจ้าอย่าได้ใส่ใจ ความจริงข้ากับพี่เฟิงก็หาใช่คนหมู่บ้าน ชวีซานตั้งแต่ต้น เป็นคนย้ายเข้ามาเช่นเดียวกับพวกเจ้า เพียงแต่ดีกว่าหน่อยที่ตอนย้ายเข้ามาไม่ถูกตั้งแง่ใส่ตั้งแต่วันแรก”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!?”
“ใช่ พูดแล้วก็อย่าขำไป ข้ากับพี่เฟิงย้ายออกจากหมู่บ้านเดิม เพราะครอบครัวข้าไม่ยอมให้แต่งงานกับพี่เฟิง หลังหนีออกมาด้วยกันก็มาอยู่ที่หมู่บ้านนี้”
“ข้าจะหัวเราะได้เช่นไร พวกท่านชั่งมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันยิ่งนัก ได้ยินแล้วข้ายังอดรู้สึกชื่นชมและอิจฉาไม่ได้”
“ไม่ต้องกล่าวประจบประแจงข้าเจ้าเด็กน้อย” หลัวหรูส่ายหัวยิ้ม ๆ ก่อนทั้งสองคนจะสบตากันแล้วหัวเราะออกมา บรรยากาศกลมกลืนยิ่ง เฟิงซิ่วผู้เงียบอยู่ตลอดเอาแต่ยิ้มมองภรรยาทีมองเด็กสาวตรงหน้าที ได้เห็นภรรยายิ้มมีความสุขเช่นนี้ สามีอย่างเขาพึงพอใจไม่น้อย
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสุขของคนในครอบครัว ถึงแม้อาจจะกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งหมู่บ้านก็ไม่เป็นอันใด เพราะปกติแล้วก็ใช่ว่าพวกเขาจะไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ คนในหมู่บ้านเดิมมักจะมองคนย้ายเข้ามาใหม่เป็นคนนอก ถึงพวกเขาจะไม่ได้ถูกกีดกันแต่ก็ไม่ถึงขั้นสนิทสนม
ใช้เวลาเดินทางเกือบสองเค่อพวกเขาก็มาถึงตีนเขากันแล้ว เยว่ฉีมองภูเขาสูงตรงหน้า ในดวงตาฉายประกายความตื่นเต้น
เคยมีคนพูดว่าขุมทรัพย์มักซ่อนอยู่ในธรรมชาติ
นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภูเขาตรงหน้าจะสร้างปาฏิหาริย์ให้กับนาง
“พร้อมแล้วใช่หรือไม่” หลัวหรู
“พี่หลัวข้าพร้อมแล้ว!!”
“เช่นนั้นก็ไปกัน”
หลังรถเทียมลาจอดเทียบบนลานจอด คนทั้งหมดต่างทยอยลงจากรถ ครอบครัวเฟิงและเยว่ฉีก้าวลงมาหลังใครเขา รถจนคนก่อนหน้าออกไปหมดแล้วถึงได้ก้าวลงมาสองข้างถนนของเมืองโม่ฉียังคงครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คนไม่ต่างจากไม่กี่วันก่อนหน้า ทว่าช่างแปลกตาในความคิดนางคงคุ้นเคยกับธรรมชาติในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเข้าเสียแล้ว“อยากไปที่ใดก่อนหรือไม่?” หลัวหรูเอ่ยถาม ตอนที่เห็นสายตาเป็นประกายตื่นเต้นของเด็กสาวเยว่ฉีหันหน้าไปหายิ้มบางพลางตอบ“พี่หลัวข้าต้องการไปขายพืชวิญญาณก่อน จากนั้นจะไปซื้อของเข้าบ้าน บ้านข้าตอนนี้ก็อย่างที่พวกท่านทราบ” เยว่ฉีพูดอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าคำพูดของนางกลับทำให้ครอบครัวเฟิงเผยสีหน้าซับซ้อนครอบครัวสามีเยว่ฉีชั่งใจร้ายเสียจริง ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบาง ทว่าการปล่อยให้สตรีร่างกายซูบผอมอยู่กินกับบุรุษขาพิการเพียงลำพัง แค่คิดก็พาให้รู้สึกขมเฝื่อนขึ้นมาในใจ“ข้าจะดูแลเจ้าให้ดี” เยว่ฉีมองหลัวหรู กะพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจว่าที่นางเอ่ยออกมาหมายถึงอะไร แต่ก็พยักหน้าตกลงยิ้ม ๆ“ไปกันพี่หลัวข้าอยากจะเห็นร้านรับซื้อพืชวิญญาณแล้ว” และคนทั้งสามก็เดินทางไปยังร้านขายและรับซื้อพืชวิญญาณระ
หานลั่วอี้บอกเยว่ฉีนำหยกวิญญาณไปขาย ทั้งยังแนะนำร้านที่ไว้ใจได้ให้ด้วยวันนี้เยว่ฉีมีแผนจะเดินทางไปขายพืชวิญญาณในเมืองพร้อมกับเพื่อนบ้านทั้งสอง นางจึงตื่นแต่เช้าตรู่ขึ้นมาเตรียมอาหารรวมไปถึงยาสำหรับหานลั่วซานเช่นเดียวกับเมื่อวานก่อนจะออกจากบ้านนางเตรียมน้ำแห่งชีวิตให้หานลั่วอี้หนึ่งขวด ดูจากที่อีกฝ่ายมีทีท่าคล้ายรอคอย ยามขวดหยกปรากฏตรงหน้าก็สามารถคาดเดาได้ว่า น้ำแห่งชีวิตมีประโยชน์ต่อสามีจริงเท่านี้ก็ยืนยันคำพูดของผู้อาวุโสได้แล้วผู้อาวุโสหมิงยังบอกกับนางอีกว่าหลังผ่านไปประมาณหนึ่งเดือนให้เพิ่มปริมาณน้ำแห่งชีวิตในตอนที่เจือจาง จากเดิมหนึ่งหยดต่อหนึ่งถ้วยก็เพิ่มเป็นสองหยดต่อหนึ่งถ้วย ทำเช่นนี้จะช่วยให้ร่างกายหานลั่วอี้ปรับตัวเข้ากับความพิเศษของน้ำแห่งชีวิตอย่างช้า ๆเยว่ฉีย้ำกับสามีเรื่องลั่วซานอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากประตูบ้าน อีกฝ่ายเข็นรถมาส่งจนถึงหน้าประตูมองส่งนางขึ้นรถเทียมลาของหมู่บ้านจนลับตาถึงได้ถอนสายตากลับ ปิดประตูลงเข็นรถกลับเข้าบ้านทุกการกระทำของเขาตกอยู่ในสายตาของใครบางคน คนคนนั้นแอบมองจนเป้าหมายลับสายตาถึงได้ถอยออกมาทำไมพืชวิญญาณที่เก็บได้เมื่อวานจึงต้องมาขายในวันต่
บ่ายวันเดียวกันเยว่ฉีกำลังง่วนอยู่กับก้อนหินที่ได้รับมา นางกำลังใช้ความคิดว่าจะทำเช่นไรถึงจะผ่าหินออกเป็นสองส่วนได้ เยว่ฉีรู้สึกว่าต้องมีความพิเศษบางอย่างซ่อนอยู่ในหินก้อนนี้แล้วเหตุใดนางถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสหมิง? เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปตอนที่ยังอยู่บนเขา หลังผู้อาวุโสใช้พลังจิตขุดพืชวิญญาณออกมาทั้งหมดและช่วยเปิดประตูให้เยว่ฉีออกมาจากถ้ำ เขาก็หลับไปไม่พูดอันใดอีก ก่อนจะไปได้บอกกับนางว่าจะไม่อยู่สองสามวันเพราะใช้พลังไปมากรู้สึกเหนื่อยไม่น้อยสรุปคือ ใช้พลังเกินขีดจำกัดจนหลับไปเยว่ฉีวางก้อนหินขนาดประมาณหัวเด็กลงบนพื้น ก่อนจะมองหาของที่พอจะใช้ทุบก้อนหินให้แตกได้ ในระหว่างที่กำลังมองหาตัวช่วยปลายสายตาพลันเหลือบไปเห็นปังตอขึ้นสนิมด้ามหนึ่งวางพิงอยู่ข้างเตาเย่วฉีลุกขึ้นยืนจากท่านั่งขัดสมาธิ ก้าวฉับ ๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงเป้าหมายก้มลงหยิบปังตอที่ว่าขึ้นมา เดินกลับมานั่งที่เดิม“ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้!!” หญิงสาวบ่นพึมพำใช้สองมือประคองปังตอเดินกลับมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าก้อนหินสองมือจับปลายด้ามจับของปังตอเอาไว้แน่น ยกขึ้นเหนือศีรษะใช้แรงทั้งหมดที่มีลงไปกับการฟันในครั้งนี้เพล้ง!!!ปั
ดินแดนเฟยฮ่าว มีผู้ฝึกปราณที่เก่งกาจที่สุดอยู่ที่ฝึกปราณขั้นเก้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการพัฒนาตนเองให้เก่งกาจไปมากกว่านี้ ทว่าด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดทำให้ความเร็วในการฝึกปราณช้าลงยิ่งระดับสูงความต้องการในทรัพยากรจะยิ่งมากขึ้นและยังหมายถึงเงินที่ต้องใช้จ่ายออกไปหากต้องการไปให้สูงกว่าต้องเดินทางไปยังดินแดนที่สูงกว่า ทว่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ความสามารถของคนคนนั้นที่เยว่ฉีไม่ทราบเพราะในหนังสือที่ผู้อาวุโสให้มามีเพียงภาพและคำอธิบายลักษณะ รวมไปถึงระดับของพืชวิญญาณ ไม่ได้กล่าวถึงการนำไปใช้สองสามีภรรยามึนงงอยู่บ้างว่าเหตุใดเยว่ฉีถึงได้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพืชวิญญาณมากถึงเพียงนี้ แต่ไม่นานก็สลัดความคิดนั้นไป โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นักบางทีคนบางคนก็ใช่จะต้องรู้ไปเสียทุกเรื่อง“พี่หลัวพืชวิญญาณต้นนี้ขายได้เท่าใด”“ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สองตำลึงสูงสุดที่สี่ตำลึงขึ้นอยู่กับคุณภาพว่าสูงหรือต่ำ”สี่ตำลึง !!!นางสามารถหาเงินได้ถึงสี่ตำลึงในเวลาเพียงสองเค่อไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว“พี่หลัวพวกท่านหาพืชวิญญาณได้หรือไม่” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้า“โชคร้ายที่ข้ากับพี่เฟิงไม่พบพืชวิ
“ผู้อาวุโส ท่านพอจะมีทางช่วยข้าหรือไม่?”‘…’“ผู้อาวุโส?”‘…’ ยังคงไม่ตอบผู้อาวุโสหมิงคงไม่ได้หมายความว่าให้นางขุดพืชวิญญาณทั้งหมดขึ้นมาด้วยตนเองใช่ไหม? ดูจากพืชวิญญาณสองต้นก่อนหน้านางยังใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วยาม !! หากต้องใช้มือขุดพืชวิญญาณทั้งหมดออกมา มิใช่ว่าต้องใช้เวลาเป็นเดือนเลยหรือ? นางมีเวลาว่างขนาดนั้นที่ไหนกันผู้อาวุโสหมิงคงไม่ใจร้ายกับนางมากเกินใช่ไหม?‘บ่นข้าพอหรือยัง?’รู้ได้ยังไงว่านางกำลังบ่นให้ จะเฉียบแหลมเกินไปแล้ว !!ถึงในใจเยว่ฉีจะบ่นไปร้อยแปดพันเก้า ทว่ายามเอ่ยออกมากับมีนัยประจบอยู่หลายส่วน “ผู้อาวุโสข้าหาได้คิดเช่นนั้น ท่านอย่าเข้าใจข้าผิด”ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยประจบประแจงของเยว่ฉีทำผู้อาวุโส หมิงหมั่นไส้ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยืมร่างหญิงสาวเป็นสื่อกลางอีกครั้งมือเรียวสวยยกขึ้นตรงหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่พืชวิญญาณทั้งหมดบนพื้นที่กว่าหนึ่งหมู่มีประกายแสงสีทองห้อมล้อมเอาไว้ทั้งต้นผู้อาวุโสหมิงใช้พลังจิตของตนในการโอบอุ้มและขุดพืชวิญญาณทั้งหมดออกมาในครั้งเดียว พืชวิญญาณที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังจิตปรากฏขึ้นบนอากาศไม่มีส่วนใดเสียหาย กระทั่งดินซึ่งติดอยู่ตามรากยั
เยว่ฉีอาศัยความทรงจำที่ได้จากการอ่านหนังสือเมื่อคืนมองหาไปเรื่อย ๆ พืชวิญญาณไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายหรือมีอยู่เกลื่อนกลาด เพราะฉะนั้นหลังผ่านมาสองเค่อแล้วเยว่ฉีจึงยังหาไม่พบแม้สักต้นทว่าในระหว่างที่นางกำลังจะเดินไปยังทิศทางอื่น พลันได้ยินเสียงผู้อาวุโสดังขึ้นในความคิด‘ตรงไปด้านหน้าครึ่งเค่อฝั่งขวามือ’“ผู้อาวุโสตรงนั้นมีอันใดหรือ” นางคล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังลอดออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงผู้อาวุโสเอ่ย‘เดินไปตามที่ข้าบอกเจ้าจะพบสิ่งที่ต้องการ’ ดวงตางดงามเป็นประกาย จากคำพูดของผู้อาวุโสสามารถคาดเดาได้ว่าต้องเป็นพืชวิญญาณวิญญาณอย่างแน่นอนเยว่ฉีเดินไปตามทางที่ผู้อาวุโสบอกก่อนจะพบก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง กวาดตามองโดยรอบ ก่อนจะเดินวนรอบก้อนหินก็ไม่พบพืชวิญญาณแม้สักต้น หัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากันคล้ายผู้อาวุโสอ่านความคิดนางออก จึงเปรยขึ้นมาว่า‘วางมือลงบนก้อนหิน ข้าจะใช้เจ้าเป็นตัวกลางในการเปิดม่านพลัง’เยว่ฉีทำตามอย่างว่าง่ายไม่นานก็เห็นว่าก้อนหินซึ่งดูไม่มีอะไรเกิดช่องว่างขนาดเท่าคนขึ้นตรงหน้าพลังพิเศษสุดยอดจริง ๆ“ผู้อาวุโสหมิงท่านรู้ได้เช่นไรว่าตรงหน้ามีการร่ายคาถาอำพรางเอาไว้” แม้เยว่