“คนพิการเช่นข้าสามารถทำให้เจ้ามีความสุขได้จริงหรือ” น้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ของหานลั่วอี้ ไม่ได้ทำให้ความสุขบนใบหน้านางลดลง บุรุษผู้นี้ยังคงกังวลว่าเพราะขาทั้งสองข้างจะทำให้นางลำบาก นางจึงเดินเข้าไปใกล้อีกก้าววางมือลงบนหลังมือแกร่ง
เยว่ฉียังไม่พร้อมจะพูดเรื่องมิติให้สามีฟังตอนนี้ นางต้องการเวลามากกว่านี้ รอให้เขาคุ้นเคยกับนางทั้งยังเชื่อใจกันมากกว่านี้อีกสักนิด ให้ความรู้สึกมากมายก่อเกิดเป็นความยึดมั่นและไว้ใจ เมื่อถึงตอนนั้นนางจะไม่ปิดบังและพูดทุกอย่างออกไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เยว่ฉีต้องการจะรู้ว่าหากเขาสัมผัสถึงความผิดปกติบางอย่างจะยังปฏิบัติต่อนางเช่นเดิมหรือไม่
ไม่ใช่ว่าเยว่ฉีขี้ระแวง แต่กลับคนที่พึ่งเจอกันแม้จะรู้สึกว่า คนคนนี้ไว้ใจได้ เขาไม่ใช่คนเลวร้าย อีกทั้งนางยังโชคดีจริง ๆ ที่ได้แต่งงานกับเขา หากแต่งงานกับคนอื่นเยว่ฉีก็ไม่มั่นใจว่าจะพบโชควาสนาและมีชีวิตจากที่เป็นอยู่หรือไม่ แต่ถึงจะโชคดีแต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ทั้งหมด เรื่องความเชื่อใจ น้ำใสใจจริงต้องใช้เวลาดูกันอีกยาว
“ข้าพูดความจริง”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ในเมื่อนางยืนยันเช่นนั้นเขาก็ไม่เอ่ยย้ำ ทั้งยังไม่ถามว่านางหายไปที่ใด ความไว้ใจจะเกิดขึ้นได้ต้องใช้เวลาและเขาก็หวังว่าพอเวลาผ่านไปนานกว่านี้นางจะยอมบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในวันนี้
เยว่ฉีเดินอ้อมไปด้านหลังรถเข็นต้องการพาหานลั่วอี้เข้าไปในบ้าน ทว่ายังไม่ทันจะได้หันรถกลับไปทางประตูก็ได้ยินเสียงเรียกขานจากหน้าบ้านเสียก่อน
ทั้งสองคนมองหน้ากันนึกสงสัยอยู่ไม่น้อย ก่อนจะตัดสินใจออกไปหน้าบ้านด้วยกันทั้งคู่
หลังบานประตูเปิดออกตรงหน้าทั้งสองคนมีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรียืนอยู่ ใบหน้าคนแปลกหน้าประดับรอยยิ้ม ดวงตาใสซื่อไร้พิษภัย
“มีอันใดหรือ?” เยว่ฉีเอ่ยถามออกไป ในมือคนทั้งสองมีไข่ไก่และเนื้อสัตว์บรรจุอยู่ในตะกร้าใบเล็ก
“สวัสดีเมื่อวานไม่ได้มาทักทาย ข้ากับภรรยาอาศัยอยู่บ้านหลังข้าง ๆ เห็นว่าบ้านหลังนี้มีคนย้ายมาอยู่ใหม่จึงได้นำของมาเยี่ยมต้อนรับ” บุรุษร่างกายกำยำท่าทางซื่อ ๆ กล่าวพร้อมกับชี้มือบอกว่าบ้านตั้งอยู่ที่ใด คำพูดและสายตาของบุรุษตรงหน้ายามเอ่ยประโยคนี้เต็มไปด้วยความจริงใจไร้การเสแสร้ง พลันทำให้ทั้งสองคนรู้สึกดีต่อคู่สามีภรรยาไม่น้อย
ผู้ถูกเยี่ยมเยียนหลังรู้สึกแปลกใจก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ด้วยเมื่อวานชาวบ้านส่วนมากต่างไม่อยากจะต้อนรับคนทั้งสาม คงจะเห็นว่าครอบครัวนางมีทั้งคนป่วยและคนพิการ ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำเหล่านี้จึงไม่ต้องการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว หรือไม่ก็กลัวว่าพวกเขาจะไปสร้างความลำบากให้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้การกระทำของทั้งสองคนจึงทำให้สองสามีภรรยาอดที่จะรู้สึกประหลาดใจและเป็นมิตรอยู่หลายส่วน
ในยามที่คุณลำบากมักจะเห็นน้ำใสใจจริงได้ชัดเจนที่สุดคำพูดนี้ไม่เกินจริง และสองคนนี้ทั้งที่ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ดีมากอันใดแต่กลับยื่นความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อยมาให้
เยว่ฉีจำได้ว่าไข่ไก่สำหรับโลกนี้ราคาไม่ถูกเลยแต่มองดูของในตะกร้าแล้วกลับมีถึงหกฟอง
“ของพวกนี้อาจจะเป็นเพียงของเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ข้ากับภรรยาตั้งใจนำมาให้”
“รู้จักกันแล้วไม่จำเป็นต้องมากพิธี ข้าชื่อเยว่ฉี ส่วนบุรุษผู้นี้ชื่อหานลั่วอี้ สามีข้า” เยว่ฉียื่นมือไปรับตะกร้าของ กล่าวยิ้ม ๆ อีกฝ่ายคล้ายพึ่งรู้ตัวจึงยิ้มแห้งมาให้
“เสียมารยาทแล้ว ข้าชื่อเฟิงซิ่ว ส่วนสตรีข้างกายชื่อหลัวหรูภรรยาข้า เรียกข้าว่าพี่เฟิงแล้วกันดูแล้วเจ้าและสามีน่าจะอายุน้อยกว่า ส่วนภรรยาข้าพึ่งอายุสิบแปด”
“ยินดีที่ได้รู้จัก งั้นข้าไม่ถือมารยาทขอเรียกท่านว่าพี่เฟิง พี่หลัวแล้ว ข้าอายุสิบหก ส่วนสามีข้าอายุยี่สิบปี”
“เช่นนั้นข้าขอเรียกน้องเยว่ กับน้องหานแล้ว” การพูดคุยแสนสนิทสนมของคนทั้งสี่สร้างประกายความสับสนมึนงงให้คนผ่านไปผ่านมาไม่น้อย มีชาวบ้านหลายคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจที่สองสามีภรรยามาทำความรู้จักกับครอบครัวหาน ถึงกับมีหลายคนหันมาทางพวกเขาแล้วหันไปกระซิบกระซาบกัน
เยว่ฉีไม่พูดก็ไม่ได้จึงเอ่ยถามออกไป
“พี่เฟิง พี่หลัว อย่าได้เข้าใจผิดว่าข้าคิดเป็นอื่นข้าล้วนดีใจที่พวกท่านเข้ามาทักทายครอบครัวข้า เพียงแต่ข้าสงสัยพวกท่านไม่กลัวว่าชาวบ้านจะมองท่านไม่ดีหรือ?” คำพูดตรงไปตรงมาของนางสร้างรอยยิ้มบนดวงตาคนทั้งคู่ ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันก่อนที่หลัวหรูจะหันมามองเด็กสาวตรงหน้า เอ่ยเสียงอ่อนโยน
“น้องเยว่ ในเมื่อเจ้าสงสัยเช่นนั้นก่อนจะตอบคำถามข้าขอถามเจ้าสองสามประโยค”
“เชิญพี่หลัวกล่าว”
“เจ้าและสามีเคยฆ่าคนโดยไม่สนดีชั่วหรือไม่?”
“ไม่เคย”
“เจ้าและสามีเคยทำเรื่องผิดศีลธรรม ฉุดเด็กและสตรีหรือไม่”
“ล้วนไม่เคย”
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำแล้วเหตุใดข้ากับสามีจะเข้ามาทำความคุ้นเคยไม่ได้เลา เป็นเพื่อนบ้านกันสนิทสนมกันไว้ไม่ดีกว่าหรือ? ข้ากับสามีเพียงต้องการทำความรู้จัก อยากจะรู้ว่าคนที่มาอาศัยอยู่บ้านข้าง ๆ เป็นคนเช่นไร มีนิสัยเช่นไร ฟังจากที่พูดคุยกันไม่กี่ประโยคข้าก็พอจะรู้ว่าพวกเจ้าหาใช่คนชั่วช้า ทั้งยังเปิดเผยไม่น้อย” ประโยคคำพูดของนางสร้างความอบอุ่นใจและความประทับใจให้คนทั้งคู่ไม่น้อย คำพูดของหลัวหรูออกมาจากใจจริง น้ำเสียงหนักแน่นและสายตาซื่อสัตย์ช่วยให้ทั้งสองรู้สึกว่าการย้ายมาอยู่บ้านชวีซานก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด อย่างน้อยก็ได้พบพานเพื่อนบ้านที่จริงใจเช่นนี้
ได้พบกับผู้คนที่ไม่รังเกียจความเป็นอยู่เช่นนี้ของพวกเขา ซึ่งในโลกนี้หาได้ยากยิ่งนัก
“พี่หลัวข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่พวกท่านหยิบยื่นให้ ในวันหน้าหากมีวาสนาได้ดี ข้าล้วนไม่คิดลืมบุญคุณ”
“บุญคุณอันใดกัน ข้านำของมาให้พวกเจ้า ใช่ต้องการการตอบแทน แค่จริงใจต่อกันเป็นพอ” เฟิงซิ่วเอ่ยขัดคำพูดระรื่นหูของเยว่ฉี ในดวงตาของเขามีความเอ็นดูอยู่หลายส่วน เป็นความเอ็นดูแสนบริสุทธิ์ไร้ความรู้สึกอื่นใด
“ใช่แล้วน้องเยว่ อย่างที่สามีข้ากล่าว อย่าได้คิดเป็นบุญคุณ”
“ขอบคุณพี่ทั้งสองอีกครั้ง เช่นนั้นไม่กล่าวเรื่องนี้แล้ว พวกท่านอุตส่าห์มาหาแต่ข้าตอนนี้ไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ ข้าละอายใจแล้ว” เยว่ฉีพูดยิ้ม ๆ ทั้งสองเข้าใจว่านางเพียงหยอกเย้าจึงไม่คิดสิ่งใด หัวเราะเบา ๆ ไปกับคำพูดนั้น
หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็พูดคุยกันอีกหลายประโยค หานลั่วอี้เข้าร่วมการพูดคุยบ้างบางครั้ง แต่ส่วนมากจะมีเพียงครอบครัวตระกูลเฟิงและเยว่ฉีที่พูดคุยมากกว่า จวบจนมาถึงช่วงหนึ่งเยว่ฉีเอ่ยถามว่าพอจะมีงานใดให้นางทำได้บ้าง ทั้งสองจึงมองหน้ากันแล้วเอ่ย
“น้องเยว่ ทุกเช้าข้ากับสามีจะขึ้นเขาไปเก็บพืชวิญญาณมาขาย เช่นนั้นเจ้าก็ไปกับพวกข้า ข้าจะสอนดูพืชวิญญาณให้เจ้า แม้รายได้จะไม่ถึงกับทำให้ร่ำรวยแต่ก็เพียงพอใช้จ่ายในครัวเรือน แต่หากว่าเจ้าโชคดีพบเจอพืชวิญญาณระดับสูง เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นโชควาสนา เพราะพืชวิญญาณระดับสูงมักได้ราคางาม”
“ขอบคุณพี่หลัวสำหรับคำแนะนำ เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว พรุ่งนี้ขอขึ้นเขาไปเก็บพืชวิญญาณพร้อมกับพวกท่าน”
พูดคุยกันไม่นานก็รู้สึกสนิทสนมราวกับรู้จักกันมาหลายปี หลังพูดคุยจนเวลาล่วงเลยไปหลายเค่อ ทั้งสองก็ขอตัวกลับบ้านไปทำงานส่วนอื่นต่อ เยว่ฉีก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะรั้งคนให้อยู่ต่อจึงกล่าวลากันสองสามประโยคก่อนจะแยกย้าย
คืนนี้เยว่ฉีตั้งใจจะศึกษาหนังสือเล่มน้อยที่นำออกมาด้วย ผู้อาวุโสหมิงบอกกับนางว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับพืชวิญญาณในสวน
ใช่แล้ว สวนหญ้าที่นางเข้าใจในตอนแรกคือสวนพืชวิญญาณซึ่งตอนนี้เยว่ฉียังไม่มีคุณสมบัติในการนำออกมาใช้ ผู้อาวุโสบอกว่ารอให้ร่างกายนางแข็งแรงมากกว่านี้ก่อนค่อยมาตรวจสอบดูว่านางมีคุณสมบัติในการฝึกปราณหรือไม่ หากไม่มีก็ยากที่จะใช้งานมิติได้ดี ต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่เหมาะสมถึงจะสามารถใช้พลังพิเศษได้อย่างเต็มที่
ส่วนน้ำวิเศษที่ได้มาจากบ่อ เรียกว่า น้ำแห่งชีวิต ซึ่งออกมาจากต้นไม้แห่งชีวิตที่ยืนตระหง่านอยู่กลางบ่อน้ำ เยว่ฉีคิดทบทวนว่าจะเริ่มรักษาหานลั่วอี้อย่างไรดี เพราะผู้อาวุโสบอกว่าต้องค่อย ๆ ให้ดื่ม ในเมื่อยังไม่พร้อมจะบอกความลับที่เก็บงำเอาไว้ นางจึงตัดสินใจจะหยดลงไปในอาหารที่ทำ
“พรุ่งนี้จะเริ่มหาเงินแล้วขอให้เก็บพืชวิญญาณได้เยอะ ๆ” เยว่ฉีพึมพำกับตัวเองก่อนจะก้าวขึ้นเตียงมานอนเคียงข้างหานลั่วอี้
หานลั่วอี้ได้ยินคำพูดเบาหวิวของนาง ในนัยน์ตาซึ่งซุกซ่อนอยู่ในความมืดปรากฏคลื่นอารมณ์เล็ก ๆ
หลังรถเทียมลาจอดเทียบบนลานจอด คนทั้งหมดต่างทยอยลงจากรถ ครอบครัวเฟิงและเยว่ฉีก้าวลงมาหลังใครเขา รถจนคนก่อนหน้าออกไปหมดแล้วถึงได้ก้าวลงมาสองข้างถนนของเมืองโม่ฉียังคงครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คนไม่ต่างจากไม่กี่วันก่อนหน้า ทว่าช่างแปลกตาในความคิดนางคงคุ้นเคยกับธรรมชาติในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเข้าเสียแล้ว“อยากไปที่ใดก่อนหรือไม่?” หลัวหรูเอ่ยถาม ตอนที่เห็นสายตาเป็นประกายตื่นเต้นของเด็กสาวเยว่ฉีหันหน้าไปหายิ้มบางพลางตอบ“พี่หลัวข้าต้องการไปขายพืชวิญญาณก่อน จากนั้นจะไปซื้อของเข้าบ้าน บ้านข้าตอนนี้ก็อย่างที่พวกท่านทราบ” เยว่ฉีพูดอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าคำพูดของนางกลับทำให้ครอบครัวเฟิงเผยสีหน้าซับซ้อนครอบครัวสามีเยว่ฉีชั่งใจร้ายเสียจริง ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบาง ทว่าการปล่อยให้สตรีร่างกายซูบผอมอยู่กินกับบุรุษขาพิการเพียงลำพัง แค่คิดก็พาให้รู้สึกขมเฝื่อนขึ้นมาในใจ“ข้าจะดูแลเจ้าให้ดี” เยว่ฉีมองหลัวหรู กะพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจว่าที่นางเอ่ยออกมาหมายถึงอะไร แต่ก็พยักหน้าตกลงยิ้ม ๆ“ไปกันพี่หลัวข้าอยากจะเห็นร้านรับซื้อพืชวิญญาณแล้ว” และคนทั้งสามก็เดินทางไปยังร้านขายและรับซื้อพืชวิญญาณระ
หานลั่วอี้บอกเยว่ฉีนำหยกวิญญาณไปขาย ทั้งยังแนะนำร้านที่ไว้ใจได้ให้ด้วยวันนี้เยว่ฉีมีแผนจะเดินทางไปขายพืชวิญญาณในเมืองพร้อมกับเพื่อนบ้านทั้งสอง นางจึงตื่นแต่เช้าตรู่ขึ้นมาเตรียมอาหารรวมไปถึงยาสำหรับหานลั่วซานเช่นเดียวกับเมื่อวานก่อนจะออกจากบ้านนางเตรียมน้ำแห่งชีวิตให้หานลั่วอี้หนึ่งขวด ดูจากที่อีกฝ่ายมีทีท่าคล้ายรอคอย ยามขวดหยกปรากฏตรงหน้าก็สามารถคาดเดาได้ว่า น้ำแห่งชีวิตมีประโยชน์ต่อสามีจริงเท่านี้ก็ยืนยันคำพูดของผู้อาวุโสได้แล้วผู้อาวุโสหมิงยังบอกกับนางอีกว่าหลังผ่านไปประมาณหนึ่งเดือนให้เพิ่มปริมาณน้ำแห่งชีวิตในตอนที่เจือจาง จากเดิมหนึ่งหยดต่อหนึ่งถ้วยก็เพิ่มเป็นสองหยดต่อหนึ่งถ้วย ทำเช่นนี้จะช่วยให้ร่างกายหานลั่วอี้ปรับตัวเข้ากับความพิเศษของน้ำแห่งชีวิตอย่างช้า ๆเยว่ฉีย้ำกับสามีเรื่องลั่วซานอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากประตูบ้าน อีกฝ่ายเข็นรถมาส่งจนถึงหน้าประตูมองส่งนางขึ้นรถเทียมลาของหมู่บ้านจนลับตาถึงได้ถอนสายตากลับ ปิดประตูลงเข็นรถกลับเข้าบ้านทุกการกระทำของเขาตกอยู่ในสายตาของใครบางคน คนคนนั้นแอบมองจนเป้าหมายลับสายตาถึงได้ถอยออกมาทำไมพืชวิญญาณที่เก็บได้เมื่อวานจึงต้องมาขายในวันต่
บ่ายวันเดียวกันเยว่ฉีกำลังง่วนอยู่กับก้อนหินที่ได้รับมา นางกำลังใช้ความคิดว่าจะทำเช่นไรถึงจะผ่าหินออกเป็นสองส่วนได้ เยว่ฉีรู้สึกว่าต้องมีความพิเศษบางอย่างซ่อนอยู่ในหินก้อนนี้แล้วเหตุใดนางถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสหมิง? เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปตอนที่ยังอยู่บนเขา หลังผู้อาวุโสใช้พลังจิตขุดพืชวิญญาณออกมาทั้งหมดและช่วยเปิดประตูให้เยว่ฉีออกมาจากถ้ำ เขาก็หลับไปไม่พูดอันใดอีก ก่อนจะไปได้บอกกับนางว่าจะไม่อยู่สองสามวันเพราะใช้พลังไปมากรู้สึกเหนื่อยไม่น้อยสรุปคือ ใช้พลังเกินขีดจำกัดจนหลับไปเยว่ฉีวางก้อนหินขนาดประมาณหัวเด็กลงบนพื้น ก่อนจะมองหาของที่พอจะใช้ทุบก้อนหินให้แตกได้ ในระหว่างที่กำลังมองหาตัวช่วยปลายสายตาพลันเหลือบไปเห็นปังตอขึ้นสนิมด้ามหนึ่งวางพิงอยู่ข้างเตาเย่วฉีลุกขึ้นยืนจากท่านั่งขัดสมาธิ ก้าวฉับ ๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงเป้าหมายก้มลงหยิบปังตอที่ว่าขึ้นมา เดินกลับมานั่งที่เดิม“ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้!!” หญิงสาวบ่นพึมพำใช้สองมือประคองปังตอเดินกลับมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าก้อนหินสองมือจับปลายด้ามจับของปังตอเอาไว้แน่น ยกขึ้นเหนือศีรษะใช้แรงทั้งหมดที่มีลงไปกับการฟันในครั้งนี้เพล้ง!!!ปั
ดินแดนเฟยฮ่าว มีผู้ฝึกปราณที่เก่งกาจที่สุดอยู่ที่ฝึกปราณขั้นเก้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการพัฒนาตนเองให้เก่งกาจไปมากกว่านี้ ทว่าด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดทำให้ความเร็วในการฝึกปราณช้าลงยิ่งระดับสูงความต้องการในทรัพยากรจะยิ่งมากขึ้นและยังหมายถึงเงินที่ต้องใช้จ่ายออกไปหากต้องการไปให้สูงกว่าต้องเดินทางไปยังดินแดนที่สูงกว่า ทว่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ความสามารถของคนคนนั้นที่เยว่ฉีไม่ทราบเพราะในหนังสือที่ผู้อาวุโสให้มามีเพียงภาพและคำอธิบายลักษณะ รวมไปถึงระดับของพืชวิญญาณ ไม่ได้กล่าวถึงการนำไปใช้สองสามีภรรยามึนงงอยู่บ้างว่าเหตุใดเยว่ฉีถึงได้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพืชวิญญาณมากถึงเพียงนี้ แต่ไม่นานก็สลัดความคิดนั้นไป โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นักบางทีคนบางคนก็ใช่จะต้องรู้ไปเสียทุกเรื่อง“พี่หลัวพืชวิญญาณต้นนี้ขายได้เท่าใด”“ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สองตำลึงสูงสุดที่สี่ตำลึงขึ้นอยู่กับคุณภาพว่าสูงหรือต่ำ”สี่ตำลึง !!!นางสามารถหาเงินได้ถึงสี่ตำลึงในเวลาเพียงสองเค่อไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว“พี่หลัวพวกท่านหาพืชวิญญาณได้หรือไม่” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้า“โชคร้ายที่ข้ากับพี่เฟิงไม่พบพืชวิ
“ผู้อาวุโส ท่านพอจะมีทางช่วยข้าหรือไม่?”‘…’“ผู้อาวุโส?”‘…’ ยังคงไม่ตอบผู้อาวุโสหมิงคงไม่ได้หมายความว่าให้นางขุดพืชวิญญาณทั้งหมดขึ้นมาด้วยตนเองใช่ไหม? ดูจากพืชวิญญาณสองต้นก่อนหน้านางยังใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วยาม !! หากต้องใช้มือขุดพืชวิญญาณทั้งหมดออกมา มิใช่ว่าต้องใช้เวลาเป็นเดือนเลยหรือ? นางมีเวลาว่างขนาดนั้นที่ไหนกันผู้อาวุโสหมิงคงไม่ใจร้ายกับนางมากเกินใช่ไหม?‘บ่นข้าพอหรือยัง?’รู้ได้ยังไงว่านางกำลังบ่นให้ จะเฉียบแหลมเกินไปแล้ว !!ถึงในใจเยว่ฉีจะบ่นไปร้อยแปดพันเก้า ทว่ายามเอ่ยออกมากับมีนัยประจบอยู่หลายส่วน “ผู้อาวุโสข้าหาได้คิดเช่นนั้น ท่านอย่าเข้าใจข้าผิด”ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยประจบประแจงของเยว่ฉีทำผู้อาวุโส หมิงหมั่นไส้ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยืมร่างหญิงสาวเป็นสื่อกลางอีกครั้งมือเรียวสวยยกขึ้นตรงหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่พืชวิญญาณทั้งหมดบนพื้นที่กว่าหนึ่งหมู่มีประกายแสงสีทองห้อมล้อมเอาไว้ทั้งต้นผู้อาวุโสหมิงใช้พลังจิตของตนในการโอบอุ้มและขุดพืชวิญญาณทั้งหมดออกมาในครั้งเดียว พืชวิญญาณที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังจิตปรากฏขึ้นบนอากาศไม่มีส่วนใดเสียหาย กระทั่งดินซึ่งติดอยู่ตามรากยั
เยว่ฉีอาศัยความทรงจำที่ได้จากการอ่านหนังสือเมื่อคืนมองหาไปเรื่อย ๆ พืชวิญญาณไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายหรือมีอยู่เกลื่อนกลาด เพราะฉะนั้นหลังผ่านมาสองเค่อแล้วเยว่ฉีจึงยังหาไม่พบแม้สักต้นทว่าในระหว่างที่นางกำลังจะเดินไปยังทิศทางอื่น พลันได้ยินเสียงผู้อาวุโสดังขึ้นในความคิด‘ตรงไปด้านหน้าครึ่งเค่อฝั่งขวามือ’“ผู้อาวุโสตรงนั้นมีอันใดหรือ” นางคล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังลอดออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงผู้อาวุโสเอ่ย‘เดินไปตามที่ข้าบอกเจ้าจะพบสิ่งที่ต้องการ’ ดวงตางดงามเป็นประกาย จากคำพูดของผู้อาวุโสสามารถคาดเดาได้ว่าต้องเป็นพืชวิญญาณวิญญาณอย่างแน่นอนเยว่ฉีเดินไปตามทางที่ผู้อาวุโสบอกก่อนจะพบก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง กวาดตามองโดยรอบ ก่อนจะเดินวนรอบก้อนหินก็ไม่พบพืชวิญญาณแม้สักต้น หัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากันคล้ายผู้อาวุโสอ่านความคิดนางออก จึงเปรยขึ้นมาว่า‘วางมือลงบนก้อนหิน ข้าจะใช้เจ้าเป็นตัวกลางในการเปิดม่านพลัง’เยว่ฉีทำตามอย่างว่าง่ายไม่นานก็เห็นว่าก้อนหินซึ่งดูไม่มีอะไรเกิดช่องว่างขนาดเท่าคนขึ้นตรงหน้าพลังพิเศษสุดยอดจริง ๆ“ผู้อาวุโสหมิงท่านรู้ได้เช่นไรว่าตรงหน้ามีการร่ายคาถาอำพรางเอาไว้” แม้เยว่