ตอนนี้เด็กหนุ่มหน้าตาดีผิวขาวเหมือนลูกคุณหนูสองคนมานั่งอยู่ที่คาเฟ่แห่งหนึ่งไม่ไกลจากไร่ชาเลิศธนา ทั้งสองคนแต่งตัวตามแบบนิยมที่นัดกันมา เพียงแต่คนละสีของน้ำมนต์ใส่สีออกไปทางชมพูโรสโกลด์เล็กน้อยเท่านั้น “เป็นไงบ้างน้ำมนต์ ได้เจอกับคู่หมั้นสุดหล่อหรือยัง” ข้าวโพดถามเพื่อนรักพลางดูดชาเขียวปั่นที่พนักงานเอามาเสิร์ฟ คาเฟ่ที่นี่ร่มรื่นอากาศเย็นสบายมากมีต้นไม้และดอกไม้สวยไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ได้ถ่ายรูป ไหนจะมีลำธารเล็กๆ ที่ทั้งสองคนลงมานั่งเอาขาแช่น้ำเย็นเจี๊ยบนี้อีก แต่ก่อนที่จะพากันเข้ามานั่งคุยกันทั้งสองได้พากันเดินถ่ายรูปเก็บเอาไปไว้ทำรูปโปรไฟล์ได้มากมายมีแต่รูปดูดีทั้งนั้น “ยังไม่ได้เจอเลย นัดกันเมื่อครั้งที่แล้วที่น้ำมนต์โทรหาข้าวโพดนั่นน่ะ ก็อีตาพี่ดินมันเบี้ยวหนีงานดูตัวไปหาเพื่อนรัก เลยไม่ได้เจอกัน วัันนี้ทางโน้นนัดมาน้ำมนต์เลยหนีบ้าง จะได้รู้ซะบ้างว่าเราก็ไม่ได้สนใจให้ความสำคัญอะไรเค้า” “แล้วจะได้เจอกันเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย แบบนี้คงไม่เจอทีเดียวตอนงานแต่งเลยเหรอ” ข้าวโพดขำเพื่อนรักกับพี่ดินเอาคืนกันไปกันมาไม่จบ ถ้าได้เจอตัวเจอหน้ากันจริงๆ กลัวแต่จะหลงกันเอง เพราะอย่างพี่ดิน
วันนี้เป็นวันที่ข้าวโพดนัดกับเพื่อนรักอย่างน้ำมนต์ไว้ว่าจะไปเที่ยวกัน ข้าวโพดจึงค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้า วันนี้ร่างบางใส่กางเกงห้าส่วนสีน้ำตาลเหมือนที่ชอบใส่ กับเสื้อยืดสีขาวข้างในและเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำตาลปล่อยกระดุมด้านนอก พร้อมกับหมวกบัคเก็ตสีน้ำตาลอ่อนน่ารัก พอแต่งตัวเสร็จข้าวโพดก็คว้าเอาเป้คู่ใจมาสะพายก่อนที่เดินออกจากบ้านเพื่อไปทานอาหารเช้าที่บ้านไม้สักระหว่างรอเพื่อน พอเห็นร่างบางเดินเข้ามาในบ้านทำเอาคนที่เพิ่งลงมาจากชั้นบนของบ้านต้องมองอีกคนอย่างใจเต้นตึกตัก และพยายามที่จะเดินพาตัวเองไปที่โต๊ะอาหารก่อนที่จะไม่มีแรงเดิน ทำไมเด็กนี่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งน่ารักขึ้นทุกวันวะ แล้วดูแต่งตัววันนี้ซิยังกับจะไปออกเดต ผิวที่ขาวละมุนอยู่แล้วพอไปอยู่ในเสื้อผ้าสีน้ำตาลอ่อนกับสีขาวยิ่งขลับให้ผิวนั้นขาวน่ามองไปอีก ไอ้หมวกบ้าทรงประหลาดเหมือนทรงขอทานใบนั้นเวลาคนอื่นใส่บางคนมอซอเหมือนขอทานแต่พออยู่บนศีรษะทุยของเด็กนี่ทำไมมันน่ารักจัง โอ๊ย พอเถอะหัวใจเขาไม่ไหวจะเต้นรัวแล้ว ตอนนี้สงสัยจะหิวข้าวน้ำตาลต่ำแน่ๆ เลยรู้สึกแปลกๆ หวิวๆ หัวใจ “วันนี้จะไปเที่ยวไหน” เสียงทุ้มถา
“มึง กูเห็นมึงไปส่งน้องข้าวโพดของกูที่เรือนมะลิของมึง หมายความว่ายังไง”พอจอดรถได้บดินทร์ก็เดินตามหลังเพื่อนปรี่เข้ามาถามเพื่อนให้คลายสงสัยทันที ก่อนที่จะนั่งที่โซฟารับแขกมองตาเพื่อนเขม็งจ้องเอาคำตอบ“ก็เขาพักที่นั่น มึงจะให้กูไปส่งที่ไหน”กิตติภูมิบอกเพื่อน ไอ้ห่าดินกูเริ่มจะรำคาญมึงแล้วนะเอาแต่ถามถึงเรื่องข้าวโพด เอาแต่บอกว่าน้องข้าวโพดของกู เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงหลงเด็กซะแล้ว ไม่รู้ผู้ช่วยเขาไปอ่อยอะไรไว้อีกคนถึงได้ติดใจขนาดนี้“เดี๋ยวๆ ไอ้บลูปกติมึงหวงที่นั่นจะตาย พวกกูอยากนอนมึงยังไม่ให้นอนเลย มึงบอกมาน้องข้าวโพดเป็นอะไรกับมึงทำไมถึงได้พักที่นั่น หนำซ้ำได้นั่งเป็นตุ๊กตาสวยๆ หน้ารถมึง”“มึงอยากรู้ใช่ไหม มึงช่วยโทรไปถามแม่เลี้ยงกานดาให้กูหน่อย แม่กูจัดแจงทุกอย่าง ถ้ากูไม่ให้เค้าพักที่นั่นแม่เลี้ยงจะให้เค้านอนห้องเดียวกับกู ที่สำคัญเวลาไปทำงานก็ต้องไปรับไปส่ง มึงไม่ต้องอึ้งเพราะถึงเวลาอาหารเดี๋ยวมึงก็เจอเขาที่โต๊ะอาหารอีก”ชายหนุ่มรูปงามแต่ผิวเข้มกว่าเอาแต่อึ้งที่ไอ้พ่อเลี้ยงเพื่อนยากพูดออกมา จากการประมวลข้อมูลที่ได้รับคร่าวๆ ตอนนี้เพื่อนเขามันก็ไม่น่าต่างอะไรกับเขาเลย สงสัยมัน
“เข้าใจที่พูดใช่ไหม ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็ถามแล้วกัน” เสียงทุ้มของพ่อเลี้ยงหนุ่มพูดขึ้นหลังจากได้อธิบายงานในส่วนที่ผู้ช่วยส่วนตัวคนใหม่ต้องทำต้องรับผิดชอบให้คนตัวเล็กฟัง ส่วนผู้ช่วยคนใหม่ก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ภายในออฟฟิศที่พ่อเลี้ยงกิตติภูมิสร้างไว้เป็นสำนักงานอาคารหลังใหญ่มีห้องทำงานของพ่อเลี้ยงอยู่ด้านในสุดและห้องของผู้ช่วยอยู่ติดกัน ส่วนด้านนอกเป็นห้องรับแขก ออฟฟิศอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักสักเท่าไหร่แต่ต้องเดินทางด้วยรถเท่านั้นเพราะถ้าเดินไปมีหวังขาลากแน่ๆ ทุกเช้าคนเป็นเจ้านายเลยต้องมีหน้าที่สารถีมารับผู้ช่วยของตัวเองที่เรือนมะลิเพื่อที่จะมาทำงานด้วยกันตามที่เเม่เลี้ยงกานดาได้จัดแจงหน้าที่ของเจ้าของไร่ชาที่ควรกระทำต่อลูกจ้างอย่างหนูข้าวโพดไว้ให้เขา “เข้าใจแล้วครับ” ผู้ช่วยคนใหม่ตอบเจ้านายหลังจากที่ได้รับฟังงานในหน้าที่ของตัวเอง งานของเขาไม่มีอะไรมากนอกจากการทำบัญชี รายรับรายจ่ายของไร่ การดูแลเรื่องการเบิกจ่ายค่าแรงของคนงาน และงบการเงินต่างๆ ส่วนมากทำให้ต้องอยู่แต่ในออฟฟิศ เจ้าของเสียงใสเอียงหน้าขึ้นมามองว่าอีกคนจะมอบหมายงานอะไรให้กับตัวเองก็ถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อพอเงยหน้าขึ้นมอง
ระหว่างการเดินทางคนที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดเห็นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากข้าวโพด ถึงจะเกิดที่เชียงใหม่แต่ข้าวโพดก็ไปโตที่บ้านฝั่งพ่อที่จังหวัดแถวภาคกลาง และไปอยู่กรุงเทพเสียเป็นส่วนมากนานๆ จะมาเยี่ยมมาหายายบุปผาที่เชียงใหม่ที มาแล้วก็ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหน การได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่เขียวชะอุ่มเต็มไปด้วยต้นไม้สองข้างทาง มองข้างหน้ามีภูเขาอยู่เบื้องหน้าตัดกับท้องฟ้่าสีครามมีเมฆสีขาวประดับเหมือนปุยนุ่นสำหรับข้าวโพดแล้วมันเป็นอะไรที่สวยงามเหมาะแก่การท่องเที่ยวมาก ไม่คิดเลยว่าที่เมืองไทยจะมีวิวสวยๆแบบนี้ให้ดูนึกว่าจะมีแค่ที่เมืองนอกที่ข้าวโพดเคยดูในยูทูปท่าทางตื่นเต้นของข้าวโพดสร้างความเอ็นดูให้กับแม่เลี้ยงกานดามาก ใบหน้าเล็กทั้งสวยทั้งน่ารักนั่นเกาะกระจกมองทิวทัศน์ตลอดเวลา บ้างครั้งก็ผละออกมายิ้มและถามผู้เป็นยายความออดอ้อนของข้าวโพดที่ต่อทำกับยายมันทำให้แม่เลี้ยงคิดว่าถ้าไปอ้อนกับพี่บลูลูกชายผู้ท่าเยอะของนางจะเป็นอย่างไร แค่คิดแม่เลี้ยงก็แอบยิ้มหลุดหัวเราะออกมาคนเดียว“เป็นอะไรคุณอยู่ๆก็หัวเราะ” พ่อเลี้ยงธนาถามภรรยาเมื่ออยู่ๆอีกคนก็ยิ้มและหัวเราะออกมาคนเดียว เขากับภรรยานั่งเบาะหลังสุดเลยทำให้มอง
“ว่ายังไงลูกตกลงรับน้องไปทำงานด้วยพรุ่งนี้เลยใช่ไหมแม่จะได้ไปส่งด้วยที่ไร่ด้วย”แม่เลี้ยงกานดาถามพ่อเลี้ยงกิตติภูมิทันทีที่เจ้านายหนุ่มและลูกจ้างคนใหม่มาเจอกัน เมื่อวานนางโทรไปหาลูกชายให้ลงมาจากดอยให้มาดูตัวว่าที่เลขาและผู้ช่วยส่วนตัว และให้มาตกลงเรื่องเงินเดือนกับสัญญาจ้างเข้าทำงานกับลูกจ้างที่แสนจะน่ารักถูกใจคนเป็นแม่“ก็ครับ เดินทางพรุ่งนี้เช้าเลย ว่าแต่แม่ก็จะไปด้วยเหรอครับ”ชายหนุ่มสงสัยทันทีที่แม่เลี้ยงกานดาออกปากจะไปส่งคนงานใหม่ที่ไร่ชาด้วยตัวเอง ไหนจะเรื่องเงินเดือนค่าจ้างที่เขาอุตส่าห์ให้มากกว่าที่อื่นถึงเดือนละสี่หมื่นเพราะเห็นว่าห่างไกลความเจริญซึ่งเด็กจบใหม่ไม่มีประสบการณ์บางที่เค้าไม่รับด้วยซ้ำยังไม่พอใจผู้เป็นแม่ยังจะมาต่อรองเงินเดือนให้ลูกจ้างกิตติมศักดิ์เป็นเดือนละห้าหมื่นอีก แทนที่จะช่วยลูกชายประหยัดยังจะมาขอให้ลูกชายจ่ายแพงกว่าเดิม เขาจะทำอะไรได้นอกจากยอมจ่ายตามที่แม่เลี้ยงผู้ซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านสั่งอย่างไม่กล้าหือสร้างความพอดีให้คุณนายแม่เป็นอย่างมาก“ก็ต้องไปซิลูก หนูข้าวโพดจะได้ไม่รู้สึกเหมือนโดนทิ้งโดนปล่อยเข้าป่าไปเพียงคนเดียว เดี๋ยวแม่จะได้พาน้องบูมไปเที่ยว