เหรินเหยียนชิงกลับมาถึงจวนตระกูลเหรินในช่วงต้นยามซวี (ยามซวี เวลา 19:00-20:59 น.) พร้อมกับจิงเสี่ยวเจี้ยนและจิงเสี่ยวจาง เนื่องจากวันนี้สหายแฝดได้แวะเข้าไปหาเขาที่ร้าน เพราะต้องการจะชวนเขากลับมานั่งร่ำสุราด้วยกันตั้งแต่ช่วงเย็น แต่เป็นเพราะตัวเขาที่ทิ้งงานในร้านฝากขายไปหลายวัน จึงทำให้งานที่ร้านค่อนข้างที่จะยุ่งและล้นมือ เลยทำให้สหายแฝดต้องไปนั่งรอเขาจนได้กลับจวนมาพร้อมกันในยามนี้
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินไปยังเรือนพักรับรอง ก็มีบ่าวชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาหาเหรินเหยียนชิง
“คุณชายเหรินขอรับ นายท่านบอกเอาไว้ว่าหากคุณชายกลับมาแล้วให้แวะเข้าไปหานายท่านที่ห้องหนังสือด้วยขอรับ”
“อย่างนั้นพวกข้าขอไปนั่งร่ำสุรารอเจ้าก่อนก็แล้วกัน หากเจ้าคุยกับท่านตาเสร็จก็ให้รีบตามมาเลยนะ”
เหรินเหยียนชิงหันไปพยักหน้าตอบรับคำของจิงเสี่ยวจาง ก่อนที่เขาจะเดินแยกออกไปหาเหรินเหยียนเป่าที่ห้องหนังสือในเรือนใหญ่
<
จินเฟยหลงหลังออกมาจากศาล เขาก็เดินทางกลับจวนของเขาในทันที เนื่องจากเรื่องราวทุกอย่างได้ดำเนินไปในแบบที่เขากับชิงหลวนคุนคาดการณ์กันเอาไว้ และอะไรที่เขาพอจะช่วยได้ เขาก็ได้ลงมือจัดการไปทั้งหมดแล้ว ดังนั้นในตอนนี้สำหรับเขาก็เหลือเพียงแค่รอวันที่ศาลจะนัดผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนเข้าไปรับฟังคำตัดสินก็เท่านั้น หากนับรวมวันนี้ก็คงจะครบห้าวันแล้วสินะ ที่เขาไม่ได้เห็นหน้าเหรินเหยียนชิง ยามนี้จินเฟยหลงจึงเพิ่งเข้าใจคำว่า ‘คิดถึงจนกินไม่ได้ พอจะนอน...ก็นอนแทบไม่หลับ’ ของหยางหมิงเซียนแล้ว เพราะเมื่อก่อนยามที่เขาได้ยินเจ้าตัวกลับมาโอดครวญกับพี่ใหญ่ของเขา หลังจากที่อีกฝ่ายต้องเดินทางออกไปส่งยาที่ต่างเมือง ในยามนั้นเขาก็มักจะมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่เอือมระอา แต่พอมาในยามนี้... ‘เฮ้อ...เหยียนชิง ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่นะ? แล้วเจ้าจะคิดถึงข้าได้สักครึ่งหนึ่งที่ข้าคิดถึงเจ้าหรือไม่?’ เมื่อก่อนตอนที่จินเฟยหลงต้องห่างจากเหรินเหยียนชิงไปถึงสี่
“เหยียนชิง เดี๋ยวข้าจะเดินไปส่งเจ้าที่เรือนพัก อาเจี้ยนห้องพักของข้าอยู่ทางซ้ายมือ หากเจ้าง่วงเจ้าก็เข้าไปนอนก่อนได้เลย” จิงเสี่ยวจางกล่าวจบก็เดินตามไปส่งเหรินเหยียนชิงที่เรือน “ขอบใจเจ้ามากนะอาจาง” เหรินเหยียนชิงหันมากล่าวกับสหาย เมื่อเดินมาถึงหน้าเรือนพักของเขาแล้ว “เจ้าอยากให้ข้าอยู่ด้วยก่อนหรือไม่?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยถามคนตรงหน้า เพราะตั้งแต่ที่เขาได้รู้จักกับอีกฝ่ายมา ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นน้ำตาของเจ้าตัว แล้วเมื่อเห็นว่าเหรินเหยียนชิงยืนจ้องหน้าเขาด้วยดวงตากลมโตที่เริ่มเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาอีกครั้ง เขาจึงเอื้อมมือไปดึงอีกฝ่ายเข้ามาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นเขาจึงใช้มืออีกข้างหนึ่งลูบหลังปลอบประโลมคนตรงหน้าเบา ๆ “เฮ้อ...ไม่สมกับเป็นเจ้าเลยเหยียนชิง เรื่องนี้คงทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดใจมาโดยตลอดสินะ” &nbs
“เหยียนชิงใจเย็น เกิดอะไรขึ้น...เล่ามาให้พวกข้าฟังก่อน” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยขึ้น หลังจากแฝดผู้น้องของเขาพาเหรินเหยียนชิงลงมานั่งฝั่งตรงข้ามกับเขาแล้ว “คือ...ข้า มารดาของข้า...” เหรินเหยียนชิงตั้งสติพร้อมกับยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตนเองออกแบบลวก ๆ จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องมารดาของเขาให้สหายทั้งสองฟังแบบคร่าว ๆ รวมไปถึงเรื่องที่ท่านแม่ใหญ่ของจินเฟยหลงคือสหายสนิทของมารดาเขา และเรื่องที่ครอบครัวของจินเฟยหลงช่วยเป็นสะพานเชื่อมการติดต่อระหว่างท่านตากับมารดาของเขาแบบลับ ๆ มาโดยตลอดด้วย “ตอนนี้เจ้าก็เลยคิดว่า เฟยหลงน่าจะพอช่วยเหลือฮูหยินรองเยว่ เออ...มารดาของเจ้าได้ใช่หรือไม่?” “ใช่” เหรินเหยียนชิงตอบกลับคำพูดของจิงเสี่ยวจาง “อืม...ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเหยียนชิง แต่ถึงอย่างไรฮูหยินรองเยว่กับบุตรทั้งสองของนางก็คงจะหลีกเลี่ยงผลพวงจากเรื่องที่สองพ่อลูกตระกูลเยว่ทำได้ยาก ซึ่งเท่าที่พวกเรารู้ในตอนนี้ก็คือเฟยหลงกับองค์ชายสิบสองได้
หลังจากที่จินเอ๋อร์เล่าแผนการทั้งหมดของนางจบ นางก็นำสินเดิมที่พกติดตัวมาห่อหนึ่งมอบให้กับตา จากนั้นนางก็ลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นแล้วก้มลงคำนับให้ตา ก่อนจะเอ่ยฝากฝังชีวิตของเจ้าและชีวิตของอาลู่ไว้ในมือของตา โดยขอให้ตาสัญญาว่าจะเก็บเรื่องทั้งหมดนี้ไว้เป็นความลับ และขอให้ตาโปรดรับเจ้าเข้าตระกูลเหริน พร้อมกับขอให้ตาช่วยตั้งชื่อของเจ้าแทนอาเฉิงด้วย เพราะนางกับอาลู่ได้ตั้งใจเอาไว้ว่าเมื่ออาเฉิงกลับมาจะให้อาเฉิงเป็นผู้ตั้งชื่อให้กับเจ้า แต่มัน... จากนั้นจินเอ๋อร์ก็หันไปคำนับให้กับสหายของนาง ก่อนจะหันกลับมาพูดกับตาอีกหนึ่งเรื่องคือ นางต้องการจะให้ตาช่วยเขียนจดหมายบอกเล่าความเป็นอยู่ของพวกเจ้าให้นางได้รับรู้เพียงปีละหนึ่งครั้งหรือสองครั้งก็พอ โดยให้ตาเขียนระบุหน้าจดหมายด้วยนามสามีของสตรีนางนั้น แล้วสามีของสตรีนางนั้นจะช่วยเป็นสะพานส่งต่อจดหมายไปให้นางอีกทีหนึ่ง และถ้าหากพวกเราต้องการความช่วยเหลือก็ให้ตาส่งจดหมายถึงนางผ่านทางนั้นเช่นกัน แล้วเมื่อถึงวันงานมงคลสมรสของจินเอ๋อร์ ตากับ
เหรินเหยียนเป่าเมื่อเห็นว่าเหรินเหยียนชิงวางจอกชาที่ดื่มเสร็จลงบนโต๊ะ จากนั้นเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ในอดีตต่อ “แต่การกลับมาจวนรองแม่ทัพของจินเอ๋อร์ในครั้งนี้ ทำให้นางได้รู้ว่าเยว่ซือจงยังคงไม่ยอมตัดใจไปจากนาง ถึงแม้ว่าหลังจากวันที่จินเอ๋อร์หนีไปกับอาลู่ บิดาของเยว่ซือจงจะจัดหาสตรีที่เพียบพร้อมกว่านางมาแต่งเข้าเป็นฮูหยินเอกให้กับเยว่ซือจงแล้วก็ตาม เพราะในวันที่จินเอ๋อร์เดินทางกลับมาถึงจวนรองแม่ทัพ ตระกูลเยว่ก็ได้ส่งคนมายื่นข้อเสนอให้กับนางต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ของตระกูลเฉิงทันที และข้อเสนอนั้นก็คือ ทางตระกูลเยว่จะการช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย รวมไปถึงค่ารักษาอาการป่วยของยายเจ้าในยามนั้น โดยการมอบเงินให้กับตระกูลเฉิงจำนวนยี่สิบห้าหีบ ซึ่งจะประกอบด้วยเงินตำลึงทองจำนวนห้าหีบ และเงินตำลึงเงินอีกจำนวนยี่สิบหีบ แต่จะต้องแลกด้วยการที่จินเอ๋อร์ยอมแต่งเข้าจวนตระกูลเยว่ในฐานะฮูหยินรองของเยว่ซือจง และจินเอ๋อร์จะต้องยอมตัดขาดทุกความสัมพันธ์ไ
ดังนั้นเรื่องราวความรักระหว่างอาลู่กับจินเอ๋อร์จะเริ่มต้นอย่างไรและเมื่อใดนั้น ตาจึงไม่อาจรับรู้ได้ แต่เท่าที่ตารู้ก็คือในยามนั้นจินเอ๋อร์มีคู่หมั้นอยู่แล้ว และคู่หมั้นของนางก็คือ...เยว่ซือจงสามีของนางในยามนี้ แล้วหลังจากที่ตาออกมาจากจวนรองแม่ทัพได้ไม่นาน ตาก็เริ่มออกเดินทางใช้ชีวิตโดยการหาบเร่ขายสินค้าไปตามหัวเมืองต่าง ๆ และไม่ได้กลับเข้าไปในเมืองหลวงอีกเลย ดังนั้นตาจึงไม่ได้พบเจอผู้ใดในจวนรองแม่ทัพอีกเลยนับจากนั้น ซึ่งในช่วงสองสามปีนั้น ข่าวการสู้รบที่ชายแดนก็มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นในทุก ๆ วัน จนผ่านล่วงเลยไปถึงสามปี ตาก็ได้ยินข่าวการจากไปของอาเฉิง ตาจึงรีบเดินทางกลับเข้าไปในเมืองหลวงทันที แล้วในระหว่างทางตาก็ได้พบกับจินเอ๋อร์... จากดารุณีน้อยที่ตาเคยเห็นว่านางช่างดูงดงามและสดใส แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ปีจินเอ๋อร์ก็ได้กลายเป็นสตรีที่มีเพียงความอิดโรย อ่อนแรงและสิ้นหวัง ในยามนั้นตาไม่รู้เลยว่า...ที่ผ่านมาจินเอ๋อร์ต