“เหยียนชิง! อย่าหันกลับไปมอง...” จิงเสี่ยวจางเอ่ยทักสหายเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวกำลังจะหันกลับไปมองทางด้านหลัง
“เจ้าก็รู้สึกเหมือนกันใช่หรือไม่? ว่ามีคนกำลังจับตามองพวกเราอยู่” เหรินเหยียนชิงกดเสียงถามจิงเสี่ยวจาง ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย แล้ววักน้ำในลำธารขึ้นมาล้างหน้าล้างตา
“อืม...ตั้งแต่ที่พวกเราหยุดรับเสบียงกันแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจุดประสงค์หรือเป้าหมายของพวกมันคืออะไร ข้าก็เลยชวนเจ้าแยกออกมาล้างหน้าที่ลำธาร” จิงเสี่ยวจางกดเสียงตอบสหาย ยามนี้เขาได้ให้จิงเสี่ยวเจี้ยนกับเพ่ยฉีและคนของเจ้าตัวคอยอยู่ดูแลมารดากับน้อง ๆ ของเหรินเหยียนชิง ส่วนคนของจินเฟยหลงที่แอบสะกดรอยตามพวกเขามาด้วยนั้น ยามนี้ก็ดูเหมือนว่าจะรู้ตัวแล้วเช่นกัน เพราะอีกฝ่ายก็ได้แบ่งคนและแยกตัวออกมาคอยติดตามคุ้มกันพวกเขาอยู่อีกชั้นหนึ่งแล้วด้วย
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาทั้งคู่จะได้พูดคุยอะไรกันต่อ เหรินเหยียนชิงก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้นมาจากบริเวณที่มารดากับน้อง ๆ ของเขากำลังนั่งพักกันอยู่ เขา
เช้าวันถัดมาจินเฟยเทียนก็ได้เข้าไปตรวจร่างกายของจินเฟยหลงอีกครั้ง ก่อนออกเดินทาง...แล้วเมื่อเขาได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาจึงขอให้หยางหมิงเซียนกับชิงหลวนคุนออกไปลาเจ้าของจวน และรอเขาอยู่ที่รถม้า... และเมื่อเห็นว่าคนทั้งสองเดินออกจากห้องไปแล้ว จินเฟยเทียนจึงเริ่มเล่าเรื่องบิดากับน้องสาวให้จินเฟยหลงฟัง เนื่องจากคนทั้งคู่ต้องการมาเยี่ยมดูอาการของอีกฝ่ายที่นี่ แต่เมื่อได้รับรู้เรื่องอาการบาดเจ็บรวมไปถึงสถานการณ์ระหว่างผู้เป็นน้องชายกับเหรินเหยียนชิงจากจดหมายที่เขาส่งไปแล้ว คนทั้งคู่จึงยอมยกเลิกการเดินทางและได้ส่งสารฝากมาบอกกับจินเฟยหลงว่าจะรอฟังข่าวอยู่ที่จวน จากนั้นจินเฟยเทียนจึงเริ่มเอ่ยถามผู้เป็นน้องชาย “เมื่อคืน...เจ้าได้พูดกับเหยียนชิงหรือไม่?” “ขอรับ ข้าได้บอกความรู้สึก ข้าได้ขออภัย และข้าก็ได้ขอโอกาสแล้วขอรับ แต่เหยียนชิงดูเหมือนจะยังสับสน ข้าก็เลยบอกกับเหยียนชิงว่าข้าพร้อมจะรอขอรับ” “ดี
จินเฟยหลงมองเหรินเหยียนชิงเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง พร้อมกับหนังสือที่เจ้าตัวหยิบออกมาเปิดอ่านเมื่อครู่ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตอบคำถามโดยที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา “ข้าไม่ได้รังเกียจ เพียงแต่ข้า...” เพียงได้ฟังเสียงพูดของคนตรงหน้า จินเฟยหลงก็รู้ว่ายามนี้เหรินเหยียนชิงคงรู้สึกลำบากใจเรื่องเขาอยู่ไม่น้อย เขาจึงเลือกที่จะกล่าวต่อ “เหยียนชิง ข้าไม่รู้หรอกนะว่าการที่ข้ารู้สึกแบบนี้กับเจ้า มันแปลว่าข้าเป็น ‘บุรุษตัดแขนเสื้อ’ หรือไม่? แต่ข้าอยากบอกให้เจ้ารู้ว่าความรู้สึกนี้ของข้า มันไม่เคยเกิดขึ้นกับบุรุษผู้ใดหรือกับสตรีนางใดมาก่อนเลยสักครั้ง เพราะมันเกิดขึ้นแค่กับเจ้าผู้เดียว” กล่าวจบ จินเฟยหลงก็เห็นว่าเหรินเหยียนชิงยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาแล้ว ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นไปรินชาที่หัวเตียงกลับมายื่นให้กับเขา จินเฟยหลงจึงรับชาจอกนั้นมาจิบ แล้วในขณะนั้นจินเฟยหลงที่เคยคิดเอาไว้
เช้าวันรุ่งขึ้น จินเฟยหลงตื่นมาก็พบว่าคนที่มานอนเฝ้าเขาได้กลับออกไปแล้ว และวันนี้ทั้งวันก็มีคนในจวนตระกูลเหรินแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนเขา ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเหรินเหยียนชิง จะยกเว้นก็เพียงแค่...คนตัวเล็กของเขาเท่านั้น จินเฟยหลงเฝ้ารอที่จะเจอกับเหรินเหยียนชิง จนผ่านล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันถัดมา เขาก็ได้รู้แต่เพียงว่า...เมื่อคืนเหรินเหยียนชิงได้พาเยว่ซือเค่อมานอนเฝ้าเขาที่นี่ แล้วพอเช้าอีกฝ่ายก็รีบพาน้องชายของตนเองกลับออกไปทันที แล้วทุกอย่างก็ได้ผ่านเลยไปแบบนี้จนเข้าสู่วันที่สี่ จินเฟยหลงแม้จะรู้สึกว้าวุ่นใจมากแค่ไหน แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอ เพราะด้วยสภาพร่างกายของเขา ซึ่งตัวเหรินเหยียนชิงเองก็ไม่คิดจะเปิดโอกาสให้จินเฟยหลงได้พูดคุย เพราะถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมานอนเฝ้าเขาที่นี่ทุกคืน แต่เจ้าตัวก็จะเข้ามาในตอนที่เขาหลับไปแล้วทุกครั้ง หรือถ้าเหรินเหยียนชิงเข้ามาเยี่ยมเขาในช่วงกลางวัน อีกฝ่ายก็จะมาพร้อมกับคนในครอบครัวของตัวเองหรือไม่ก็จะ
จินเฟยหลงรู้สึกตัวมาได้สักพัก ตอนนี้เขาทำได้เพียงนอนฟังเรื่องราวที่ทุกคนในห้องพูดคุยกันเท่านั้น เพราะความปวดร้าวจากบาดแผลทั่วทั้งร่างกายที่เขากำลังเผชิญอยู่ มันได้ทำให้จินเฟยหลงไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้วหรือลืมตาที่หนักอึ้งของตนเองขึ้นมาได้ แต่เมื่อครู่ผู้เป็นพี่ชายได้นำยามาป้อนให้กับเขา ยามนี้ความเจ็บปวดที่เขากำลังเผชิญมันจึงเริ่มดีขึ้นจากเดิมเรื่อย ๆ แต่มันก็มีความรู้สึกง่วงงุนแปลก ๆ เข้ามาแทนที่ และเพียงไม่นานจินเฟยหลงก็ได้รู้ถึงสาเหตุของอาการง่วงงุนแปลก ๆ ของตนเองว่ามาจากยาที่เขาเพิ่งดื่มเข้าไป แล้วเมื่อเขาได้รับฟังเรื่องราวของยาต้านพิษที่ผู้เป็นพี่ชายคิดเผื่อพวกเขาจบ เขาก็ได้แต่ขอบคุณอีกฝ่ายในใจ เพราะอย่างที่ชิงหลวนคุนพูดหากไม่ได้ยาต้านพิษสามเม็ดนั้นก็ไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเขาจะรอดกลับมาหาทุกคนที่นี่ได้หรือไม่... หลังจากที่จินเฟยหลงได้ยินเสียงฝีเท้าของสหาย ผู้เป็นพี่ชายและคนรักของเจ้าตัวเดินห่างออกไปจากห้องพักของเขาแล้ว จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเหรินเหยียนชิงเด
ชิงหลวนคุนเมื่อได้ยินเรื่องยาพิษ เขาจึงเอ่ยถามเรื่องที่คาใจกับจินเฟยเทียน “พูดถึงเรื่องยาพิษ เฟยเทียนเจ้ารู้หรือไม่...หากไม่ได้ยาต้านพิษสามชุดที่เจ้าบังคับให้พวกข้ากิน ยามนี้เฟยหลงหรือแม้แต่ตัวข้าเองก็อาจจะไม่ได้กลับมาหาพวกเจ้าแล้วก็ได้ ว่าแต่...เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านไป่จือจะใช้ยาพิษเล่นงานพวกข้า แล้วยาต้านพิษที่พวกข้ากินก็ยังสามารถต้านยาพิษที่ท่านไป่จือใช้กับพวกข้าได้ด้วย” “หลวนคุน เจ้าลืมเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนไปแล้วหรือว่าท่านพ่อของข้าก็ถูกวางยาด้วยคนของแคว้นฉิน และเจ้าก็เป็นคนมาเล่าให้พวกข้าฟังเองว่า...พ่อลูกตระกูลเยว่มีติดต่อซื้อขายอาวุธกับพวกแคว้นฉิน แล้วอย่างที่รู้กันคนแคว้นฉินโดดเด่นเรื่องการค้าขายสมุนไพร และชำนาญเรื่องการปรุงยาพิษ ดังนั้นข้าจึงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหมือนคราวท่านพ่อขึ้นมาอีก ข้าก็เลยไปขอยาต้านพิษร้อยแปดชนิดของฮูหยินรองที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเม็ดจากเฟยฮวามาให้หมิงเซียนศึกษา ตั้งแต่ที่เจ้าเล่าเรื่องของท่านไป่จือให้พวกข้าฟัง แต่ก็เ
เหรินเหยียนชิงเมื่อเห็นชิงหลวนคุนเดินออกจากห้องไปแล้ว เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปช่วยจัดผ้าห่มให้กับคนเจ็บที่เตียง แต่เมื่อมือของเขาขยับเข้าไปใกล้ตัวของอีกฝ่าย เขาจึงรับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวของจินเฟยหลง เหรินเหยียนชิงจึงรีบเดินออกไปหยิบผ้าสะอาดและอ่างใส่น้ำ ก่อนจะกลับเข้ามาลงมือเช็ดตัวเพื่อระบายความร้อนให้กับคนเจ็บ หลังจากเช็ดตัวให้จินเฟยหลงเสร็จ เหรินเหยียนชิงก็ยังคอยอยู่เฝ้าดูอาการของอีกฝ่ายต่อ เนื่องจากเจ้าตัวมีอาการไข้ขึ้นแทบจะตลอดทั้งคืน แล้วในระหว่างนั้นเขาก็ได้นั่งคิดทบทวนเรื่องราวระหว่างเขากับคนตรงหน้า รวมไปถึงประโยคที่ชิงหลวนคุนพูดทิ้งเอาไว้ก่อนจะขอตัวไปพัก “เหยียนชิง” เหรินเหยียนชิงเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนเอง เขาจึงลืมตาขึ้นมา...จากนั้นเขาก็เห็นจินเฟยเทียนกำลังก้มลงมาใช้มือเขย่าที่แขนของเขาเบา ๆ เขาจึงรีบลุกขึ้นแล้วถอยออกมาจากเก้าอี้ข้างเตียง เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้เข้ามาตรวจดูอาการของจินเ