ภายในโรงเตี๊ยม กลางเมืองยวี่เทียน นักเล่านิทานแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีอ่อน กลืนกับเรือนผมหงอกขาวเกล้าขึ้นสูงประดับปิ่นไม้สีน้ำตาล กำลังเล่านิทานเรื่องหนึ่งอยู่ สีหน้าและน้ำเสียงสูงๆ ต่ำๆ พาให้เรื่องราวถูกถ่ายทอดออกมานั้น มีชีวิตชีวา
“...เมื่อร้อยปีก่อน ทุกท่านรู้หรือไม่ว่า อู๋เซียงอี๋ ประมุขเผ่ามาร บำเพ็ญตะบะมานับพันปีจนแก่กล้า ปกครองเผ่ามารด้วยความเที่ยงธรรม เผ่ามารต่างร่มเย็นเป็นสุข
ยามนั้นเผ่าเซียน นำโดยหลัวเฟิง ต้องการแผ่ขยายอำนาจ ยึดครองเผ่ามนุษย์และมารมาเป็นของตนเอง จึงสั่งให้คนของเขาปลอมตนเป็นมาร สวมอาภรณ์สีดำ แต้มชาดบนหน้าผากอย่างมาร ออกเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ทำให้เจ้าแคว้นเผ่ามนุษย์เข้าใจผิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือเผ่ามาร จึงร้องต่อเผ่าเซียนให้ส่งคนไปปราบเผ่ามารให้สิ้นซาก…”
“ดูสิ เผ่าเซียนช่างชั่วร้ายนัก ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย เพราะความลุ่มหลง มัวเมาในอำนาจแท้ๆ เผ่ามารจึงต้องประสบกับเคราะห์กรรมเช่นนี้” เด็กหนุ่มผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำ หน้าตาหมดจด ผิวพรรณขาวจัด ตัดกับเรือนผมดำขลับเกล้าขึ้น ผูกผ้าสีน้ำเงินเข้ม วางจอกน้ำชาลงบนโต๊ะโดยแรง จนน้ำชาในจอกกระฉอกออกมา ดวงตาคู่คมประดุจเหยี่ยว ภายใต้เส้นคิ้วมังกรยกเฉียงขึ้นวาววับ ริมฝีปากบางขยับเอ่ยถามนักเล่านิทานออกไปว่า
“แล้วอย่างไรต่อ”
“...เช่นนั้นแล้ว หลัวเฟิงก็สบโอกาส ส่งกองทัพทหารเผ่าเซียนบุกเผ่ามารน่ะสิ แต่มีหรือจะสู้กองทัพอันแข็งแกร่งของเผ่ามารได้ ต้องพ่ายแพ้ไปทุกครา โอรสญาติพี่น้อง ล้วนแล้วแต่สังเวยคมกระบี่หยกโลหิต ทุกคราที่กระบี่หยกโลหิตต้องแสงจันทรา ฟาดฟันลงบนร่างของทหารเผ่าเซียนเหล่านั้น มีหรือพวกเขาจะรอดชีวิต ครั้งนั้น...ผืนดินเมืองยวี่เทียนของเราอาบย้อมไปด้วยเลือด
เมื่อไม่อาจปราบอู๋เซียงอี๋ได้ หลัวเฟิงจึงไปเชิญปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนลงจากตำหนักฉางชุนมาปราบมารอู่เซียงอี๋…”
“ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียน ใครอีกล่ะ” หนุ่มน้อยนักฟังนิทานอีกคนเอ่ยแทรกขึ้น พลางเคาะนิ้วมือลงกับโต๊ะไม้ตรงหน้า
“ได้ยินว่า เป็นจิ้งจอกสวรรค์ บำเพ็ญเพียรอยู่บนตำหนักฉางชุน เหนือยอดเขาเซียนกู่ เขาเป็นจิ้งจอกหนุ่มรูปงาม เห็นพวงหางสีขาวทั้งเก้าของเขาก็รู้ว่ามีวิชาอาคมแก่กล้าระดับปรมาจารย์ ดวงหน้าเรียวขาวดุจจันทราน่าเหมันตฤดู นัยน์ตาหรือก็งดงามราวตาพญาหงส์ เส้นคิ้วมังกรเรียงเป็นระเบียบปานวาดด้วยหมึกจีน จมูกโด่ง กลีบปากได้รูปงามเชียว แต่ใครจะรู้เล่าว่าทำนองกู่ฉินพิฆาตของเขานั้น ร้ายกาจนัก ต่อกรกับวิหคโลหิตของจอมมารอู๋เซียงอี๋ได้อย่างคู่คี่ สูสี หากจอมมารอู๋เซียงอี๋ไม่ธาตุไฟเข้าแทรกจนคลุ้มคลั่งละก็ ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนคงไม่มีทางเอาชนะ สังหารจอมมารของเราได้หรอก”
“ได้ยินว่า ก่อนจะเกิดสงครามระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียน ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนกับจอมมารเป็นสหายรักกันไม่ใช่หรือ เหตุใดปรมาจารย์เซียนผู้นั้น จึงฆ่าสหายได้ลงคอ” นักฟังนิทานหนุ่มน้อยอีกคนเอ่ยถามแทรกขึ้นบ้าง
“พวกท่านไม่รู้อะไร พอจอมมารเกิดธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว ก็กลับกลายร่างเป็นวิหคโลหิตเพลิง คลุ้มคลั่ง ทำร้ายผู้คน ทั้งเผ่าตนและเผ่าเซียน ล้วนแต่ล้มตายเป็นเบือ แม้แต่เด็ก สตรีที่ท่านเคยเมตตา ก็ยังไม่เว้น ที่ใดที่วิหคเพลิงบินผ่าน ล้วนแล้วแต่เกิดเพลิงไหม้ ดินแดนสองเผ่าล้วนกลายเป็นทะเลเพลิง หากปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนไม่ฆ่าจอมมาร ไหนเลยจะหยุดยั้งความเสียหายได้ แต่หลังจากสงครามน่ะสิ ช่างน่าเศร้านัก”
“น่าเศร้าอย่างไร” หนุ่มน้อยนักฟังนิทานอีกผู้หนึ่งถามแทรกขึ้นอีกหน ไม่รู้ว่าเหตุใด จึงนึกเกลียดชังปรมาจารย์เซียนผู้เข่นฆ่าสหายขึ้นมาครามครัน
“ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนได้ทุ่มเทพลังปราณทั้งหมด ดีดฉินทำนองเวทย์ฟื้นฟูทุกสิ่งขึ้นมาใหม่น่ะสิ ได้ยินว่าทำนองนั้น สามารถทำให้ทุกสิ่งที่เคยเสียหาย คืนกลับมาเป็นดังเดิมได้ หากผู้ใดชะตายังไม่ถึงฆาต ก็ยังสามารถฟื้นคืนจากความตายได้ เมื่อพลังปราณหมดลง ท่านก็จบชีวิตตามสหายไป เฮ้อ… ช่างน่าเศร้าจริงๆ จะว่าไปก็น่าสงสารปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนอยู่เหมือนกันนะ”
“น่าเศร้าตรงไหนกัน คนที่น่าสงสารควรจะเป็นจอมมารอู๋เซียงอี๋มากกว่า เขาไม่เคยทำผิดสิ่งใด แต่กลับถูกใส่ร้ายว่าก่อสงคราม ซ้ำยังถูกสหายฆ่าอีก” ยิ่งฟัง หนุ่มน้อยนักฟังนิทาน เจ้าของดวงหน้ามดจด งดงามราวรูปสลัก สวมอาภรณ์ดำก็ยิ่งโกรธแค้น ราวกับสิงที่เกิดขึ้น มันได้เกิดกับตนเองแล้วอย่างไรอย่างนั้น
พลันภาพโรงเตี๊ยมกลางเมืองยวี่เทียนกับนักเล่านิทาน คนฟังนิทานมากมายก็มลายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยภาพเส้นทางแคบ ทอดยาวไปเบื้องหน้า ภายใต้ผืนฟ้ามืดดำ ดูเหมือนตัวเขาเองจะกำลังเดินตามคนกลุ่มหนึ่งไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงป้ายบอกทาง “เส้นทางหวงเฉวียน” สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกปี่อั้น ดอกไม้สีแดงเพลิงผลิบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมกำซาบใจ มองแต่ไกล จึงดูคล้ายเส้นทางแห่งนี้ปูด้วยพรมสีแดงดุจโลหิต จากที่เคยอ่านพบจากตำราในหอคัมภีร์ ที่แห่งนี้ดูคล้ายกับเส้นทางในดินแดนปรโลกไม่มีผิด
เขายังไม่ตายไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมองเห็นตนเองเดินตามผู้คนมากมาย ข้ามสะพานไน่เหอตัดผ่านแม่น้ำวั่งชวนไปได้
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่คือความจริง หรือความฝัน” หนุ่มน้อยถามตนเอง ยามสองเท้าก้าวผ่านหินซานเซิง แลเห็นหอวั่งเซียงปลูกสร้างด้วยดินตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ด้านข้างหอแห่งนั้น มีหญิงชรายืนขายน้ำแกงอยู่
“แม่เฒ่า ท่านเป็นใคร” หนุ่มน้อยถามออกไป หากยังไม่ทันที่หญิงชราจะเอ่ยอะไรออกมา จิตของเขาก็ได้รับคำตอบเองว่า นางคือยายเมิ่ง ผู้ปรุงน้ำแกงลืมอดีต จากแม่น้ำวั่งชวนเบื้องล่างนั่นเอง
“...เหตุใด ข้าจึงมายังสถานที่ประหลาดเช่นนี้ หรือว่า ข้าจะตายแล้ว…” หนุ่มน้อยถามตนเอง หากยังไม่ทันจะได้คำตอบ สายตาของเขาก็ไปปะทะเข้ากับชายผู้หนึ่ง สวมอาภรณ์ดำ ที่น่าแปลกก็คือ ชายผู้นั้นมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน จะต่างกันก็แต่รอยตรามารบนหน้าผาก ที่ไม่เพียงแค่รอยชาดแต้ม ทว่าตามารนั้นกลับยังคงเปิดอยู่ ภายในดวงตามาร เป็นสีแดงดุจโลหิต ดวงตาทั้งคู่แดงเจิดจ้า ฉายความร้าวราน อย่างไม่อาจปิดบังได้
ที่ทำให้หนุ่มน้อยต้องตกตะลึงก็คือ เบื้องหน้าของเขามีจิ้งจอกเก้าหางหนุ่มรูปงาม สวมอาภรณ์ขาวสะอาด พวงหางสีขาวทั้งเก้าพลิ้วไหวยามก้าวเดินเชื่องช้า ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ดูเหมือนจิ้งจอกหนุ่มรูปงามผู้นั้นจะยืนนิ่ง จับจ้องมองหอวั่งเซียงครู่หนึ่ง “อดีตที่ผ่านมาแล้ว ลืมมันไปก็ดี” ว่าแล้วจิ้งจอกหนุ่มรูปงามก็ยกถ้วยน้ำแกงขึ้นจรดปาก ดื่มน้ำแกงลืมอดีตจนหมดถ้วย ก่อนก้าวข้ามสะพานไน่เหอ เข้าสู่ประตูทรงโค้ง คล้ายกระจกบานใหญ่ไป ทว่าบุรุษอาภรณ์ดำกลับไม่ทำเช่นนั้น เขาเพียงยืนนิ่ง มองหอวั่งเซียงเบื้องหน้า นัยน์ตาฉายแววเจ็บปวด “ข้ายินดีลืมเลือนทุกสิ่ง แต่ข้าขอสาบานต่อฟ้าดิน ต่อแม่น้ำวั่งชวน สะพานไน่เหอ หอวั่งเซียงแห่งนี้ว่า ข้า...จะไม่ขอลืมเลือนเจ้า แม้ว่าข้าจะดื่มน้ำแกงลืมอดีตนี้แล้วก็ตาม” สิ้นคำสาบานนั้น เสียงฟ้าร้องครืนครั่นก็ดังมาจากที่ไกลแสนไกล เกิดสายฟ้าแลบขึ้นสายหนึ่ง คล้ายรับรู้คำสาบานนั้น ยามบุรุษอาภรณ์ดำก้าวผ่านประตูบานใหญ่นั้นไปสู่ภพภูมิเบื้องหน้า “เสี่ยวชวน...เสี่ยวชวน ตื่นรึยัง” เสียงตะโกนดังมาจากหน้าเรือนพัก ปลุกให้ “อู๋เหริ่นชวน” นามรอง “เสี่ยวชวน” สะดุ้งตื่นจากความฝันประหลาด ประมุขน้อยแห่
“เสี่ยวชวน เป็นอย่างไรบ้าง” อู๋หมิ่นเยี่ยนโผล่หน้าออกมาถามด้วยความห่วงใย“ข้าไม่เป็นไร พวกท่านไปเถอะ แล้วเจอกัน” อู๋เหริ่นชวนโบกไม้โบกมือให้บรรดาศิษย์พี่ ศิษย์น้อง ทว่าคล้อยหลังขบวนรถม้า เขาก็กลับลดมือลงคลำก้นตนเองป้อยๆ สูดปากเสียงดัง “เจ้านี่จริงๆ เลย” ว่าแล้วก็หยัดกายลุกขึ้นยืน นัยน์ตา ปราวระยับยามเดินลัดเลาะไปตามแนวปา แรกทีเดียวก็เดินไปตามเส้นทางรถม้าอยู่หรอก แต่นานเข้าก็นึกสนุก ออกนอกเส้นทางเข้ามาในป่าเสียเลย “อยู่ข้างนอกนี่ ช่างอิสระเสรีเหลือเกิน มีความสุขจริงๆ เลย” อู๋เหริ่นชวนตะโกนก้องผืนป่า ยิ้มน้อยๆ ให้กับเสียงสะท้อนก้องกลับไปกลับมาของตนเอง สองเท้าก้าวเรื่อยผ่านแนวต้นมะค่า แผ่กิ่งก้านสาขาเขียวครึ้ม สายลมพัดหมู่ไม้เอนไหว ยินเสียงนกร้องมาแต่ไกล แต่แล้ว ความสุขสำราญของประมุขน้อย ก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ เพียงแค่เหยียบกองใบไม้ใต้ต้นมะค่าต้นหนึ่ง ตาข่ายกลดักปีศาจก็ตกลงมาคลุมร่างเขาเอาไว้ ก่อนจะถูกดึงขึ้นไปแขวนอยู่บนกิ่งไม้ ยิ่งดิ้นรน ตาข่ายก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นทุกที “มีใครอยู่แถวนี้บ้าง ช่วยข้าด้วย” อู๋เหริ่นชวนตะโกนก้อง หน้าตาตื่น กวาดสายตาไปรอบๆ ขณะที่เบื้องล่างนั้น บรรดาศิษย
“มนุษย์ ตาข่ายกลคงเกิดปัญหาขึ้น จึงทำให้เขาติดตาข่ายได้ พวกเจ้าเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเถิด แล้วพบกันที่เจียงหนาน”“ขอรับ” เจ้าหน้าละอ่อนทั้งสามประสานมือคารวะนอบน้อม ก่อนมู่เฉินจะหันมาคารวะผู้ที่เขาเข้าใจว่าเป็นปีศาจ“ข้ากับสหายต้องขอโทษด้วย ที่เข้าใจคุณชายผิดไป”“ข้าด้วย”“ข้าด้วย” เห็นมู่เฉินแสดงกิริยานอบน้อม ทั้งซานไป๋และจิวยี่ก็ต่างแสดงการคารวะตาม เจ้ามู่เฉินก็ดูสุภาพ จริงใจดีอยู่หรอก แต่เจ้าซานไป๋กับจิวยี่นี่สิ เพียงทำไปเพราะอยู่ต่อหน้าอาจารย์หรอก มองปราดเดียว อู๋เหริ่นชวนก็เห็นไปถึงใจของศิษย์เซียนทั้งคู่แล้ว“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาหรอก” อู๋เหริ่นชวนเอ่ยตามที่คิดจริงๆ ไม่แน่หรอก ที่เขาเดินมาติดตาข่ายดักปีศาจนี่ได้ อาจเพราะเขาเป็นบุตรประมุขพรรคมาร มีไอมรณะแผ่ออกมาจากตัวก็ได้ บอกตนเองแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็นั่งลงตรงใต้ต้นไม้นั่นเอง รอกระทั่งบรรดาศิษย์ทั้งสามของบุรุษหนุ่มผู้นั้นจากไปแล้ว จึงเอ่ยถามเขาว่า“ท่านรู้แล้วนี่ว่า ข้าเป็นมาร เหตุใดจึงไม่บอกศิษย์ของท่านไปล่ะ” “ที่เจ้าออกเดินทางมาตามลำพังเช่นนี้ เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่า ตนเองเป็นใครไม่ใช่หรือ” “ก็จริง” อู๋เหริ่นชวนพยักหน้าเห็
“เฮ้อ… ข้าไม่น่าติดร่างแหมากับเขาเลย ซวยชะมัด” ประมุขน้อยหนุ่มบ่น มองผ่านปากถ้ำออกไป แลเห็นหลัวเซียนผู้นั้น เรียกกู่ฉินออกมา ดีดบรรเลงเพียงไม่กี่ช่องเสียง ก่อนจะซัดพลังเวทย์จากสายฉินทั้ง 7 เข้าใส่ เพียงลำแสงพลังเวทย์จากสายฉินพุ่งเข้าใส่ มนุษย์พิษกลุ่มนั้นก็สลายกลายเป็นเถ้าทุลีไปในพริบตา แต่แล้ว อู๋เหริ่นชวนก็ต้องละความสนใจจากภาพตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงขู่ฟ่อ ดังมาจากเบื้องหลัง หันไปมองตามเสียง จึงแลเห็นจงอางตัวใหญ่ ศีรษะกลมมน เกล็ดบริเวณส่วนหัวใหญ่ มีเขี้ยว 2 เขี้ยวที่ขากรรไกรด้านบน พร้อมจะฉกกัดปล่อยพิษเข้าใส่เหยื่อ หน้าตาดุดัน จมูกทู่ บริเวณขอบตาบนมีเกล็ดยื่นงองุ้มออกมา มองลึกเข้าไปแลเห็นม่านตากลม ลำคอมีขนาดสมส่วน ลำตัวขนาดใหญ่เรียวยาว ขนาดเท่าลำตาล กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา ก่อนชูคอแผ่แม่เบี้ย ลิ้นสองแฉกแลบแผลบ ชวนให้ขยะแขยง จนต้องถอยกรูดออกมาทางปากถ้ำ แต่ก็ยังช้ากว่างูจงอางยักษ์ตัวนั้นอยู่ดี มันอ้าปากกว้าง แลเห็นเขี้ยวทั้งสองตรงขากรรไกรบนขาววับ เสียงขู่คำรามนั้น ไม่ต่างอะไรจากปีศาจร้าย ประมุขน้อยหนุ่มสัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อในช่องอกโลดแรง จมูกสัมผัสกลิ่นฉุนรุนแรงจากละไอพิ
เพียงไล้ผ้าเช็ดหน้าไปบนดวงหน้าคมคายหมดจด ความยินดีราวได้พบสิ่งของที่เคยทำหล่นหาย ก็แล่นปราดไปทั้งใจ เหตุใดเพียงพบพาลประมุขน้อยหนุ่มแห่งพรรคมารโลหิตผู้นี้ไม่กี่ชั่วยาม จึงทำให้หัวใจอันเหน็บหนาวมาเนิ่นนาน กลับอุ่นซ่านได้เช่นนี้นะ หลัวเซียนถามตนเอง ชักมือกลับรวดเร็ว เมื่ออู๋เหริ่นชวนไอเบาๆ แล้วปรือตาขึ้นช้าๆ แพขนตากระพือขึ้นนั้น คล้ายปีกผีเสื้อกำลังขยับบิน “เป็นไงบ้าง” แทนที่จะตอบคำถาม ประมุขน้อยหนุ่มกลับผุดลุกขึ้น กวาดสายตาไปรอบๆ “ท่านพาข้าออกมาจากป่านั่นหรือ”หลัวเซียนพยักหน้ารับ“ข้าเห็นเจ้าหมดสติ จึงพาออกมา” “ข้าคงไม่ขอบใจท่านหรอกนะ เพราะท่านทำให้ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด”“เรื่องมนุษย์พิษกับเรื่องงูนั่น ข้าขออภัยด้วย ที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าเกือบได้รับอันตราย” หลัวเซียนมองประมุขน้อยหนุ่มด้วยประกายตาอ่อนโยน ทว่าอู๋เหริ่นชวนกลับทำเป็นมองไม่เห็นแววตาคู่นั้น “หลัวเซียน ท่านช่างมีมารยาทงามซะจริงนะ พาผู้อื่นไปเสี่ยงตาย แต่กลับพูดได้เพียงคำว่าขอโทษ”“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร” เห็นคนอายุน้อยกว่าพูดจาล่วงเกินไร้ซึ่งมารยาทเช่นนี้ หลัวเซียนก็นึกฉุนขึ้นมาบ้าง ดูเถอะ… เขาอุตส่าห์พาประมุขน้อย
“กินช้าๆ ก็ได้ ไม่มีผู้ใดแย่งเจ้ากินหรอก”“ก็มันอร่อยนี่นา” ประมุขน้อยหนุ่มว่า ทั้งยังเคี้ยวเนื้อกระต่ายป่าไว้เต็มปาก “ท่านไม่กินรึไง”“เจ้ากินก่อนเถอะ” หลัวเซียนพลิกกลับไม้เสียบกระต่ายย่าง ให้ด้านที่ยังไม่สุกโดนความร้อนจากกองไฟ“คนเผ่าเซียนนี่ วางท่าสง่างามเหมือนท่านทุกคนเลยหรือเปล่า”“ยังไง ที่ว่าวางท่า” หลัวเซียนย่นหัวคิ้ว มองปราดเดียวก็รู้ว่า ประมุขน้อยหนุ่มผู้นี้ คงมีอคติกับคนเผ่าเซียนอยู่ไม่น้อยเลยขณะที่อู๋เหริ่นชวนนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบ“ก็เวลานั่ง ยืน เดิน ก็ต้องตัวตรง เชิดหน้าขึ้น แสดงกิริยานุ่มนิ่ม เหมือนอะไรดีล่ะ อ้อ เหมือนพญาหงส์ไง”“นั่น เป็นกิริยาส่วนตัวของข้าอยู่แล้ว ท่านแม่สอนให้ข้าวางกิริยาเช่นนี้มาตั้งแต่เล็ก เพื่อจะได้เป็นประมุขเผ่าเซียนที่สง่างาม แล้วเจ้าล่ะ ไม่อยากเป็นประมุขเผ่ามารที่งามสง่าบ้างหรือ” อู๋เหริ่นชวนส่ายหน้าแทนคำตอบ“ข้าน่ะหรือ จะได้เป็นประมุขเผ่ามาร ท่านก็เห็นนี่ว่า ข้าก็แค่คนอ่อนแอ ไร้ประโยชน์คนหนึ่ง แม้ใครๆ จะเรียกข้าว่าประมุขน้อย ก็คงเพราะข้าเป็นบุตรของท่านพ่อเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นประมุขคนต่อไป ก็คงต้องรอการเลือกสรรขึ้นม
“ข้าคิดว่า คงเป็นอย่างที่ท่านเหยียนเจียทำนายไว้จริงๆ ลูกของเรามีพลังปราณมารของท่านจอมมารอู๋เซียงอี๋อยู่ในกายจริงๆ แม้ไม่ต้องฝึกวิชาใด ก็มีพลังปราณแก่กล้า แต่ยามนี้ ลูกของเรายังเล็กนัก ไม่สามารถควบคุมพลังปราณที่มีได้เลย ข้าได้ทุ่มเทพลังปราณทั้งหมดปิดผนึกพลังวิญญาณและพลังปราณของลูกไว้แล้ว”“แล้วเจ้าเล่าฮูหยิน เมื่อไม่มีพลังปราณแล้วเช่นนี้ เจ้ามิต้องตายหรือ แล้วข้าเล่า จะอยู่อย่างไร” ประมุขพรรคมารกอดกระชับร่างฮูหยินไว้ในอ้อมแขน สายน้ำตาเอ่อรินอาบสองแก้ม สะอื้นจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน“แม้ข้าจะตายลงแล้ว แต่ข้าจะยังอยู่ในใจของท่านพี่ตลอดไป ข้าฝากลูกด้วยนะเจ้าคะ ดูแลลูกของเราให้ดี จนกว่าเขาจะเติบใหญ่ พลังวิญญาณและปราณมารถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในเวลาอันสมควร” เหยว่เอ๋อร์ฮูหยินปิดเปลือกตาลงช้าๆ อึดใจต่อมา ลมหายใจสุดท้ายของนางก็ปลิดปลิวไป ราวแสงเทียนต้องลมแรงจนดับวูบ... “เยว่เอ๋อร์ เจ้าอย่าห่วงไปเลย บัดนี้บุตรของเราสองคนเติบโตขึ้นมากแล้ว อีกไม่นานหรอก พลังวิญญาณกับพลังปราณมารของเขาคงใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้ว” ประมุขพรรคมารเอ่ยกับกระจกกลมบานใหญ่ตรงหน้า ก่อนร่ายคาถา เสกให้กระจกหมื่นลี้หายลับไป ดวงตาทั้งค
อีกประการที่ทำให้อดประหลาดใจไม่ได้ก็คือ เหตุใดเจ้าหน้าละอ่อนถึงมีวิชากระบี่ร้ายกาจยิ่งนัก ทุกคราที่วาดคมกระบี่ออกไปต่อสู้กับมือสังหาร ท่าทางการเคลื่อนไหว คมกระบี่วาดออกไปนั้นรวดเร็วราวเงาปริศนาพุ่งเข้าสังหารคู่ต่อสู้อย่างไร้ปราณี“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย เจ้าหนุ่ม” เจ้าหน้าละอ่อนยังมีแก่ใจห่วงใยหลัวเซียนที่เพิ่งเก็บพัดเวทย์เข้าไว้ในมือขวา “ไม่เป็นไร ต้องขอบคุณท่านที่มาช่วยได้ทันการณ์” หลัวเซียนประสานมือคารวะนอบน้อม ค้อมศีรษะน้อยๆ“ข้าหลัวเซียน ไม่ทราบว่า ท่านมีนามว่าอะไรหรือขอรับ”“ข้าหูซื่อเยว่” “ท่านคือ เซียนกระบี่แห่งเขาเทียนคงหรือขอรับ” หลัวเซียนเอ่ยในสิ่งที่เขาเคยได้ยินมา นึกไม่ถึงเลยว่า เซียนกระบี่อายุน่าจะมากกว่าร้อยปีผู้นี้ จะยังคงมีหน้าตาอ่อนเยาว์ ราวเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบ มิหนำซ้ำเพลงกระบี่เงาสังหารของเขายังร้ายกาจไร้เทียมทานอีกต่างหาก“ใช่แล้ว หากปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนของเจ้ายังอยู่ อายุก็คงพอๆ กับข้านี่แหละ ว่าแต่เจ้าสองคนจะไปที่ใด”“ข้ากับเขา กำลังเดินทางไปเจียงหนานขอรับ”“ได้ข่าวว่าที่นั่น มีงานเลี้ยงปักบุปผาอย่างนั้นหรือ ดีๆ ข้ากำลังจะไปหาอาหารเลิศรสกินแกล้มสุราอยู่พ
“หยุดมือได้แล้ว เจ้าไม่เหน็ดเหนื่อยบ้างหรือ”หลัวเซียนไม่เอ่ยเปล่า แกล้งหลบรัศมีกระบี่ไม่พ้น พาให้คมกระบี่ถากชายเสื้อของเขาขาดเป็นทางยาวอู๋เหริ่นชวนเบิกตากว้าง แรกทีเดียวเขาเข้าใจว่าทำร้ายอีกฝ่ายเข้าแล้ว จึงยอมหหยุดมือในทันใด“หยุดเถอะ เจ้าทำชายเสื้อข้าขาดหมดแล้ว”“ยังสู้ไม่หนำใจเลย เจ้าก็ยอมแพ้เสียแล้ว ไม่สนุกเลย” อู๋เหริ่นชวนสอดกระบี่เก็บเข้าฝัก แล้วเดินมาประจันหน้ากับคนถูกทำชายเสื้อขาด“หายโมโหแล้วใช่หรือไม่ ข้าจะได้บอกเรื่องหนึ่งกับเจ้า”“อึม” อู๋เหริ่นชวนพยักหน้ารับ แล้วก็แทบไม่อยากเชื่อหูตนเองกับสิ่งที่ได้ยิน“ข้าสละตำแหน่งประมุขเผ่าเซียนแล้ว หลังจากประชุมผู้นำเซียนยุทธจากสำนักต่างๆ ทุกคนเห็นว่า ควรมีการเลือกสรรประมุขขึ้นมาใหม่ ข้าสนับสนุนให้เจ้าสำนักเจียงเหวิน ขึ้นเป็นผู้นำเผ่าเซียนคนต่อไป”“แล้วเจ้าล่ะ”“ส่วนข้า ก็จะออกท่องโลกกว้าง ดังที่ได้ปรารถนาเอาไว้แต่แรก จากนั้นก็จะกลับไปบำเพ็ญเซียนที่ตำหนักฉางชุน”“เจ้าจะถือสันโดษงั้นหรือ”ฟังเจตนารมณ์ของอีกฝ่ายแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็ใจหาย เขาจะไปขัดขวางการบรรลุเซียนของหลัวเซียนได้อย่างไรกัน“ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตเรียบง่าย หลังเสร็จจากสอ
“เหตุใดจึงแค้นเล่า เขาจำเรื่องราวในภพก่อนได้อย่างนั้นหรือ” ผู้ฟังนิทานวัยสิบหกปีผู้หนึ่งเอ่ยถามขัดจังหวะขึ้น“ย่อมจำได้อยู่แล้ว ก็จอมมารอู๋เซียงอี๋ได้อธิษฐานต่อแม่น้ำวั่งชวน หอวั่งเซียง สะพานไน่เหอเอาไว้ ก่อนดื่มน้ำแกงยายเมิ่งไว้นี่นาว่า จะไม่ขอลืมเลือนหนี้แค้นที่ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนได้ก่อไว้ไปชั่วชีวิต”“เช่นนั้น เขาทำอย่างไร อย่าบอกนะว่า หาทางเอาชีวิตหลัวเซียนน่ะ” หนุ่มน้อยอีกคนถามขึ้นบ้าง“เจ้าหนุ่ม อย่าเพิ่งขัดจังหวะสิ เดิมทีประมุขน้อยอู๋เหริ่นชวนก็หมายเอาชีวิตหลัวเซียนอยู่หรอก ทว่าเหตุการณ์กลับตาลปัตร หลัวเซียนกลับเป็นคนช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ระหว่างที่ประมุขน้อยอู๋เดินทางไปร่วมงานเลี้ยงปักบุปผาที่เจียงหนานขณะประมุขน้อยเดินหลงอยู่ในป่า ได้ถูกปีศาจงูจงอางจับตัวไปกักขังไว้ในถ้ำ หลัวเซียนตามไปช่วย ฆ่าปีศาจงูด้วยกู่ฉินพิฆาต ทั้งยังปกป้องประมุขน้อยอู๋ จนตนเองได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้แล้ว ประมุขน้อยยังจะทวงหนี้แค้นได้อีกเรอะ...”ฟังเรื่องราวจริงบ้างเท็จบ้าง ปนเปกันไปนั่นแล้ว อู๋เหริ่นชวนก็ส่ายหน้าไปมาด้วยความเบื่อหน่ายเต็มทียกกาสุราขึ้นดื่ม แล้วก็ต้องขัดใจนัก เมื่อพบว่าไม่มีสุราเหลืออยู่เลย
“ข้านำกระจกหมื่นลี้จากห้องใต้หอคัมภีร์ออกมาไว้ที่ห้องข้า รู้ว่าเจ้าถูกจับตัวมายังเขาเซียนกู่ จึงเร่งเดินทางมาที่นี่ ข้ารู้ว่าอาจช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก แต่ก็มิอาจนิ่งดูดายได้”“ช่วยอะไรไม่ได้ที่ไหนกัน เจ้ามาได้ถูกเวลาพอดีเลยต่างหาก”“องค์ชาย” หลัวเซียนประสานมือคารวะนอบน้อม“โปรดเล่าให้ทุกท่าน ณ ที่นี้ฟังทีว่า ตอนข้าไปยังแคว้นไป่ลี่นั้น เป็นอย่างไรบ้าง” หลัวเซียนเอ่ยขึ้นบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายเงียบงันมาครู่ใหญ่“ทุกท่าน ข้าคือองค์ชายหนิงจิ้ง รัชทายาทแห่งแคว้นไป่ลี่ ทั้งสองท่านนี้ เป็นสหายของข้า ตอนข้าออกไปล่าสัตว์นั้น บังเอิญได้ยินเสียงฉิน ท่วงทำนองไพเราะดังแว่วมา จึงตามเสียงฉินไป จนได้พบกับหลัวเซียนและอู๋เหริ่นชวน ดวงตาของเขาพิการทั้งสองข้าง แต่ก็มีฝีมือดีดฉินล้ำเลิศนัก ข้าจึงเชิญเขาไปเป็นแขกที่วังไป่ลี่ แม้ข้าจะมิได้เป็นเซียนยุทธเช่นทุกท่าน เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ก็ถือสัจจะเป็นที่ตั้ง มิใช่เพียงกษัตริย์ที่ตรัสแล้วไม่คืนคำ แม้แต่รัชทายาทเช่นข้า ก็เช่นกัน”ฟังคำตรัสขององค์ชายแล้ว บรรดาเซียนยุทธก็ต่างประจักษ์ถึงความจริงว่า หลัวจุ้นซินอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน“เมื
“ประมุขอู๋ ท่านคงไม่ปกป้องตัวหายนะผู้นี้ จนไม่นึกถึงความสงบสุขของทั้งสองเผ่าหรอกนะ”“ตัวหายนะที่เจ้าอ้างถึง คือบุตรชายคนเดียวของข้า เหตุใดข้าจะปกป้องเขาไม่ได้เล่า” ประมุขอู๋ลี่หมิงประกาศกร้าว“ท่านเจ้าสำนักเกาคงยังไม่ทราบว่า ข้าได้ฝึกวิชาในคัมภีร์มหาเวทย์สำเร็จแล้ว ต่อให้ข้ากลายเป็นวิหคโลหิต ก็ยังสามารถควบคุมตนเองได้ ไม่ทำร้ายผู้อื่นอีก”“ลมปากของเจ้า ผู้ใดเชื่อก็โง่เต็มทีแล้ว” เจ้าสำนักเกาฉียังคงดื้อดึง ไม่ฟังเหตุผลอยู่นั่นเอง“เรื่องบาดหมางระหว่างสำนักของท่านกับข้า หากจะโทษ ก็ต้องโทษบรรดาศิษย์ของพวกท่าน ที่นินทาศิษย์พี่ของข้า ข้าจึงเล่นงานตอบด้วยพิษเห็ดหัวเราะ เรื่องเล็กๆ เพียงเท่านั้น ท่านยังอุตส่าห์เก็บมาใส่ใจ มองข้าด้วยอคติ จนลุกลามใหญ่โตกลายเป็นเรื่องของคนทั้งเผ่าเลยเรอะ แทนที่ท่านจะกล่าวโทษข้า ด้วยอคติส่วนตัวเช่นนี้ มิสู้รามือสักนิด แล้วใคร่ครวญให้ดีก่อนดีหรือไม่ขอรับ”“ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า!” เจ้าสำนักเกาฉีตวาดลั่น ยกมือเป็นสัญญาณให้บรรดาศิษย์ของตนดาหน้าเข้าหาคนพรรคมารโลหิต ทว่าเจียงเหวินกลับมิอาจนิ่งดูดายได้ รีบร้องห้ามขึ้นเสียก่อน“ช้าก่อน!”“เจ้าสำนักเจียง ท่านเองก็เข้าข้างปร
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ค่ายกลในเจดีย์ก็พลันหยุดทำงาน พร้อมๆ กับคนจากเผ่ามนุษย์คนสุดท้าย จบชีวิตลง ภายใต้คมกระบี่กรีดฟ้าเช่นกัน“เอาล่ะ ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว ซ้ำค่ายกลก็หยุดทำงานแล้ว เรามาคัดคัมภีร์กันเถอะ”หลัวจุ้นซินเสกกระดาษ พู่กัน และหมึกออกมาจากทั้งสองมือ ทั้งยังเสกโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้ขึ้นมาด้วยอู๋เหริ่นชวนยิ้มน้อยๆ หัวเราะเบาๆ ยามหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ถือพู่กันไว้ในมือ จรดลงกับกระดาษนิ่งนึกอยู่ครู่ก็เขียนตัวอักษรลงไปเพียงอักษรตัวแรกปรากฏบนกระดาษ ปลายกระบี่กรีดฟ้าก็พุ่งมาพาดบนคอของประมุขน้อยหนุ่ม“ท่านจะทำอะไร”“ข้าต้องแน่ใจสิว่า เจ้าจะไม่แพร่งพรายเนื้อหาในคัมภีร์แก่ผู้อื่นอีก”“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก หากข้าให้คัมภีร์แก่ท่านแล้ว ข้าจะฆ่าตัวตายเอง เก็บกระบี่ของท่านเสียก่อนเถิด หากข้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขียนข้อความผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”นั่นละ หลัวจุ้นซินจึงต้องสอดกระบี่เก็็บ็บเข้าฝักประมุขน้อยหนุ่มจึงจรดพู่กันเขียนข้อความต่อไป บทแล้วบทเล่า ยื้อเวลาให้ถึงยามห้าย การคัดคัมภีร์จึงเสร็จสิ้นลง“เอาล่ะ ข้าคัดเสร็จแล้ว เชิญท่านฝึกวิชาในคัมภีร์บทนี้ได้เลย”หลัวจุ้นซินรับกระดาษมากมายม
“ที่ทุกท่านมาถึงเขาเซียนกู่แห่งนี้ คงเพราะเห็นข้ากลายร่างเป็นวิหคโลหิตในวันรับตำแหน่งของท่านประมุขหลัว หลายท่านคงมาเพราะคัมภีร์มหาเวทย์ในหัวข้า ข้าคิดใคร่ครวญมาตลอดทั้งคืนแล้ว ว่าควรจะให้คัมภีร์แก่ใครดี แล้วข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในฐานะที่ประมุขหลัวจุ้นซิน เป็นประมุขเผ่าเซียน เขาสมควรได้รับคัมภีร์มหาเวทย์นี้”สิ้นคำประกาศก้องนั้น เซียนยุทธทั้งหลายดูจะไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ตรงกันข้ามกับคนเผ่ามนุษย์ที่ต่างมองหน้ากัน สนทนากันเบาๆ สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดแจ้ง“คัมภีร์มหาเวทย์เป็นของเผ่ามนุษย์ เจ้าจะให้คนเผ่าเซียนครอบครองได้อย่างไร” ชายวัยกลางคน หน้ากระดูกจากพรรคหวันซา ต่อว่าขึ้น“นั่นสิ เจ้าควรจะคืนคัมภีร์มหาเวทย์ให้เผ่ามนุษย์ แล้วฆ่าตัวตายไปซะ คัมภีร์จะได้ไม่ตกถึงมือผู้ใดอีก” ชายร่างกำยำ ดวงตาสามเหลี่ยมจากพรรคเหม่ยลี่ต่อว่าขึ้นบ้าง“ใช่ๆ” คนของแคว้นไป่ลี่เองก็เห็นด้วยกับคนเผ่าเดียวกันเช่นกัน“ข้าตัดสินใจแล้ว หากข้าไม่มอบคัมภีร์ให้ประมุขหลัว ท่านว่าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็นคนเผ่ามาร ย่อมไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียนอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน แต่คัมภีร์
“ยามนี้คงไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าคัมภีร์มหาเวทย์แล้ว ท่านเจียงเหวินขอรับ ก่อนนักพรตผู้นั้นจะให้ข้าท่องคัมภีร์มหาเวทย์ไว้ แล้วทำลายมันทิ้ง ท่านเคยบอกข้าว่า หากคัมภีร์นี้ตกอยู่ในมือของคนชั่วช้า ใจอัมหิต ยุทธภพ หรือแม้แต่เซียนภพย่อมลุกเป็นไฟ ข้าจึงกังวลว่า จะทำเช่นไรดี จึงจะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น หากข้าให้ท่านประมุขจุ้นซินได้คัมภีร์ไปก่อนผู้อื่น เจ้าสำนักอื่นๆ ย่อมไม่พอใจเป็นแน่ ท่านว่า ข้าควรทำเช่นไรดีขอรับ แม้ข้าจะอ่อนอาวุโส ทั้งยังไร้ฝีมือ แต่ข้าก็ไม่ปรารถนาจะให้สงครามดังเมื่อร้อยปีก่อนเกิดขึ้นอีก”“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”“ขอรับ ข้าไม่เพียงอาศัยคำพูดลอยๆ หลังจากแยกย้ายกันที่เจียงอู่ ข้ามาอยู่ที่เซียนกู่ ตามสัญญาสันติภาพระหว่างสองเผ่า ท่านเจ้าสำนักคงไม่รู้ว่า หลัวเซียนถูกทำร้ายในงานวันประลองยุทธของสำนักเซียนเอง ข้าจึงต้องพาเขาหลบหนีไปยังเผ่ามนุษย์ นึกไม่ถึงเลยว่า จะพบนักพรตท่านนั้น และได้คัมภีร์มหาเวทย์มา นับจากนั้น พรรคหวันซา พรรคเหมยลี่ คนของแคว้นไป่ลี่ก็ล้วนแล้วแต่ตามล่าข้ากับหลัวเซียนเพื่อสิ่งนี้ ที่พวกเขามายังเซียนกู่ ก็คงเพื่อแย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ ยามนี้ ดูท่าแล้ว ปร
ขณะเดียวกัน หลัวจุ้นซินเองก็กำลังจับจ้องเจดีย์ขังมารในอุ้งมือด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม อยากรู้นักว่าป่านนี้ ศิษย์พี่ของเขาจะมีสภาพเป็นเช่นไรแล้ว บอกตนเองเช่นนั้นแล้ว ประมุขเผ่าเซียนก็ร่ายคาถาตามที่ได้รับสืบทอดมาจากท่านอาจารย์ “...เทียน ชื่อเต้า ตี้ชื่อเต้า หยิน ชื่อเต้า หยาง ชื่อเต้า เก๋ย หว่อ ซื่อ โหยว…” ไม่ว่าจะท่องอีกสักกี่หน ประตูเจดีย์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก หรือเขาจะจำผิด… ไม่สิ เขาเข้าไปในหอคัมภีร์ คัดลอกคาถาบทนั้นด้วยลายมือตนเอง จะผิดพลาดได้อย่างไร เช่นนี้แล้ว หากหลัวเซียนตายไปแล้ว เขาจะเข้าไปดูดซับเอาปราณเซียนได้อย่างไร เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งเขา ด้วยเรื่องบัดซบเช่นนี้ได้ ขณะเดียวกัน หลัวเซียนปรือตาขึ้นช้าๆ พบว่า รอบกายของเขายังคงว่างเปล่า แสงจากตะเกียงจุดสว่างจากทุกมุมภายในเจดีย์ บอกให้รู้ว่า บัดนี้กลไกต่างๆ ได้หยุดทำงานแล้ว เมื่อหยัดกายลุกขึ้น จึงไม่มีพลังเวทย์วารีพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาอีก พลันบุรุษเซียนก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น ริมฝีปากหยักได้รูปเผยอขึ้นน้อยๆ เมื่อพบเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าจากเลือนราง ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ที่น่าประหลาดก็คือ หางเป
“มีสิ อันที่จริง ข้าก็มิได้ห่วงใยเขาเท่าไหร่หรอก เพียงเวทนาที่เขาดวงตาพิการเท่านั้น เรื่องคัมภีร์มหาเวทย์ ข้าให้ท่านได้อยู่แล้ว จะว่าไปข้าก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร สู้ให้คนที่คู่ควรยังดีซะกว่า ส่วนศิษย์พี่ของท่าน ท่านอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ ข้าจะไม่ยุ่ง” “ไม่คิดว่า ประมุขน้อยจะเฉลียวฉลาด รู้จักรักษาตัวรอดเช่นนี้”“แน่อยู่แล้ว ชีวิตน้อยๆ ของข้าเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ใครเล่าจะอยากตายก่อนวัยอันสมควร ขอเพียงท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี ระหว่างที่ข้าอยู่บนเขาเซียนกู่ คัมภีร์มหาเวทย์ก็จะตกเป็นของท่านทันที”แม้จะระแวงอู๋เหริ่นชวนอยู่ แต่ความอยากได้คัมภีร์มหาเวทย์นั้นมีมากกว่า เมื่อเดินทางมาถึงเขาเซียนกู่ เขาจึงจัดให้ประมุขน้อยหนุ่มพักที่เรือนรับรอง มีการเฝ้ายามแน่นหนา ป้องกันมิให้เซียนยุทธ ชาวยุทธทั่วหล้าเข้ามาช่วงชิงคัมภีร์มหาเวทย์ได้ทว่าสำหรับหลัวเซียนกลับตรงกันข้าม เพียงเดินทางมาถึงก็ถูกจำขังในเจดีย์ขังมารเจดีย์ขังมารเป็นเจดีย์เจ็ดชั้น หลังคาทรงเก๋งจีน ลดหลั่นกันลงมา สามารถเพิ่มลดขนาดได้ตามใจผู้ใช้ ถือเป็นของวิเศษประจำเผ่าเซียนเลยก็ว่าได้ ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องกว้าง ชั้นล่า