การกลับมาเยือนของนายน้อยตระกูลสวี มาเฟียอันดับหนึ่ง อย่า เยว่ซือ ต้องมาบรรจบกับรักครั้งเก่าอย่างเพื่อนสนิท ลู่เป่ยเปียน ความรักต้องห้ามทำให้ฟันเฟืองความสัมพันธ์หมุนอีกครั้ง ระหว่างหน้าที่และความรัก พวกเขาจะเลือกสิ่งใด
View Moreปัง ปัง ปัง!
เสียงของปืนดังขึ้น กลิ่นเขม่าดินปืนลอยมาแตะจมูก เยว่ซือในวัยสิบหกปีชักมือกลับจากการเล็งปืนไปที่เป้าหลังจากเจ้าตัวนั้นยิงเข้าเป้าตรงกลางสามนัด พ่นลมหายใจออกมาทางปากเบา ๆ ก่อนที่ปากเรียวสวยจะยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เป็นอย่างที่คาดมันต้องออกมาเพอร์เฟค เรื่องปืนนี่เขาถนัดนัก เพราะเนื่องจากเขาถูกเลี้ยงท่ามกลางแก๊งมาเฟียที่มีชื่อเสียงในจีน และแน่นอนเขาถูกเลี้ยงเพื่อขึ้นมาเป็นผู้นำมาเฟียในภายภาคหน้า ที่น่าเห็นใจคือ เยว่ซือไม่ค่อยมีช่วงเวลาวัยเด็กมากนัก เวลาในการใช้ชีวิตของเขาส่วนมากมักจะถูกทุ่มเทไปกับการฝึกที่แสนจะยากลำบาก การมีลมหายใจแต่ละวันไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากชีวิตที่เสี่ยงอันตราย “นายน้อยสวี ทำได้ดีอีกแล้วนะครับ” “อืม ลองทำได้ห่วยแตกสิคงไม่ใช่ฉัน แล้วนี่เป่ยไปไหน” “คุณเป่ยเปียนรอนายน้อยอยู่ที่สวนครับ” เยว่ซือไม่ตอบอะไรกลับ กรอกตาไปมา ทำไมเพื่อนสนิทเขาอย่าง ลู่เป่ยเปียน ถึงโปรดปรานสวนดอกไม้หลังบ้านเขานักหนา เข้าใจว่าถูกสร้างขึ้นมาอย่างส่วนตัวและกว้างขวาง แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้พวกดอกไม้ที่สีสันสดใสมันจะทำให้เป่ยคอยจ้องมองมันเสมอ ว่าแล้วก็ส่งปืนพกให้ลูกน้องข้างตัว เขาถอดถุงมือและเดินไปยังสวนด้านหลัง “เป่ย” ชายลูกครึ่งจีนสูงราวร้อยเจ็ดสิบ เอ่ยเสียงราบเรียบก่อนจะทรุดลงไปนั่งข้างกายเพื่อนสนิท ส่งสายตาให้ผู้ติดตามทั้งหลายแยกย้ายกันไปได้แล้ว เขาต้องการความเป็นส่วนตัวในการอยู่กับลู่เป่ยเปียน คนข้างกายหันมาสบตาเจ้าของดวงตากลม รอยยิ้มขยับกว้างเมื่อเห็นเพื่อรักกลับจากซ้อมปืน “เสร็จแล้วเหรอเยว่ ว่าจะไปดูพอดี” “อืม” “หิวรึเปล่า” ดวงตาสีดำสนิทผละสายตาจากดอกไม้สีม่วงอ่อน ช้อนขึ้นสบสายตากับเยว่ซือ คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ทำไมอากาศมันร้อนอย่างนี้นะ เยว่ซือคิดในใจแล้วเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่ส่องแสงแยงตาเขาจนต้องหยีตา ความร้อนระอุส่งผ่านมาทำให้เสื้อเริ่มเปียกชื้น “อย่าไปมองมันตรง ๆ บ่อยเชียวเยว่ มันเป็นอันตรายต่อตาของนาย” “ชีวิตฉันมันอันตรายกว่าการจ้องพระอาทิตย์เยอะนะเป่ย” “ก็นั่นแหละ ชีวิตอันตรายอยู่แล้วก็อย่าหาอะไรที่มันอันตรายเพิ่มใส่ตัว” ร่างร้อยเจ็ดสิบผละสายตาจากพระอาทิตย์ดวงโต เขาเบ้ปากใส่เพื่อนสนิทก่อนที่จะนอนราบลงไปกับพื้นหญ้า กลิ่นหอมของหญ้าอ่อนทำให้เยว่ซือรู้สึกผ่อนคลาย แต่อันที่จริงก็ไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกแบบนั้นเป็นเพราะเป่ยเปียนอยู่ด้วยหรือเปล่า “นายคงจะเป็นพ่อฉันอีกคน” “ไม่ได้อยากเป็นพ่อ แต่อยากเป็นมากกว่าเพื่อน” ดวงตาคมจ้องมองเยว่ซือที่นิ่งค้างไปนิด เยว่ซือไม่ได้แสดงอะไรออกมาทางสีหน้า แต่ก็แปลกใจไม่น้อยที่อยู่ๆ เพื่อนรักจะเล่นมุกขึ้นมา “มุกนายตลกดีนะเป่ย” “มันไม่ใช่มุกน่ะสิเยว่ซือ” เป่ยเปียนทำสีหน้าจริงจัง แต่ใบหน้าเรียบนิ่งของเยว่ซือก็ยังไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา “นายจะพูดอะไรกันแน่ ลู่เป่ยเปียน” “ฉันรักนาย” “…” “ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย เยว่นี่ฉันกำลังสารภาพรักนายอยู่นะ” “มาเฟียมีความรักไม่ได้หรอกเป่ยเปียน นายก็รู้ดีมันจะเป็นจุดอ่อน” “ฉันรู้ดีเลยแหละเยว่ เพราะงั้นถึงได้แค่รักแต่ทำอะไรไม่ได้ยังไงล่ะ” “นายน้อยรีบหนีไปจากที่นี่เถอะครับ ตอนนี้เกิดสงครามระหว่างแก๊งมาเฟียผู้มีอิทธิพลหลายแก๊ง ขนาดทางรัฐบาลเองยังเอาไม่อยู่ เพื่อความปลอดภัยของนายน้อยโปรดหนีออกไปนอกประเทศเถอะครับ” “ป๊ากับม๊าล่ะ” เยว่ซือปิดหนังสือที่กำลังอ่านลง เขาได้ยินเรื่องสงครามระหว่างมาเฟียภายในประเทศมาสักพักแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเรื่องมันจะใหญ่ถึงขั้นให้เขาหลบหนีออกไปนอกประเทศ “นายท่านกับคุณหญิงอยู่ที่นี่คอยดูแลและควบคุมสถานการณ์ครับ” “เป่ยล่ะ” “คุณเป่ยเปียนเก็บข้าวของเตรียมย้ายออกไปแล้วเช่นกันครับ” “ประเทศเดียวกับฉันหรือเปล่า” “เหมือนทางตระกูลของคุณเป่ยเปียนจะย้ายไปอเมริกาครับ” “แล้วฉัน” “นายน้อยต้องไปฝึกฝนเพื่อเป็นมาเฟียในอิตาลีครับ” “จะไปหาเป่ยก่อน” “แต่ตอนนี้มันอันตรายนะครับนายน้อย” “อันตรายมาทั้งชีวิตแล้ว แค่นี้ไม่ถึงตายหรอก” สวีเยว่ซือ พูดจบก็หันไปสั่งให้คนใช้เก็บข้าวของเตรียมไปอิตาลี ส่วนเขาก็เดินไปหาเป่ยเปียนที่บ้าน หยุดอยู่ที่หน้าบ้านของเพื่อนรัก ภายในบ้านดูเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ เยว่ซือคว้าโทรศัพท์โทรหาเป่ยเปียนไม่นานปลายสายก็ตอบรับ “เยว่ มีอะไรหรือเปล่า” “เป่ย อยู่ไหน” “ในบ้านเนี่ยแหละกำลังเก็บของ ได้ยินแล้วใช่มั้ยล่ะว่าฉันจะไปอเมริกา” “อืม” “นายอยู่ไหน” “หน้าบ้านนาย” “มันอันตรายนะ สวีเย่วซือนายออกมาจากบ้านตัวเองได้ยังไงกัน” เยว่ซือพ่นลมหายใจออกมาทางปาก แน่ล่ะเขากะไว้แล้วว่าการที่เดินมาหาเป่ยเปียนโต้งๆ ในขณะที่มีสงครามกลางเมืองอยู่ ไม่ใช่วิธีที่ควรทำเท่าไร “ฉันออกมาแล้ว นายก็อยู่ในบ้านนั่นแหละ ปลดล็อกประตูให้ด้วยเดี๋ยวเดินขึ้นไปหา” สิ้นคำพูดของเยว่ซือมือสวยก็ตัดสายทันที เยว่ซือบอกให้บอดี้การ์ดส่วนตัวเฝ้าหน้าบ้านไว้ และตัวเขาก็เดินเข้าไปภายในตัวบ้านของเป่ยเปียน ผลักประตูเข้าไปอย่างง่ายดายเพราะประตูถูกปลดล็อกไว้อยู่แล้ว มองรอบบ้านเห็นบอดี้การ์ดของเป่ยเปียนสแตนบายอยู่เต็มไปหมด “จะเข้าไปหาเป่ย นัดไว้แล้ว” เขาพูดกับบอดี้การ์ดของเป่ยเปียนทางขวามือ เปิดทางให้เยว่ซือเดินขึ้นไปง่ายๆ เพราะตัวเป่ยเปียนเองได้บอกไว้แล้ว “เป่ย” “นายไม่ควรมาเลยเยว่ มันอันตรายขนาดไหนนายก็รู้นี่” “ฉันมาลานาย” เยว่ซือไม่สนใจที่เป่ยเปียนพูดสักนิด เขาเดินไปนั่งไขว่ห้างลงบนเตียงแสนนุ่ม “สวีเยว่ซือ นายไม่คิดบ้างเหรอว่าเราร่ำลากันผ่านโทรศัพท์มือถือได้” “ถ้ามันเหมือนกับมาเจอหน้ากันตรงๆ ฉันคงไม่ถ่อมาหานายถึงนี่หรอกลู่เป่ยเปียน” เยว่ซือกรอกตาไปมา มองคนที่สูงกว่าที่กอดอกพิงประตูตู้เสื้อผ้า เป่ยเปียนส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นยอมแพ้ กับเยว่ซือเขาเถียงไม่เคยชนะหรอก ไม่ใช่ว่าเถียงไม่ได้ แต่เลือกที่จะไม่เถียงมากกว่า “ฉันเป็นห่วงนายนะเยว่ ดูแลตัวเองดีๆ หน่อยสิ” มือหนาวางลงบนผมนุ่มของเยว่ซือ แต่ผู้ถูกกระทำกลับปัดมือทิ้งอย่างไม่ไยดี เขาโตพอที่จะไม่ให้ใครมาลูบหัวเขาเล่นแล้ว “ฉันว่าฉันดูแลตัวเองดีแล้วนะเป่ย” “จริงๆ ฉันอยากดูแลนายนะเยว่ แต่คงทำได้แค่อยาก” “ดูแลตัวเองให้ดีเถอะเป่ยเปียน ฉันดูแลตัวเองได้” “แต่นายตัวเล็กกว่าฉันเยอะเลยนะเยว่ซือ” ลู่เป่ยเปียนย่อตัวลงให้ระดับเท่ากับคนนั่งบนเตียง ก่อนจะใช้นิ้วชี้แตะลงบนจมูกอีกฝ่ายแล้วผละออก นั่นทำให้คนที่ไม่ค่อยแสดงสีหน้าเริ่มคิ้วขมวดขึ้นมา “ตัวเล็กกว่าไม่ได้หมายถึงว่าจะดูแลตัวเองไม่ได้นะ” “เรื่องเถียงนี่ฉันยกให้นายที่หนึ่งเลยสวีเยว่ซือ” “เรื่องไร้สาระฉันก็ยกให้นายที่หนึ่งเช่นกันลู่เป่ยเปียน” “การที่อยากจะดูแลนายมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะเยว่” กลายเป็นว่าคนที่คิ้วขมวดแทนคือเป่ยเปียน ทำไมเวลาเขาจริงจังเยว่ซือถึงมองว่าเขาเล่นตลอด “อืม” “แค่อืมเนี่ยนะเยว่ นายควรซาบซึ้งสิ” เป่ยเปียนใช้มือหยิกแก้มเยว่ซือเบาๆ นานๆ ทีเขาจะเห็นคนตรงหน้าแสดงสีหน้าออกมา อย่างเช่นตอนนี้ สวีเยว่ซือกำลังทำหน้าเหม็นเบื่อเขาอยู่ “โอเคลู่ เป่ยเปียนฉันซึ้งใจมากขอบคุณ” “จริงจังกว่านี้หน่อยสิเยว่” “เลิกไร้สาระทีเป่ย” เยว่ซือถอนหายใจออกมา “คำก็ไร้สาระ สองคำก็ไร้สาระ ถามจริงเยว่นายเคยเห็นฉันมีสาระบ้างมั้ย” “ไม่” เยว่ตอบกลับอย่างไว เป่ยเปียนกรอกตามองบนกับคำตอบกลับที่ไร้เยื่อใยของเยว่ซือใช่ซี้เขามันคนไร้สาระ “นายจะมาลาฉันไม่ใช่เหรอเยว่ซือ บอกลาฉันสิ” เป่ยเปียนกอดอกแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น เหมือนกับเด็กๆ ที่กำลังน้อยใจไม่มีผิด แต่เยว่ซือรู้ว่านั่นคือการเสแสร้งแกล้งทำเป็นงอนของลู่เป่ยเปียน เจ้าตัวไม่ได้งอนเขาจริงจัง “โอเคฉันจะไปแล้วลาก่อนลู่เป่ยเปียน” เยว่ซือพูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูทันที แต่ไม่ทันที่มือจะได้จับลูกบิดประตูก็ถูกเป่ยเปียนคว้ามือเอาไว้ก่อน “ไปอยู่อิตาลีก็ดูแลตัวเองดีๆ ฉันดูแลนายเหมือนที่ทำอยู่แบบตอนนี้ไม่ได้นะ” เยว่ซือถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ให้ตายสิที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ใช่ว่าเป่ยเปียนจะดูแลเขาขนาดนั้น ก็แค่อาหารการกิน การนอนหลับ การตื่น ตารางฝึกซ้อม...โอเคพอคิดแล้วมันก็เยอะเหมือนกัน เอาเป็นว่าก็ไม่ใช่ทุกอย่างแล้วกันที่เป่ยเปียนดูแลเขา “ฉันโตพอแล้วน่าลู่เป่ยเปียน นายเถอะไปอเมริกาก็ช่วยทำตัวดีๆ ด้วยเลิกไร้สาระได้แล้ว” “ฉันก็หวังว่านายจะดูแลตัวเองได้ดีกว่าตอนที่ไม่มีฉันนะ สวีเยว่ซือ” “อืม” “นี่ แล้วก็ช่วยจำอะไรไว้อย่างนึงด้วยนะ” “…” “ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนลู่เป่ยเปียนคนนี้ก็จะรักสวีเยว่ซือเหมือนเดิมเสมอ” สวีเยว่ซือในวัยยี่สิบหกก้าวเท้าลงจากรถคันหรู มีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด เยว่ซือกลับมาเยือนยันประเทศจีนเมื่อสองอาทิตย์ก่อนหลังจากไม่ได้มาเยือนมานับสิบปี ตอนนี้เขาขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งซีห่าว เขาไปอยู่อิตาลีตั้งแต่เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น เยว่ซือไม่ได้ติดต่อกับใครยกเว้นป๊าของเขาที่เป็นอดีตหัวหน้าแก๊งมาเฟียของซีห่าว ขาเรียวก้าวเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่มีจุดมุ่งหมายไปที่ห้องใต้ดิน สายตาเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาแต่ในหัวของสวีเยว่ซือกำลังคิดว่าเขาจะจัดการกับหนอนบ่อนไส้อย่างไรดี เขาขึ้นดำรงตำแหน่งมาสามปีไม่มีผู้ใดกล้าแข็งข้อกับเขา แม้แต่ฝ่ายทางรัฐบาลเองยังไม่กล้าต่อรองกับซีห่าวของเขาเท่าไรนัก แต่ครั้งนี้มีคนกล้ามาแหย่หางเสือ แสดงว่าแก๊งที่หนุนหลังคงจะใหญ่มิใช่เล่น ถึงกล้ามาลองของกับซีห่าว รอก่อนเถอะเขาจะให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสอำนาจของสวี เยว่ซือ เดินมาถึงหน้าห้องใต้ดินบอดี้การ์ดโค้งหัวให้เขาก่อนจะเปิดประตูให้ “มันไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลยครับท่าน” “อืม” เยว่ซือปรายตามองอดีตลูกน้องของตนที่บัดนี้ถูกจับมัดไว้ ย่างก้าวเข้าไปหาก่อนจะใช้เท้าเหยียบเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายบดขยี้อย่างรุนแรงก่อนจะกระแทกส้นรองเท้าหนังสีดำเงาวาวเข้าที่จมูกของคนที่กล้ามาหยาม เยว่ซือยกเท้ากลับมานั่งยองๆ มองอีกฝ่ายที่ตอนนี้หน้าตามอมแมมเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ช่างเป็นภาพที่ไม่น่ามองเสียเลย “ใครสั่งมา?” เยว่ซือถามเสียงนิ่ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับเขาไม่ถามอะไรต่อแต่หยิบปืนที่เหน็บข้างเอวขึ้นมาใช้ด้ามปืนฟาดเข้าที่ขมับคู่สนทนาอย่างแรง กลิ่นคาวเลือดโชยมาแตะจมูก แต่คนอย่างสวีเยว่ซือมีเหรอจะสนใจ เขาบีบปลายคางอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นมาสบตาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสื่อให้เห็นถึงความเยือกเย็นและอย่าคิดมาลองดีกับคนอย่างเขา “ฉันถามว่าใครสั่งมา” “มึงคิดว่ามึงใหญ่นักเหรอสวีเยว่ซือ สักวันเถอะกูจะรอดูความฉิบหายของมึง” “คิดว่าตัวเองจะได้อยู่ถึงตอนนั้นเหรอ ไม่สิ มันจะมีวันนั้นด้วยเหรอ” “หลงระเริงในอำนาจเข้าไปเถอะเยว่ซือ สักวันมึงจะไม่เหลืออะไร” บอดี้การ์ดคู่ใจทำท่าจะเข้ามาแต่เยว่ซือยกมือขึ้นห้ามปรามไว้ เขายกปืนขึ้นจ่อหน้าผากคนปากดีที่ยังเอาตัวเองไม่รอดจากเงื้อมมือเขาแต่ก็ยังปากดี เหนี่ยวไกปืนอย่างไม่ลังเล ถ้าเก็บไว้แล้วไม่มีประโยชน์เขาก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไมเหมือนกัน สิ้นเสียงปืนเยว่ซือหันไปสั่งลูกน้องให้เก็บกวาดผลงานที่เขาทิ้งไว้ ก่อนจะเดินออกจากห้องใต้ดินขึ้นไปยันชั้นสองของตัวบ้าน ถอดสูทสีดำยื่นให้ลูกน้องข้างตัว เวลานี้ถึงเวลาที่เขาควรจะชำระคราบสิ่งสกปรกออกจากตัวได้แล้ว คิดได้ดังนั้นจึงไล่ลูกน้องและบอดี้การ์ดทั้งหลายไปทำงานก่อนที่ตัวเองจะเปิดประตูเข้าไปยังห้องนอนกว้างใหญ่ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อที่จะเตรียมชุดไว้ ก็จริงอยู่ที่ว่าเขาสามารถให้แม่บ้านมาจัดเตรียมไว้ให้ แต่ห้องนอนเขามันคือพื้นที่ส่วนตัวเขาไม่ค่อยอยากให้ใครเข้ามาเท่าไร ยกเว้นเข้ามาทำความสะอาดน่ะนะ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาหันไปตามเสียง ก้าวเท้าไปที่ประตู เปิดประตูออกมาพบร่างลูกน้องคนสนิทอย่างเบลโล่ “นายท่านครับ วันนี้จะเข้าร้านไหมครับ” เสียงของเบลโล่กล่าวถาม เบลโล่คือมือขวาของเขาที่ทำงานร่วมกันตั้งแต่เขาฝึกฝนอยู่ที่อิตาลี ส่วนร้านที่ว่านี่คือผับที่เยว่ซือเปิดเล่นๆ แต่มันดันทำเงินได้ดีเลยทีเดียว “อืม” เข้าไปเช็คหน่อยก็ดีเขาคิด เขาเปิดผับที่แห่งนี้เมื่อนานมาแล้วแต่เขาพึ่งได้เข้าไปดูแลร้านอย่างจริงจังก็เมื่อตอนที่เขากลับมาจากอิตาลี เพราะเขามีเบลโล่ที่บินไปบินกลับระหว่างอิตาลีและจีนคอยดูแลร้านให้เขา “จะเข้าไปกี่โมงเหรอครับ” “สองทุ่ม” “เดี๋ยวผมเตรียมรถและบอดี้การ์ดไว้ให้ งั้นผมไม่รบกวนเวลาส่วนตัวของนายท่านแล้ว” “อืม” เยว่ซือปิดประตู ก้าวเท้าไปที่ตู้เสื้อผ้าอีกครั้งเพราะยังไม่ทันที่จะได้เลือกชุดเบลโล่ก็เคาะประตูเรียกเขาเสียก่อน หลังจากที่เลือกชุดสูทสำหรับคืนนี้ได้แล้ว เขาก็เลือกที่จะอาบน้ำต่อทันที เยว่ซือเปิดน้ำลงอ่างจุ่มมือลงไปในน้ำเพื่อวัดอุณหภูมิว่าพอเหมาะสำหรับเขาอาบหรือยัง เมื่อมือสัมผัสกับน้ำในอ่างพบว่าอุณหภูมิพอดีแล้วเขาก็ก้าวขาลงไปนอนแช่น้ำ นอกจากเวลาก่อนนอนแล้วก็คงมีเวลาที่ได้แช่น้ำเนี่ยแหละที่เขาได้สามารถคิดและทบทวนกับตัวเองได้ในแต่ละวัน เยว่ซือใช้ชีวิตเสี่ยงอันตรายมาตั้งแต่เด็กเขารู้มาตลอดจึงต้องคอยมีสติเข้าไว้เสมอ หาวิธีแก้ปัญหาให้ได้ ไม่มีใครมีทางรู้เลยว่าเขาจะใช้ชีวิตได้ถึงตอนไหนแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้แต่ตราบใดที่มีเขาอยู่แก๊งซีห่าวของเขาต้องยิ่งใหญ่ที่สุด “นายท่านครับนี่คือรายรับรายจ่ายของร้านภายในเดือนนี้ทั้งหมด” เบลโล่ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ ตอนนี้เขาอยู่บนห้องทำงานของผับ สายตากวาดไปทั่วเอกสารโบกมือไล่ลูกน้องคนสนิทให้ไปทำหน้าที่ตรงอื่น นิ้วเรียวยาวเคาะโต๊ะไปพลางๆ พักสายตาจากเอกสารมองออกไปนอกหน้าต่างจ้องมองไปผืนฟ้าสีดำสนิทที่มีดวงดาวส่องแสงสว่างประดับทั่วแผ่นฟ้า ละสายตาจากภาพตรงหน้า หักนิ้วเพื่อบรรเทาอาการเมื่อยก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะทำงานอีกครั้งเพื่ออ่านเอกสาร ก๊อก ก๊อก ก๊อก “เข้ามา” “นายท่านจะลงไปนั่งพักที่โซนVIPมั้ยครับ” “อืม” วางเอกสารลงกับโต๊ะถอดแว่นเก็บ เยว่ซือนวดขมับเบาๆ การทำงานติดต่อกันหลายเดือนโดยที่เขาไม่ได้พักส่งผลต่อร่างกายเขาขนาดนี้เลยเหรอ “เดี๋ยวผมนวดให้เองครับ ขออนุญาตนะครับ” เบลโล่อ้อมหลังเพื่อมานวดขมับให้แต่ถูกเยว่ซือปัดออก “ไม่เป็นไร” “งั้นจะลงไปเลยมั้ยครับ” “อืม” สวีเยว่ซือจ้องมองน้ำสีสวยในแก้วก่อนจะโคลงเคลงแก้วไปมา ยกขึ้นจิบชิมรสชาติกลิ่นหอมหวานของแอลกอฮอล์ที่แผ่ซ่านไปทั่วปากไม่อาจห้ามตัวเองให้ยกขึ้นจิบอีกครั้งได้ ผละสายตาจากแก้วในมือมองไปยังโซนด้านล่าง ฟลอร์เต้นเต็มไปด้วยผู้คนกำลังโชว์ลวดลายการเต้นของตัวเอง ตัวเขาไม่เคยคิดจะทำแบบนั้นเลยสักครั้งไม่คิดจะเต้น ไม่เลยสักครั้ง เขาคิดเรื่องเมื่อตอนเย็นใครกันที่กล้าส่งคนมาหักหลังเขาต่อให้ไอ้เจ้าคนปากดีคนนั้นไม่ยอมพูดแต่เขาก็จะหาวิธีสืบมันมาเองนั่นแหละ แต่เขาก็คิดไว้แล้วล่ะว่าครั้งนี้คงเป็นก้างตัวใหญ่อย่างแน่นอน น้อยคนนักที่จะกล้ามาต่อกรกับเขา คิดเยอะแล้วก็ถอนหายใจออกมา นี่ถ้าการถอนหายใจทำให้อายุขัยสั้นลงจริงๆ เขาคงมีชีวิตได้ไม่ยืนยาวนัก “ฉันจะไปสูบบุหรี่สักหน่อย” หันไปบอกเบลโล่ เบลโล่โค้งหัวให้เล็กน้อยก่อนจะเดินตามไปยังโซนด้านนอกที่มีไว้สูบบุหรี่ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้จุดบุหรี่สูบเขาเหลือบไปเห็นใครสักคนนอนพิงถังขยะอยู่ “ให้คนจับไปโยนไว้ที่อื่นมั้ยครับ” เบลโล่ถาม เขาพยักหน้าตอบรับแต่ไม่ทันทีเบลโล่จะเดินไปถึงตัว คนๆ นั้นกลับเงยหน้าขึ้นสบตาเขาพอดี ตาสวยเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ บุหรี่ในมือตกลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก เขาจะไม่ตกใจเลยถ้าคนๆ นั้นไม่ใช่คนที่เขาไม่ได้เจอมานานนับสิบปี ต่อให้ไม่เจอกันเลยต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันลืมใบหน้าหล่อเหลาของคนนี้ได้ ลู่เป่ยเปียน!! “เดี๋ยว!” ตะโกนห้ามลูกน้องคนสนิททันที ก้าวเท้าฉับไปที่ร่างนั้น หลังจากที่เขาไปอิตาลีเขาถูกสั่งห้ามติดต่อใครทั้งนั้น แต่เขาก็รู้ข่าวคราวของลู่ เป่ยเปียนมาบ้างแล้วว่าเป็นนักฆ่าของรัฐบาลจีน แล้วใครกันที่ทำเป่ยเปียนสภาพสะบักสะบอมถึงเพียงนี้ เป่ยเปียนทำงานพลาดเหรอ “เยว่ซือ” พลันสิ้นเสียงนั้นร่างตรงหน้าก็สลบไปทันที เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยหันไปสั่งลูกน้องให้นำตัวเป่ยเปียนกลับไปด้วย “ลู่เป่ยเปียน นักฆ่าของรัฐบาลจีน” “อืม รู้อยู่แล้ว” “พาไปด้วยจะดีเหรอครับ ถ้าเขาเป็นสายสืบจะทำยังไง” “เป่ยเปียนไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก” “คนรู้จักเหรอครับ” “อืม” สวีเยว่ซือเดินไปที่รถโดยมีเบลโล่เปิดประตูให้เข้าไปนั่ง เป่ยเปียนไม่ได้นั่งคันเดียวกับเขาเขาให้เป่ยเปียนนั่งอีกคันไปกับลูกน้องของเขา ถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ เยว่ซือสั่งลูกน้องให้นำเป่ยเปียนไปไว้ที่ห้องนอนเล็กพร้อมกับตามหมอประจำตระกูลสวีมา หมอตรวจร่างกายเป่ยเปียนอาการค่อนข้างสาหัส ช่วงท้องถูกมีดแทงเป็นแผลใหญ่ กระดูกแขนขวาหัก แผลถลอกตามจุดต่างๆ ของร่างกาย บนใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำและลู่เป่ยเปียนเสียเลือดมาก หมอต้องให้น้ำเกลือกับเลือดแก่เป่ยเปียน เขาให้หมอและพยาบาลคอยดูแลเป่ยเปียน ส่วนตัวเขาเองไปอาบน้ำชำระคราบสิ่งสกปรก“ฮึ่มมมม” เสียงครางแผ่วบ่งบอกถึงความพอใจของเจ้านาย เป่ยเปียนขยับริมฝีปากให้เร็วขึ้นเพื่อเร่งอารมณ์เยว่ซือให้ได้ถึงฝั่งฝัน เร่งจังหวะสักพักน้ำรักสีขาวขุ่นก็ถูกปลดปล่อยออกมา เป่ยเปียนกลืนกินเข้าไปทั้งหมดลิ้นอุ่นตวัดเลียคราบน้ำที่เกาะไปทั่วแก่นกลางกาย จูบซับไปทั่วลำท่อน เขาข่มอารมณ์ที่เกิดขึ้นแต่ไม่นานนักสติก็ขาดผึ่งเพราะเสียงครางหวานหูที่น่าฟัง เขากระชากกางเกงเจ้านายออกจับถอดทิ้งอย่างไม่ไยดี ด้วยความที่สูงกว่าและร่างกายใหญ่กว่ายกตัวเยว่ซือลอยหวือขึ้นบนบ่าเดินไปยังเตียงแล้วโยนเจ้านายที่รักลงบนที่นอนแสนนุ่มนิ่ม “อ้ะ..ไอ้เหี้ยจะทำอะไร” “ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” ก้าวขาขึ้นไปบนเตียงคล่อมทับร่างคนที่ตัวเล็กกว่า กระซิบเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกซาบซ่านไปทั่วร่างกาย แต่มีเหรอที่คนอย่างสวี เยว่ซือจะยอมให้อีกฝ่ายอยู่ข้างบน เขาใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักคนร่างหนากว่าออก เป่ยเปียนรำคาญมือที่พยายามดันเขา ใช้ร่างกายที่ได้เปรียบกว่ากดทับขาของเยว่ซือเพื่อไม่ให้ใช้ขาถีบเขาออกได้ มือข้างหนึ่งรวบมือทั้งสองข้างของเยว่ซือชูขึ้นเหนือหัวกดข้อมืออีกฝ่ายไว้ไม่ให้ทำร้ายร่างกายเขา มืออีกข้างที่
ผ่านมาสองเดือนเยว่ซือได้เจรจากับฝ่ายรัฐบาลเรียบร้อย เขาจ่ายค่าเสียหายห้าร้อยล้านให้ทางรัฐบาลจากการเอาตัวนักฆ่ามือฉมังอย่างลู่ เป่ยเปียนมา อาการของเป่ยเปียนดีขึ้นทุกวันแขนที่หักก็รักษาจนหายซึ่งไม่แปลกสำหรับร่างกายที่แข็งแรง หลังจากวันนั้นเยว่ซือก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเป่ยเปียนอีก เยว่ซือให้คนรับใช้และพยาบาลดูแลเป่ยเปียนอย่างดี เขารอเวลาที่ลู่ เป่ยเปียนจะหายดีเป็นปกติ ถึงตอนนั้นเขาคงจะใช้งานเป่ยเปียนอย่างหนักให้สมกับห้าร้อยล้านที่เสียไป“นายท่านวันนี้อาวุธจากคลังเขตเหนือมาส่งที่คลังอาวุธหลักของเรา นายท่านจะไปดูด้วยตัวเองไหมครับ”“อืม”“กี่โมงดีครับ”“บ่ายโมง” ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า เยว่ซือขยับแว่นเล็กน้อยเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงาน เขาอ่านเอกสารเกี่ยวกับอาวุธที่ส่งออกไปอิตาลีตั้งแต่เช้า ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีตรงไหนที่ผิดพลาดหรือแปลกไป หยิบกาแฟขึ้นมาจิบสักหน่อยร่างกายเขาคงต้องการคาเฟอีนมาช่วยให้ร่างกายปราศจากความง่วงหลังจากที่พักผ่อนไม่เพียงพอมาเป็นเวลาหลายวัน เขาไปดูบ่อนคาสิโนเมื่อหลายวันก่อนทำให้เวลาพักผ่อนของเขาลดลง ยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องติดตามว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่ส่งคนมาเป็น
เช้าวันต่อมาเยว่ซือมาดูอาการของเป่ยเปียนเขานั่งอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง ในมือถือวรรณกรรมจีนเปิดอ่านไปด้วยภายในห้องเงียบสงัดมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงพลิกหน้ากระดาษของเยว่ซือเท่านั้น“ตื่นแล้วจะแกล้งหลับทำไมลู่เป่ยเปียน” สิ้นเสียงเยว่ซือเปลือกตาของเป่ยเปียนก็เปิดขึ้น คนเจ็บไม่หันมามองหน้าเขาสักนิดนอนมองเพียงแต่เพดานสีขาว เยว่ซือคิดว่าเป่ยเปียนคงเจ็บอยู่ถึงไม่หันหรือขยับตัวมากเยว่ซือจัดการรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้ เป่ยเปียนเริ่มหันมามองเขาแต่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา พยุงตัวขึ้นด้วยแขนซ้ายที่ไม่หักรับแก้วน้ำมาแล้วดื่ม ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้นความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเยว่ซือ ปกติคนอย่างลู่ เป่ยเปียนต้องพูดอะไรเยอะแยะแล้วสินี่มันไม่ปกติชัดๆ“นายไม่คิดจะขอบคุณฉันที่เก็บนายมาจากกองขยะหรือยังไงเป่ยเปียน”“อืม”“แค่อืม?” เยว่ซือเป่าลมออกจากปากเพื่อระบายอารมณ์ กรอกตาไปมาทำไมคนที่มักจะพูดมากเสมอกลับกลายเป็นคนพูดนับคำได้กัน มันไม่เหมือนเป่ยเปียนที่เขารู้จักสักนิด หรือไม่ใช่เป่ยเปียนจริงๆ ...ข้อนั้นปัดตกไปได้เลยเพราะมองยังไงคนตรงหน้าก็คือลู่เป่ยเปียน“แล้วจะให้พูดอะไร”“คำว่าขอบคุ
ปัง ปัง ปัง!เสียงของปืนดังขึ้น กลิ่นเขม่าดินปืนลอยมาแตะจมูก เยว่ซือในวัยสิบหกปีชักมือกลับจากการเล็งปืนไปที่เป้าหลังจากเจ้าตัวนั้นยิงเข้าเป้าตรงกลางสามนัด พ่นลมหายใจออกมาทางปากเบา ๆ ก่อนที่ปากเรียวสวยจะยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เป็นอย่างที่คาดมันต้องออกมาเพอร์เฟค เรื่องปืนนี่เขาถนัดนัก เพราะเนื่องจากเขาถูกเลี้ยงท่ามกลางแก๊งมาเฟียที่มีชื่อเสียงในจีน และแน่นอนเขาถูกเลี้ยงเพื่อขึ้นมาเป็นผู้นำมาเฟียในภายภาคหน้า ที่น่าเห็นใจคือ เยว่ซือไม่ค่อยมีช่วงเวลาวัยเด็กมากนัก เวลาในการใช้ชีวิตของเขาส่วนมากมักจะถูกทุ่มเทไปกับการฝึกที่แสนจะยากลำบาก การมีลมหายใจแต่ละวันไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากชีวิตที่เสี่ยงอันตราย“นายน้อยสวี ทำได้ดีอีกแล้วนะครับ”“อืม ลองทำได้ห่วยแตกสิคงไม่ใช่ฉัน แล้วนี่เป่ยไปไหน”“คุณเป่ยเปียนรอนายน้อยอยู่ที่สวนครับ”เยว่ซือไม่ตอบอะไรกลับ กรอกตาไปมา ทำไมเพื่อนสนิทเขาอย่าง ลู่เป่ยเปียน ถึงโปรดปรานสวนดอกไม้หลังบ้านเขานักหนา เข้าใจว่าถูกสร้างขึ้นมาอย่างส่วนตัวและกว้างขวาง แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้พวกดอกไม้ที่สีสันสดใสมันจะทำให้เป่ยคอยจ้องมองมันเสมอ ว่าแล้วก็ส่งปืนพกให้ลูกน้องข้างตัว เข
Comments