บทที่ 5
หนี้สิน 2
“แต่ถ้าเธออยากหมดหนี้เร็วขึ้น งั้นเอาอย่างนี้ เธอมีน้องสาวใช่ไหม...”
หญิงสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธก่อนที่เจ้าของข้อเสนอจะพูดจบเสียอีก จรัสรักรู้ดีว่าสิ่งที่เฮียชางจะเสนอให้นั้นคืออะไร ซึ่งเธอยอมรับไม่ได้เด็ดขาด
“ฟังให้จบก่อนสิ เธอยังฟังฉันไม่จบเลย บางทีเธออาจจะสนใจข้อเสนอของฉันก็ได้”
คราวนี้จรัสรักได้แต่นั่งนิ่ง ไม่ใช่ว่าเธออยากฟังข้อเสนอ แต่เธอแค่ไม่อยากทำตัวมีปัญหา รีบฟัง จะได้รีบปฏิเสธให้มันผ่านพ้นไป
เมื่อหญิงสาวยอมฟัง หนุ่มใหญ่จึงยื่นข้อเสนอของตนทันที
“ให้น้องเธอมาทำงานที่ร้านฉันสิ ยังเรียนอยู่ใช่ไหม มาทำแค่เสาร์อาทิตย์ก็ได้ ช่วงปิดเทอมค่อยมาทำเต็มเดือน หรือถ้าว่างหลังเลิกเรียนจะมาทำพาร์ตไทม์ก็ได้ ร้านฉันปิดสี่ทุ่ม ช่วยกันทำงานหาเงิน หนี้จะได้หมดเร็ว ๆ”
ฟังเหมือนเป็นข้อเสนอที่ดี แต่จรัสรักรู้ดีว่ามันมีเล่ห์เหลี่ยมแอบแฝงเต็มไปหมด เธอไม่เคยรู้สึกปลอดภัยกับความหวังดีจากคนตรงหน้า เพราะเธอเคยมีบทเรียนนั้นมาแล้วถึงสองหนด้วยกัน เธอจะไม่ยอมให้มันมีครั้งที่สามอีก
“หนูคิดว่า...”
“ฉันอุตส่าห์ยื่นหนทางช่วยเหลือขนาดนี้แล้ว เธอยังคิดที่จะปฏิเสธอยู่อีกหรือ” น้ำเสียงของหนุ่มใหญ่ราบเรียบ หากสายตามืดดำกลับทำให้คนฟังใจสั่นด้วยความหวั่นกลัว
แต่ถึงกระนั้นเธอก็จำเป็นต้องปฏิเสธ
“ช่วงนี้น้องของหนูเรียนหนักค่ะ ขึ้น ม.หก แล้ว ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหา’ ลัยอีก คงไม่สะดวกมาทำงานค่ะเฮีย”
“ลูกสาวอีไข่ก็เรียนอยู่ ม.หก มันยังมาทำงานกับแม่มันได้เลย” หนุ่มใหญ่กล่าวถึงลูกสาวคนงานในร้าน ซึ่งมักมาทำงานกับแม่เป็นประจำ เขารู้ว่าจรัสรักกำลังหาทางเลี่ยง ผ่านร้อนผ่านหนาวมาขนาดนี้ มีหรือที่เขาจะรู้ไม่ทันคนตรงหน้า “ไม่เห็นหรือ ใครมาทำงานกับฉันก็ได้ดิบได้ดีกันทุกคน เธอรู้ไหมว่ากระเป๋ากับมือถือที่ลูกสาวอีไข่มันใช้ราคาเท่าไร ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน มันก็คงไม่มีวาสนาได้ใช้ของแพง ๆ แบบนั้น”
“แต่น้องของหนูต้องดูแลแม่กับยายตอนที่หนูออกไปทำงาน แม่หนูช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องมีคนดูแลค่ะ” มือบางซึ่งวางอยู่ใต้โต๊ะกำเข้าหากันแน่น พยายามระงับอาการสั่นเทา เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้เป็นมารดากลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง มิหนำซ้ำเหตุการณ์นั้นยังทำให้บิดาผู้ซึ่งเป็นที่รักจากเธอกับน้องไปตลอดกาล จรัสรักพยายามเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พึ่งของคนที่ยังอยู่ แต่เธอไม่เคยลืมเรื่องโหดร้ายที่เกิดขึ้นเลยสักวัน
คนตรงหน้าไม่เคยยอมรับว่าตนเป็นคนทำ แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นฝีมือเขา และตลกร้าย...ที่กฎหมายไม่สามารถเอาผิดใครได้เลย
“ก็ให้ยายไงดูแลแม่ของเธอ ยายเธอไม่ได้ป่วยติดเตียงนี่” หนุ่มใหญ่ยังไม่ยอมหยุดต้อนเหยื่อง่าย ๆ
“แต่ยายอายุเยอะแล้ว คงไม่ดีถ้าปล่อยให้อยู่กับแม่ตามลำพังนาน ๆ”
“ตอนนี้ก็อยู่กันตามลำพังไม่ใช่หรือ ก็ยังอยู่กันได้ ?”
“เพราะมันจำเป็นค่ะ น้องหนูต้องไปโรงเรียน ส่วนหนูก็ต้องออกมาทำงาน” ถ้าเลือกได้ เธอก็ไม่อยากทิ้งให้ผู้สูงวัยกับคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่กันตามลำพังเช่นนี้
“แล้วมาทำงานกับฉันมันไม่จำเป็นตรงไหน หรือเธอจะบอกว่าการหาเงินใช้หนี้ฉันมันไม่จำเป็น ?” หนุ่มใหญ่จ้องเขม็งไปที่หญิงสาวอย่างกดดัน
จรัสรักสั่นไปหมดทั้งกาย หากก็ต้องควบคุมตัวเองไว้ให้ได้ และดูเหมือนว่าเฮียชางจะไม่ยอมปล่อยประเด็นนี้ผ่านไปง่าย ๆ หญิงสาวจึงเสนอตัวเองมาทำแทน
“เฮียจะให้ค่าจ้างเดือนเท่าไรคะ ให้หนูมาทำแทนได้ไหม แต่หนูคงทำได้แค่ตอนเย็น” ถ้าเป็นเธอคงไม่เป็นไรและคงหาทางเลี่ยงได้
ทว่าคำตอบที่ได้คือการส่ายหน้า “มันหมดเวลาของเธอแล้ว ฉันให้โอกาสเธอไปแล้วถึงสองครั้ง แต่เธอไม่ยอมคว้ามันไว้เอง”
หญิงสาวไม่เคยเสียดายโอกาสที่ว่าเลยสักวินาทีเดียว ดีใจด้วยซ้ำที่เฮียชางหยุดหว่านล้อมให้เธอมาทำงานด้วย แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกหนักใจทบทวีคูณ เพราะคนที่ชายตรงหน้าให้ความสนใจ คือคนที่เธออยากทะนุถนอมมากที่สุด
จรัสรักบอกกับตัวเองว่า เธอต้องปกป้องจารวีให้ได้
“ถ้างั้นหนูคงรับข้อเสนอของเฮียไม่ได้ ช่วงนี้น้องของหนูยุ่งมากจริง ๆ ค่ะ ทั้งต้องเรียน ทั้งต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ ไหนจะต้องทำกิจกรรมที่โรงเรียนอีก แค่นี้ก็แทบจะไม่มีเวลานอนแล้วค่ะ” พอร่ายยาวถึงเหตุผลจบ เธอก็รีบสรุปเพื่อตัดบททันที “ส่วนเรื่องเงินหนูจะพยายามหามาจ่ายเฮียให้ได้มากที่สุด อาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่หนูจะจ่ายจนครบแน่นอนค่ะ”
“สองแสน”
“คะ !?”
“เดือนหน้าฉันต้องการเงินสองแสน หามาจ่ายฉันให้ได้”
จรัสรักตั้งตัวไม่ทัน ทั้งอึ้งทั้งตกใจ เธอพยายามจะต่อรอง ด้วยจำนวนที่ว่ามันมากเกินไป เธอหาไม่ทันแน่ ๆ
“เฮียคะ คือว่า...”
หนุ่มใหญ่ส่ายหน้าเป็นสัญญาณให้เธอหยุดพูด ก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย จ้องเข้าไปในดวงตาหญิงสาวด้วยแววตาอันดำมืด “แต่ถ้าไม่มีปัญญาหามาจ่ายละก็...เธอก็น่าจะรู้ดีว่าฉันทำอะไรได้บ้าง”
“…” ใช่ เธอรู้...รู้ดีกว่าใครเลยละ
“ถ้าหมดธุระแล้วก็ออกไปได้ เชิญ”
ตอนพิเศษ 3“เกรซซี่!”เจ้าของชื่อซึ่งกำลังนอนคว่ำกระดิกปลายเท้าระบายสีอยู่กลางห้องนั่งเล่นชั้นล่าง เงยหน้าขึ้นไปมองน้าสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน ในมือมีกระดาษอะไรสักอย่างติดมาด้วยฟังจากน้ำเสียงที่เรียกเมื่อกี้เกรซซี่รู้สึกเสียวสันหลังแปลก ๆ เพราะปกติเวลาน้ากิ๊ฟต์กลับบ้าน น้ากิ๊ฟต์จะเรียกหาเกรซซี่ด้วยเสียงที่นุ่มนวลหรือไม่ก็ร่าเริงกว่านี้ แต่วันนี้แค่เรียกเสียงเข้มไม่พอ ยังทำสีหน้ายุ่งใส่กันอีกเกรซซี่ไปทำอะไรของน้ากิ๊ฟต์พังหรือเปล่านะ...ก็ไม่นี่นา ไม่ได้เข้าไปในห้องของน้ากิ๊ฟต์เลยด้วยซ้ำใจจริงอยากวิ่งเข้าไปรับอย่างที่เคยทำ ทว่าวันนี้เกรซซี่สังหรณ์ใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังขานรับน้าสาวเสียงหวาน “...ขาน้ากิ๊ฟต์”จารวีหันหน้าไปไหว้แม่และยายของตนที่นั่งเอนกายบนตั่งไม้อีกฝั่งของบ้าน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างแรง จากนั้นก็ยื่นเอกสารรายงานผลการเรียนชั้นอนุบาลไปตรงหน้าหลานสาวสุดที่รัก “อันนี้คืออะไรเนี่ย ทำไมเป็นแบบนี้”กนกนุชขยับนั่งขัดสมาธิ มองน้ากิ๊ฟต์กับกระดาษเอสี่ที่ถูกยื่นออกมาตรงหน้าด้วยความงุนงง ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นแม่ซึ่งเดินตามหลังน้องสาวตัวเองเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
ตอนพิเศษ 2โชคดีที่จิณณ์ฝึกลูกให้นอนคนเดียวตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ช่วงแรกที่ยังไม่เปิดเทอมอาจจะมีร้องไห้โยเยบ้าง เพราะตื่นมาแล้วไม่เจอใครอยู่ในระยะสายตา แต่พอค่อย ๆ บอกค่อย ๆ สอนว่าตื่นแล้วไปหาพ่อหรือหายายกับทวดได้ที่ไหน แกก็เริ่มเรียนรู้และเข้าใจ จากนั้นมาก็ไม่มีเสียงร้องไห้ตอนเช้าอีกเลยฉะนั้นหลังเล่านิทานส่งลูกเข้านอนเสร็จ คนเป็นพ่อเป็นแม่จึงได้มีเวลาสวีตหวานในห้องส่วนตัวกันบ้าง“เรียนทำขนมวันนี้เป็นไงบ้าง” จิณณ์เอ่ยถามภรรยาที่กำลังใช้สำลีลบเครื่องสำอางซึ่งแต่งแต้มเพียงบางเบา เตรียมตัวเข้าไปอาบน้ำ ส่วนเขาก็กำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองเพื่อจะเข้าไปอาบพร้อมกันจรัสรักมองเรือนร่างของสามีผ่านกระจก ใบหน้าสวยร้อนผะผ่าวพร้อมกับหัวใจที่จู่ ๆ ก็สั่นรัวขึ้นมา หญิงสาวรีบเลื่อนสายตาไปโฟกัสจุดอื่น แม้จะเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าเธอก็ไม่เคยทำใจให้ชินได้เสียที“กะ...ก็ดีค่ะ พี่ฟางใจเย็นและสอนดีมาก” เธอตอบเสียงกะตุกกะตัก เกร็งตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาเดินเข้ามายืนใกล้ ๆ จิณณ์ดึงชุดคลุมอาบน้ำช่วงไหล่ของภรรยาลง ก่อนจะประทับจูบร้อน ๆ ลงบนไหล่เปลือย จากนั้นก็พูดต่อ“คุณอยากได้สูตรไหนหรือ
ตอนพิเศษ 1หลังจากงานแต่งงานและทำบุญขึ้นบ้านใหม่ซึ่งถูกจัดขึ้นเป็นงานเล็ก ๆ แต่อบอุ่นเสร็จสิ้นไป จิณณ์ก็ขอให้ทุกคนย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด หญิงมากวัยทั้งสองคนมีอาการงอแงเล็กน้อย ด้วยไม่อยากละทิ้งบ้านของตนที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายจรัสรักพยายามเกลี้ยกล่อมพร้อมทั้งอธิบายให้แม่และยายของตนเข้าใจ เธอเองก็ไม่ได้จะทิ้งบ้านหลังนั้น แต่ด้วยสภาพที่เก่าและทรุดโทรมตามกาลเวลา อีกทั้งยังมีข้าวของเก็บไว้มากมาย ซึ่งบางอย่างก็เป็นของที่ไม่ได้ใช้แล้ว หญิงสาวจึงถือโอกาสนี้เคลียร์ของและจะทำการรีโนเวตบ้านใหม่ จากนั้นจะยกให้เป็นชื่อของจารวีจิณณ์ถามน้องสาวภรรยาว่าอยากรื้อแล้วสร้างใหม่เลยหรือไม่ จะได้บ้านในแบบที่ต้องการ ทว่าจารวีปฏิเสธพร้อมบอกว่าเอาไว้ก่อน เพราะล่าสุดพี่เขยก็เพิ่งจะถอยรถมินิคูเปอร์คันละสามล้านให้เป็นของขวัญเรียนจบแบบสด ๆ ร้อน ๆ โดยให้เหตุผลว่าระบบเซฟตีมันดีมากกว่ารถอีโคคาร์ทั่วไป ยังไม่นับคอนโดมิเนียมที่กำลังเลือกดูเพื่อจะซื้อให้พักอาศัยระหว่างที่เรียนต่อเนื่องจากสองพี่น้องมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นหมอ แต่ขาดแรงสนับสนุนจึงไม่ได้ไปต่อ ทำให้ต้องเลือกเดินในเส้นทางอ
บทที่ 32 รัก (ตอนจบ)“แต่งงานกับผมนะครับ”ในเมื่อเขาดีและทำเพื่อเธอขนาดนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่เธอต้องปฏิเสธ ถึงจะเป็นการขอครั้งที่สอง แต่เธอก็อดตื่นเต้นไม่ได้ จรัสรักพยักหน้า ตอบรับคำขอของเขาด้วยรอยยิ้มยินดี“ค่ะ รักจะแต่งงานกับคุณ”จบประโยคนั้นร่างบางก็สะดุ้งขึ้นเล็กน้อย เมื่อไฟที่ประดับประดาอยู่รอบ ๆ ตัวบ้านสว่างขึ้นพร้อมกันทุกดวง พร้อมกับเสียงโห่ร้องจากผู้คนมากมายดังขึ้นด้วยความยินดีใบหน้าสวยมองไปตามเสียงก็เจอกับเด็กหญิงกนกนุชในชุดสวยถือช่อดอกไม้วิ่งเข้ามาหา เลื่อนสายตาไปข้างหลังอีกก็เจอแม่และยายที่นั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีปรานกับกฤษณ์เข็นให้ พร้อมทั้งพีรัช ภริตา จารวี และคุณหญิงพรรษา ยืนอยู่ข้าง ๆ กันทุกคนกำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มจรัสรักรู้ว่าวันนี้มีนัดรับประทานอาหารร่วมกัน แต่ไม่รู้ว่าทุกคนจะมารวมตัวกันที่บ้านของเธอก่อน พวกเขามาตั้งแต่เมื่อไรกัน ทำไมเธอไม่ได้ยินเสียงรถเลย“ป้อจิน เอาให้แม่” เสียงของลูกสาวดึงสายตาเธอให้กลับมาสนใจคนตรงหน้าอีกครั้ง เด็กหญิงกนกนุชยื่นช่อดอกทานตะวันให้คุณพ่อตามที่พ่อปรานบอก“ขอบคุณครับ” จิณณ์รับดอกไม้มาถือ ก่อนจะคว้าตัวลูกสาวเข้ามากอดและกดจมูกหอมแก้มแ
บทที่ 32 รัก (ตอนจบ)หลังจากหมูกระทะมื้อค่ำสิ้นสุดลง ทุกคนก็ช่วยกันเก็บจานไปล้างและทำความสะอาดสถานที่ จิณณ์รับหน้าที่พาเด็กหญิงกนกนุชไปอาบน้ำ เนื่องจากหนูน้อยเริ่มตาปรือเพราะใกล้ถึงเวลาเข้านอนเมื่อบรรยากาศภายในบ้านเริ่มเงียบสงบ จารวีนั่งเล่นกับหลาน พูดคุยกับแม่และยายสักพักก็เข้าห้องส่วนตัวของตัวเอง ส่วนอ้อมใจก็จัดที่นอนเตรียมพักผ่อน หน้าที่พยาบาลพิเศษในบ้านหลังนี้ไม่ได้หนัก และคนป่วยก็ไม่ได้จู้จี้จุกจิก พอทำหน้าที่หลักเสร็จก็สามารถนอนพักผ่อนได้ แต่ข้อเสียคือไม่มีห้องนอนส่วนตัวให้ ต้องนอนรวมกันที่ห้องโถงจรัสรักเดินมาเช็กความเรียบร้อยที่ครัวหลังร้าน เพราะพรุ่งนี้ต้องเปิดร้านขายของตามปกติหลังจากหยุดไปทำธุระหนึ่งวัน“อุ๊ย!” ทว่ายังไม่ทันได้หยิบจับสิ่งใด ร่างบางก็ถูกสวมกอดจากคนที่เดินตามเข้ามาติด ๆ หญิงสาวยิ้มและเอ่ยถามกลั้วขำ “อะไรคะเนี่ย”“อยากกอด” จิณณ์คลายวงแขนแล้วหมุนตัวเธอให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็โน้มใบหน้าลงไปจูบหน้าผากเธอแผ่วเบา “เมื่อไหร่บ้านจะเสร็จ”จรัสรักหลุดขำ นึกเอ็นดูคนตัวโตที่เริ่มงอแง นับวันก็ยิ่งเหมือนลูกมากขึ้นทุกที “คงอีกนานค่ะ ยังไม่ได้ลงเสาเลย”“รู้งี้ผมให้
บทที่ 31 คนพิเศษ“แม่แค่เป็นห่วงครับ ไม่ได้ดุ”“ดุ” ใบหน้าน้อย ๆ เอียงซบไหล่แกร่ง พยายามหลบสายตาแม่ แต่กระนั้นก็ยังแอบเหล่มอง“รับปากแม่ได้ไหมว่าครั้งหน้าเกรซซี่จะใส่รองเท้าก่อนออกบ้านทุกครั้ง” จรัสรักยังคงเสียงแข็งแต่ก็ยังฟังดูอ่อนโยนอยู่ในที เธอไม่ได้อยากเป็นแม่ใจร้ายหรอก แต่บางทีก็ต้องบอกต้องสอนกันบ้าง“รับปากแม่เร็ว คนเก่งของพ่อทำได้อยู่แล้ว” จิณณ์ให้กำลังใจ พร้อมเบี่ยงร่างเล็กในอ้อมแขนให้หันไปหาคนเป็นแม่“ต่อไปนี้เกรซซี่จะใส่รองเท้าก่อนทุกครั้งค่ะ” หนูน้อยยอมพูดแต่โดยดี ซึ่งผู้เป็นแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก ส่งยิ้มให้พร้อมยกมือขึ้นมาลูบศีรษะอย่างชื่นชม“เก่งมากค่ะ”กลายเป็นคุณพ่อที่ทวนความจำให้ลูกแทน “จำได้ไหมครับ ที่คุณแม่บอกว่าถ้าไม่ใส่รองเท้าจะเกิดอะไรขึ้น”“จะเหยียบปะตู เลือดไหล ต้องไปหาหมอ แล้วก็ร้องไห้แง ๆ” จิณณ์ไม่แก้ไขที่ลูกพูดผิด รู้ดีว่าความเข้าใจของแกก็คือตะปูนั่นแหละ“ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เกรซซี่ต้องใส่รองเท้าทุกครั้งนะ โอเคไหม”“โอเคค่า” เมื่อเคลียร์กันลงตัว หนูน้อยก็กลับมายิ้มแย้มแจ่มใส“หาแม่ไหม พ่อจะขนของลงรถ” ชายหนุ่มบอกพร้อมส่งลูกให้คนเป็นแม่อุ้ม ซึ่งมือเล็ก ๆ