“ทำไมใครๆ เขาก็รู้ว่าเจ้าฆ่าสามี ข้าพูดแล้วจะทำไมข้า คนอื่นเขาพูดกันทั่วไป ไม่ได้พูดแต่ข้าเสียหน่อยเจ้าก็ตามไปฆ่าทุกคนสิ”
ซูหว่านยิ้มเหยียดเดินเข้าหายายป้าข้างบ้าน
“ชิ อย่างนั้นหรือพูดกันทั่วไป ข้าไม่ได้ยินถือว่าไม่พูดแต่คนที่พูดให้ข้าได้ยินนี่ อย่างไงดีน้าาาา”
“เจ้าอย่ามาทำนิสัยเหมือนที่ผ่านมา มิน่าเล่าแม่สามีเจ้าถึงได้ไล่เจ้าออกจากบ้านเพราะเจ้ามาจิตใจต่ำทรามชอบฆ่าคนแบบนี้นี่เอง”
“หุบปากเจ้านะไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย”
“เจ้าจะทำอะไรข้า” ยัยป้าเริ่มหวั่นๆ ไม่กล้าสบตาซูหว่าน
"คราวหลังอย่ามากล่าวหาข้าอีก...ไม่อย่างนั้นข้า…ที่ไม่เคยฆ่าใครจะฆ่าเจ้านั่นแหละคนแรก" ซูหว่านพูดเสียงดัง
คำพูดของซูหว่านดังก้องไปทั่วบริเวณ ชาวบ้านที่มามุงดูเงียบเสียงลงไป ป้าข้างบ้านมองซูหว่านด้วยสายตาที่ตื่นตระหนกในชั่วขณะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็กัดฟันและพูดกลับด้วยเสียงสั่นๆ
ซูหว่านชี้มือไปยังยัยป้าอย่างคาดโทษ
"เจ้า...เจ้ายังจะกล้าทำร้ายข้าอีกหรือ อ่อแน่ละซี้ เจ้ามันชอบฆ่าคนนี่ อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปได้ง่ายๆ ข้าจะไล่เจ้าทุกวันคอยดูเถอะ"
ซูหว่านที่ยังคงยืนอยู่ด้วยท่าทางมั่นคงยิ้มเย็น พูดกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"เจ้าคงคิดว่าแค่คำพูดของเจ้าจะทำให้ข้ากลัวได้ใช่ไหม แต่ข้าบอกไว้เลยว่าต่อไปนี้ข้าไม่ยอมให้ใครทำร้ายข้าหรือลูกๆ ข้าอีก ข้าจะอยู่ที่นี่แล้วอย่าคิดว่าจะมาไล่ บ้านนี้เป็นบ้านของเจ้าหรือไร ตอนนี้บ้านหลังนี้เป็นของข้ากับลูกๆ แล้ว"
“ชิ ข้าไม่อยากยุ่งกับนางแพศยาอย่างเจ้าหรอก แล้วยังบ้านที่มีคนตายหลังนั้นอีก”
“ดีแล้ว ไม่ยุ่งก็ไปให้พ้น ชิ้วๆๆๆๆ แล้วอย่าลืมไปผ่าหมาออกจากปากไปด้วย ไม่อย่างนั้นจะหาว่าไม่เตือน”
หันไปมองอาอวี่ที่ยืนตัวสั่น หน้าซีด ซูหว่านเอื้อมมือไปขยี้หัวเด็กหญิงอย่างเบามือ ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงอาอวี่ข้างหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อาอวี่...ไม่ต้องกลัวนะ…เรากลับเข้าบ้านกันเถอะ ไม่ต้องสนใจคนที่ยังไม่ได้ผ่าหมาออกจากปากอย่างยัยป้าข้างบ้านโง่เง่าคนนั้นเลย สักนิด"
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น ซูหว่านไม่ต้องการให้เด็กๆ ต้องตกอยู่ในความกลัวหรือทนทุกข์จากคำพูดที่ถ้าเดาไม่ผิดสักแต่พูดต่อๆ กันมาของชาวบ้าน
"แม่สัญญาว่าจะไม่ให้ใครมารังแกเราได้อีก...ตอนนี้แม่มีแรงหายดีแล้วปกป้องพวกเจ้าได้แน่"
ซูหว่านยิ้มให้กับเด็กๆ อย่างอ่อนโยน แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการต้องเผชิญกับการกล่าวหาที่ไร้เหตุผล อีกทั้งร่างกายยังไม่หายดีจริงๆ
อาอวี่พยักหน้าเล็กน้อย ยังคงตัวสั่น แต่เสียงที่อบอุ่นจากแม่ทำให้ความหวาดกลัวค่อยๆ คลายลง จับมือซูหว่านแน่นขึ้นกระตุกมือเบาๆ และพูดว่า
"ท่านแม่...ท่านแม่จะไม่ให้ใครทำร้ายเราใช่ไหมคะ เราจะไม่ต้องหนีอีกแล้วใช่ไหมคะ นี่คือบ้านของเราใช่ไหมคะ"เสียงเล็กๆ ที่ออดอ้อนเอาความจริงจากมารดาน่าสงสารยิ่งนัก
เซิ่นหยียนถอนหายใจยาวเดินหันหลังจากไปเสีย
ซูหว่านยิ้มและพยักหน้า
"ใช่แล้วอาอวี่ ท่านแม่จะทำให้พวกเราได้อยู่ในที่ปลอดภัยจากทุกคนที่ต้องการทำร้ายเรา ต่อไปนี้แม่จะปกป้องพวกเจ้าเอง"
แต่คำพูดของซูหว่านกลับไม่ได้ทำให้ชาวบ้านที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เชื่อถือ พวกเขาพูดซุบซิบกันเป็นกลุ่มด้วยเสียงกระซิบที่ไม่เบาเต็มไปด้วยการนินทาว่าร้าย
"ดูท่าทางแล้ว นางน่าจะเสแสร้งไปซะมากกว่า มาหลอกให้เด็กๆ เหล่านั้นเห็นใจ ถ้าเป็นแม่จริงๆ จะไม่มีทางพาลูกมาลำบากแบบนี้ บ้านร้างนั่น ถูกคำสาปมีคนตาย น่ากลัวจะตายยังพาลูกๆ มาทนลำบาก" เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น
"เห็นไหมล่ะว่านางร้ายกาจแค่ไหน สงสัยจะตั้งใจหลอกลวงให้เด็กๆ มาขอทานกับคนในหมู่บ้านนางจะได้สบายนะสิ ร้ายมาก" ชายแก่คนหนึ่งพูดเสริม
"บอกเลยนะว่านางจะทำอะไรก็ได้เพื่อเอาตัวรอด แม้แต่ฆ่าผัวของตัวเองยังทำได้ แล้วจะมาแสร้งทำเป็นคนดีอะไรแบบนี้อีกเลวจริงๆ" ผู้ชายคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกและเหยียดหยาม
"นางคนนั้นออกจากบ้านซูแล้วใช่ไหมข้าได้ยินคนบ้านซูไล่จับนางตั้งแต่เมื่อคืน" เสียงหญิงวัยกลางคนดังขึ้นมาพร้อมกับคำถาม
"ใช่ๆ เขาว่านางตีแม่ผัวปางตายแล้วหนีออกมาจากบ้านซู” หญิงสาวคนหนึ่งพูด
ซูหว่านยืนนิ่งท่ามกลางเสียงซุบซิบและการพูดถึงที่ดูหมิ่นของชาวบ้านส่ายฟหน้าไปมาน่าจะตีแม่ผัวนั่นให้ปางตายจริงๆ เพระาแค่ตีเบาะๆ พวกยังเอามาพูดว่าปางตาย แต่ก็พยายามอดทนและไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้ายจากคำพูดเหล่านั้น หากโต้ตอบคนหมู่มากขนาดนี้คงไม่สวย
หันไปมองลูกๆ อีกครั้งที่กำลังจับมือกันแน่นแสดงออกถึงความรู้สึกไม่อยากให้ท่านแม่ต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้อีกแล้ว ซูหว่านยังคงยิ้มและพูดกับลูกๆ ด้วยเสียงที่มั่นคง
"ไม่เป็นไร อาอวี่ อาเยวี่ยน เราจะไม่ให้คำพูดเหล่านี้ทำให้เรากลัว เราจะอยู่ที่นี่และต้องอยู่ให้ได้" ซูหว่านพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"เราจะเริ่มต้นใหม่กัน แม้จะมีใครคอยพูดถึงเราไปตลอด แต่เราไม่ต้องสนใจหรอก"กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งและมั่นใจ
ถึงแม้ภายนอกจะมีความเจ็บปวดที่สะสมอยู่ แต่ภายในจิตใจของซูหว่านเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงผลักดันที่จะทำให้ซูหว่านและลูกๆ สามารถเดินทางต่อไปในชีวิตนี้ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาความเห็นของคนอื่นหรือคำพูดที่ทำร้ายจิตใจ
เสียงสัญญาณการประกวดการแข่งขันดังขึ้นจากทุกทิศทาง ผู้เข้าแข่งขันต่างเตรียมพร้อมและทำอาหารด้วยความมุ่งมั่น บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความคาดหวังจากทุกฝ่าย ท่ามกลางกลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิดที่เต็มไปด้วยความพิเศษและรสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนท่านฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรไปยังเหล่าผู้เข้าแข่งขันแต่ละรายพร้อมกับขันทีข้างกายที่คอยรายงานข้อมูลและชี้ชวนให้ดูยังจุดต่างๆ ภายในบริเวณงาน การมองลึกๆ ของพระองค์สะท้อนถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียด และความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับการประกวดในครั้งนี้"นั่นใช่ไหม เปิ่นหลี่ของอ๋องแปด"ฮ่องเต้ถามพร้อมกับมองไปยังผู้เข้าแข่งขันในชุดประดับที่เด่นชัดขันทีข้างกายยิ้มและตอบอย่างนอบน้อม "พ่ะย่ะค่ะ ความจริงแล้วโรงเตี๊ยมที่ลงแข่งขันทั้งหมดล้วนมีจุดเด่น และเปิ่นหลี่ของอ๋องแปดก็เป็นหนึ่งในนั้น ข้าว่าท่านอ๋องแปดคงคิดหนักหน่อยเมื่อเห็นผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้ ทุกคนล้วนมาเพื่อแข่งขัน"ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วทอดพระเนตรต่อไปที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก่อนจะเลื่อนสายตามาหยุดที่ซูหว่าน ที่กำลังก้มลงเติมฟืนในเตาอย่างมุ่งมั่นท่ามกลางเตาอาหารที่ยังคงคุกรุ่นไปด้วยความร้
ไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวแต่ก็ประมาทไม่ได้ โรงเตี๊ยมผิงจื้อมีชื่อด้านสุราหอมหวนอาหารที่ทำล้วนแต่เป้นกับแกล้มที่คยนกินรุ้สึกสึกปากเมื่อต้องกินคู่กับสุราฉะนั้นประมาทไม่ได้เรื่องรสชาติอาหารที่จัดจ้าน” ซูหว่านพยักหน้ายิ้มๆด้านข้างหอโอชารสที่เข้าแข่งขันครั้งนี้ด้วย ป้ายแผ่นไม่ด้านหลังงดงามด้วยตัวอักษรที่พลิ้วไหว“หอโอชารส”“หอโอชารส ส่วนมากจะปรุงอาหารที่นิยมในหมู่ขุนนางและคนในราชสำนักนับว่ายกระดับอาหารจากที่ชาวบ้านกิน ส่วนมากแล้วขุนนางในราชสำนัมักจะนัดพบปะพูดคุยหารือเรื่องต่างๆ หรือตกลงกันด้วยเรื่องการเมืองมักจะมากินอาหารที่นี่เสมอมีทั้งสุราดีและนารีที่งดงาม” ซูหว่านยิ้ม“แล้วนั่นล่ะค่ะ” ชี้มือไปที่ด้านนซ้ายนถัดจากโรงเตี๊ยมไห้ถัง“นั่นโรงเตี๊ยม จือฮวาที่แค่คงตั้งใจเข้ามาร่วมการแข่งขันเพื่อให้คนรู้จักมากขึ้นเพราะข้าเพิ่งเห้นว่าดรงเตี๊ยมแห่งนี้เพิ่งจะเปิดได้ไม่กี่วัน” ฟงหงเหวินชี้มือไปที่โรงเตี๊ยม เปิ่นหลี่“เปิ่นหลี่”“นั่นคือคู่แข่งคนสำคัญเพราะเป็นโรงเตี๊ยมที่ขายให้เฉพาะคนในราชสำนักีรุ้ใจเข้าใจคนในวังหลวงว่าชมชอบอาหารแบบไหนซึ่งคนในวังหลวงก็มีฝ่าบาทในนั้นด้วยเกรงวาสครึ่งใจของฝ่าบาทจะเทไปที่เ
ซูหว่านก้มมองตัวเองพร้อมกับรอยยิ้ม แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องเข้ามาทำให้ดูสง่างามอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ชุดกี่เพ้าแบบฟ้าขาวทำให้ดูสวยงามและสงบเยือกเย็น แต่ก็มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เข้ากับบุคลิกของซูหว่านอย่างลงตัวฉายหยาเลิกคิ้วขึ้น พลางมองไปที่ซูหว่านจากหัวจรดเท้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อ"อ่อ พี่เซิ่นหยี่ยนเข้าใจหาลูกค้านะคะ นางกำลังจะลงแข่งขันการปรุงอาหาร สวมอาภรณ์ที่มาจากผ้าเนื้อดีและตัดเย็บมาจากร้านหวงฝูเหอแบบนี้ เท่ากับช่วยโฆษณาสินค้าของร้านหวงฝูเหอสินะคะ เพราะว่านางเป็นหญิงเพียงคนเดียวที่ลงแข่งขันในครั้งนี้ ทุกสายตาในงานเทศกาลจะต้องจับจ้องมาที่นาง อาภรณ์ชุดนี้พออยู่บนตัวนางยิ่งทำให้นางดูงดงาม แบบนี้หญิงงามทั้งเมืองจะต้องอยากได้ชุดแบบนี้บ้างสินะคะแล้วร้านหวงฝูเหอก็จะ ทำยอดขายเป็นกอบเป็นกำสินะคะ พี่เซิ่นเหยี่ยนนี้สุดยอดจริงๆ"คำพูดของฉายหยาเหมือนมีแรงกดดันบางอย่าง และเมื่อพูดถึงร้านหวงฝูเหอ น้ำเสียงนั้นก็เหมือนจะตีความว่าเซิ่นเหยี่ยนกำลังใช้ซูหว่านเป็นเครื่องมือในการโฆษณา แม้ว่าคำพูดของฉายหยาออกจะดูเหมือนการชมเชย แต่ก็แฝงไปด้วยการวิจารณ์บางอย่างเซิ่นเหยี่ยนถอนหายใจ เขากลับรู้ส
เซิ่นเหยี่ยนก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ข้างๆ ฉายหยาที่เกาะแขนของเขาเดินไปติดๆ ในขณะที่ทั้งคู่เดินไปข้างหน้า หยางลู่ที่เดินอยู่ข้างหลังอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง ทั้งๆ ที่พยายามทำใจให้สงบ แต่ทว่าความรู้สึกบางอย่างกลับฉุดรั้งให้ไม่สามารถละสายตาจากแผ่นหลังของเซิ่นหยี่ยนได้เซิ่งเจี๋ยที่ยืนอยู่ข้างหน้าเห็นหยางลู่ที่เดินเข้ามาใกล้ก็ยกมือขึ้นมาโบกให้กับหยางลู่รอยยิ้มบนใบหน้า แม้จะเป็นเพียงการแสดงออกธรรมดา แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกบางอย่างในเมื่อหยางลู่สวมชุดสีแดงเพลิงสะดุดตาขนาดนั้นฉายหยาที่เห็นเซิ้งเจี๋ยโบกมือก็พูดขึ้นยิ้มๆ"พี่จะไปหาพี่เซิ่งเจี๋ยก็ได้นะคะ ส่วนข้ากับพี่เซิ่นเหยี่ยนเราจะได้ใช้เวลาด้วยกันเพียงลำพัง พี่เองก็จะมาเดินตามเราทำไมกัน" เสียงของฉายหยาที่พูดด้วยท่าทางไร้เดียงสาแทรกเข้ามาในหูของหยางลู่ แม้รอยยิ้มใสใสที่ส่งมาเป็นเพียงแค่การแสดงออกภายนอก แต่หยางลู่กลับเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแววตาของฉายหยาความเย้ยหยันที่แฝงมาในท่าทีที่แสนสงบ ทำให้รู้สึกไม่พอใจ"อืม เข้าใจแล้ว ก็น่าเห็นใจเจ้านะฉายหยานานๆ ครั้งไม่สิคงไม่มีโอกาสได้เดินเคียงข้างคุณชายหวงสินะ วันนี้จึงอยากจะใช้โอกาสนี้ใ
รถม้าหลายคันเคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ล้อไม้ดังเสียงกรอบแกรบขณะที่พาหนะแต่ละคันวิ่งเข้ามาหยุดยังบริเวณงาน บริเวณนี้เต็มไปด้วยคนของโรงเตี๊ยมทั้งใหญ่และเล็ก ทุกคนต่างช่วยกันจัดเตรียมทั้งอุปกรณ์ทำอาหารและการก่อเตาฟืนกลางแจ้งเพื่อใช้ในการแข่งขันครั้งนี้"ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม" เสียงของเซิ่งเจี๋ยดังขึ้นในระหว่างที่เขากำลังเดินไปมาในพื้นที่ เขายืนอยู่ในชุดสูทที่ทันสมัย ดูสง่างามและนอบน้อม ในขณะที่ขุนนางที่มีตำแหน่งสูงต่างๆ เดินผ่านมา พวกเขาหยุดและกล่าวทักทายเขาด้วยท่าทางสุภาพ จนทำให้บรรยากาศรอบๆ ยิ่งดูเป็นทางการและยิ่งใหญ่“จอมปลอม” ซูหว่านเผลอพึมพำเบาๆรุ้สึกหนักอึ้งกับภาพตรงหน้าเซิ่งเจี่ยคนเดียว“เจ้าว่าอะไรนะ”“อ่อเปล่า…….ข้ากำลังรู้สึกว่าฮ่าาาๆๆๆๆบางอย่างมันดูยิ่งใหญ่ที่สุดเลยจริงๆไม่เคยเห้นอะไรแบบนี้มาก่อนงานปีใหม่นี่ดีจริงๆนะฮ่าาาาา”"หลังจากจบการแข่งขันการทำอาหารข้าจะพาเจ้าเดินชมงานเทศกาลรอบๆ ที่นี่มีของขายมากมายและยังมีการแสดงหุ่นกระบอกกับการร่ายรำกระบี่ที่หาดูยากแล้วในตอนนี้อีกด้วย" ซุหว่านพยักหน้ายิ้มๆ"ขอบคุณคุณชายมากๆเลยคะ ข้าคงใจจดจ่อที่การแข่งขันในตอนนี้ แต่พวกเด็กๆไม่รอแล้ว
ก่อนจะตอบออกไปอีกทีอย่างรวดเร็ว "ไม่ ไม่ยกเว้นใครทั้งนั้น!"หยางลู่ผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองไปข้างนอกที่มีแสงจากพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า "เราจะต้องเหนือกว่าทุกคนที่นี่โดยเฉพาะซูหว่านนางขอทานนั่น ที่นี่เรามีเงิน มีอำนาจ ทุกอย่างที่คนธรรมดาไม่มี คุณจะกลัวทำไม ซูหว่านก็แค่ผู้หญิงไร้พิษสงคนหนึ่งเท่านั้น!"คำพูดของหยางลู่ยังดังก้องในห้อง แต่เซิ่งเจี๋ยกลับมองไปที่หยางลู่ด้วยแววตาที่ไม่อาจบอกได้ว่ากำลังคิดอะไร เขายังคงเงียบ และท่าทางนั้นทำให้หยางลู่หันกลับมามองเขาด้วยความสงสัย"คุณไม่เชื่อใช่ไหมคอยดูก็แล้วกัน ซูหว่านจะต้องไร้ที่ยืนที่นี่" หยางลู่ถามเสียงต่ำเซิ่งเจี๋ยพยักหน้าอย่างช้าๆ เขารู้ดีว่าไม่ใช่แค่ซูหว่านที่เขาต้องระวัง แต่ยังมีคนอื่นๆ ที่เขาต้องคิดถึงอีกมากมาย... " คุณเกลียดอะไรเขาหนักหนาผมไม่เข้าใจ ผมก็แค่ไม่อยากเห็นความผิดพลาดครั้งใหญ่" เขาพูดเบาๆหยางลู่ยิ้มหยัน"ไม่ต้องห่วง คุณชายเซิ่งเจี๋ย ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ที่นี่จะไม่มีคำว่าผิดหวังในเมื่อต้นทุนเรามาดีขนาดนี้ฉันถึงปฏิเสธระบบบ้าบอนั่นอย่างไรเล่า"หยางลู่พูดก่อนจะหันกลับไป และจากไปด้วยท่าทีที่มั่นใจ จะไม่ยอมให้ใ