เช้าวันต่อมาซูหว่านเดินออกจากบ้านไปโดยมีความกังวลอยู่เต็มอกเด็กๆ ป่วยอยู่บนแท่นนอนตัวร้อนจัดจนแทบจะจับไม่ได้แล้วเพราะที่ผ่านมาก็เจ็บตัวประจำอาหารการกินก็ไม่สมบูรณ์และไหนจะความเครียดสะสม ซูหว่านเช็ดตัวให้ทั้งสองคนแล้วขยับตัวลุกขึ้น
“แม่จะลองไปที่ร้านหมอเพื่อขอยาดูนะ…” ซูหว่านพึมพำเบาๆ เด็กทั้งสองยังไม่รู้สึกตัว
เหงื่อซึมโชกอยู่บนหน้าผากเล็กๆ ของพวกเขา บางครั้งก็มีอาการตัวเกร็งเหมือนกับจะมีไข้สูงขึ้นไปอีก รู้ว่าเวลานี้ต้องรีบหายามาช่วยเหลือไม่อย่างนั้นพวกเขาจะทรมานจนทนไม่ไหว
"ต้องหายามาให้ได้ ต้องไปร้านหมอไปหายามาให้พวกเขากินแก้ไข้"
เมื่อถึงร้านขายยา ซูหว่านผ่านประตูเข้าไปในร้านที่เงียบสงัด มีกลิ่นยาหอมฟุ้งไปทั่ว
"ท่านหมอได้โปรด ข้าอยากขอยาให้เด็กๆ" ซูหว่านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ แต่ในใจลึกๆ ก็เต็มไปด้วยความห่วงใย
หมอชราในร้านซึ่งนั่งอยู่หน้าตู้เก็บสมุนไพร ก้มมองซูหว่านด้วยสายตาเย็นชา เขาคงรู้ดีถึงชื่อเสียงของซูหว่านมาบ้าง
“มีเงินหรือไม่” คำพูดเบาๆ แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ ซูหว่านส่ายหน้าไปมา
"ไม่ได้ อยากได้ยาก็ต้องมีเงิน" หมอชราพูดสั้นๆ ก่อนที่จะหันไปทำอย่างอื่นต่อ
ซูหว่านถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง ดวงตาของนางจ้องมองหมอชราด้วยความไม่เข้าใจ
"ไม่มีจรรยาบรรณแพทย์เลยหรือ" เสียงของซูหว่านดังขึ้นอย่างท้าทาย
หมอชราหันมาพร้อมกับถอนหายใจ
"ข้าแค่คนขายยา ถ้าอยากได้ยาต้องมีเงิน ไม่มีเงินก็…ไปให้พ้น" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ไม่เอาก็ได้ ใจร้ายสิ้นดี”
ซูหว่านหยุดคิดเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลง เดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกโกรธที่ท่วมท้นใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอดสู
ตลาดในเมืองอันคึกคัก เสียงโห่ร้องของพ่อค้าแม่ขายเรียกให้ผู้คนมาหาซื้อของสดและของแห้ง เสียงกลองประกอบการเต้นรำแบบพื้นบ้านดังไปตามลม สายลมเย็นๆพัดผ่านท้องถนนสายหลักที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินพลุกพล่านในชุดจีนโบราณ
ซูหว่านเดินไปตามถนนอย่างมุ่งมั่น แต่ทันทีที่สายตาของนางไปสะดุดกับท่าทางคุ้นเคยที่เดินอยู่ข้างกันอยู่กลางตลาด หัวใจของนางก็หยุดเต้นไปชั่วขณะ
เซิ่งเจี๋ย…และหยางลู่
พวกเขากำลังเดินข้างกันในชุดอาภรณ์จีนดั้งเดิม สีเข้มเรียบหรู เซิงเจี๋ยในชุดคลุมสีดำล้วน หน้าตาเย็นชาตามเคยยามปกติ แต่มือของเขากำลังจับมือหยางลู่ที่อยู่ข้างๆ มองกันด้วยสายตารักเอ็นดู แม้แต่แววตาของหยางลู่ที่มองเซิ่งเจี๋ยก็เต็มไปด้วยความรักและภาคภูมิใจ
ซูหว่านก้าวไปข้างหน้า ใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนโดนกระชากเข้าไปสู่ความทรงจำ ดีใจอย่างที่สุดนี่พวกเขาก็มาหรือ มองไปที่ทั้งสองคนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแต่ตอนนี้กลับอยู่คนละฐานันดรกันเสียแล้ว
ก้มมองอาภรณ์ที่ตัวเองสวมใส่ขมุกขมอม เก่าและเหม็น
“เซิ่งเจี๋ย หยางลู่” เสียงตะโกนของซูหว่านดังออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ทุกสายตาหันไปมองยังทิศทางที่ซูหว่านยืนอยู่
เซิงเจี๋ยหันขวับทันที ดวงตาคมที่เคยเต็มไปด้วยความรักกลับเย็นชาเหมือนเดิม เขามองซูหว่านด้วยความเฉยชาพลางยกมือให้คนติดตามเดินเข้ามาบังร่างทั้งสองเพื่อกันตัวออกห่างจากซูหว่าน
“อย่าให้นางขอทานนี่เข้าใกล้ข้ากับคุณหนูบ้านโจว ได้ยินไหม” เซิ่งเจี๋ยพูดด้วยเสียงเย็นๆดวงตาเขาจ้องมองซูหว่านเหมือนมองแค่สิ่งไร้ค่า
หยางลู่ยิ้มร่าเหมือนจะยิ้มให้ซูหว่านอย่างอ่อนโยนแต่ดวงตาของนางไม่ได้มีแววเมตตาเลยแม้แต่น้อย การมองซูหว่านเหมือนเป็นแค่คนที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง
ซูหว่านยืนตรงหน้าพวกเขา สายตาของมองเซิ่งเจี๋ยอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“เซิงเจี๋ยจำฉันไม่ได้หรือ ฉันหวานหว่านอย่างไรเล่า เซิงเจี๋ย หยางลู่ พวกนายจำฉันไม่ได้จริงๆหรือ”
“ลากนางออกไป ข้าเหม็นนางขอทานต่ำต้อยนี่เกินทนแล้ว” เซิงเจี๋ยพูดด้วยสายตาหยามเหยียด
“ทำไม ทำไม เดี๋ยวสิ ทะ..ทำไมจำกันไม่ได้ เซิงเจี๋ยฉันเองซูหว่านไง หยางลู่นี่ฉันเองจำกันไม่ได้เหรอ” ซูหว่านตะโกนออกไป แต่แล้วคำพูดกลับเหมือนหายไปในอากาศ
เซิ่งเจี๋ยไม่ตอบคำถามนั้น เขามองซูหว่านด้วยสายตาที่ว่างเปล่าและหันไปพูดกับหยางลู่
“ไปกันเถอะ”
หยางลู่พยักหน้าเบาๆแล้วเดินตามเซิ่งเจี๋ยไป ข้ามผ่านซูหว่านโดยที่ทั้งสองไม่แม้แต่จะมองนานขึ้นสักนิดเหมือนว่าจะกลัวเสียสายตา
ซูหว่านยืนตรงที่เดิม สายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างของคนทั้งสองที่เดินจากไป ไม่นานก็หลุดลับหายไปจากสายตา เสียงฝีเท้าที่เดินออกไปทำให้หัวใจซูหว่านเหมือนโดนบีบแหลกจนเจ็บจนไม่อาจหายใจได้ ในใจรู้สึกเหมือนถูกพวกเขาตัวจริงทอดทิ้งอย่างช่วยไม่ได้ ซูหว่านรีบคิดปลอบใจตัวเองไม่ให้คิดมากเกินไป
“…เซิ่งเจี๋ย…หยางลู่หรือว่าไม่ใช่พวกเจ้าที่ข้าเห็น อาจเป็นคนในภพนี้ก็ได้…ซูหว่านใจเย็นๆก่อน ไว้ข้าค่อยหาคำตอบที่หลัง อย่างน้อยก็ยังพบพวกเจ้า ฮึก…ข้าที่คิดว่าต้องเผชิญโลกอันโหดร้ายนี้คนเดียวแล้วเสียอีก ฮึก…” ยิ้มทั้งน้ำตา
ซูหว่านยิ้มขมขื่นก้าวเดินไปข้างหน้าแม้ว่าจะรู้สึกเหมือนทุกก้าวที่เดินมันหนักหน่วงไปทั้งตัวก็ตาม แต่ความเจ็บปวดในใจนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องยอมแพ้เสียหน่อย ระหว่างทางเดินกลับบ้านซูหว่านมองไปเห็นตำลึงพันพันธุ์ไม้รกร้างริมถนน
"ตำลึง ตำลึง...ตำลึงนี่" ซูหว่านพึมพำพลางยิ้มออกมาอย่างเหม่อลอย
"ช่วยลดไข้ ดับพิษร้อนในร่างกาย...ถ้าจำไม่ผิด"
นึกถึงฟักเขียวที่มีลูกระโยงระยางห้อยลงมาเต็มไปหมดที่รั่วบ้านผุๆ ที่เคยเห็น รู้ว่าอาจจะพอใช้ปรุงอาหารบางอย่างเพื่อช่วยลดไข้ให้เด็กๆ ได้
"แต่จะปรุงอาหารอะไรดีนะ..." ซูหว่านคิดไปพลาง มองต้นตำลึงเหมือนจะคิดอะไรออก
ใจของซูหว่านมั่นใจว่า ในเมื่อไม่สามารถหายาได้ การใช้สมุนไพรที่ธรรมชาติให้มาอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อช่วยเด็กๆ
ซูหว่านลงมือเก็บตำลึงหอบใหญ่ไว้ในอ้อมแขนเดินกลับบ้านทันที เมื่อมาถึงบ้านยัยป้าข้างบ้านชะเง้อชะแง้ตามประสาคนขี้เสือกซูหว่านเก็บฟักเขียวลูกโตไปวางไว้ในห้องครัว พลางหยิบมีดหั่นเปลือกบางๆของมันออก เผยให้เห็นเนื้อในที่เขียวสดใส ก่อนที่เสียงเบาๆจากในหัวจะดังขึ้นมาติ้ง……เสียงดังก้องในหูของซูหว่าน พร้อมกับข้อความที่ปรากฏขึ้นในอากาศจางๆเป็นรูปจอสี่เหลี่ยมโปร่งแสง"เช็คอินเป็นเวลาติดต่อกัน 3 วัน รับทันที 120 ฟองไข่ทองคำและเปิดใช้งานระบบแบบเต็มรูปแบบ ทั้งโต้ตอบและช่วยบริหารจัดการ""อะไรเนี่ย..." ซูหว่านหยุดมือที่กำลังหั่นฟักเขียว มองไปรอบๆตัวเองด้วยความงุนงง ทันใดนั้น เสียงหนุ่มหล่อแปลกประหลาดก็เอ่ยขึ้นจากในหัวของนาง ราวกับว่าเป็นเสียงที่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือหรือระบบคอมพิวเตอร์ที่ปรากฎอยู่ในอากาศ"ออนไลน์…ยินดีต้อนรับสู่ระบบครัววิเศษ ข้าน้อยเสี่ยวปังเรียกง่ายๆก็ขนมปัง ยินดีให้บริการ ถามอะไรก็ได้ในทันที….."เสียงนี้มีความนุ่มนวลและคมชัด ราวกับเสียงพากษ์พระเอกในซีรีส์จีนสุดเท่ เสียงของมันเต็มไปด้วยความมั่นใจและความตื่นเต้นที่อยากจะช่วยเหลือซูหว่านเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจ
เช้าวันต่อมาซูหว่านเดินออกจากบ้านไปโดยมีความกังวลอยู่เต็มอกเด็กๆ ป่วยอยู่บนแท่นนอนตัวร้อนจัดจนแทบจะจับไม่ได้แล้วเพราะที่ผ่านมาก็เจ็บตัวประจำอาหารการกินก็ไม่สมบูรณ์และไหนจะความเครียดสะสม ซูหว่านเช็ดตัวให้ทั้งสองคนแล้วขยับตัวลุกขึ้น“แม่จะลองไปที่ร้านหมอเพื่อขอยาดูนะ…” ซูหว่านพึมพำเบาๆ เด็กทั้งสองยังไม่รู้สึกตัวเหงื่อซึมโชกอยู่บนหน้าผากเล็กๆ ของพวกเขา บางครั้งก็มีอาการตัวเกร็งเหมือนกับจะมีไข้สูงขึ้นไปอีก รู้ว่าเวลานี้ต้องรีบหายามาช่วยเหลือไม่อย่างนั้นพวกเขาจะทรมานจนทนไม่ไหว"ต้องหายามาให้ได้ ต้องไปร้านหมอไปหายามาให้พวกเขากินแก้ไข้"เมื่อถึงร้านขายยา ซูหว่านผ่านประตูเข้าไปในร้านที่เงียบสงัด มีกลิ่นยาหอมฟุ้งไปทั่ว "ท่านหมอได้โปรด ข้าอยากขอยาให้เด็กๆ" ซูหว่านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ แต่ในใจลึกๆ ก็เต็มไปด้วยความห่วงใยหมอชราในร้านซึ่งนั่งอยู่หน้าตู้เก็บสมุนไพร ก้มมองซูหว่านด้วยสายตาเย็นชา เขาคงรู้ดีถึงชื่อเสียงของซูหว่านมาบ้าง “มีเงินหรือไม่” คำพูดเบาๆ แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ ซูหว่านส่ายหน้าไปมา"ไม่ได้ อยากได้ยาก็ต้องมีเงิน" หมอชราพูดสั้นๆ ก่อนที่จะหันไปทำอย่างอื่นต่อซูหว่านถูกปฏิเสธอย่า
“ทำไมใครๆ เขาก็รู้ว่าเจ้าฆ่าสามี ข้าพูดแล้วจะทำไมข้า คนอื่นเขาพูดกันทั่วไป ไม่ได้พูดแต่ข้าเสียหน่อยเจ้าก็ตามไปฆ่าทุกคนสิ”ซูหว่านยิ้มเหยียดเดินเข้าหายายป้าข้างบ้าน“ชิ อย่างนั้นหรือพูดกันทั่วไป ข้าไม่ได้ยินถือว่าไม่พูดแต่คนที่พูดให้ข้าได้ยินนี่ อย่างไงดีน้าาาา”“เจ้าอย่ามาทำนิสัยเหมือนที่ผ่านมา มิน่าเล่าแม่สามาีเจ้าถึงได้ไล่เจ้าออกจากบ้านเพราะเจ้ามาจิตใจต่ำทรามชอบฆ่าคนแบบนี้นี่เอง”“หุบปากเจ้านะไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย”“เจ้าจะทำอะไรข้า” ยัยป้าเริ่มหวั่นๆ ไม่กล้าสบตาซูหว่าน"คราวหลังอย่ามากล่าวหาข้าอีก...ไม่อย่างนั้นข้า…ที่ไม่เคยฆ่าใครจะฆ่าเจ้านั่นแหละคนแรก" ซูหว่านพูดเสียงดังคำพูดของซูหว่านดังก้องไปทั่วบริเวณ ชาวบ้านที่มามุงดูเงียบเสียงลงไป ป้าข้างบ้านมองซูหว่านด้วยสายตาที่ตื่นตระหนกในชั่วขณะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็กัดฟันและพูดกลับด้วยเสียงสั่นๆ ซูหว่านชี้มือไปยังยัยป้าอย่างคาดโทษ"เจ้า...เจ้ายังจะกล้าทำร้ายข้าอีกหรือ อ่อแน่ละซี้ เจ้ามันชอบฆ่าคนนี่ อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปได้ง่ายๆ ข้าจะไล่เจ้าทุกวันคอยดูเถอะ"ซูหว่านที่ยังคงยืนอยู่ด้วยท่าทางมั่นคงยิ้มเย็น พูดกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ
ซูหว่านก็เตรียมข้าวร้อนๆ ในถ้วยที่ล้างจนสะอาด อาหารมื้อแรกบนอิสรภาพกลับมีค่ามากมายในตอนนี้ คนเรามันอยู่ที่ใจหรอกจบอกว่าสุขก็สุข ฮ่าาาาจริงไหมนี่เอิ้กกกกฉ้านนนนนนนมีความสุข“หน้าตาดูดีไม่น้อยทีเดียว” เสิร์ฟข้าวพร้อมกับผัดผักบุ้งกลิ่นหอมฟุ้งบนโต๊ะที่ทำมาจากไม้เก่าๆ“อาอวี่...อาเยวี่ยน มานี่เร็ว ลูกร้ากกกกก” ซูหว่านเรียกเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งสองพยักหน้าและรีบเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารอาเยวี่ยนมองข้าวร้อนๆ และผัดผักบุ้งที่กลิ่นหอมลอยมาเต็มห้อง เขายิ้มออกมาอย่างอิ่มใจ “ท่านแม่เก่งจัง หอมที่สุดเลย หอมจริงๆ แค่ผัดผักบุ้งแต่หอมไปสามบ้าน”ซูหว่านยิ้ม เด็กๆ พุ้ยข้าวใส่ปากแก้มป่อง คีบผัดผักบุ้งใส่ปาก อาอวี่นิ่งงันอ้าปากค้าง“อืออร่อยจัง ผักนี่หวานจังเลยค่ะท่านแม่ อร่อยมากๆ เลยค่ะ” อาอวี่พูดพร้อมกับยิ้มกว้าง ใบหน้าเล็กๆ เปล่งประกายไปด้วยความสุขจากการได้ทานอาหารร้อนๆ รสชาติอร่อยที่ซูหว่านปรุงกับมือ“ผักที่อร่อยต้องสดใหม่เท่านั้น ผักเก็บมาจากต้นปรุงอาหารได้รสดีที่สุดและผักบุ้งมีสรรพคุณมากมายแต่ที่สำคัญในตอนนี้คือช่วยลดอาการปวดศีรษะและอ่อนเพลีย จากการที่เราสามคนหนีนางปีศาจเมื่อคืนฮ่าาาาา แ
"เด็กๆ วันนี้เราจะเริ่มต้นกันใหม่โดยการทำความสะอาดบ้าน" ซูหว่านพูดเสียงมั่นคง ก่อนจะหันไปมองลูกๆ "เราจะหาทางอยู่ให้ได้ และไม่ต้องหนีอีกต่อไป"ซูหว่านยืนอยู่กลางห้อง มองไปรอบๆ บ้านร้างที่ไม่มีใครจับจอง ภายในบ้านท่ามกลางความเงียบสงัด รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ค้างคาในใจ เด็กๆ ก็ดูจะตื่นเต้นมาก"ฮึบบบบ…" ซูหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเดินสำรวจไปรอบๆ บ้านอย่างตั้งใจ แม้ภายในบ้านจะเต็มไปด้วยฝุ่นและข้าวของเก่าๆ แต่ในทุกมุมที่มองดูก็เห็นบางสิ่งที่ยังพอใช้ได้“ปัดฝุ่นเสียหน่อยก็ใช้ได้แล้วล่ะ”บนผนังห้องครัวเก่าๆ ซูหว่านพบกับอุปกรณ์ครัวที่เก่าแต่ยังพอใช้งานได้ น้ำมันเก่าๆ ในโถดีๆ ที่ยังไม่เหม็นหืนอาจเพราะอากาศเย็น ถูกวางอยู่บนชั้นไม้ที่ดูเหมือนจะเก็บไว้ไม่ได้ใช้มานาน ข้างฝาที่เป็นซี่คล้ายลูกกรงมีเชือกที่ผูกพริกแห้งที่ยังไม่ได้ใช้จนแห้งสนิท กระเทียมกับผักชีแห้งๆ ผักเครื่องหอมที่แห้งแต่ยังหอมและฝักข้าวโพดแห้งที่อยู่ในมุมหนึ่งถูกวางทิ้งไว้ เกลือกับเครื่องเทศในห่อกระดาษแห้งสนิทของแค่นี้ก็พอจะทำให้อาหารได้ดวงตากลมเลิกคิ้วสูง ด้านในสุดข้างเตามีกระทะแขวนไว้ ซูหว่านเอื้อมมือไปดึงถังไม้เปิดฝาเห็นข้าวสาล
ซูหว่านหันหลังกลับเด็กๆ ยืนข้างๆ ด้วยท่าทางหวาดกลัว สายตาของซูหว่านมองไปที่จอบที่พิงผนัง เหมือนเป็นสิ่งเดียวที่พอจะใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้ ซูหว่านเอื้อมมือไปคว้าจอบนั้นมาอย่างรวดเร็ว ตายเป็นตายวะอย่างดีก็แค่ตายอีกที เสียงฝีเท้าของสาวใช้วิ่งเข้ามา ใจซูหว่านร้อนรนแต่ไม่มีเวลาคิดมากกว่านี้ ขณะที่สาวใช้พุ่งเข้ามาหา ซูหว่านคว้าจอบยกขึ้นทันที แล้วทุบลงไปที่แผ่นหลังของสาวใช้อย่างเต็มแรง"โอ๊ยยย" เสียงร้องของสาวใช้ดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ตัวจะงอไปข้างหน้า ใช้ลงไปกับพื้น หมดแรงที่จะขยับต่อไปฮูหยินซูที่อ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าซูหว่านที่ไม่เคยมีปากเสียงครั้งนี้กลับสู้คน “พวกเจ้ามาเร็วๆ มาช่วยกันจับนาง”เสียงแหลมและแข็งกร้าวสั่งการให้ทุกคนทำตาม แต่ยังไม่มีใครมาสักคันก็มันดึกแล้ว มีแต่ฮูหยินซูเท่านั้นที่อยู่คนจับผิดซูหว่านซูหว่านรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะลังเลอีกแล้ว การเผชิญหน้ากับฮูหยินซูในตอนนี้หมายถึงการสู้ หากเอาแต่หนีทั้งยังพาเด็กๆ ไปด้วยคงถูกไล่ตามมาจับได้แน่ ไม่มีทางเลือกนอกจากสู้แล้ว จะต้องทำให้ฮูหยินซูไม่กล้ากับซูหว่านอีกต่อไปซูหว่านหันไปมองฮูหยินซูที่ยืนอยู่ไม่ไกล มือยังคงกำจอ