ฉันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของชายหนุ่มจนมาถึงหน้าโรงแรม เขาจอดรถแล้วหันมามองฉันก่อนจะเอ่ยถาม
“ไม่ลงเหรอครับ”
“อ่าค่ะ” ฉันรีบไต่ลงจากเบาะหลังสูงแล้วถอดหมวกกันน็อกส่งคืนให้เขา
“เรียนคณะวิศวะฯ เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ อยู่ปีหนึ่ง” ฉันตอบกลับไป
“ไม่ค่อยเห็นผู้หญิงเรียนวิศวะฯ เลย เก่งจังนะครับ” คำพูดของธีร์ทำเอาฉันหัวใจพองโตขึ้นมาอย่างกับลูกโป่งที่ถูกเป่าลมจนเต็ม
“นายเรียนหมอนี่ โคตรเก่งอะ” ฉันกระชับสายสะพายกระเป๋าข้างของตัวเองเพื่อลดอาการประหม่าลง
“รู้ได้ไงว่าผมเรียนหมอ”
“เห็นตอนงานแข่งบาสฯ อะ” ธีร์พยักหน้าเข้าใจ
“ก็ว่าคุ้นหน้าจัง”
“คุ้นหน้าเราเหรอ” ฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความแปลกใจ
“อื้อ สงสัยเห็นผ่าน ๆ อะ”
“ว่าแต่ นายชื่ออะไรเหรอ แล้วเรียนอยู่ปีไหนอะ”
“ธีร์ ปีสอง”
“งั้นก็ต้องเรียกว่าพี่น่ะสิ” ฉันคลี่ยิ้มกว้าง
“แล้วเธอล่ะชื่ออะไร”
“ชื่อวิค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” ฉันรีบยื่นมือไปข้างหน้า พี่ธีร์มีท่าทีสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือฉันก่อนที่จะเขย่าเบา ๆ
“อือ ยินดีที่ได้รู้จัก ล็อกห้องดี ๆ ล่ะ”
“ค่ะพี่ธีร์”
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับว่าที่พี่หมอที่ชื่อว่าพี่ธีร์ ชายหนุ่มที่สะกดสายตาของฉันไว้ตั้งแต่แรกเห็น ถึงแม้ว่านี่จะผ่านมาหลายเดือนแล้วที่ฉันไม่ได้เห็นหน้าค่าตาของชายหนุ่มรุ่นพี่เลยก็ตาม จนตอนนี้ฉันได้ขึ้นมาอยู่ปีสองแล้ว แล้วพี่เขาก็คงจะอยู่ปีสามแล้วมั้ง
ฉันอยู่ในหอในของมหาวิทยาลัยเพราะคุณพ่อกลัวว่าฉันจะเถลไถล ฉันเลยมักจะใช้ทางเดินที่ต้องเดินผ่านหน้าคณะแพทย์ฯ ถึงแม้ว่าจะอ้อมไปสักหน่อย
แต่เหมือนว่าครั้งนี้ฉันจะล้มเหลวอีกแล้ว เพราะที่ตึกไม่มีวี่แววเงาของหนุ่มรุ่นพี่เลยแม้แต่น้อย
ฉันได้แต่ถอนหายใจจากความผิดหวังแล้วเดินหน้าต่อไปเพื่อกลับไปที่หอพักของตัวเองด้วยความเมื่อยล้า วันนี้ฉันเรียนหนักมากจนอยากจะกลับไปล้มตัวนอนให้หัวถึงหมอนไว ๆ
“ยายวิ” แขนฉันถูกดึงเอาไว้จากด้านหลังจนฉันต้องรีบหันไปมองด้วยความตกใจ
“มน แกมีอะไรเนี่ย”
“เห็นนิดาบอกว่าแกจะกลับหอแล้ว ฉันเลยรีบตามมา มานี่ก่อนเร็ว”
“อะไรของแกเนี่ย” ฉันถูกเพื่อนสาวลากให้เดินตามมาที่คาเฟแห่งหนึ่งก่อนจะถูกดันให้นั่งลงแล้วมนก็เดินมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“นี่ใช่พี่หมอของแกไหมอะ” โทรศัพท์มือถือของมนถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้าของฉัน หน้าจอเผยให้รูปภาพของชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ในชุดนักแข่งรถซึ่งฉันจำรอยสักที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายได้
“ใช่ แกไปเอารูปพี่เขามาจากไหนอะ”
“ฉันไปสืบมาแล้ว เขาชื่อธีรดนย์ เหมวิทย์ อยู่ปีสามคณะแพทย์ฯ แถมยังเป็นนักเรียนทุนด้วยนะแก สอบชิงทุนเข้ามาเรียนหมอได้ แถมยังเป็นนักแข่งรถตัวท็อปอีกต่างหาก แต่เป็นวงการใต้ดินนะ”
“วงการใต้ดิน?” ฉันขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“ก็จัดแบบไม่ถูกกฎหมายแหละแก ส่วนมากพวกคนรวยเขาชอบจัดเพื่อความบันเทิงแล้วก็เดิมพันกันอะ”
“มีแบบนี้ด้วยเหรอ ไม่เห็นรู้เลย” ฉันว่าในขณะที่สายตาไม่ละไปจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือตอนที่พี่เขาขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นแล้วออกตัวไปด้วยความเร็วมันน่าดูมากเลยทีเดียว
“ฉันก็เพิ่งรู้ ฉันไปเห็นในโซเชียลของคนที่รู้จักมา” มนดึงโทรศัพท์มือถือกลับคืนจนฉันต้องช้อนสายตาขึ้นมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ไม่พอใจจากการถูกขัดใจ
“แกพอจะรู้ไหมอะว่าที่ไหน เราอยากไปดูอะ”
“อย่างแกอะนะจะไปดู ฉันว่าสภาพแวดล้อมมันไม่ค่อยดีเท่าไรนะ”
“ไม่เป็นไร เราแค่อยากไปดูพี่ธีร์แข่งอะ นี่ก็ไม่ได้เจอพี่ธีร์มานานแล้วด้วย”
“เรียกพี่ธีร์ นี่คือรู้จักเขาแล้วเหรอ”
“รู้แค่ว่าชื่อเล่นชื่อธีร์ เป็นรุ่นพี่เราหนึ่งปีแค่นั้นแหละ” ฉันทำปากมุ่ยก่อนจะเหม่อมองออกไปด้านนอกร้าน
“ถ้าแกอยากเจอ ฉันก็พาไปได้”
“จริงเหรอ” ฉันดวงตาวาววับด้วยความดีใจ แกนี่มันเพื่อนรักฉันเลยจริง ๆ
“แต่ว่าค่าบัตรมันแพงมากเลยนะ ถ้าไม่มีคอนเน็กชันก็หาบัตรยากนิดหนึ่งอะ”
“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเลย ขอแค่แกพาเราไป เราออกให้แกด้วยก็ได้”
“สายเปย์เวอร์ สัญญาแล้วนะ”
“อื้อ สัญญาเลย”
หลังจากนั้นไม่นานมนก็บอกฉันว่าได้บัตรมาแล้ว ก่อนที่จะหอบหิ้วฉันไปที่คอนโดฯ ของตัวเองแล้วจับฉันแต่งตัวซะดูแปลกตา
“กระโปรงไม่สั้นไปใช่ไหม” ฉันถามพลางดึงชายกระโปรงเทนนิสที่เลยหน้าขาขึ้นมาเล็กน้อยให้ลงต่ำลงมาด้วยความไม่มั่นใจ ไหนจะเกาะอกสีดำอะไรนี่อีกถึงจะเมื่อเสื้อคลุมตาข่ายสีขาวฉันก็ไม่มั่นใจอยู่ดีอะ
“ในงานเขาก็ใส่อย่างนี้แหละ เกิดแกทำตัวแปลกตานะเดี๋ยวโดนรุม” มนว่าก่อนจะใช้มือประคองเรียวคางของฉันแล้วหันไปหันมา “ปากสีแดงก็เลิศเหมือนกันนะ”
“มันไม่แดงไปใช่ปะแก”
“สีเชอร์รีคือเลิศไม่ไหวเลย” มนว่าอย่างพอใจก่อนจะเก็บข้าวของให้เรียบร้อย “พร้อมจะไปเจอพี่หมอของแกหรือยังจ๊ะ”
ฉันหยิบกระจกขึ้นมาส่องดูใบหน้าของตัวเองที่ตอนนี้ถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางสีฉูดฉาดตามสไตล์ที่มนบอกว่าดี เอาจริงฉันเป็นคนที่แต่งหน้าอ่อนมาก แต่พอได้แต่งเต็มแบบนี้ไม่ค่อยชินเท่าไรถึงแม้ว่ามันจะออกมาดูดีกว่าที่คิดก็เถอะ
“ไปได้แล้ว เดี๋ยวสาย” มนว่าพลางเดินเข้ามากอดแขนฉันให้ลุกขึ้นยืน
“แกแน่ใจนะว่าพี่ธีร์จะมาจริง ๆ”
“มาสิฉันถามพี่มิลแล้ว”
“พี่มิลเนี่ยนะ แกยังติดต่อกับพี่มิลอยู่เหรอ”
“เอาเหอะน่าแก ฉันเห็นว่าพี่มิลเขาชอบดูมอเตอร์ไซค์ไงถึงได้เจอพี่หมอของแกอะ”
“เอาเรื่องเรามาเป็นข้ออ้างปะเนี่ย”
“อ้างอะไรกัน คนอย่างพี่มิลอะนะที่ฉันอยากเข้าหาเหอะ ไม่มีวัน” มนพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพาฉันออกจากคอนโดฯ ของตัวเองแล้วมุ่งหน้าไปที่สนามแข่งรถนั้นทันที
พอมาถึงบรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความครึกครื้นเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดอึกทึกในที่โล่งแจ้ง ไฟในสนามเปิดสว่างจ้าทั้งที่อยู่ในยามค่ำคืน ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินสวนกันให้ควัก คนส่วนมากล้วนแต่งตัวแนวสตรีตสีขาวดำดูเท่สุด ๆ
“เห็นไหมฉันบอกแล้ว แต่งตัวแบบนี้เข้ากับบรรยากาศจะตาย” มนหันมายักคิ้วให้ฉัน
“เชื่อแล้ว” ฉันตอบกลับเพียงสั้น ๆ ก่อนจะกวาดสายตามองบรรยากาศรอบตัว ที่จริงแล้วก็แค่อยากจะมองหาคนคนหนึ่งก็เท่านั้น
“แกมายืนตรงนี้เร็ว” เพื่อนสาวพาฉันมายืนอยู่ที่หน้าที่กั้นบนที่นั่งคนดูที่ยกขึ้นมาจากข้างสนามแถมยังมีที่กั้นตาข่ายสูงให้มองผ่านลงไปยังสนามเบื้องล่าง “วันนี้เป็นนัดดุเดือดเลยนะ เขาบอกว่าตัวท็อปทั้งคู่”
“แล้วพี่ธีร์ล่ะ”
“แหม อะไร ๆ ก็พี่ธีร์ แกลองมองไปตรงสนามเองเถอะ” ฉันหันไปมองตามที่มนบอก ข้างล่างมีมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เพียงสองคันโดยมีคนขี่คร่อมอยู่บนเบาะ ทั้งสองสวมใส่หมวกกันน็อกเพื่อความปลอดภัยแบ่งแยกเป็นสองสีอย่างเห็นได้ชัด อีกคนเป็นสีดำแดง ส่วนอีกฝ่ายเป็นสีเงินเขียว “จำได้หรือเปล่าว่าพี่หมอของแกอะคนไหน”
ฉันมองเทียบดูระหว่างสองฝ่าย อีกฝ่ายหนึ่งมีแต่คนรุมล้อมเต็มไปหมด ส่วนอีกฝ่ายมีเพียงไม่กี่คนพูดคุยกันแถมยังตบบ่าให้กำลังใจกัน เสื้อกันลมใส่จนมิดลำคอฉันเลยมองไม่เห็นรอยสักที่เป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่าย
“วันนี้เป็นการแข่งขันสุดเดือดระหว่างฝ่ายขวา รันเวย์จากสังกัดเวหามรณะ และฝ่ายซ้าย ธีร์ ธีรดนย์ค่ายเหยี่ยวเพเรกริน ถือเป็นการกลับมาพบกันในรอบหลายเดือนเพราะคุณธีร์ได้หายไปจากวงการแข่งรถสักพักใหญ่เลยนะครับ ไม่รู้ว่าในวันนี้คุณธีร์จะยังเอาชนะคุณรันเวย์ได้เหมือนการแข่งรอบที่แล้วหรือไม่” พิธีกรดำเนินรายการอยู่ข้างสนามประกาศออกตามลำโพงแทนเสียงเพลงที่ดังเมื่อครู่ ฉันได้แต่มองตามมือที่พิธีกรชี้
“เหยี่ยวเพเรกรินคืออะไรวะแก” มนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เป็นเหยี่ยวที่บินได้ไวที่สุดในโลกน่ะ มีความเร็วประมาณสามร้อย กิโลเมตรต่อชั่วโมง” ฉันอธิบาย
“รู้จริงเหมือนกันนะแก ทำไมสังกัดเขาคนน้อยจังวะต่างจากสังกัดเวหามรณะอะไรนั่นเยอะเลย”
“นั่นสิ คนเขาไม่ค่อยมาตามประกบหรือเปล่า” ฉันมองตามด้วยความงุนงงไม่แพ้กัน
ตอนนี้ในสนามมีเพียงนักแข่งสองคนที่กำลังตั้งท่าเตรียมตัวเพื่อรอสัญญาณปล่อยตัว ในมือของพิธีกรมีปืนเล็ก ๆ อยู่กระบอกหนึ่งก่อนเสียงปืนจะดังขึ้นเป็นการปล่อยตัวทั้งสองให้บิดออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็ว
ทั้งสองคันขี่สูสีกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผลัดกันแซงนำหน้าอีกฝ่ายจนในใจฉันลุ้นตามไปด้วย ดวงตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอยักษ์ที่กำลังฉายภาพของทั้งสองก่อนที่จะเข้าโค้งพี่ธีร์ก็บิดขึ้นมานำหน้าคู่ต้อสู้ได้สำเร็จแล้วทิ้งห่างออกไปเพียงไม่กี่อึดใจเพื่อเข้าเส้นชัยไปก่อน ฉันแทบจะกระโดดด้วยความดีใจแต่ก็ต้องเก็บอาการเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวฉันจ้องกลับมาอย่างจับผิด
“ไม่อยากเชื่อว่าแกจะชอบอะไรแบบนี้นะเนี่ย อย่ากระโดดเยอะกระโปรงสั้นนะยะ”
“แกพามาก็ต้องอินหน่อยหรือเปล่า เดี๋ยวแกเสียใจ”
“ไม่ต้องเอาฉันมาอ้างจ้า ชอบเขาก็บอกเดี๋ยวเจ้จะได้ช่วยเข้าใจปะ” มนเลิกคิ้วขึ้นพลางอมยิ้มแล้วหันไปกรี๊ดกร๊าดดีใจให้เข้ากับบรรยากาศรอบข้าง ฉันแอบลอบยิ้มจาง ๆ ก่อนจะชะเง้อคอมองชายหนุ่มที่เขาไปยังชายหนุ่มที่เดินเข้าไปข้างสนาม
“เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะแก”
“ตามสบายเลยค่ะ สี่ทุ่มเจอกันทางออกเข้าใจปะ”
“โอเค” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเดินฝ่าฝูงชนออกไป
ฉันค่อย ๆ เดินลัดเลาะเพื่อที่จะมองหาชายหนุ่มที่ตัวเองอุตส่าห์มาที่นี่เพื่อจะตามหา ผู้คนมากมายเดินผ่านไปมาจนน่าอึดอัด
หมับ
แขนฉันถูกดึงอย่างแรงจนฉันต้องหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปหาอีกคนด้วยความไม่พอใจ
“พี่รันเวย์” ฉันขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“น้องวิมาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมแต่งตัวโป๊อย่างนี้ล่ะคะ” พี่รันเวย์เอ่ยถามพลางทอดสายตามองฉันตั้งแต่หัวจดเท้า
“ไม่คิดว่าจะเป็นพี่นะคะ แอบคุณลุงคุณป้ามาแข่งเหรอ” ฉันบิดข้อมือออกจากมือของอีกคนที่กุมมันเอาไว้
“น้องวิก็คงหนีคุณอาเที่ยวเหมือนกันนั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่ทำตัวแบบนี้หรอก”
ตั้งแต่งานหมั้นฉันก็ผันตัวมาเป็นแม่บ้านแบบเต็มตัว จะเข้าบริษัทก็ต่อเมื่องานมีปัญหาแล้วทำงานอยู่ที่บ้านแทนเพราะจะได้ใช้เวลาร่วมกับพี่ธีร์มากขึ้น ใช้ชีวิตแบบนี้มาเป็นเวลาเกือบจะเข้าปีที่สาม “กลับบ้านแล้วเหรอคะ” วันนี้พี่ธีร์เลิกเวรค่อนข้างดึก ฉันนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านของพี่ธีร์เพื่อรอให้แฟนหนุ่มกลับบ้าน พ่อให้พี่ธีร์มาประจำการที่คลินิกใหญ่ในกรุงเทพฯ พวกเราเลยได้ใช้เวลาร่วมกันบ้างเวลาที่พี่ธีร์เลิกงาน “อื้อ นั่งรอพี่เหรอ” “ค่ะ พี่ธีร์ทานอะไรมาหรือยังเดี๋ยวหนูอุ่นกับข้าวให้นะ” “ครับ แต่วิต้องทานเป็นเพื่อนพี่นะ” “อื้อ” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปอุ่นอาหารในห้องครับโดยมีพี่ธีร์เดินตามเข้ามาเพื่อช่วยก่อนที่พวกเราจะมานั่งทานอาหารที่โต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาในห้องนั่งเล่นด้วยกัน “วันนี้ที่คลินิกเป็นยังไงบ้างคะ” ฉันเอ่ยถามระหว่างที่เรานั่งทานอาหารด้วยกัน “วันนี้คนไข้เยอะเป็นพิเศษเลย เป็นช่วงวันหยุดด้วย ยิ่งเยอะไปใหญ่” พี่ธีร์ถอนหายใจเพื่อไล่ความเมื่อยล้าแล้วตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็
เวลาผ่านมาเนิ่นนานหลังจากที่เราทั้งสองตกลงคบกัน นี่ก็ปามาปีที่สี่ของการคบกัน ฉันเรียนจบก่อนพี่ธีร์จนออกมาทำงานในบริษัทในเครือของพ่อ ส่วนพี่ธีร์ที่เพิ่งจบออกมาได้หมาด ๆ ก็ต้องไปทำงานเพื่อใช้ทุนตามข้อตกลงที่ต้องไปประจำการที่โรงพยาบาลตามต่างจังหวัด เรามีโอกาสได้เจอกันน้อยลง ถึงแม้แต่จะติดต่อกันไม่ขาด แต่ยอมรับเลยว่าฉันคิดถึงพี่เขาเอามาก ๆจนในที่สุดเวลาเราก็ตรงกัน ไหน ๆ เราก็คิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้วฉันเลยคิดว่าถึงโอกาสแล้วที่พ่อกับแม่จะต้องได้เจอกับพี่ธีร์สักที แม้ที่ผ่านมาพวกท่านจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ธีร์แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกันอย่างจริงจังเสียที “พี่โอเคหรือยัง” พี่ธีร์เอ่ยถามฉันเป็นรอบที่สิบของวันนี้ ชายหนุ่มแสดงอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ฉันเอื้อมมือไปจัดผมของคนพี่ที่ยุ่งเหยิงเพราะหมวกกันน็อก “ดูดีแล้วค่ะ เข้าบ้านกัน” ฉันสิ่งยิ้มหวานให้อีกคนได้ผ่อนคลายก่อนจะจูงมือพี่ธีร์เดินเข้ามาในตัวบ้าน คุณแม่กำลังจัดโต๊ะอาหารเพื่อเตรียมรอต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยียน แต่ก่อนแม่ก็ไม่โอเคนักที่ฉันไม่ได้ชอบพี่รันเวย์คนที่
เราทั้งสองนัวเนียกันอยู่ในเต็นท์ ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดถึงบรรยากาศรอบข้างที่เป็นป่าตีนภูเขายิ่งทำให้หัวใจสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ฉันกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะมีใครผ่านมาได้ยิน “พี่ธีร์คะตรงนี้จะดีจริง ๆ เหรอ หนูรู้สึกแปลก ๆ” ใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมจนลามมาถึงใบหู ในใจสั่นระรัวราวกับว่าเลือดลมกำลังสูบฉีดเป็นอย่างดี “ตื่นเต้นดีใช่ไหมครับ” พี่ธีร์ไม่รอช้ารีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองด้วยอารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ภายในฉันเองก็ทนไม่ไหวแล้วเลยถอดเสื้อผ้าของตัวเองจนหมดเกลี้ยง ความมืดในเต็นท์ไม่ได้เป็นอุปสรรคของพวกเราเลย แต่ความแคบเนี่ยสิที่เป็นอุปสรรค “ระวังเต็นท์สั่นนะคะ” ฉันแอบเห็นชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากก่อนจะเข้ามาคลอเคลียที่ลำคอขบเม้มเล็กน้อยแล้วไล่ลงมาจนถึงเนินอกขาวไร้อาภรณ์ปิดบัง จังหวะของหัวใจฉันเต้นถี่กระชั้นเสียจนเหมือนจะระเบิดออกมา ลมหายใจที่รินลดบนผิวหนังของฉันย้ำเตือนว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ยอดอกของฉันถูกครอบครองด้วยลิ้นอุ่นก่อนที่สติของฉันมันจะเริ่มขาวโพลนไปหมด ไม่มีอะไรเลยน
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าเพราะแสงไฟที่ส่องสว่างจนแยงตา ดวงตาเคลื่อนไปมองบานหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้รับลมเพราเมื่อคืนไฟดับจนไม่มีพัดลมคอยเปิดเพื่อระบายความร้อน ฉันยันตัวเองขึ้นมานั่งพลางบิดขี้เกียจจากอาการเมื่อยล้า ความโล่งประหลาดทำเอาฉันต้องก้มหน้ามองเนื้อตัวที่เปลือยเปล่าของตัวเองแล้วหน้าแดงแจ่ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทีตอนทำไม่รู้จักอายยายวิเอ๊ย ฉันยกมือขึ้นมากุมขมับก่อนจะเหลือบไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างกาย พี่ธีร์นอนหลับตาพริ้มอย่างสบายใจฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่ขึ้นมาสวมใส่แล้วเดินตรงไปอาบน้ำ หลังจากที่ทำร่างกายให้สดชื่นแล้วฉันก็เดินลงบันไดมาที่ห้องครัวแล้วเปิดตู้เย็นออกดู ในตู้เย็นโล่งโจ้งมีเพียงแผงไข่ไก่ อยากซื้อของมาเติมจัง ไม่เป็นไรทำไปก่อนแล้วกัน ฉันหยิบแผงไข่ไก่ออกมาก่อนจะเริ่มทำอาหารเช้าทันที เห็นอย่างนี้ฉันก็ทำอาหารเป็นนะ สกิลเด็กหอไง ผ่านไปสักพักหนึ่งฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเก้าเหยียบลงมาจากบันไดก่อนที่พี่ธีร์จะเดินเข้ามาในห้องครัว “ทำไรกินเหรอ” พี่ธีร์เดินงัวเง
วันนี้เพื่อน ๆ ของฉันชวนมาเที่ยวส่งท้ายเทอมที่ผับของรุ่นพี่ในคณะที่จบไปแล้ว ซึ่งก็เป็นผับเดียวกันกับที่ที่พี่ธีร์ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นี่ ฉันเลยถือโอกาสมาเช็กซะเลยว่าพี่ธีร์ของฉันจะฮอตสักแค่ไหน “รับอะไรดีครับคุณลูกค้า” พี่ธีร์ส่งยิ้มพราวเสน่ห์มาให้ฉันที่นั่งอยู่ตรงริมสุดของเคาน์เตอร์ แพรวพราวชะมัด “มาตินีหนึ่งแก้วค่ะ” ฉันยกยิ้มมุมปากก่อนที่พี่ธีร์จะหันไปจัดตามที่ฉันบอก ฉันทอดสายตามองชายหนุ่มด้วยความชื่นชม คนอะไรครบเครื่องชะมัด ฉันเดินมาตามทางเดินที่มีแสงไฟหลากสีสาดส่องไปมาเพื่อมุ่งตรงไปเข้าห้องน้ำ วันนี้ผู้คนไม่ค่อยหนาตาเท่าไรเลยไม่ค่อยมีคนเดินพลุกพล่านไปมาชวนปวดหัว แต่แล้วก็มีแรงกระชากที่ข้อมือก่อนจะดันให้ฉันติดกำแพง “พี่รันเวย์” ฉันเรียกชื่อของอีกคนเสียงตื่น แต่คนพี่ก็ยกนิ้วขึ้นมาทาบที่ริมฝีปากของฉันไว้เพื่อบอกใหฉันเงียบลง “น้องวิ พี่วานอะไรหน่อยได้ไหม” พี่รันเวย์มองซ้ายมองขวาราวกับกำลังหวาดระแวงอะไรบางอย่าง “ช่วยแกล้งเป็นแฟนพี่ทีได้ไหม” “พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย” ฉันรีบดันให้
“หงอยเลยอะดิ พี่ธีร์ไปค่ายแค่สามวัน นั่งหงอยเหมือนไม่เคยตัวห่างกันเลยเนอะ” นิดาเอ่นแซวเมื่อเห็นว่าฉันนั่งเขี่ยข้าวในจานด้วยความเบื่อหน่าย พี่ธีร์ไปค่ายอาสากับทางคณะตั้งสามวันแล้ว ขึ้นไปบนเขาไม่มีสัญญาณติดต่อกลับมาก็ไม่ได้ “แผลเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” ฉันบ่นพึมพำกับสองเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง “สติค่ะสาวค่ายคณะแพทย์ฯ แปลว่าอะไรคะ แปลว่ามีหมอเต็มไปหมดค่ะ ยิ่งกว่าแขกวีไอพีอีกนะ หมอล้อมขนาดนั้นอะ” มนตอกย้ำสติหลุดลอยของฉันให้กลับคืนมา “จริงด้วย พี่ธีร์เรียนหมอนี่” “แกลืมไปแล้วเหรอว่าแฟนแกเป็นนักศึกษาแพทย์ แล้วแกลืมไปหรือเปล่าว่าแกเรียนวิศวะฯ ไม่ใช่พยาบาล เก่งจังนะดูแลผู้ชายเนี่ย” นิดาเข้ามาซ้ำเติมเพิ่มอีกคน “แล้วเวลาแฟนแกป่วยแกไม่อยากดูแลหรือไง ขนาดพี่คิณเมื่อยยังไปนวดให้เลย แกเป็นหมอนวดเหรอ” “เจ็บแสบมาก รู้เลยว่าได้ความปากแจ๋วมาจากใคร” นิดายกมือขึ้นทาบอกตัวเองก่อนจะแอบชำเรืองหางตามามองทางมนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กับเธอ “นี่ยายวิ พี่ธีร์เขากลับเย็นนี้ไม่ใช่เหรอ ยิ้มหน