รถซีดานสีขาวแล่นพ้นแนวป่าออกมายังท้องทุ่งโล่ง ภาพคฤหาสน์หลังงามบนเนินผาริมทะเลแห่งนี้เป็นภาพที่โรสคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่สำหรับ โทบี หยาง มันทำให้เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าป่าทั้งผืนที่เขาเพิ่งผ่านพ้นมาล้วนตั้งอยู่ในอาณาเขตพื้นที่ของคฤหาสน์ชาร์ลสตัน เขาก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ถึงจะฝึกฝนมาเป็นเวลากว่าสามเดือน มันก็ยังยากที่อดีตพ่อค้าเร่ผู้เคยตระเวนไปกับรถบรรทุกสินค้าอย่างไม่มีจุดหมายอย่างเขา จะทำใจรับสภาพทายาทผู้ครอบครองอาณาจักรแห่งนี้ได้
ชายหนุ่มพยายามรักษาอาการของตัวเองเอาไว้ในขณะที่แม่ม่ายชาร์ลสตันพารถแล่นผ่านประตูรั้วขนาดมหึมา ตรงเข้าไปจอดยังลานกว้างด้านหน้าตัวคฤหาสน์ เขาจ้องมองความใหญ่โตหรูหราของอาคารสถาปัตยกรรมร่วมสมัยเบื้องหน้า สลับกับสนามหญ้าเขียวขจีและหมู่แมกไม้อันรกครึ้มรอบข้าง มันมีความน่าเกรงขามพร้อมๆ กับที่งดงามชวนมอง
โทบีรู้ดีว่า เคนเน็ธ ชาร์ลสตัน เป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของอังกฤษ แต่ก็ยังคาดไม่ถึงว่าเฉพาะบ้านหลังเดียวของเขาจะดูยิ่งใหญ่มากขนาดนี้...
นี่เขาจะต้องมาเล่นละครเป็นทายาทผู้สืบทอดทรัพย์สมบัติที่มูลค่ามากกว่าคฤหาสน์หลังนี้อีกเป็นสิบเป็นร้อยเท่าจริงๆ หรือ... คิดเพียงเท่านั้น ขาของชายหนุ่มก็เกร็งจนเป็นตะคริว ต้องร้อนรนใจ บีบนวดด้วยมืออันสั่นเทา...
“ที่นี่... คือบ้านที่ผมต้องอยู่เหรอครับ คุณโรส...” เขาครางเสียงแผ่ว
“เจค็อบ...”
“ผมขอโทษครับคุณแม่...” ชายหนุ่มนึกขึ้นได้“จำรายละเอียดข้างในบ้านได้หมดแล้วใช่ไหม... แม่จะไม่ได้อยู่ช่วยลูกที่นี่หรอกนะ...” เธอปรายตามองอย่างกังวลเล็กน้อย
“ผมจำได้ครับ... ด้านหลังโน่นคือสระว่ายน้ำที่ผมถูกจับตัวไป... ส่วนห้องด้านบนที่หน้าต่างหันออกมาหาเรานั่นก็คือห้องนอนของผมสมัยเป็นเด็ก...”
“เก่งมากจ้ะลูกรัก... ไป เราลงไปหาคุณปู่กันเถอะ” โรสบอกพลางกดสวิตช์คลายล็อกไฟฟ้า ก่อนจะเปิดประตูฝั่งคนขับ ก้าวลงจากรถไปก่อน
โทบีสูดลมหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง แล้วจึงกลั้นใจเปิดประตูฝั่งของตน ตามไปยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ด้านข้างรถ
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกเจค็อบ ลูกไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งเกือบยี่สิบปีแล้ว อาจจะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง แต่ซักพักลูกก็จะชินไปเอง” มารดากำมะลอเดินเข้าไปลูบหลังลูบไหล่เขาเป็นการปลอบให้โทบีหยุดเก้อเขิน แล้วเดินตรงไปที่ประตูหน้าพร้อมๆ กัน
คืนที่โรสพาโทบีไปพูดคุยกันต่อที่แมนชั่นบนถนนพิกคาดิลลี เธอก็ตัดสินใจที่จะส่งเขาไปยังบาร์เซโลนา ประเทศสเปน...
ประการแรก เพราะหลักฐานสุดท้ายของอัลเบิร์ตถูกพบที่ชายหาดในสเปน หากบิดาของเจโคบีตามเบาะแสของเขาไปจนเสียชีวิตที่นั่น ก็มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่บุตรชายจะรอดตายอยู่ในสถานที่ใกล้เคียงกัน
ประการที่สอง โทบีจะต้องหาทางสร้างหลักฐานการใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่ง อาจจะบอกว่าเพิ่งย้ายจากชนบทของสเปนเข้าไปหางานทำในเมืองใหญ่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่เธอจะไปพบเขาเข้า
ประการที่สาม โรสรู้ดีว่าเคนเน็ธคอยให้คนติดตามดูเธออยู่เป็นระยะ หากให้เขาพักอยู่ในลอนดอนต่อไป มิหนำซ้ำยังเคยปรากฏตัวที่แมนชั่นของเธอตั้งแต่ก่อน ‘พบตัว’ แล้วล่ะก็ ทุกอย่างจะพังตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม
และประการสุดท้าย เธอจะได้สร้างสถานการณ์และช่วงเวลาในการตามหาตัวบุตรชายให้สมจริงมากขึ้น หากบอกว่าบังเอิญเธอพบเจโคบีเดินเตร่อยู่ในไชนาทาวน์เมื่อวานนี้ คงไม่มีคนโง่คนไหนที่จะเชื่อ
โรสจัดการหาที่พัก สร้างหลักฐานเรื่องงานในบาร์เซโลนาให้โทบี ติดต่อ ซักซ้อม รวมทั้งส่งข้อมูลต่างๆ ให้เขาเรียนรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ตตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมา จนกระทั่งแน่ใจว่าพร้อมจะปรากฏตัวต่อหน้าปู่ของเขาแล้ว เธอจึงเดินทางไปสเปนครั้งสุดท้ายพร้อมกับนักสืบเอกชนที่เธอว่าจ้าง แล้วนำโทบีกลับมายังอังกฤษในฐานะ เจโคบี ชาร์ลสตัน เมื่อวานนี้
ยังไม่ทันที่โรสและโทบีจะก้าวเท้าขึ้นไปบนบันไดหน้ามุข ประตูทั้งสองบานก็เปิดกว้าง เฮอร์แมนซึ่งมีรอยยิ้มดีใจอยู่บนใบหน้าก็รีบเดินออกมากล่าวคำทักทายด้วยเสียงสั่นเครือ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ คุณนาย...”
ยิ่งหันไปมองโทบี เขาก็แทบจะทิ้งไม้เท้าในมือแล้วโผเข้าไปกอดชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงเพรียว แต่ด้วยมารยาทของพ่อบ้านจึงได้แต่จ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ดวงตาฝ้าฟางและเหี่ยวย่นภายใต้แว่นตาคลอไปด้วยแววแห่งความเปียกชื้น
ดวงตากลมโตสีดำขลับในอดีต ขณะนี้กลายเป็นดวงตาคมเข้มสมชายชาตรี เรือนผมหยักศกและใบหน้าที่พ่อบ้านวัยชรามองเห็น ก็ยังคงเค้าโครงของ ‘เจโคบี’ เอาไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เฮอร์แมนมั่นใจทันทีว่าบุคคลที่ยืนเก้อเขินอยู่ตรงหน้าเขาก็คือนายน้อยของคฤหาสน์ชาร์ลสตันอย่างแน่นอน
“คุณเจค็อบ... คุณเจค็อบจริงๆ...” เขารีบยืนมือผอมแกร็นเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นออกไปลูบคลำแขนทั้งสองข้างของโทบี พอแน่ใจอย่างนั้น เฮอร์แมนก็ไม่ปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป น้ำตาไหลพรากจากดวงตาทั้งสองข้าง ปากก็คร่ำครวญแต่ชื่อนายน้อยของเขาซ้ำไปซ้ำมา
โทบีรีบประคองพ่อบ้านวัยชราเอาไว้เช่นกัน ก่อนจะหันรีหันขวาง มองไปทางแม่ม่ายชาวจีน ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรในสถานการณ์นี้
โรสชำเลืองภาพของคนทั้งสองเพียงแวบเดียวก็ยิ้มออกมาอย่างสมใจ... ถ้าแม้แต่เฮอร์แมน คนรับใช้เก่าแก่ก็ยังเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้คือเจโคบี ทุกอย่างก็ต้องไปได้สวยแน่ๆ...
“เจค็อบจ๊ะ นี่คือ...” โรสพูดเพื่อเตือนสติบุตรชายจำเป็น
“ผม... ผมพอจำได้... นี่คุณเฮอร์แมนใช่ไหมครับ...”
“ใช่ครับ คุณเจค็อบ... ผมเฮอร์แมน...” เขายิ่งดีใจใหญ่ “เข้ามาในบ้านก่อนเถอะครับ นายท่านกำลังร้อนใจรอพบคุณนายกับคุณเจค็อบอยู่นานแล้ว...” ว่าพลางพ่อบ้านวัยชรากุลีกุจอเดินนำกลับเข้าไปด้านใน
ชายหนุ่มลูกครึ่งจีน-ไอริช รู้สึกประดักประเดิดและระทึกใจไม่น้อยที่ต้องสวมรอยทำตัวเป็นนายน้อยแห่งตระกูลชาร์ลสตัน หากในขณะเดียวกันเขาก็เกิดความอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะนับตั้งแต่จากผู้เป็นพ่อล่วงลับไปแล้ว โทบีก็ไร้ครอบครัว ไม่มีญาติที่ไหนอีก แต่ตอนนี้เขากลับมีทั้งมารดาผู้แสนใจดี พ่อบ้านที่ดูว่ารักเขามากเหลือเกิน แล้วก็ยังจะมีปู่มหาเศรษฐีที่รอพบเขาอยู่ข้างในคฤหาสน์อีกคนหนึ่ง...
“คุณปู่อยู่ที่ไหนเหรอครับ...”
“นายท่านอยู่ที่ห้องทำงานเก่าของท่านน่ะครับ คุณเจค็อบยังจำได้หรือเปล่า...”
“ผมไม่แน่ใจ... ทุกอย่างมันรางเลือนไปหมด... แม้แต่หน้าตาของคุณปู่ผมยังจำได้ไม่ชัดเจนเลยครับ...”
มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น... เพราะเขาจากที่นี่ไปตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดขวบ การจดจำอะไรได้บ้างไม่ได้บ้างน่าจะเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลมากกว่า... โทบีคิด....
“ไม่ต้องห่วงครับ คุณเจค็อบกลับมาที่บ้านก็พอแล้ว ผมแน่ใจว่าถ้าได้พบนายท่าน คุณเจค็อบก็จะค่อยๆ นึกเรื่องสมัยยังเด็กได้เอง... ท่านกับคุณสนิทกันมากเลยนะครับ...”
“ครับ คุณเฮอร์แมน...” ชายหนุ่มหลบสายตาด้วยความละอายใจ
โรสซึ่งเดินตามมาติดๆ รู้สึกพอใจกับบทบาทการแสดงของโทบีทีเดียว ก็นับว่าไม่เสียแรงจริงๆ ที่เขาเคยบอกเธอว่าอยากเป็นนักแสดง แต่ปัญหาสำคัญที่สุดอยู่ที่เจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ต่างหาก แม่ม่ายชาวจีนไม่เคยลืมว่าพ่อสามีของเธอเฉียบไวแค่ไหน เพราะเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่มั่นใจว่าเหตุการณ์ลักพาตัวเจโคบีกับนรินทร์นารถเป็นฝีมือของอัลเบิร์ตกับเธอ แม้แต่ตอนนี้เธอก็ยังประมาทไอ้แก่นั่นไม่ได้
เสียงเคาะประตูของซาคาเรียในตอนพลบค่ำบอกให้รู้ว่าถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว หลังจากอาศัยอยู่ในเรือซีเซอร์เพนต์มาหลายวัน หญิงสาวก็เริ่มเคยชินจนไม่คิดจะใส่ใจต่อการปรากฏตัวของบริกรประจำตัว เธอเพียงแค่เหลือบตาไปมองขณะที่ชายหนุ่มเดินผ่านปลายเตียงไป แทบจะไม่ขยับตัวเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้อนามิกาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าซาคาเรียไม่ได้ถือถาดใบใหญ่เข้ามาในห้องเหมือนทุกครั้ง เขาแค่เข้ามาเก็บถ้วยชามใช้แล้วบนโต๊ะอาหารเพียงเท่านั้นอย่าบอกว่ากัปตันบ้านั่นแกล้งลงโทษเธอเรื่องเมื่อตอนเย็นด้วยการให้อดข้าวอดน้ำนะ...“เอ่อ...” ครั้นจะเอ่ยปากถามขึ้นมา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ห้ามใจตัวเองเอาไว้เสียก่อน...เรื่องอะไรจะยอมเสียหน้าล่ะ... ไม่ให้กินเธอก็ไม่ง้อหรอก...“หิวข้าวหรือยัง มาดมัวแซลล์” ซาคาเรียหันมาถามราวกับรู้ทันความคิดเธอ อนามิกาส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่ในกระเพาะอาหารรู้สึกแสบร้อนจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว “กัปตันบอกให้เธออาบน้ำแต่งตัว... เสร็จแล้วจะให้คนมารับไปกินข้าว...” เขาบอกต่อด้วยสำเนียงแปร่งๆ ไม่ต่างจากทุกครั้ง“หมายความว่ายังไงคะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว นึกฉงน“ที่ระเบียงท้ายเรือจัดโต๊ะเอาไว้... คืนนี้เธอไปกินที่น
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับผู้หญิงก็จริง แต่ท่าทีและคำพูดของหญิงสาวก็พอจะบอกอะไรให้เขารู้อยู่บ้าง“เป็นของฝากสำหรับแม่... เป็นคนไทยเหมือนกับเธอนั่นแหละ”“คนไทยเหรอคะ” หม่อมราชวงศ์หญิงเบิกตากว้าง คุณเป็นลูกครึ่งไทยอย่างนั้นเหรอ”“ไม่ใช่... นีนาเป็นเหมือนแม่ของฉัน เธอเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เด็ก...”“แล้วพ่อแม่แท้ๆ ของคุณล่ะ”คิ้วของอัลวาโรขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ เขาเคยคิดว่าตัวเองสนุกกับนิสัยช่างต่อปากต่อคำของอนามิกา แต่เวลานี้เขารู้สึกว่าเธอพูดมากจนเขาชักจะเกลียดน้ำหน้าเสียแล้วสิ...อัลวาโรเติบโตขึ้นมาโดยมีอัลเฟรโดเป็นบิดาเพียงคนเดียวที่เขารู้จัก ชายหนุ่มจดจำเรื่องราวในวัยเด็กได้ไม่มากนัก และนรินทร์นารถก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องประเทศอังกฤษหรือเรื่องบิดามารดาแท้ๆ ของเขาอีกเลย บางครั้งที่เขาลืมตัวเอ่ยถามกับเธอ หญิงสาวก็จะมีท่าทางเศร้าซึมไป และอัลเฟรโดก็จะโกรธเขามาก มันจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามซึ่งเขาไม่อยากพูดถึงแม้แต่น้อย“ตายไปหมดแล้ว ฉันมีแค่นีนากับอัลเฟรโดเท่านั้นที่เป็นพ่อแม่”น้ำเสียงและสีหน้าของคนตรงหน้าบอกให้รู้ว่าอนามิกากำลังเปิดหีบแพนโดราโดยไม่ตั
คาซาบลังกาเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมร็อกโก เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแล้ว มันยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศอีกด้วยเรือซีเซอร์เพนต์เข้าจอดยังท่าเทียบของสโมสรเรือสำราญ นอติก เดอ ลา มารีน รอยัล ยอชต์คลับ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมือง บริเวณติดกันกับท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่กินอาณาเขตตลอดแนวชายฝั่งเป็นระยะทางเกือบสองไมล์อัลวาโรนำเธอลงจากเรือและเดินไปขึ้นรถลิมูซีนที่จอดรอให้บริการอยู่ด้านหน้าสโมสร ก่อนจะสั่งให้คนขับพาทั้งสองไปส่งยังแหล่งจับจ่ายสินค้าภายในตัวเมืองอนามิกาค่อนข้างแปลกใจที่พบว่าเมืองแห่งความรักอันแสนโรแมนติกแห่งนี้ ช่างแตกต่างไปจากภาพในความคิดของเธอเหลือเกิน เพราะปัจจุบัน สภาพความเจริญทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนคาซาบลังกาให้เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและผู้คน ดูไม่แตกต่างไปจากเมืองใหญ่ของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปไม่ช้าความตื่นเต้นดีใจที่มีอยู่ลึกๆ ก็ค่อยๆ กลายเป็นความผิดหวัง... สิ่งเดียวที่พอจะปลอบประโลมความรู้สึกของหญิงสาวได้บ้างก็มีเพียงภาพหอคอยสูงสีขาวทรงสี่เหลี่ยมของมัสยิดกษัตริย์ฮัสซัน ที่ 2 ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทร
นับตั้งแต่อัลวาโรเดินผลุนผลันออกไปในตอนเย็นเมื่อวาน เป็นเวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วที่เขาไม่ได้กลับเข้ามาเหยียบห้องพักของเธออีก หม่อมราชวงศ์หญิงอนามิกาควรจะโล่งใจที่ไม่ต้องทนเจอผู้ชายหลงตัวเอง แถมยังคิดจะเอารัดเอาเปรียบเธออย่างนั้น แต่พอไม่ได้เห็นหน้าเขานานๆ หญิงสาวกลับรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูกตามปกติแล้ว เธอมีพวงพะยอมเป็นเพื่อนคอยอยู่ใกล้ชิดเกือบตลอดเวลา แต่ในเวลานี้คนเดียวที่เธอพอจะพูดคุยด้วยได้ก็เหลือเพียงแค่ซาคาเรีย ชายหนุ่มซึ่งมีหน้าที่คอยส่งอาหารให้วันละสามมื้อ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยจะยอมพูดอะไรกับเธอด้วยอนามิกากลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียงนอนนานเกือบชั่วโมง กว่าจะลุกขึ้นมานั่ง แล้วพบว่าเรือซีเซอร์เพนต์กำลังแล่นเข้าใกล้ชายฝั่ง... ทีแรกหญิงสาวยังคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอน ต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้งจึงมั่นใจว่าสถานที่ที่เธอมองเห็นตรงหน้าก็คือเมืองท่าที่เคยงดงามที่สุดของชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก เท่าที่เธอเคยรู้จักจากหนังสือนำเที่ยวและโปสการ์ดต่างๆ ในร้านหนังสือที่ฝรั่งเศสไม่ผิดแน่ๆ... ที่นี่ก็คือคาซาบลังกา หรือ ‘บ้านสีขาว’ ตามความหมายชื่อภาษาสเปนของมัน...เธอมาถึงโมร็อกโกแล้วหรื
วินาทีนั้นหัวใจของเธอเต้นถี่รัวจวนเจียนจะหลุดออกมาจากหน้าอก สองขาที่ยืนอยู่เหมือนจะอ่อนแรงจนแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น กลิ่นลมหายใจสะอาดสดชื่น ผสมผสานกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่ติดค้างอยู่บนใบหน้า และกลิ่นอายเฉพาะตัวของผู้ชาย มอมเมาให้สมองของเธอปั่นป่วนราวกับพายุหม่อมราชวงศ์หญิงก็รู้สึกหวิวๆ ในช่องท้อง สลับกับอาการเสียวแปลบปลาบคล้ายคนเป็นเหน็บชาเวลาใกล้จะหาย มันเป็นอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน แล้วมันก็ทำให้เธอเกือบโผเข้าไปซบแผ่นอกกว้างตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว“คุณมันบ้า... หลงตัวเอง...” อนามิการีบหลับตาลง ข่มสติตัวเองพร้อมๆ กับพยายามควบคุมลมหายใจที่กระชั้นถี่ให้สงบลง ไม่มีเสียงตอบจากกัปตันหนุ่ม มีเพียงสัมผัสอุ่นๆ นุ่มละมุนที่แตะลงบนเปลือกตาของเธอเบาๆ...“เธอจะยอมฉัน...” เสียงอัลวาโรยังคงเป็นเสียงกระซิบทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ต้องลืมตาโพลง กัดริมฝีปากตัวเองแล้วจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาของเขา...เธอเป็นราชนิกุลที่สืบทอดศักดิ์ศรีและสายเลือดมาจากบรรพบุรุษผู้สูงส่ง...เธอจะไม่ยอมหวั่นไหวไปกับอารมณ์หรือถ้อยคำปลุกปั่นใดๆ เป็นอันขาดคิดแล้วก็รีบผลักร่างกัปตันหนุ่มเต็มแรงจนเขาเซถอย
ดวงตาของหม่อมราชวงศ์อนามิกายังจับจ้องอยู่ที่โคมไฟแก้วเจียระไนบนเพดานกลางห้องเหมือนเมื่อหลายนาทีก่อน ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตามลำพังในห้องขังอันหรูหรา ในใจก็คอยครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เธอต้องกลายมาเป็นเชลยอยู่บนเรือโจรสลัดลำนี้หญิงสาวเลิกกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองนานแล้ว เพราะหากกัปตันอัลวาโรคนนั้นคิดจะทำร้ายเธอจริงๆ ล่ะก็ เธอคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้ เพียงแต่ยังไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการอะไรกันแน่เสียงปลดล็อกไฟฟ้าที่ประตูห้องทำให้อนามิกาตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะไม่นึกกลัวเขาอีก แต่ตราบใดที่เธอกับพวงพะยอมยังถูกขังอยู่ที่นี่ หญิงสาวก็ยังวางใจอะไรไม่ได้มาก อนามิกาจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วหันไปมองตามสัญชาตญาณทันที และพบว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอนั่นเอง“ตื่นแล้วเหรอ...” อัลวาโรเริ่มต้นบทสนทนาด้วยประโยคที่พอจะคิดออก แต่พอพูดไปแล้วกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดตัวเองที่ถามอะไรโง่ๆ ออกไป“คุณคิดว่าวันๆ ฉันจะนอนตั้งแต่เช้ายันค่ำเลยเหรอคะ”“ก็ไม่แน่หรอก... เธออาจจะอยากต้อนรับฉันด้วยการนอนรอบนเตียงก็ได้นี่” กัปตันหนุ่มเหน็บกลั