ระหว่างที่คนทั้งสามเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานด้านใน โทบีต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่แสดงอาการตกตะลึงกับความหรูหราโอ่อ่าของส่วนต่างๆ ภายในคฤหาสน์ชาร์ลสตัน ที่นี่เป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งซึ่งชายหนุ่มไม่เคยฝันถึง ไม่ว่าจะเป็นพรมเปอร์เซียทอลวดลายเป็นภาพจากเทพนิยายกรีกเรื่องต่างๆ ซึ่งปูวางอยู่ในแต่ละห้อง ตั้งแต่ห้องโถงสำหรับรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องดื่มชา ห้องอ่านหนังสือ โคมไฟติดผนังและโคมระย้า แม้แต่ภาพวาดสีน้ำมัน แจกันดอกไม้ รวมไปถึงรูปแกะสลักหินอ่อนขนาดย่อมที่วางประดับอยู่ตามมุมทางเดิน ล้วนแต่เป็นของที่มีมูลค่าจนเขาคำนวณไม่ถูก โทบีไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโรสจึงไม่ต้องการให้มันตกไปเป็นของคนอื่น
ยิ่งมองเห็นความล้ำค่าของสิ่งต่างๆ ในคฤหาสน์ ชายหนุ่มก็ยิ่งลนลานและสั่นสะท้านไปทั้งตัว จิตใต้สำนึกของเขารู้สึกผิดในสิ่งที่กำลังจะทำ เพราะเขาไม่ใช่คนตระกูลชาร์ลสตัน เขาไม่ต้องการหาผลประโยชน์จากการหลอกลวงใคร โดยเฉพาะคนแก่ที่เฝ้ารอคอยหลานชายที่รักด้วยความหวัง
หากเขาก็ถอยหลังกลับตอนนี้ไม่ได้... ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่า เขาทำให้ผู้มีพระคุณอย่างโรสต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย... มันช่างเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และสร้างความทรมานใจให้โทบีจนไม่รู้จะทำอย่างไร...
แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องหยุดคิดทุกอย่าง เมื่อเฮอร์แมนนำเขาและมารดาในนามมายืนอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ พ่อบ้านวัยชรายกห่วงโลหะเคาะเบาๆ เพียงครั้งเดียว เสียงอนุญาตให้เข้าไปก็ตอบกลับมาทันที
เวลาที่ลำบากใจที่สุดมาถึงแล้ว... โทบีสูดลมหายใจลึกๆ เตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นปู่ของเขา โรสเองต้องลอบกัดริมฝีปากด้วยความระทึกใจไม่แพ้กัน เธอเอื้อมมือไปบีบต้นแขนของบุตรชายจำเป็นคล้ายๆ เป็นกำลังใจ หรือไม่ก็กำชับให้เขาเล่นละครให้สมบทบาทที่สุด...
วินาทีต่อมา ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมๆ กับเสียงระบายลมหายใจเบาๆ ของโทบี เขามองสำรวจในห้องอย่างหวาดๆ เกิดความกลัวขึ้นมากะทันหัน ไม่กล้าก้าวเท้าตามแม่ม่ายชาวจีนเข้าไปในห้อง จนโรสต้องหันมาจ้องตาเขม็ง
ภายในห้องทำงานเก่า ชายหนุ่มเห็นชายชรารูปร่างซูบผอมนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟา จ้องนิ่งมายังใบหน้าของเขา
“นายท่านครับ คุณนายกับคุณเจค็อบครับ...” เฮอร์แมนรายงานตามหน้าที่
ทันทีที่ เคนเน็ธ ชาร์ลสตัน มองเห็นใบหน้าของโทบีชัดๆ เขาก็ต้องตกตะลึงจนตาค้าง ชายชรายังจำดวงตา เค้าโครงหน้า และเรือนผมของหลานชายคนเดียวได้อย่างชัดเจน และชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ไม่ผิดไปจากภาพในความทรงจำเลยแม้แต่น้อย
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ” โรสตัดสินใจกล่าวคำทักทายเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดภายในห้องนั้น แต่เคนเน็ธเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงเธอเสียด้วยซ้ำ
“เจค็อบ... เจค็อบจริงๆ เหรอ...” ทันใดนั้น มหาเศรษฐีชราก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทำท่าจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่ด้วยวัยที่มากกว่าแปดสิบปีทำให้เขามีกิริยางกๆ เงิ่นๆ ไม่สามารถทำอะไรได้รวดเร็วอย่างใจคิด
โทบีรีบโผเข้าไปช่วยประคองทันที ไม่ใช่เพราะต้องการแสดงบทบาทหลานกตัญญู แต่เป็นไปโดยธรรมชาติของตัวเขาเอง มือที่สัมผัสผิวหนังบางๆ และเหี่ยวย่นทำให้ชายหนุ่มตระหนักว่าบุคคลตรงหน้า สูงวัยและเปราะบางมากแค่ไหน เขาเห็นดวงตาขุ่นขาวคลอไปด้วยน้ำตาก็รู้สึกซาบซึ้งและสะเทือนใจในความรักของเคนเน็ธที่มีต่อหลานชายจนพลอยน้ำตาไหลไปด้วย..
นี่เขากำลังจะฉกฉวยและหาผลประโยชน์จากความรักของชายแก่ที่น่าสงสารคนนี้จริงๆ หรือ...
“คุณปู่... นี่คุณปู่จริงๆ ใช่ไหมครับ...” โทบีลืมตัวปล่อยเสียงโฮออกมา เคนเน็ธทำให้เขาระลึกถึงความรักของบิดาโดยไม่ต้องเสแสร้ง
โรสเห็นแล้วถึงกับเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นลูบอกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าคนที่เธอหามาอุปโลกน์เป็นเจโคบีจะตีบทได้แตกกระจุยขนาดนี้
“เจค็อบหลานปู่ เราหายไปไหนมาเสียตั้งนาน... ทำไม... ทำไมถึงไม่คิดจะกลับมาหาปู่ให้เร็วกว่านี้... ปู่เกือบจะถอดใจซะแล้วลูกเอ๊ย...”
“ผม... ผมไม่รู้ว่าจะกลับมายังไงครับ... ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น ผมยังเด็กมาก ยิ่งเวลาผ่านไป ผมก็ยิ่งลืมเรื่องตอนเป็นเด็กๆ ไปเรื่อยๆ... ผมรู้แต่ว่าผมมีคุณปู่อยู่ที่อังกฤษ แต่ผมไม่รู้จะตามหาท่านที่ไหน... แม้กระทั่งคุณแม่เองผมก็จำไม่ได้... จนวันที่คุณแม่ไปตามหาตัวผมที่บาร์เซโลนาแล้วเล่าทุกอย่างให้ฟัง ความทรงจำถึงค่อยๆ กลับคืนมา...” โทบีน้ำตาคลอ ถือโอกาสก้มหน้าแล้วนึกทบทวนบทที่โรสให้เขาท่องจำจนขึ้นใจตลอดเวลาเกือบสามเดือน
“โรส...” ได้ยินชายหนุ่มเอ่ยถึงสะใภ้ชาวจีน เคนเน็ธจึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนยืนอยู่ภายในห้อง เขาหันไปมองเธอแล้วพยักหน้าเบาๆ แทนการขอบใจ หากดวงตาคู่นั้นก็ยังแสดงออกถึงความไม่ไว้ใจอยู่เล็กน้อย
“คุณพ่อ...” เธอหลุบตาลงช้าๆ ไม่กล้าสบตากับเขาตรงๆ
“ขอบใจมากที่ตามหาหลานชายของฉันจนเจอ... เธอขึ้นไปพักผ่อนก่อนเถอะ ขับรถมาจากลอนดอนตั้งแต่เช้าคงจะเหนื่อย... ฉันอยากคุยกับเจค็อบตามลำพังซักพัก...” เคนเน็ธกระแอมเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนท่าทางน้ำเสียงให้กลับคืนสู่ความเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว นี่คงเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขาปล่อยให้คนอื่นได้เห็นตัวเองในสภาพที่อ่อนแอและน่าสมเพชอย่างนี้
ถึงจะยังกังวลอยู่ แต่สะใภ้ม่ายของเคนเน็ธไม่มีทางเลือก เธอรู้ว่าเขากำลังจะทดสอบโทบีแบบตัวต่อตัว ถ้าหากตอนนี้เธอขัดขืนหรือแสดงพิรุธอะไรแค่เพียงนิดเดียว มหาเศรษฐีเฒ่าจะต้องสงสัยและจับผิดได้อย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้น... ฉันขอตัวก่อนนะคะคุณพ่อ...” แม่ม่ายชาร์ลสตันพูดยิ้มๆ ทำใจดีสู้เสือแก่ ในใจก่นด่าไม่หยุด... ไอ้แก่สารพัดพิษ ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ... “เจค็อบ ดูแลคุณปู่ด้วยนะลูก...” กำชับชายหนุ่มเป็นนัยๆ
“ครับคุณแม่” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ
โรสจำใจฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในมือของโทบีแล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งทั้งคู่เอาไว้ด้วยกันตามลำพัง
เสียงเคาะประตูของซาคาเรียในตอนพลบค่ำบอกให้รู้ว่าถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว หลังจากอาศัยอยู่ในเรือซีเซอร์เพนต์มาหลายวัน หญิงสาวก็เริ่มเคยชินจนไม่คิดจะใส่ใจต่อการปรากฏตัวของบริกรประจำตัว เธอเพียงแค่เหลือบตาไปมองขณะที่ชายหนุ่มเดินผ่านปลายเตียงไป แทบจะไม่ขยับตัวเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้อนามิกาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าซาคาเรียไม่ได้ถือถาดใบใหญ่เข้ามาในห้องเหมือนทุกครั้ง เขาแค่เข้ามาเก็บถ้วยชามใช้แล้วบนโต๊ะอาหารเพียงเท่านั้นอย่าบอกว่ากัปตันบ้านั่นแกล้งลงโทษเธอเรื่องเมื่อตอนเย็นด้วยการให้อดข้าวอดน้ำนะ...“เอ่อ...” ครั้นจะเอ่ยปากถามขึ้นมา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ห้ามใจตัวเองเอาไว้เสียก่อน...เรื่องอะไรจะยอมเสียหน้าล่ะ... ไม่ให้กินเธอก็ไม่ง้อหรอก...“หิวข้าวหรือยัง มาดมัวแซลล์” ซาคาเรียหันมาถามราวกับรู้ทันความคิดเธอ อนามิกาส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่ในกระเพาะอาหารรู้สึกแสบร้อนจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว “กัปตันบอกให้เธออาบน้ำแต่งตัว... เสร็จแล้วจะให้คนมารับไปกินข้าว...” เขาบอกต่อด้วยสำเนียงแปร่งๆ ไม่ต่างจากทุกครั้ง“หมายความว่ายังไงคะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว นึกฉงน“ที่ระเบียงท้ายเรือจัดโต๊ะเอาไว้... คืนนี้เธอไปกินที่น
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับผู้หญิงก็จริง แต่ท่าทีและคำพูดของหญิงสาวก็พอจะบอกอะไรให้เขารู้อยู่บ้าง“เป็นของฝากสำหรับแม่... เป็นคนไทยเหมือนกับเธอนั่นแหละ”“คนไทยเหรอคะ” หม่อมราชวงศ์หญิงเบิกตากว้าง คุณเป็นลูกครึ่งไทยอย่างนั้นเหรอ”“ไม่ใช่... นีนาเป็นเหมือนแม่ของฉัน เธอเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เด็ก...”“แล้วพ่อแม่แท้ๆ ของคุณล่ะ”คิ้วของอัลวาโรขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ เขาเคยคิดว่าตัวเองสนุกกับนิสัยช่างต่อปากต่อคำของอนามิกา แต่เวลานี้เขารู้สึกว่าเธอพูดมากจนเขาชักจะเกลียดน้ำหน้าเสียแล้วสิ...อัลวาโรเติบโตขึ้นมาโดยมีอัลเฟรโดเป็นบิดาเพียงคนเดียวที่เขารู้จัก ชายหนุ่มจดจำเรื่องราวในวัยเด็กได้ไม่มากนัก และนรินทร์นารถก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องประเทศอังกฤษหรือเรื่องบิดามารดาแท้ๆ ของเขาอีกเลย บางครั้งที่เขาลืมตัวเอ่ยถามกับเธอ หญิงสาวก็จะมีท่าทางเศร้าซึมไป และอัลเฟรโดก็จะโกรธเขามาก มันจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามซึ่งเขาไม่อยากพูดถึงแม้แต่น้อย“ตายไปหมดแล้ว ฉันมีแค่นีนากับอัลเฟรโดเท่านั้นที่เป็นพ่อแม่”น้ำเสียงและสีหน้าของคนตรงหน้าบอกให้รู้ว่าอนามิกากำลังเปิดหีบแพนโดราโดยไม่ตั
คาซาบลังกาเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมร็อกโก เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแล้ว มันยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศอีกด้วยเรือซีเซอร์เพนต์เข้าจอดยังท่าเทียบของสโมสรเรือสำราญ นอติก เดอ ลา มารีน รอยัล ยอชต์คลับ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมือง บริเวณติดกันกับท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่กินอาณาเขตตลอดแนวชายฝั่งเป็นระยะทางเกือบสองไมล์อัลวาโรนำเธอลงจากเรือและเดินไปขึ้นรถลิมูซีนที่จอดรอให้บริการอยู่ด้านหน้าสโมสร ก่อนจะสั่งให้คนขับพาทั้งสองไปส่งยังแหล่งจับจ่ายสินค้าภายในตัวเมืองอนามิกาค่อนข้างแปลกใจที่พบว่าเมืองแห่งความรักอันแสนโรแมนติกแห่งนี้ ช่างแตกต่างไปจากภาพในความคิดของเธอเหลือเกิน เพราะปัจจุบัน สภาพความเจริญทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนคาซาบลังกาให้เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและผู้คน ดูไม่แตกต่างไปจากเมืองใหญ่ของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปไม่ช้าความตื่นเต้นดีใจที่มีอยู่ลึกๆ ก็ค่อยๆ กลายเป็นความผิดหวัง... สิ่งเดียวที่พอจะปลอบประโลมความรู้สึกของหญิงสาวได้บ้างก็มีเพียงภาพหอคอยสูงสีขาวทรงสี่เหลี่ยมของมัสยิดกษัตริย์ฮัสซัน ที่ 2 ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทร
นับตั้งแต่อัลวาโรเดินผลุนผลันออกไปในตอนเย็นเมื่อวาน เป็นเวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วที่เขาไม่ได้กลับเข้ามาเหยียบห้องพักของเธออีก หม่อมราชวงศ์หญิงอนามิกาควรจะโล่งใจที่ไม่ต้องทนเจอผู้ชายหลงตัวเอง แถมยังคิดจะเอารัดเอาเปรียบเธออย่างนั้น แต่พอไม่ได้เห็นหน้าเขานานๆ หญิงสาวกลับรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูกตามปกติแล้ว เธอมีพวงพะยอมเป็นเพื่อนคอยอยู่ใกล้ชิดเกือบตลอดเวลา แต่ในเวลานี้คนเดียวที่เธอพอจะพูดคุยด้วยได้ก็เหลือเพียงแค่ซาคาเรีย ชายหนุ่มซึ่งมีหน้าที่คอยส่งอาหารให้วันละสามมื้อ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยจะยอมพูดอะไรกับเธอด้วยอนามิกากลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียงนอนนานเกือบชั่วโมง กว่าจะลุกขึ้นมานั่ง แล้วพบว่าเรือซีเซอร์เพนต์กำลังแล่นเข้าใกล้ชายฝั่ง... ทีแรกหญิงสาวยังคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอน ต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้งจึงมั่นใจว่าสถานที่ที่เธอมองเห็นตรงหน้าก็คือเมืองท่าที่เคยงดงามที่สุดของชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก เท่าที่เธอเคยรู้จักจากหนังสือนำเที่ยวและโปสการ์ดต่างๆ ในร้านหนังสือที่ฝรั่งเศสไม่ผิดแน่ๆ... ที่นี่ก็คือคาซาบลังกา หรือ ‘บ้านสีขาว’ ตามความหมายชื่อภาษาสเปนของมัน...เธอมาถึงโมร็อกโกแล้วหรื
วินาทีนั้นหัวใจของเธอเต้นถี่รัวจวนเจียนจะหลุดออกมาจากหน้าอก สองขาที่ยืนอยู่เหมือนจะอ่อนแรงจนแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น กลิ่นลมหายใจสะอาดสดชื่น ผสมผสานกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่ติดค้างอยู่บนใบหน้า และกลิ่นอายเฉพาะตัวของผู้ชาย มอมเมาให้สมองของเธอปั่นป่วนราวกับพายุหม่อมราชวงศ์หญิงก็รู้สึกหวิวๆ ในช่องท้อง สลับกับอาการเสียวแปลบปลาบคล้ายคนเป็นเหน็บชาเวลาใกล้จะหาย มันเป็นอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน แล้วมันก็ทำให้เธอเกือบโผเข้าไปซบแผ่นอกกว้างตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว“คุณมันบ้า... หลงตัวเอง...” อนามิการีบหลับตาลง ข่มสติตัวเองพร้อมๆ กับพยายามควบคุมลมหายใจที่กระชั้นถี่ให้สงบลง ไม่มีเสียงตอบจากกัปตันหนุ่ม มีเพียงสัมผัสอุ่นๆ นุ่มละมุนที่แตะลงบนเปลือกตาของเธอเบาๆ...“เธอจะยอมฉัน...” เสียงอัลวาโรยังคงเป็นเสียงกระซิบทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ต้องลืมตาโพลง กัดริมฝีปากตัวเองแล้วจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาของเขา...เธอเป็นราชนิกุลที่สืบทอดศักดิ์ศรีและสายเลือดมาจากบรรพบุรุษผู้สูงส่ง...เธอจะไม่ยอมหวั่นไหวไปกับอารมณ์หรือถ้อยคำปลุกปั่นใดๆ เป็นอันขาดคิดแล้วก็รีบผลักร่างกัปตันหนุ่มเต็มแรงจนเขาเซถอย
ดวงตาของหม่อมราชวงศ์อนามิกายังจับจ้องอยู่ที่โคมไฟแก้วเจียระไนบนเพดานกลางห้องเหมือนเมื่อหลายนาทีก่อน ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตามลำพังในห้องขังอันหรูหรา ในใจก็คอยครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เธอต้องกลายมาเป็นเชลยอยู่บนเรือโจรสลัดลำนี้หญิงสาวเลิกกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองนานแล้ว เพราะหากกัปตันอัลวาโรคนนั้นคิดจะทำร้ายเธอจริงๆ ล่ะก็ เธอคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้ เพียงแต่ยังไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการอะไรกันแน่เสียงปลดล็อกไฟฟ้าที่ประตูห้องทำให้อนามิกาตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะไม่นึกกลัวเขาอีก แต่ตราบใดที่เธอกับพวงพะยอมยังถูกขังอยู่ที่นี่ หญิงสาวก็ยังวางใจอะไรไม่ได้มาก อนามิกาจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วหันไปมองตามสัญชาตญาณทันที และพบว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอนั่นเอง“ตื่นแล้วเหรอ...” อัลวาโรเริ่มต้นบทสนทนาด้วยประโยคที่พอจะคิดออก แต่พอพูดไปแล้วกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดตัวเองที่ถามอะไรโง่ๆ ออกไป“คุณคิดว่าวันๆ ฉันจะนอนตั้งแต่เช้ายันค่ำเลยเหรอคะ”“ก็ไม่แน่หรอก... เธออาจจะอยากต้อนรับฉันด้วยการนอนรอบนเตียงก็ได้นี่” กัปตันหนุ่มเหน็บกลั