“ป่านนี้ยังมาไม่ถึงกันอีก... นี่ฉันจะอดใจรอไม่ไหวอยู่แล้วนะ เฮอร์แมน...” ชายชราผมสีเงินหันไปบ่นกับพ่อบ้านคนสนิทซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ขณะที่เขากำลังนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเก้าอี้โยกที่ระเบียงห้องนอน
“หมอบอกไม่ให้ใช้อารมณ์มากๆ นะครับ นายท่าน... เดี๋ยวอาการจะกำเริบขึ้นมาอีก...” เฮอร์แมนที่แก่ลงไปมากกล่าวเตือน
ตอนนี้พ่อบ้านวัยชราเองก็ต้องอาศัยไม้เท้าพยุงร่าง ไม่สามารถยืนเป็นเพื่อนคุยได้นานๆ เหมือนเมื่อก่อน แต่เขาไม่ต้องการเกษียณตัวเองไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้าน เพราะยังผูกพันกับผู้เป็นนายอยู่ ตั้งใจไว้ว่าจะฝังร่างที่คฤหาสน์ชาร์ลสตันไปพร้อมๆ กันกับเคนเน็ธ
ได้ฟังคำเตือนของเฮอร์แมน คนอยู่บนเก้าอี้โยกก็ยอมสงบปากคำลงไปบ้าง เขาจะไม่ยอมเป็นอะไรไปก่อนที่จะได้พบหลานชายสุดที่รักเป็นอันขาด ดวงตาขุ่นขาวภายใต้แว่นสายตาจ้องไปยังถนนที่โค้งหายเข้าไปหมู่ไม้ แม้จะฝ้าฟางจนมองอะไรไม่ชัดเจนแล้ว ก็ยังต้องการจะได้เห็นวินาทีที่รถของลูกสะใภ้วิ่งผ่านแนวป่าเข้ามายังคฤหาสน์หลังนี้
ด้วยวัยที่ล่วงเลยถึงแปดสิบเอ็ดปี เคนเน็ธ ชาร์ลสตัน ตัดสินใจวางมือจากการทำธุรกิจโดยเด็ดขาด ถือเพียงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ชาร์ลสตัน เทรดอิน คอร์ปอเรชั่น แล้วมอบหมายหน้าที่ดูแลงานทั้งหมดให้กับอดีตเลขาฯ ของเขา ผู้ซึ่งขึ้นรับตำแหน่งรองประธานบริษัทเมื่อสิบปีที่ผ่านมา ก่อนจะย้ายมาพักที่คฤหาสน์หลังโปรดในเฮสติงส์เป็นการถาวรนานกว่าเจ็ดปีแล้ว
หากเปรียบเทียบกับชาวอังกฤษทั่วไป นับว่ามหาเศรษฐีชราเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงมากทีเดียว เขาเพิ่งจะเริ่มล้มป่วยกระเสาะกระแสะด้วยโรคความดันโลหิตและโรคหัวใจก็ในปีหลังๆ แต่เคนเน็ธมักกล่าวกับคนรอบตัวอยู่บ่อยๆ ว่า การมีอายุยืนยาว แต่กลับไม่มีบุตรหลานเหลืออยู่สักคนอย่างนี้ มันไม่ต่างอะไรกับคำสาปเลยสักนิด
หลังจากมีอาการหัวใจวายอ่อนๆ เมื่อสามเดือนก่อน จู่ๆ เอ็ดเวิร์ด เทเลอร์ นักสืบประจำตัวที่เขามอบหมายให้คอยสอดส่องสะใภ้ชาวจีนเป็นครั้งคราว รวมทั้งคอยสืบหาเบาะแสของเจโคบีและนรินทร์นารถมาตลอด ก็แจ้งเข้ามาว่า โรสมีการติดต่อกับสำนักงานนักสืบฟ็อกซ์เป็นครั้งแรกในรอบสิบเจ็ดปี นับตั้งแต่ที่เธอเคยว่าจ้างฟ็อกซ์ให้ตามหาตัวอัลเบิร์ตและเจโคบี นอกจากนั้นก็ยังเดินทางไปประเทศสเปนติดๆ กันอีกหลายครั้งในช่วงเวลาสองสามเดือนนี้
แม้จะเคยคิดว่าโรสและอัลเบิร์ตอาจจะอยู่เบื้องหลังการลักพาตัวเจโคบี แต่หลังจากอัลเบิร์ตเองก็หายสาบสูญไปด้วย เคนเน็ธก็ไม่ติดใจสงสัยสะใภ้ม่ายของเขาอีก เพียงแต่การที่เขาให้เอ็ดเวิร์ดคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ก็เพื่อคอยช่วยเหลือเธอในเวลาจำเป็นเท่านั้น
หากข่าวที่ได้รับนี้ก็ทำให้มหาเศรษฐีชรารู้สึกแปลกใจ จึงกำชับให้นักสืบคนเก่าคนแก่ที่มีวัยย่างเข้าห้าสิบตอนปลาย ช่วยติดตามหาข้อเท็จจริง จนรู้ว่าโรสบังเอิญได้พบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเจโคบี ที่บาร์เซโลนา
เคนเน็ธเคยตั้งปณิธานเอาไว้ว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้เห็นศพของหลานชายกับนรินทร์นารถด้วยตาของตัวเอง เขาจะไม่ยอมสิ้นหวังโดยเด็ดขาด ซึ่งข่าวเรื่องเจโคบีในครั้งนี้ก็เป็นยิ่งกว่ายาอายุวัฒนะขนานใดๆ ทั้งสิ้น
แล้วในที่สุด เมื่อวานนี้ โรสก็เป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเขาด้วยน้ำเสียงทั้งสะอึกสะอื้นทั้งดีใจ บอกว่าเธอพบตัวบุตรชายของเธอแล้ว และกำลังจะพามาเจอเขาในวันนี้
ถึงแม้เคนเน็ธจะตื่นเต้นดีใจมากแค่ไหน หากทว่าลางสังหรณ์อันเฉียบคมของเขาก็ยังบอกว่ามันอาจจะเป็นแผนการเพื่อผลประโยชน์ของสะใภ้ชาวจีนก็ได้ เพียงแต่เขามั่นใจว่าเธอจะไม่มีทางตบตาเขาได้ ต่อให้สรรหาใครมาอุปโลกน์เป็นเจโคบีก็ตาม...
และถ้าหากโรสเกิดคิดจะเล่นตลกกับเขาขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ วันนี้นี่แหละคือเป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้ใช้นามสกุลชาร์ลสตันอีก
“เฮอร์แมน ฉันรอวันนี้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว... แล้วแต่ละปีมันก็ช่างเชื่องช้าเหลือเกิน แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าวันนี้เวลามันยังเดินช้ายิ่งกว่าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาเสียอีก...”
“ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันครับนายท่าน” เฮอร์แมนตอบเสียงสั่นเครือ
ทุกครั้งที่เคนเน็ธพูดถึงคนที่จากไป เขาเองก็รู้สึกทุกข์ทรมานไม่ต่างกัน พอได้ยินถ้อยคำของผู้เป็นนาย น้ำตาก็พานไหลจากดวงตาเหี่ยวย่น จนต้องขยับแว่นตาแล้วยกผ้าเช็ดหน้าในมือขึ้นซับคราบเปียกชื้นเหล่านั้น
“สงสารก็แต่นีนา... เธอต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วยก็เพราะฉันแท้ๆ... เพราะฉันกำชับให้เธอคอยดูแลเจค็อบอย่างใกล้ชิด... แล้วนี่ คนที่กลับมาก็มีแต่เจค็อบคนเดียว... ส่วนนีนา...” มหาเศรษฐีชราหลับตาลงช้าๆ ปิดบังแววความเสียใจในดวงตาขุ่นขาวคู่นั้น...
ในสายตาของเคนเน็ธ ตั้งแต่วันที่เขารับเธอเป็นบุตรบุญธรรม เขาก็เห็นนรินทร์นารถเป็นเหมือนบุตรสาวแท้ๆ มาตลอด ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะไม่ยอมรับและมองตัวเองเป็นแค่พี่เลี้ยงของเจโคบีก็ตาม...
“ถ้าคุณเจค็อบปลอดภัย คุณนีนาเองก็ต้องปลอดภัยอยู่ที่ไหนซักแห่งแน่ๆ ครับ นายท่าน...”
“นั่นสินะ ฉันก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น...” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “แต่ว่านะ เฮอร์แมน... ถึงยังไงฉันก็ยังอดสงสัยไม่ได้...” เคนเน็ธเหลือบไปมองพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ของเขา
“สังสัยว่าคุณนายหาตัวคุณเจค็อบพบได้ยังไงทั้งๆ ที่นายท่านเองก็ยังหาไม่เจอใช่ไหมครับ...” เขาพูดราวกับอ่านความคิดของผู้เป็นนายออก
“ใช่... ฉันไม่เคยเลิกล้มการสืบหาตัวเจค็อบ ทั้งในสเปน ฝรั่งเศส อิตาลี ไม่ว่าจะทุ่มเงินเท่าไหร่ฉันก็ไม่เคยเสียดาย ไม่เคยหมดความหวัง แต่นี่...”
“คุณเอ็ดเวิร์ดก็ไปค้นหาความจริงเรื่องนี้ด้วยตัวเองไม่ใช่เหรอครับ... ผมว่ามันอาจจะเป็นเพราะโชคชะตา...”
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอจะยังตามหาลูกชายอยู่จนทุกวันนี้... เป็นแกแกจะเชื่อไหม...” เคนเน็ธพูดเหมือนกำลังถามตัวเอง “แต่เรื่องที่โรสเล่าว่า... เธอบังเอิญได้ข่าวของเจค็อบเมื่อสามเดือนก่อน ก็เลยเดินทางไปตามหาที่สเปนตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็จ้างฟ็อกซ์ให้ช่วยตามหาเขาด้วยอีกแรงก็เป็นความจริง ตรงตามที่เอ็ดเวิร์ดบอกเรา เธอไม่ได้โกหก...”
“วันนี้เป็นวันดีนะครับ นายท่าน... พอได้เจอหน้าคุณเจค็อบ นายท่านก็จะทราบเองว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก... ผมว่าตอนนี้เราอย่าเพิ่งคิดอะไรไปล่วงหน้าเลย เราควรดีใจกันมากกว่า...”
“จริงสินะ...” เคนเน็ธพึมพำก่อนจะยิ้มออกมาได้ คำพูดของเฮอร์แมนทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
ตั้งแต่นรินทร์นารถและเจโคบีหายสาบสูญไป เฮอร์แมนก็เป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้เขาอดทนรอมาได้จนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่มีพ่อบ้านคนนี้เสียคนหนึ่ง เขาก็คงไม่มีชีวิตยืนยาวถึงวันที่ได้พบกับเจโคบีอีกครั้ง
“แกพูดถูกแล้ว ฉันมั่นใจว่าฉันจำหลานของตัวเองได้... ขอแค่เขาเป็นเจค็อบตัวจริง ไม่ว่าเรื่องอื่นจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญเลย...” เสียงที่เคยเข้มแข็งสั่นเครือไปชั่วขณะ ดวงตาเหี่ยวย่นตามวัยต้องหลั่งน้ำตาแห่งความปีติออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ จนเขาต้องรีบยกมือขึ้นเช็ดโดยเร็ว พลางพูดกลบเกลื่อน “ให้ตายสิ!... ทำไมยังมาไม่ถึงกันสักที...”
เฮอร์แมนรู้ว่าผู้เป็นนายไม่เคยแสดงความอ่อนแอต่อหน้าใคร จึงแกล้งทำไม่รู้ไม่เห็นอะไร ส่วนเคนเน็ธก็ได้แต่เบือนหน้าออกไปยังถนนโค้งรูปเกือกม้าอีกครั้ง เฝ้ารอด้วยความหวังว่ารถยนต์ที่พาหลานชายเขากลับมาคืน จะปรากฏขึ้นไม่วินาทีใดก็วินาทีหนึ่ง
เสียงเคาะประตูของซาคาเรียในตอนพลบค่ำบอกให้รู้ว่าถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว หลังจากอาศัยอยู่ในเรือซีเซอร์เพนต์มาหลายวัน หญิงสาวก็เริ่มเคยชินจนไม่คิดจะใส่ใจต่อการปรากฏตัวของบริกรประจำตัว เธอเพียงแค่เหลือบตาไปมองขณะที่ชายหนุ่มเดินผ่านปลายเตียงไป แทบจะไม่ขยับตัวเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้อนามิกาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าซาคาเรียไม่ได้ถือถาดใบใหญ่เข้ามาในห้องเหมือนทุกครั้ง เขาแค่เข้ามาเก็บถ้วยชามใช้แล้วบนโต๊ะอาหารเพียงเท่านั้นอย่าบอกว่ากัปตันบ้านั่นแกล้งลงโทษเธอเรื่องเมื่อตอนเย็นด้วยการให้อดข้าวอดน้ำนะ...“เอ่อ...” ครั้นจะเอ่ยปากถามขึ้นมา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ห้ามใจตัวเองเอาไว้เสียก่อน...เรื่องอะไรจะยอมเสียหน้าล่ะ... ไม่ให้กินเธอก็ไม่ง้อหรอก...“หิวข้าวหรือยัง มาดมัวแซลล์” ซาคาเรียหันมาถามราวกับรู้ทันความคิดเธอ อนามิกาส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่ในกระเพาะอาหารรู้สึกแสบร้อนจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว “กัปตันบอกให้เธออาบน้ำแต่งตัว... เสร็จแล้วจะให้คนมารับไปกินข้าว...” เขาบอกต่อด้วยสำเนียงแปร่งๆ ไม่ต่างจากทุกครั้ง“หมายความว่ายังไงคะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว นึกฉงน“ที่ระเบียงท้ายเรือจัดโต๊ะเอาไว้... คืนนี้เธอไปกินที่น
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับผู้หญิงก็จริง แต่ท่าทีและคำพูดของหญิงสาวก็พอจะบอกอะไรให้เขารู้อยู่บ้าง“เป็นของฝากสำหรับแม่... เป็นคนไทยเหมือนกับเธอนั่นแหละ”“คนไทยเหรอคะ” หม่อมราชวงศ์หญิงเบิกตากว้าง คุณเป็นลูกครึ่งไทยอย่างนั้นเหรอ”“ไม่ใช่... นีนาเป็นเหมือนแม่ของฉัน เธอเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เด็ก...”“แล้วพ่อแม่แท้ๆ ของคุณล่ะ”คิ้วของอัลวาโรขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ เขาเคยคิดว่าตัวเองสนุกกับนิสัยช่างต่อปากต่อคำของอนามิกา แต่เวลานี้เขารู้สึกว่าเธอพูดมากจนเขาชักจะเกลียดน้ำหน้าเสียแล้วสิ...อัลวาโรเติบโตขึ้นมาโดยมีอัลเฟรโดเป็นบิดาเพียงคนเดียวที่เขารู้จัก ชายหนุ่มจดจำเรื่องราวในวัยเด็กได้ไม่มากนัก และนรินทร์นารถก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องประเทศอังกฤษหรือเรื่องบิดามารดาแท้ๆ ของเขาอีกเลย บางครั้งที่เขาลืมตัวเอ่ยถามกับเธอ หญิงสาวก็จะมีท่าทางเศร้าซึมไป และอัลเฟรโดก็จะโกรธเขามาก มันจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามซึ่งเขาไม่อยากพูดถึงแม้แต่น้อย“ตายไปหมดแล้ว ฉันมีแค่นีนากับอัลเฟรโดเท่านั้นที่เป็นพ่อแม่”น้ำเสียงและสีหน้าของคนตรงหน้าบอกให้รู้ว่าอนามิกากำลังเปิดหีบแพนโดราโดยไม่ตั
คาซาบลังกาเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมร็อกโก เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแล้ว มันยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศอีกด้วยเรือซีเซอร์เพนต์เข้าจอดยังท่าเทียบของสโมสรเรือสำราญ นอติก เดอ ลา มารีน รอยัล ยอชต์คลับ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมือง บริเวณติดกันกับท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่กินอาณาเขตตลอดแนวชายฝั่งเป็นระยะทางเกือบสองไมล์อัลวาโรนำเธอลงจากเรือและเดินไปขึ้นรถลิมูซีนที่จอดรอให้บริการอยู่ด้านหน้าสโมสร ก่อนจะสั่งให้คนขับพาทั้งสองไปส่งยังแหล่งจับจ่ายสินค้าภายในตัวเมืองอนามิกาค่อนข้างแปลกใจที่พบว่าเมืองแห่งความรักอันแสนโรแมนติกแห่งนี้ ช่างแตกต่างไปจากภาพในความคิดของเธอเหลือเกิน เพราะปัจจุบัน สภาพความเจริญทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนคาซาบลังกาให้เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและผู้คน ดูไม่แตกต่างไปจากเมืองใหญ่ของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปไม่ช้าความตื่นเต้นดีใจที่มีอยู่ลึกๆ ก็ค่อยๆ กลายเป็นความผิดหวัง... สิ่งเดียวที่พอจะปลอบประโลมความรู้สึกของหญิงสาวได้บ้างก็มีเพียงภาพหอคอยสูงสีขาวทรงสี่เหลี่ยมของมัสยิดกษัตริย์ฮัสซัน ที่ 2 ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทร
นับตั้งแต่อัลวาโรเดินผลุนผลันออกไปในตอนเย็นเมื่อวาน เป็นเวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วที่เขาไม่ได้กลับเข้ามาเหยียบห้องพักของเธออีก หม่อมราชวงศ์หญิงอนามิกาควรจะโล่งใจที่ไม่ต้องทนเจอผู้ชายหลงตัวเอง แถมยังคิดจะเอารัดเอาเปรียบเธออย่างนั้น แต่พอไม่ได้เห็นหน้าเขานานๆ หญิงสาวกลับรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูกตามปกติแล้ว เธอมีพวงพะยอมเป็นเพื่อนคอยอยู่ใกล้ชิดเกือบตลอดเวลา แต่ในเวลานี้คนเดียวที่เธอพอจะพูดคุยด้วยได้ก็เหลือเพียงแค่ซาคาเรีย ชายหนุ่มซึ่งมีหน้าที่คอยส่งอาหารให้วันละสามมื้อ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยจะยอมพูดอะไรกับเธอด้วยอนามิกากลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียงนอนนานเกือบชั่วโมง กว่าจะลุกขึ้นมานั่ง แล้วพบว่าเรือซีเซอร์เพนต์กำลังแล่นเข้าใกล้ชายฝั่ง... ทีแรกหญิงสาวยังคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอน ต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้งจึงมั่นใจว่าสถานที่ที่เธอมองเห็นตรงหน้าก็คือเมืองท่าที่เคยงดงามที่สุดของชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก เท่าที่เธอเคยรู้จักจากหนังสือนำเที่ยวและโปสการ์ดต่างๆ ในร้านหนังสือที่ฝรั่งเศสไม่ผิดแน่ๆ... ที่นี่ก็คือคาซาบลังกา หรือ ‘บ้านสีขาว’ ตามความหมายชื่อภาษาสเปนของมัน...เธอมาถึงโมร็อกโกแล้วหรื
วินาทีนั้นหัวใจของเธอเต้นถี่รัวจวนเจียนจะหลุดออกมาจากหน้าอก สองขาที่ยืนอยู่เหมือนจะอ่อนแรงจนแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น กลิ่นลมหายใจสะอาดสดชื่น ผสมผสานกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่ติดค้างอยู่บนใบหน้า และกลิ่นอายเฉพาะตัวของผู้ชาย มอมเมาให้สมองของเธอปั่นป่วนราวกับพายุหม่อมราชวงศ์หญิงก็รู้สึกหวิวๆ ในช่องท้อง สลับกับอาการเสียวแปลบปลาบคล้ายคนเป็นเหน็บชาเวลาใกล้จะหาย มันเป็นอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน แล้วมันก็ทำให้เธอเกือบโผเข้าไปซบแผ่นอกกว้างตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว“คุณมันบ้า... หลงตัวเอง...” อนามิการีบหลับตาลง ข่มสติตัวเองพร้อมๆ กับพยายามควบคุมลมหายใจที่กระชั้นถี่ให้สงบลง ไม่มีเสียงตอบจากกัปตันหนุ่ม มีเพียงสัมผัสอุ่นๆ นุ่มละมุนที่แตะลงบนเปลือกตาของเธอเบาๆ...“เธอจะยอมฉัน...” เสียงอัลวาโรยังคงเป็นเสียงกระซิบทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ต้องลืมตาโพลง กัดริมฝีปากตัวเองแล้วจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาของเขา...เธอเป็นราชนิกุลที่สืบทอดศักดิ์ศรีและสายเลือดมาจากบรรพบุรุษผู้สูงส่ง...เธอจะไม่ยอมหวั่นไหวไปกับอารมณ์หรือถ้อยคำปลุกปั่นใดๆ เป็นอันขาดคิดแล้วก็รีบผลักร่างกัปตันหนุ่มเต็มแรงจนเขาเซถอย
ดวงตาของหม่อมราชวงศ์อนามิกายังจับจ้องอยู่ที่โคมไฟแก้วเจียระไนบนเพดานกลางห้องเหมือนเมื่อหลายนาทีก่อน ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตามลำพังในห้องขังอันหรูหรา ในใจก็คอยครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เธอต้องกลายมาเป็นเชลยอยู่บนเรือโจรสลัดลำนี้หญิงสาวเลิกกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองนานแล้ว เพราะหากกัปตันอัลวาโรคนนั้นคิดจะทำร้ายเธอจริงๆ ล่ะก็ เธอคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้ เพียงแต่ยังไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการอะไรกันแน่เสียงปลดล็อกไฟฟ้าที่ประตูห้องทำให้อนามิกาตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะไม่นึกกลัวเขาอีก แต่ตราบใดที่เธอกับพวงพะยอมยังถูกขังอยู่ที่นี่ หญิงสาวก็ยังวางใจอะไรไม่ได้มาก อนามิกาจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วหันไปมองตามสัญชาตญาณทันที และพบว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอนั่นเอง“ตื่นแล้วเหรอ...” อัลวาโรเริ่มต้นบทสนทนาด้วยประโยคที่พอจะคิดออก แต่พอพูดไปแล้วกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดตัวเองที่ถามอะไรโง่ๆ ออกไป“คุณคิดว่าวันๆ ฉันจะนอนตั้งแต่เช้ายันค่ำเลยเหรอคะ”“ก็ไม่แน่หรอก... เธออาจจะอยากต้อนรับฉันด้วยการนอนรอบนเตียงก็ได้นี่” กัปตันหนุ่มเหน็บกลั