Home / โรแมนติก / คำสัตย์ใต้ดอกเหมย / บทที่ 5 กลิ่นเลือดกลางหิมะ

Share

บทที่ 5 กลิ่นเลือดกลางหิมะ

Author: Bosskerr
last update Last Updated: 2025-07-02 23:59:42

หิมะยังไม่หยุดตกในคืนที่สามของเดือน แม้เพิ่งเริ่มต้นฤดูเหมันต์ แต่พระราชวังหลานโจวกลับถูกปกคลุมด้วยม่านหิมะขาวแน่นหนาตา สวนหลวงเหมือนถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนอีกภพหนึ่ง เสาแกะสลักมังกรในเขตวังในยังสะท้อนแสงจันทร์ลาง ๆ ขณะกลีบเหมยที่บานในยามวิกาลเริ่มร่วงหล่นลงตามแรงลมหนาว

ทว่าในเงาของความงดงามนั้นเริ่มมีกลิ่นบางอย่างแฝงมากับลม กลิ่นโลหะจาง ๆ ปนกลิ่นคาวเลือด เจืออยู่ในอากาศหนาวราวกับเงาล่องหน

ยามไฮ่ (21.00 .) ตำหนักเฟิ่งเยว่

ไป๋ซูเหยียนยังคงนั่งอ่านกลอนโบราณเงียบ ๆ หลังจากวันที่ท่านอ๋องสี่ยิ้มให้ครั้งแรก แม้เพียงนิดเดียว แต่ในใจของนางกลับสั่นไหวลึกยิ่งกว่าลมหนาวบนเขาเหมยซาน นางเฝ้าทบทวนคำพูดของเขา

“ข้าจะเฝ้ารอ จนกว่ากลีบเหมยสุดท้ายจะร่วงลงมา”

แต่ก่อนที่นางจะทันได้ยิ้มอย่างเต็มที่เสียงฝีเท้าเร่งรีบของจิ่นฮวาก็ดังมาจากด้านนอก

“คุณหนู! มีเหตุร้าย!”

ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน “เกิดอะไรขึ้น?”

“มีผู้ลอบสังหารในวังเพคะ! ตอนนี้ทหารล้อมเขตตำหนักไว้ทั้งหมด ตรวจสอบคนจากตำหนักในทุกตำหนัก!”

“ผู้ใดเป็นเป้าหมาย?”

จิ่นฮวาสูดลมหายใจเข้า เสียงของนางสั่นเครือ

“อะ...ท่านอ๋องสี่เจ้าค่ะ”

คำคำนั้นราวกับสั่นสะเทือนโลกทั้งใบ ไป๋ซูเหยียนรีบลุกขึ้นทันที สวมเพียงผ้าคลุมบาง ๆ แล้ววิ่งตามจิ่นฮวาออกไป นางไม่รู้ว่าตนวิ่งไปได้อย่างไรผ่านประตูตำหนัก ผ่านลานหิมะ รู้เพียงว่าหัวใจของนางเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากอก

หากเขาเป็นอะไรไป หากเขา...ผู้ที่เฝ้ารอใต้ต้นเหมยมาตลอดสิบปี ต้องจบชีวิตเพราะคำสัตย์ที่ไม่มีใครได้ยิน แล้วจะทำเช่นไร

ตำหนักหย่งจิ้ง ยามค่ำ

กลิ่นเลือดฟุ้งไปทั่วลานกว้าง ทหารหลวงกว่าห้าสิบคนกระจายกำลังรอบตำหนัก ร่างคนผู้หนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ตรงทางเดินหินข้างศาลา กลีบเหมยตกเกลื่อนพื้น เลือดไหลออกจากใต้ชุดคลุมสีดำของเขา

“ท่านอ๋อง!” เสียงของขุนนางคนหนึ่งร้องลั่นดังขึ้น

หลี่เหยียนนั่งพิงเสาศาลา ใบหน้าซีดเผือด บนไหล่ขวาของเขามีบาดแผลลึก โลหิตซึมเปื้อนชุดคลุมจนสีเข้มขึ้นราวหมึก

ไป๋ซูเหยียนพุ่งเข้ามาหา ดวงหน้าไร้ซึ่งความสง่างามเหมือนทุกวัน มีเพียงสายตา เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?!”

หลี่เหยียนฝืนยิ้มมุมปาก แม้จะเจ็บจนเหงื่อท่วมขมับ แต่ก็เอื้อนเอ่ยถ้อยคำสั้น ๆ ตอบกลับมา

“ยังไม่ตาย”

“เหตุใดถึงไม่เรียกหมอหลวงเล่า”

“หมอหลวง อาจเป็นหนึ่งในผู้ที่ส่งคนมาแทงข้า”

ซูเหยียนชะงัก “หมายความว่าอย่างไร?”

หลี่เหยียนหลับตา แล้วเอ่ยช้า ๆ “นี่ไม่ใช่การลอบสังหารธรรมดา แต่มันคือคำเตือนต่งหาก”

แสงโคมสะบัดไหวในตำหนักหย่งจิ้ง เสียงฝีเท้าทหารวิ่งวุ่นรอบศาลากลาง เงาหลายเงาตัดสลับกันภายใต้ต้นเหมยที่กลีบร่วงจนแทบเปลี่ยนพื้นหินให้กลายเป็นพรมสีชมพูเลือดจาง ๆ

บรรยากาศคละคลุ้งด้วยกลิ่นหอมของกลีบดอกไม้ แต่มันแฝงกลิ่นคาวโลหิตจนกลายเป็นความแปลกประหลาดที่จับต้องไม่ได้

ไป๋ซูเหยียนคุกเข่าอยู่ข้างกายท่านอ๋องสี่ ใช้ชายผ้าคลุมของตนกดบาดแผลที่ไหล่เขาไว้ มือสั่นระริกแต่ไม่ยอมปล่อย

“อย่าพูดอีกเลย ท่านต้องพัก”

หลี่เหยียนหันหน้ามามองนาง ทั้งที่ขอบปากยังเปื้อนเลือด

“ถ้าข้าไม่พูดคืนนี้ วันพรุ่งนี้อาจไม่มีโอกาสพูดแล้ว”

นางกัดริมฝีปากแน่น “ใครเป็นคนทำ?”

หลี่เหยียนไม่ตอบทันที เขาเพียงมองกลีบเหมยที่ตกอยู่เต็มอกเสื้อของตน แล้วพูดเบา ๆ

“สำนักอิงเซียน อาจอยู่เบื้องหลัง หรือไม่ก็เป็นคนของฝ่ายขุนนางเก่า ที่ไม่พอใจที่ข้าไม่ยอมแต่งตั้งบุตรีของหลี่ซ่างแห่งตระกูลหลี่เป็นพระชายา”

“หมายความว่า เพราะข้า?” เสียงของซูเหยียนเบาแทบเป็นกระซิบ

หลี่เหยียนยกมือเปื้อนเลือดขึ้น วางไว้บนมือของนาง

“เพราะข้าเลือกเจ้า”

นางสั่นไปทั้งร่าง นี่เขาพูดว่า "ข้าเลือกเจ้า"

ไม่ใช่ด้วยสายตา ไม่ใช่ด้วยรอยยิ้ม แต่ด้วยเลือดและร่างที่ยังยืนหยัดต่อกลีบเหมยในหิมะ

หมอหลวงมาถึงในอีกครู่หนึ่ง ชายชราในชุดสีครามที่ดูจะสั่นกลัวมากกว่าจะตั้งใจรักษา ไป๋ซูเหยียนลุกขึ้นยืน ดวงตาคมกริบ

“ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่จนกว่าจะเสร็จงาน ถ้าเจ้าใช้เข็มผิดแม้แต่นิดเดียว ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีวันรักษาผู้ใดได้อีก” เสียงของนางแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หมอหลวงตัวสั่นงันงก รีบกุลีกุจอลงมือรักษาทันที

สามชั่วยามผ่านไป

บาดแผลของหลี่เหยียนได้รับการเย็บอย่างประณีต เขาอ่อนแรงแต่ยังไม่หมดสติ ภายในห้องนอน ตะเกียงจุดไว้สี่มุม หยดน้ำยาเคล้ากลิ่นโสมและกลิ่นสนไผ่แตะจมูก

ซูเหยียนนั่งอยู่ข้างเตียง มือของนางไม่ละจากมือของเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว นางไม่ร้องไห้ ไม่สะอื้นคร่ำครวญ มีเพียงความนิ่งงัน ที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าคำพูดทุกถ้อยคำ

ยามรุ่งสางหิมะยังคงตก แต่ร่างของหลี่เหยียนกลับเริ่มอบอุ่น เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง พบว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างเตียง หลับคอพับคามือของเขาไปเสียแล้ว มือของเขาค่อย ๆ ยกขึ้น ลูบเส้นผมของนางเบา ๆ

“ข้าคิดว่าเจ้าไม่ควรต้องอยู่ในวังแห่งนี้ วังที่เต็มไปด้วยพิษ กลิ่นเลือด และเงาที่ไร้หัวใจ” เขาคิดในใจ

และในยามเช้าวันนั้นเอง ขันทีคนหนึ่งก็นำกล่องผ้าไหมใบเล็ก ๆ มาถึงหน้าตำหนักเฟิ่งเยว่

บนกล่องมีตราประจำตัวของหลี่เหยียน ภายในบรรจุเพียงผ้าคลุมไหล่กลิ่นดอกเหมยหนึ่งผืน พร้อมกับบันทึกที่เขียนด้วยลายมือจริงของท่านอ๋องสี่ เขียนเพียงไม่กี่บรรทัด

ในคืนหิมะแรก เจ้าร้องไห้ใต้ต้นเหมย ข้าส่งผ้าคลุมให้เจ้า วันนี้ เจ้าร้องไห้ในใจ ข้าจึงส่งมันกลับไปอีกครั้ง ให้เจ้ารู้ว่า ข้าไม่เคยลืม

ไป๋ซูเหยียนถือกล่องผ้าไหมไว้แนบอกอย่างแน่นหนา ผ้าคลุมในนั้นส่งกลิ่นหอมจางของดอกเหมยที่นางคุ้นเคย ไม่ใช่กลิ่นของน้ำมันหอมใด ๆ แต่เป็นกลิ่นเดียวกันกับในคืนหิมะแรกเมื่อสิบปีก่อน

นี่กลิ่นของเขา กลิ่นของ “คำสัตย์”

นางค่อย ๆ วางกล่องไว้ตรงหัวเตียง มองมันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกระซิบแผ่วเบา

“หากเจ้ารอดจากคืนหิมะนี้ได้ ข้าจะไม่หนีจากเจ้าไปไหนอีก”

ยามเฉิน (07.00 น.)

            เสียงฆ้องราชวังดังขึ้นกะทันหัน แจ้งเหตุ “ปิดประตูวัง” ขันทีน้อยวิ่งหน้าตาตื่นมาที่ตำหนักเฟิ่งเยว่

“มีคำสั่งจากไทเฮาให้กักตัวว่าที่พระชายาทั้งหมดของท่านอ๋องสี่ไว้ชั่วคราว เพื่อสอบสวนว่าผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบสังหารเมื่อคืน!”

เสียงของขันทีสั่นระริก จิ่นฮวารีบเข้ามากระซิบ

“คุณหนู ไทเฮาทรงระแวงท่าน”

ไป๋ซูเหยียนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า

“แจ้งกลับไปว่า ข้าจะเข้าพบไทเฮาเองในยามซื่อ”

ตำหนักฉืออิง ยามซื่อ (09.00 .)

ไทเฮานั่งอยู่บนบัลลังก์เตี้ย ด้านหลังเป็นม่านไหมปักหงส์เหนือดอกเหมย ดวงตาทรงอำนาจจ้องเขม็งมาที่หญิงสาวผู้เดินเข้ามาอย่างสง่างาม

“ไป๋ซูเหยียน เจ้ากล้าเกินกว่าที่ข้าคิดไว้มาก”

“หม่อมฉันไม่เคยกล้าเกินความเหมาะสมเพคะ”

“แล้วเจ้าคิดหรือไม่ว่าเป็นผู้ใดที่วางยาม้าในคอกม้าขององครักษ์ท่านอ๋องเมื่อคืน?”

ซูเหยียนชะงักไป เรื่องวางยาม้า นางเองก็เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก

“หม่อมฉันไม่ทราบแม้แต่น้อยเพคะ หากไทเฮาทรงสงสัย  หม่อมฉันยินดีให้ค้นทั้งตำหนัก รวมถึงสอบถามนางกำนัลทุกคน”

“เจ้ายินดีเร็วเกินไป นั่นแสดงว่าเจ้าคิดไว้ก่อนแล้วว่าจะถูกสอบสวน” ไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงกดดัน

ซูเหยียนสบตาไทเฮาอย่างแนบแน่นไม่หวั่นเกรง

“ไม่ใช่เพราะหม่อมฉันรู้มาก แต่เพราะหม่อมฉันรู้ดี ว่าหากหม่อมฉันไม่ปกป้องตนเอง ในวังแห่งนี้ก็ไม่มีใครจะปกป้องหม่อมฉันได้เลย”

บรรยากาศตึงเครียดในทันที ไทเฮามองนางอีกครู่ แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว

“แต่มีคนหนึ่ง ที่อยากปกป้องเจ้า”

ซูเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายถึง...?”

“หลี่เหยียน” ไทเฮาเอ่ยชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงลึก

“เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องคำสัตย์กับเจ้าจริงหรือ?”

ซูเหยียนเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะกล่าวช้า ๆ อย่างชัดเจน

“เขาไม่เคยพูดคำว่าสัตย์กับหม่อมฉันเลยสักคำ แต่หม่อมฉัน เห็นมันในแววตาของเขา เห็นมันในรอยเลือดบนไหล่ เห็นมันในกล่องผ้าคลุมกลิ่นเหมยที่เขาส่งมาให้หม่อมฉันในเช้านี้”

ไทเฮานิ่งไปนาน ก่อนจะยกพระหัตถ์ขึ้นโบก สั่งให้ขันทีทั้งหมดถอยออก

ภายในห้องเหลือเพียงหญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง กับหญิงสาวที่ยังไม่มีสถานะใดในราชสำนัก และในยามเงียบงันนั้นเอง ไทเฮาก็กล่าวขึ้นเบา ๆ

“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าหากเจ้าคือคนที่เขาเลือกจริง ๆ เจ้าจะถูกหมายหัวจากทุกฝ่าย”

“หม่อมฉันทราบดีเพคะ” ซูเหยียนยิ้มบาง “แต่ในเมื่อเขาไม่กลัวตายเพื่อปกป้องหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่มีสิทธิ์กลัวเพื่อจะยืนเคียงข้างเขา”

วันเดียวกันนั้น ตำหนักหย่งจิ้ง

หลี่เหยียนฟื้นจากอาการไข้ระลอกแรก เขายังอ่อนแรง แต่เมื่ออวี้กงกงนำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ เขาก็รีบเปิดอ่าน ในนั้นมีเพียงสี่บรรทัดสั้น ๆ ลายมือคุ้นตา

เลือดในหิมะ กลีบเหมยบนบ่า เจ้าไม่เคยพูดคำสัตย์ แต่ข้าจะพูดแทนให้เอง

หลี่เหยียนหลุบตาลงและยิ้มเป็นครั้งที่สองในรอบสิบปี

ภายใต้เงาของการเมือง เงาแห่งความตาย และกลีบเหมยที่ร่วงไม่หยุด คำสัตย์ของสองหัวใจ กำลังเริ่มผลิบานขึ้นแล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   ตอนพิเศษ เมื่อกลีบเหมยร่วงบนหมอนผ้าไหม

    เสียงลมตอนเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านระเบียงเรือนไม้ กลิ่นชาดอกเหมยที่เพิ่งชงเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย แสงแดดลอดผ่านบานประตูไม้ไผ่ที่แง้มออกครึ่งหนึ่ง ทาบเงาลวดลายบนผ้าไหมปักลายเหมยซึ่งคลุมอยู่บนเตียงนอนกว้างไป๋ซูเหยียนขยับตัวพลิกกายเล็กน้อย ปอยผมหลุดจากปิ่นหยกเคลื่อนไหลลงมาแนบแก้มขาวราวหยกนวล เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะแผ่วดังขึ้นใกล้ใบหูของนาง“หากเจ้าไม่ลุก แล้วใครจะรินชาให้ข้า?”นางปรือตาขึ้นอย่างช้า ๆ ใบหน้ายังเปื้อนรอยง่วงงุน“ท่านมิได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วนะ? เหตุใดยังอวดอำนาจกับข้าได้อยู่อีก?”หลี่เหยียนนั่งพิงเสาเตียง ในมือถือพัดกระดูกงูพับครึ่ง พลิกไปมาอย่างว่าง่าย“อำนาจหรือ? ข้ามีแค่อำนาจเดียว คือการทำให้เจ้ารำคาญใจในตอนเช้า”นางกลอกตาเบา ๆ แล้วฝืนลุกขึ้นนั่ง เอนพิงหมอนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาเล็ก ๆ บนโต๊ะข้างเตียง“หากท่านยังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะเปลี่ยนชาวันนี้เป็นชาดอกไม้ขมแทนชาดอกเหมย”เขาหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากล้าหรือ?”“ก็ลองดูสิ” นางยิ้มอย่างท้าทายแสงแดดอ่อนสาดกระทบใบหน้าทั้งสองที่ใกล้ชิดกันจนแทบไม่มีอากาศแทรก มือที่สัมผัสกันเบา ๆ บนกล่องชา กลายเป็นเหตุให้หล

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   บทที่ 20 คำสัตย์ที่ไม่มีวันโรยรา

    แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหมอกบางในฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งเริ่มต้น ต้นเหมยแห่งคำสัตย์กลางพระราชวังยังคงผลิบานอย่างเงียบงาม กลีบดอกบางเบาลอยล่องบนสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดชื่นชมในตำหนักกลาง พระราชพิธีสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังเริ่มต้นอย่างสง่างาม ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน สวมชุดครุยพิธีเต็มยศ ยืนอยู่หน้าแท่นพิธีด้วยใบหน้าเยือกเย็นและสงบนิ่งไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ด้านข้างบนเก้าอี้รองพระเกียรติในชุดฉลองพระองค์ผ้ากรุทองอ่อน พรมผืนยาวที่ทอดยาวจากบันไดสู่แท่นพิธีประดับด้วยกลีบเหมยซึ่งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เปล่งประกายเหมือนดวงดาวที่ตกลงบนผืนแผ่นดินเหล่าขุนนาง ข้าราชบริพาร และแขกบ้านแขกเมืองต่างมาเข้าร่วมอย่างพร้อมใจ เสียงพิณ เสียงขลุ่ย และเสียงกลองพิธีบรรเลงรับแสงแห่งเช้าวันใหม่“วันนี้ เรามิได้แต่งตั้งเพียงบุคคลผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดิน แต่เราสถาปนาหัวใจของแผ่นดินด้วย” เสียงเสนาบดีผู้ดำเนินพิธีประกาศดังกังวานหลี่เหยียนคุกเข่าลงบนแท่น พร้อมรับมอบตราสัญลักษณ์ราชการ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ทั้งห้องโถงเปี่ยมไปด้วยพลังของความศรัทธาหลังพิธีจบลง เข

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   บทที่ 19 หิมะละลายกลางฤดูหนาว

    ยามเช้าของฤดูเหมันต์เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนโยนที่ส่องทะลุม่านหิมะเหนือยอดหลังคาพระราชวัง วังหลวงที่เคยเงียบเย็นกลับอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะหัวใจของผู้คนใต้ต้นเหมยกลางลานตำหนักเย็น กลีบดอกผลิบานสะพรั่งในเวลาเดียวกันทั่วทั้งต้น สีชมพูสดแต้มแต่งหิมะขาว กลายเป็นภาพงดงามที่แม้แต่บ่าวไพร่ยังต้องหยุดยืนมองด้วยสายตาไม่เชื่อไป๋ซูเหยียนเดินช้า ๆ ออกจากตำหนัก นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนา แต่สีเลือดฝาดบนแก้มบ่งบอกว่าสุขภาพเริ่มฟื้นตัวแล้ว ใบหน้ายิ้มบางนั้นเป็นสิ่งที่บ่าวไพร่หลายคนไม่เคยเห็นมาเนิ่นนาน“กลีบเหมยบานแล้ว...” นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นมือไปรับกลีบดอกที่ลอยมาติดแขนเสื้อหลี่เหยียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขามองนางโดยไม่หลบสายตา ท่านอ๋องสี่ในยามนี้ไม่ใช่ชายผู้เย็นชาอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยิ้มบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาสิ่งสำคัญไว้ในชีวิต“เจ้าดูสดใสขึ้นมาก” เขาเอ่ย“ก็เพราะท่านทำให้ข้ามีชีวิตอยู่” นางยิ้มให้เขา “และเพราะข้าไม่ต้องเฝ้ารอคำสัญญาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว”เขาเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ยื่นมือจับมือของนางแน่นแนบอก“คำสัญญานั้น ข้า

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   บทที่ 18 ลมหายใจสุดท้ายของต้นเหมย

    หิมะตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน ปกคลุมยอดเขาและลานหินทั่วเขตวังหลวง จนต้นไม้บางต้นเริ่มโค้งกิ่งลงเพราะทานแรงลมไม่ไหว แต่ในตำหนักเย็นแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเงียบมานานกลับมีแสงไฟอบอุ่นลอดออกจากช่องหน้าต่างไม้ซูเหยียนนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าเตาไฟในชุดคลุมหนาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าซีดจางเพราะพิษในร่างที่ยังไม่หายขาดจากพิธีเลือด แต่นัยน์ตานางกลับเปล่งแสงสว่างประหลาด ราวกับได้รับการปลุกจากภายในอย่างแท้จริงตรงข้ามกับนาง หลี่เหยียนนั่งเงียบในอาภรณ์สีดำสนิท หน้าตาเย็นชาเช่นเดิม แต่เมื่อมองผู้หญิงตรงหน้า ความอ่อนโยนในดวงตาก็ชัดเจนจนไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป“ข้าเห็นภาพต้นเหมยในความฝัน” ซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “มันเหี่ยวเฉา ดอกโรยจนหมด แล้วจู่ ๆ ก็มีลมหายใจหนึ่งพัดผ่าน ทำให้มันผลิบานอีกครั้ง”หลี่เหยียนเอ่ยช้า ๆ “ข้าก็ฝันเช่นเดียวกัน เจ้าคือผู้ที่ทำให้มันบาน”นางหัวเราะเบา ๆ แล้วเงียบลง นัยน์ตาจับจ้องเตาไฟครู่หนึ่งก่อนเอ่ย“ท่านรู้หรือไม่ พิธีนั้น มิได้ลบความจำข้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังฝากเศษพิษในเส้นชีพจร หากไม่ได้รับการรักษาในสิบวัน พิษนี้จะกลืนกินลมหายใจสุดท้ายของข้า”หลี่เหยียนหันขวับมาหานางทันที ใบหน้าเปลี่ยน

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   บทที่ 17 การเดินทางสู่ใจ

    ลมหายใจเย็นยะเยือกพัดพาเอาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายเหนือยอดเขาเหมยซาน แสงจันทร์จาง ๆ ในคืนเดือนแรมทอผ่านม่านเมฆบาง ราวกับฉายภาพความรู้สึกในใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ร่างสูงในอาภรณ์นักพรตสีเทาเข้ม ห่มเสื้อคลุมยาวแตะข้อเท้า ที่ชายเสื้อมีคราบเปื้อนจากการเดินทางไกล“ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว…” หลี่เหยียนพึมพำเบา ๆ ริมฝีปากแตกแห้งสีเลือดจางเบื้องหน้าเขา คือประตูไม้เก่าแก่ที่ถูกตะไคร่จับหนาแน่น เป็นทางเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามของอดีต สำนักหิมะดำเคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีต้องห้าม และแม้ทุกอย่างจะถูกทำลายไปในการศึกคราวก่อน แต่ข่าวลือยังคงลือว่ามีคนหลงเหลือซ่อนตัวอยู่ในเงามืดชายหนุ่มยกมือลูบกระบี่ที่พาดบ่าซ้าย มันคือกระบี่เล่มเดียวกับที่เขาใช้ในศึกครั้งที่ช่วยซูเหยียนให้รอดจากพิธีเลือด ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วผ่านกระบี่นั้น ทำให้เขาหวนคิดถึงวินาทีที่ร่างของนางล้มลงในอ้อมแขนเขา“ข้าเคยสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพังอีก ข้าจะทำตามนั้น”เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง หลี่เหยียนหันกลับไปเห็นหญิงสาวร่างบางในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวห่มไหล่ นางเดินอย่างช้า ๆ ท่ามกลาง

  • คำสัตย์ใต้ดอกเหมย   บทที่ 16 พิธีเลือดใต้หิมะ

    ยามหนึ่งของค่ำคืน ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดเขาเหมยซาน หิมะขาวสะท้อนแสงนวลราวผืนผ้าไหมที่คลี่ออกกลางสวรรค์ เสียงสายลมหนาวพัดหวีดหวิวพาเอากลีบเหมยปลิวไหวราวจะกระซิบบอกข่าวเงียบงันที่ลานกว้างหน้าศาลาไม้โบราณกลางหุบเขา หญิงสาวผู้หนึ่งถูกล่ามด้วยโซ่สีดำเส้นบางราวสายไหม เส้นโซ่พาดผ่านลำแขนทั้งสองข้างที่ถูกตรึงไว้เหนือศีรษะ ข้อมือของนางเต็มไปด้วยรอยแผลจากการดิ้นรน แม้สายตาจะพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา แต่นางยังพยายามเงยหน้าขึ้นจ้องแสงจันทร์“องค์หญิงอิงเยว่”เสียงขานนามเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา หญิงชราในอาภรณ์สีดำสนิทเดินออกมาจากศาลา ดวงตาของนางคมกริบ ดั่งผู้เฝ้ามองโลกมาหลายทศวรรษ“อีกไม่ถึงเจ็ดชั่วยาม พิธีจะเริ่ม เจ้าจะได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของแคว้นต้าเยี่ยน ด้วยเลือดของเจ้า”หญิงชราเอื้อมมือแตะหน้าผากขององค์หญิงอิงเยว่ แล้วกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด ร่างขององค์หญิงกระตุกเล็กน้อยก่อนหมดสติไปอีกครั้งหอหลวงฝ่ายใน ตำหนักต้าหลี่เสียงบันลือจากรายงานขององครักษ์ด่วนพิเศษ ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงกลายเป็นความอึมครึม หลี่เหยียนเดินลงจากบัลลังก์พลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status